ตอนพิเศษ 11
แต่งงาน
เสิ่นชิงชิวขยับพัดด้ามจิ้วช้าๆ ขณะตนเดินนำไปไม่ไกลนัก ก่อนจะสังเกตว่าคนที่เกาะติดเขาเป็นตังเมมาตลอดทาง กลับไม่ได้เดินตามมา ด้วย เขาจึงหันหลังกลับไปมอง
ลั่วปิงเหอยังยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม
เสิ่นชิงชิวเอ่ยถามอย่างงุนงง “ปิงเหอ? มองอะไรอยู่หรือ?,,
ครานี้ลั่วปิงเหอจึงได้สติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยสีหน้าออกจะโง่งมอยู่สักหน่อย เขาเอ่ย “ซือจุน ข้า…,,
เสิ่นชิงชิวไม่เข้าใจเขายิ่งกว่าเดิมจึงเดินกลับไปอยู่ในรัศมีสายตาของลั่วปิงเหอ ตนจึงเห็นฝูงชนแซ่ซ้องยินดีให้ขบวนสีแดงของคู่บ่าวสาว ข้าวใหม่ปลามันที่กำลังเคลื่อนเข้าไปในคฤหาสน์
ถนนสายนี้คลาคร่ำไปด้วยผู้คนอยู่แล้ว เสิ่นชิงชิวจึงไม่ทันสังเกตว่ามีขบวนแห่บ่าวสาวร่วมถนนอยู่ด้วย
เด็กหญิงสองคนหิ้วตะกร้าใบน้อยแล้วโปรยของหวานงานแต่งที่ประตูเคหาสน์ พวกเธอส่งเลียงสดใสเจื้อยแจ้ว “แจกจ่ายความสุขเจ้าค่ะ!” / “แจกจ่ายความสุข!”
ความคิดแรกของเสิ่นชิงชิวทำลายบรรยากาศชื่นมื่นโดยแท้ “หรือว่า ครอบครัวนั้นจะถูกปิศาจร้ายสิงสู่?,,
ทว่าไม่ว่าจะมองอย่างไร ตนก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยสักนิด ตนกำดังจะเอ่ยปากถาม แต่ลั่วปิงเหอก็เดินไปหาคนเหล่านั้นเลียแล้ว เด็กหญิงทั้งสองไม่เคยพบชายหนุ่มรูปงามขนาดนี้มาก่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงตะลึงงันไป พวกเธอลืมกระทั่งว่าต้องแจกจ่ายขนมหวาน ลั่วปิงเหอจึงหยิบขนมเหล่านั้นจากมือพวกเธอเอง
หลังจากได้ของชำร่วยงานแต่งแล้วลั่วปิงเหอก็กลับมาหาเสิ่นชิงชิวอย่างชื่นมื่น “ซือจุน ไปกันเถอะขอรับ,,
เสิ่นชิงชิวพยักหน้า
พวกเขาทั้งคู่เดินเคียงกันมาพักหนึ่ง นิ้วของลั่วปิงเหอยังเล่นกับขนมหวานในห่อกระดาษสีแดง เขายังเหลียวหลังกลับไปที่กลุ่มฝูงชนรายล้อมงานวิวาห์ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เสิ่นชิงชิวถาม “คนเหล่านั้นมีสิ่งใดผิดปกติหรือ?,,
ลั่วปิงเหอดูประหลาดใจกับคำถาม “ซือจุนหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ มีสิ่งใดผิดปกติหรือ,,
เสิ่นชิงชิวตอบ “หากมิได้มีสิ่งใดผิดแผก เหตุใดเจ้าจึงหันกลับไปมองเช่นนั้นเล่า? เจ้าไม่ได้ชอบของหวานด้วยซ้ำ,,
ลั่วปิงเหอเพิ่งจะเข้าใจคำถามของเสิ่นชิงชิว เขายิ้ม “มิมีสิ่งใดผิดปกติขอรับ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าพวกเขาแจกจ่ายความสุขมาถึงข้าจริงๆ,,
เขาดูจริงจังจนน่าแปลกใจขณะกล่าวคำเหล่านี้ออกมา เสิ่นชิงชิวอดยิ้มให้เขาไม่ได้ “เหวยซือไม่นึกว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย หรือว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นขบวนแห่งานแต่ง?,,
ลั่วปิงเหอตอบ “ข้าเคยเห็นอยู่บ้างขอรับ แต่มิเคยคิดว่าเรื่องเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอนใดกับตัวข้าเลย,,
เสิ่นชิงชิวปวดหัวขึ้นมา “เจ้าไม่เคยคิดจะแต่งงานกับสตรีสักคนมาก่อนเลยหรือ?,,
ลั่วปิงเหอส่ายศีรษะ เสิ่นชิงชิวคิดว่านี่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เขาจึงถามอีกครั้ง “จริงหรือ? ไม่เคยคิดเลยแม้แต่นิด?,,
เห็นแบบนี้ ลั่วปิงเหอ – ลั่วปิงเหอต้นฉบับก็เป็นพระเอกนิยายฮาเร็มเลื่องชื่อ เขาจะไม่เคยคิดถึงอนาคตสวยสดงดงามได้อย่างไร? แถมถ้าจะพูดให้ถูกตามรสนิยมห่วยๆ ของเจ้าเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีแล้ว อนาคตสวยสดงดงาม ย่อมไม่ใช่แค่การได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นหญิงงามจำนวนไม่ตํ่ากว่าเลขสามหลัก แน่ล่ะว่าเสิ่นชิงชิวรู้ว่าลั่วปิงเหอคนนี้ ไม่มีทางทำเช่นนั้น แต่เขาจะไม่เคยคิดฝันถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยหรือ แล้วยังคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวอีก?
ลั่วปิงเหอคิดคำนึงอยู่พักหนึ่ง “เมื่อก่อน ข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ,,
เสิ่นชิงชิวเห็นอีกฝ่ายเอ่ยว่า ‘เมื่อก่อน, จึงแกล้งแหย่ไป “หมายความว่าตอนนี้เจ้าเริ่มสนใจขึ้นมาแล้วสิ?,,
นึกไม่ถึงว่าครานี้ลั่วปิงเหอกลับไม่ตอบเขา
เสิ่นชิงชิวไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่ทุกคืนหลังจากนั้น ลั่วปิงเหอดูมีกำลังวังชามากขึ้นเป็นพิเศษ สะโพกกับขาแก่ๆ ของตน ต้องทำงานหนักตามไปด้วย
ทั้งสองคนมักจะกลับไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่ชางฉยงซานทุก ๆ สองเดือน เมื่อพวกเขากลับมาอีกครั้งจึงไม่มีใครประหลาดใจ กระนั้นแต่ละคน ก็ยังรุมล้อมด้วยความกระตือรือร้น
ฉีซิงชีกล่าว “อะไรกันนี่? ผู้ใด? มิใช่เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเพิงหรอกหรือ? เจ้ากลับมาอีกแล้ว? โอกาสหาได้ยากยิ่ง ร้อยวันพันปีจะมีสักครั้ง!,,
เสิ่นชิงชิวตอบ “เจ้าพูดได้ไม่ผิดเลย,,
ฉีซิงซี “เจ้ามีของฝากจากภพมารติดไม่ติดมือมาด้วยหรือไม่? ของฝากที่ไม่ใช่คนข้างๆ เจ้าน่ะ,,
เสิ่นชิงชิวคิดในใจ ลั่วปิงเหอเติบโตในภพมนุษย์ เขาไม่น่านับเป็นของฝากจากภพมารอยู่แล้ว ดังนั้นตนจึงเอ่ย “ต่อให้ข้านำมาจริง ก็คงไม่มีใครอยากทานหรอก ข้าไม่ได้นำอะไรติดไม่ติดมือมาก็ถูกแล้ว,,
แล้วเขาจึงเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาหาพวกเขาพร้อมอะไรในมือ เสิ่นชิงชิวจึงทักทาย “ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าดูสบายดีนะ ข้า…อะไรนั้น!,,
หลิ่วซิงเกอยื่นปิศาจที่กำลังจะตายมาให้เสิ่นชิงชิวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เสิ่นชิงชิวยื่นมันกลับไปให้เขา เขาก็ยังดันมันกลับมาให้เสิ่นชิงชิวอีก “ปิศาจผมสั้น เจ้าเอาไปกินได้”
เสิ่นชิงชิวดันมันกลับไปอีกครั้ง “ข้าไม่กินหรอก! ตัวที่เจ้าให้ข้ามาเมื่อหลายปีก่อนยังอยู่ดีอยู่เลย ตอนนี้มันตัวใหญ่ยักษ์จนทำลายป่าไผ่บนชิงจิ้งเฟิงแล้ว ข้าไม่ต้องการเพิ่มอีกตัวหรอก!”
ทั้งสองคนยักแย่ยักยันโบ้ยปิศาจผมสั้นในมือไปมาจนมันส่งเสียงกรีดร้องระงม เว่ยชิงเวยจึงกล่าว “ศิษย์พี่เสิ่น ข้าคิดว่าท่านควรรับม้นไว้นะ ถ้ามันเป็นคู่ตัวผู้ตัวเมีย มันจะได้นัวเนียกันแล้วเลิกแทะต้นไผ่ของท่านไง,,
“แล้วถ้ามันเป็นตัวผู้ทั้งคู่เล่า?”
“…”
หากเป็นเมื่อก่อน ลั่วปิงเหอคงจะเริ่มปล่อยรัศมีเย็นเยียบทันทีที่หลิ่วชิงเกอปรากฎกายพร้อมยิ้มหยันแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรอย่างมิคิดจะปิดบัง ทว่าวันนี้เขากลับดูเหมือนกำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างจนเงียบเฉย ไม่ใส่ใจอยู่ข้างกายเสิ่นชิงชิว เสิ่นชิงชิวไม่ชินกับท่าทีแบบนี้ของเขาเลย
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึก คนอื่นๆ ก็ครั้นเนื้อครั้นตัวตามไปด้วย ปกติแล้วเจ้ายอดเขาทั้งหลายและสหายร่วมสำนักจะพูดมากเป็นพิเศษเมื่อพวกเขามาพบปะกันสักที สรวลเสเฮฮาทั้งเรื่องขำขันเรื่องจิปาถะ จนบทสนทนายืดยาวกว่าที่ควรจะเป็น ทว่าวันนี้พวกเขากลับประหยัดถ้อยคำ รวบรัดตัดความ ปกติแล้วบทสนทนาของพวกเขามักจะจบลงที่นัดดื่มสุราสนทนาพาทีต่อถึงมื้อคํ่าที่ซุ่ยเซียนเฟิง ครานี้กลับมิมีผู้ใดกล้าเสนอแผนไปต่อเลย อาจจะด้วยบรรยากาศประหลาดรอบตัวลั่วปิงเหอ ฉีซิงชีจึงแอบดึงตัวเสิ่นชิงชิวมาถาม “ศิษย์เจ้าเป็นอะไรไป?,,
เสิ่นชิงชิวตอบ “’เป็นอะไร? อย่างไรเล่า?,,
ฉีซิงชี “วันนี้ศิษย์เจ้าดู…อืม…พวกเจ้าทะเลาะกันรึเปล่า?,,
เสิ่นชิงชิว “เปล่า,,
เขายังคงรักษามาดใจเย็นครุ่นคิด ทว่านิ้วมือกำรอบพัดด้ามจิ้วแน่นขึ้น
ฉีซิงซีกล่าว “โอ้ ดีแล้วที่พวกเจ้าไม่ได้ทะเลาะกัน ข้าคิดว่าวันนี้ ลูกศิษย์เจ้าดูแปลกไป อย่างกับเขากำลังอดทนอะไรสักอย่าง,,
เสิ่นชิงชิวก็สังเกตเห็นความผิดปกติเหมือนกันนั่นแหละ
กระทั่งพวกเขากลับมาถึงเรือนไผ่เขียวแล้ว ลั่วปิงเหอก็ยังทำตัวพิกลอยู่ดี
เสิ่นชิงชิวเพิ่งจะนั่งลงบนเตียงไม้ไผ่ได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงดังจากประตูทางเข้า เขารีบรุดออกจากหลังฉากกั้นไปเห็นลั่วปิงเหอล้มไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น ขณะที่หมิงฟานและหนิงอิงอิงยืนพูดไม่ออกอยู่ข้างกัน
เสิ่นชิงชิวช่วยพยุงลั่วปิงเหอขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”
ลั่วปิงเหอกำลังตอบว่า “ไม่มีอะไรขอรับ…”
แต่เขายังพูดไม่จบ หมิงฟานก็รีบฟ้อง “ซือจุน ลั่วปิงเหอสะดุดธรณีประตู!,,
เสิ่นชิงชิว “…”
ลั่วปิงเหอจ้องหมิงฟานเขม็งจนอีกฝ่ายหนาวสั่นไปทั้งตัว เสิ่นชิงชิวรีบกล่าว “พวกเจ้าทั้งคู่กลับไปเถอะ เตรียมตัวสำหรับบทเรียนตอนเช้าวันพรุ่งนี้ด้วย,,
หลังจากปิดประตู ลั่วปิงเหอก็นั่งลงเงียบๆ ข้างโต๊ะ เสิ่นชิงชิวดูรอยปูดบนหน้าผากเขาแล้วอดถอนใจไม่ได้ “สองสามวันนี้เจ้าเป็นอะไรไป?”
ลั่วปิงเหอยังคงนิ่งเงียบ
เสิ่นชิงชิวกล่าว “เป็นเด็กดีแล้วนั่งเฉยๆ เหวยซือจะประคบร้อนให้เจ้า”
เขาหันกลับไปที่อ่างน้ำ ขณะที่ตนกำวังบิดน้ำออกจากผ้าเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหลังอีกครั้ง เขาสะดุ้งหันกลับไปมอง สั่วปิงเหอร่วงลงไปกองกับพื้นอีกแล้ว
เสิ่นชิงชิวพูดอะไรไม่ออก เขากลัวว่าลั่วปิงเหอจะหน้ามืดจนยืนหรือนั่งเองไม่ได้จนต้องรีบเดินเข้าไปหา “เจ้า…”
เขาไม่นึกว่าลั่วปิงเหอจะจับมือเขาไว้แล้วกล่าว “ซือจุน ท่านอยากแต่งเข้าสกุลข้าไหม?”
หน้าแก่ๆ ของเสิ่นชิงชิวมีรอยร้าวแตกดังเปรี๊ยะ
ลั่วปิงเหอเห็นสีหน้าประหลาดของเขาจึงรีบแก้ “ซือจุน หากท่านไม่อยากแต่งเข้าสกุลข้า ได้โปรดให้ข้าแต่งเข้าสกุลท่านเถอะ!”
ยิ่งเห็นเสิ่นชิงชิวไม่ตอบสนอง ลั่วปิงเหอยิ่งจริงจังมากขึ้น เขาถามอีกครั้ง “ซือจุน ท่านอยากจะ…”
เขากลืนนํ้าลายก่อนจะถามอีกครั้งด้วยเสียงสั่นไหว “… ใช้ชีวิต… ร่วมกับข้าไหม?”
เสิ่นชิงชิวยังไม่ตอบอะไร แสงในตาลั่วปิงเหอจึงริบหรี่ลงเรื่อยๆ
ผ่านไปพกหนึ่ง เขาจึงเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ถ้าซือจุนไม่อยาก ข้า…ข้า…”,
เสิ่นชิงชิวขัดเขา “เดี๋ยวก่อน,,
“เจ้า…,, เขาลังเลอยู่นานกว่าจะกล่าวต่อ “หลายวันที่ผ่านมานี่ ที่เจ้าทำตัวแปลกไป เพราะอยากจะถามข้าเรื่องนี้หรือ?,,
ลั่วปิงเหอมองตรงมาที่เขาแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง
เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าตนกล่าวประโยคต่อไปได้อย่างยากลำบาก “ถ้าอย่างนั้น เจ้ากำลัง…กำลัง?”
ลั่วปิงเหอฉวยโอกาสพูดต่อจากประโยคของเขา “ศิษย์ผู้นี้กำลังสู่ขอซือจุนมาเป็นคู่ชีวิตขอรับ,,
เสิ่นชิงชิว “…”
เขาหมดแรงนั่งลงบนโต๊ะแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ เขาไม่รู้ว่าตนควรรู้สึกอย่างไรดี
ตามจริงแล้วเขาควรจะคิดว่าเรื่องนี้มันบ้าบอสิ้นดี แม้ว่าเขากับลั่วปิงเหอจะคบหากันมานานแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยนึกว่าลั่วปิงเหอจะ…จะพูดอย่างไรดีเล่า ขอแต่งงานเนี่ยนะ
โอ้! สวรรค์ ขอแต่งงาน ให้เขาใช้คำนี้กับชายหนุ่มอย่างลั่วปิงเหอ มันจะน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
เขาคงฝึกพูดคำนี้มานับไม่ถ้วนแล้วถึงได้ดูกังวลแล้วยังทำตัวแปลกไปขนาดนี้ กระทั่งจะพูดปกติยังทำไม่ได้ สะดุดล้มธรณีประตูทันทีที่ก้าวเข้าห้อง แล้วยังงพูดตะกุกตะกักซ้ำไปซ้ำมาขนาดนี้
ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือเสิ่นชิงชิวไม่คิดจะตำหนิลั่วปิงเหอ หรือพูดอะไรที่จะทำลายความมั่นใจของเขาเลย – เสิ่นชิงชิวช็อคที่ตนเพิ่งรู้สึกว่า ที่จริงแล้วตนเองออกจะพอใจนิดหน่อยด้วยซ้ำ
ลั่วปิงเหอยังคงกังวลอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย เขากลืนน้ำลายอึก ยิ่งเห็นเสิ่นชิงชิวเลื่อนมือออกจากใบหน้าจะพูดต่อ ลั่วปิงเหอก็รีบกล่าวอย่างร้อนรน “ถ้าซือจุนไม่อยาก ท่านไม่ต้องตอบข้าก็ได้! ท่าน…ต่อให้ท่านไม่ตอบข้าก็เข้าใจดี ท่านไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ขอรับ ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ถ้าข้าทำให้ท่านลำบากใจ…ท่านคิดว่าข้าแค่ล้อเล่นก็ได้ไม่เป็นไรหรอกขอรับ…”
เสิ่นชิงชิวเหมือนโดนตบหน้า เขาหมุนข้อมือฟาดพัดด้ามจิ้วใส่ลั่วปิงเหออย่างเกรี้ยวกราด “ไม่เป็นไรบ้านเจ้าสิ!”
ลั่วปิงเหอโดนตีไปหนึ่งที เขานวดหน้าผากตัวเองทั้งกะพริบตาปริบๆ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงโดนตี ท่าทางใสซื่อนี่ยิ่งทำให้เสิ่นชิงชิวโกรธเข้าไปใหญ่
เขาแอบดีใจไปนิดหน่อยแล้วแท้ๆ แต่จู่ๆ เจ้าเด็กนี่ก็พูดออกมาได้ ‘ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ไม่ต้องตอบก็ได้ ท่านคิดว่าข้าแค่ล้อเล่นก็ได้!’
ประโยคสุดท้ายยิ่งราดนํ้ามันลงบนกองเพลิงให้เสิ่นชิงชิว เขาใชัพัดฟาดอีกที “นี่เป็นเรื่องที่เจ้าล้อเล่นได้หรือ?!”
ลั่วปิงเหอรับการโจมตีอย่างสงบเสงี่ยม เขาพึมพำหงอยๆ “ข้าผิดไปแล้ว…”
เสิ่นชิงชิวหุบพัดกลับ “แน่นอนว่าเจ้าผิด! เหวยซือแทบจะตอบตกลงไปแล้วด้วยซ้ำ!”
“ข้า…” ลั่วปิงเหอกำลังจะยอมรับผิดอีกครั้ง ทว่าเขาเมื่อได้ฟังคำตอบเขากลับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เขาเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ซือจุน ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ?,,
เสิ่นชิงชิว “ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น,,
ลั่วปิงเหอรัองเสียงหลง “ซือจุน!,,
เสิ่นชิงชิวถอนหายใจ เขายกมือขึ้นเรียกลั่วปิงเหอมาใกล้โดยไม่เอ่ยปากอธิบาย
ลั่วปิงเหอมองท่าทีนั้นแล้วเข้ามานั่งข้างเขา เสิ่นชิงชิวมองเขากลับไปอีกทีหนึ่ง ลั่วปิงเหอคุ้นเคยกับภาษากายของเสิ่นชิงชิวเป็นอย่างดี เขาเข้าใจว่าเสิ่นชิงชิวคิดอะไรอยู่แม้ไม่ได้เอ่ยออกมา แล้วลั่วปิงเหอจึงรินสุราลงจอกอย่างนอบน้อม เสิ่นชิงชิวรับกาสุรามารินลงจอกของตนเอง จากนั้นจึงขยับให้ลั่วปิงเหอยกแขนมาเกี่ยวไขว้ก้น
ลั่วปิงเหอพูดขึ้น “ซือจุน ถ้าอย่างนั้น…”
เสิ่นชิงชิวยกจอกที่ตนเป็นคนรินขึ้นมาไขว้แขนกับลั่วปิงเหอตามพิธี ไขว้แขนดื่มสุรามงคลของบ่าวสาว
ลั่วปิงเหอหน้าแดงซ่านทันที
เขามือสั่นราวกับแทบประคองจอกของตนไม่ได้ เสิ่นชิงชิวคล้องแขนกับเขาอยู่ อาการสั่นของเขาจึงมาถึงตัวเสิ่นชิงชิวไปด้วยจนเขาแทบจะทำเหล้ากระฉอก
ลั่วปิงเหอละลํ่าละลัก “ข้า ข้า ข้าคิดว่า…ข้าคิดว่าท่านจะ…”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าคิดว่าข้าจะปฏิเสธแน่ๆ ล่ะสิ ใช่ไหม”
ลั่วปิงเหอ “…”
เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “เจ้าถึงได้ไม่อยากฟังคำตอบ เพราะเจ้าคิดว่าตัวเองจะโดนปฏิเสธแน่ๆ,,
ลั่วปิงเหอเอ่ย “… ข้ากังวลมากจริงๆ ขอรับ,,
เขามองตรงมาที่เสิ่นชิงชิว “ซือจุนขอรับ วันนั้นท่านถามข้าว่าข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยหรือ? แน่นอนว่าข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ,,
เสิ่นชิงชิว “เจ้ามีสิทธิ์จะคิดเรื่องพวกนี้,,
แค่จินตนาการก็ผิดด้วยหรือ? อีกอย่าง เรื่องเพ้อฝันก็กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้ว!
ลั่วปิงเหอกล่าว “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าคิดว่าไม่มีทางที่คนอย่างข้าจะเป็นที่รักของใครต่อใคร ข้าคิดว่าไม่มีใครต้องการข้า,,
เสิ่นชิงชิว “เจ้าคิดผิดแล้ว…”
“แล้วจากนั้น” ลั่วปิงเหอพูดต่อ “ข้าก็ได้พบซือจุน ซือจุนอยู่ข้างกายข้า แต่ข้าก็ยังก็กังวลอยู่ดี ข้าอดคิดไม่ได้ว่าท่านอาจจะจากข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ ข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าอยากแข็งแกร่งขึ้น ข้าอยากจะดีกว่าคนอื่นๆ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าไม่พออยู่ดี ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้ายังกลัวว่าสักวันจะเสียท่านไป….,,
เสิ่นชิงชิวทำได้แค่สบตาเขา ครู่หนึ่งจึงยื่นมือไปลูบศีรษะลั่วปิงเหอ เขาถอนหายใจ “ลั่วปิงเหอ เจ้า…”
ลั่วปิงเหอ “ข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะทำอย่างไรเหมือนกันขอรับ”
เสิ่นชิงชิว “ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ”
สี่ชั่วโมงหลงจากนั้น คนทั้งคู่ในชุดรุ่มร่ามที่ขยับตัวทีก็มีเสียงผ้าเสียดสีกันสวบสาบก็นั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียง
ลั่วปิงเหอทุ่มเทกับเรื่องนี้มากจนเสิ่นชิงชิวต้องยอมเขาเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรถึงหาชุดเจ้าบ่าวสองชุดมาได้ในเวลากระชั้นชิดแบบนี้ เขาคะยั้นคะยอให้เสิ่นชิงชิวสวมชุดนี้เข้าพิธีด้วยกัน ทำพิธีคำนับสามครั้ง ไขว้แขนดื่มสุรามงคล และธรรมเนียมปฏิบัติทั้งหลายในคืนวิวาห์ เสิ่นชิงชิวแอบคิดในใจว่าต่อให้ใส่ชุดเต็มยศอย่างไรเดี๋ยวก็ต้องถอดหมดอยู่ดี กระนั้นเขากลับยินยอมพร้อมใจให้ความร่วมมือเต็มที่
เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าลั่วปิงเหอจะเป็นพวกหัวโบราณเคร่งครัดตามธรรมเนียมประเพณีขนาดนี้ แค่คิดว่าลั่วปิงเหอถวิลหางานแต่งงานขนาดนี้ เขาก็ทั้งขบขันทั้งเอ็นดูอีกฝ่าย เสิ่นชิงชิวอดไม่ได้ที่จะจริงจังตามเขาไปด้วย
ขณะเสิ่นชิงชิวสวมชุดไปได้ครึ่งทาง ลั่วปิงเหอก็หันกลับมามองเขา แล้วนิ่งงันไปจนเสิ่นชิงชิวต้องเอ่ยปากถาม “ลั่วปิงเหอ? มีอะไรรึเปล่า?”
ลั่วปิงเหอตอบอย่างจริงจัง “ซือจุน ท่านใส่ลีแดงขึ้นจริงๆ”
ผิวของเสิ่นชิงชิวค่อนข้างขาวซีด แสงสะท้อนจากชุดแต่งงานสีแดงจึงเติมแต่งเครื่องหน้าเขาจนมีชีวิตชีวา สายตาของลั่วปิงเหอมองเขาอย่างหลงรักหัวปักหัวปำมากกว่าทุกที ท่าทีของเขาทำให้เสิ่นชิงชิวรีบกระแอมไอ แม้ลั่วปิงเหอจะเอ่ยชมตนเป็นปกติอยู่แล้วเขาก็ยังเขินอยู่ดี
เขาพูดอย่างจริงรัง “เจ้าเองก็…ใส่สีแดงแล้วดูดีมากเหมือนกัน”
‘ดูดีมาก’ ออกจะประหยัดคำชมเกินไปด้วยซ้ำ เสิ่นชิงชิวไม่เชื่อว่าจะมีหญิงใดกล้าปฏิเสธเจ้าบ่าวแสนหล่อเหลาคนนี้ได้ เขากำลังจะชมต่อแล้ว ทว่าตนกลับเห็นลั่วปิงเหอวางผ้าสีขาวผืนบางลงบนเตียงอย่างตั้งอกตั้งใจ
“…” เสิ่นชิงชิวสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “เจ้ากำลังทำอะไร?,,
ลั่วปิงเหอหน้าแดง “ศิษย์ได้ยินมาว่านี้เป็นของจำเป็นในคืนร่วมหอของคู่แต่งงานใหม่…”
เขายังไม่ทันพูดจบ เสิ่นชิงชิวก็ขนลุกวาบไปทั้งตัว
ขั้นตอนจุกจิกอื่นๆ ยังพอว่า แต่เตรียมการกระทั่งเรื่องนี้ด้วยมันจะขนพองสยองเกล้าเกินไปแล้ว!
ลั่วปิงเหอรีบตอบทันที “ซือจุนขอรับ ศิษย์ขอสาบานตรงนี้เลยว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านเลือดตกยางออกจริงๆหรอก!” เขากล่าวต่อทั้งหน้าแดงๆ “ข้าแค่อยากทำตามประเพณีให้ใกล้เคียงคู่แต่งงานจริงๆ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นเอง…”
เสิ่นชิงชิวเหงื่อกาฬแตกลนลานเอ่ย “ละขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกบ้างก็ได้ ไม่เห็นต้องทำตามพิธีรีตองขนาดนี้เลย” เขากำลังจะหยิบผ้าขาวผืนนั้นออกแล้วทว่ากลับถูกดวงตาน้ำตารื้นของลั่วปิงเหอขัดไว้เสียก่อน
เขาทนสายตาแบบนี้ของลั่วปิงเหอไม่ได้จริงๆ จึงหยุดมือ เสิ่นชิงชิวครุ่นคิดอยู่นานจนสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ถ้าเจ้าทำได้อย่างที่พูดจริง ถึงจะวางผ้าผืนนี้ไว้ก็ไม่ได้ใช้หรอก…”
ลั่วปิงเหอวิงวอนจนน่าสงสาร “แต่ถ้าเราละสิ่งที่ต้องใช้ ขั้นตอนที่ต้องทำ ตัดทุกอย่างที่จำเป็นออกไปเสียหมด เราจะเรียกคืนนี้ว่าเป็นคืนวิวาห์ของเราได้อย่างไรขอรับ?,,
“…” เสิ่นชิงชิวกล่าว “ได้ ได้ ได้ ถ้าเจ้ายืนกรานอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ,,
ลั่วปิงเหอกอดเสิ่นชิงชิวทันที เขาฝังหน้าบนไหล่เสิ่นชิงชิวแล้วพึมพำ “ซือจุน ท่านเมตตาศิษย์คนนี้เหลือเกิน”
เสิ่นชิงชิวพยายามใจเย็น “ก็ไม่ขนาดนั้น…”
พวกเขายังพูดกันไม่จบ เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มขยับมือมาถึงที่แปลกๆ แล้ว
แค่พริบตาลั่วปิงเหอก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ทุกชิ้นออกจากร่างเสิ่นชิงชิว เหลือไว้เพียงถุงเท้าสีขาวเท่านั้น
ศิษย์อาจารย์คู่นี้มีความสัมพันธ์ทางกายกันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่คนอย่างเสิ่นชิงชิวก็ยังเก็บรักษายางอายไว้มั่น ไม่เคยหน้าหนาขึ้นสักครั้ง แม้ว่าจะผ่านมาหลายครั้งแล้วก็ตาม ยิ่งเห็นร่างของลั่วปิงเหอเข้าใกล้เข้ามา ยิ่งเพิ่มความกังวลของเสิ่นชิงชิวขึ้นมาทีละน้อย เขาหันหน้าไปทางอื่นแล้วหลับตา ทั้งสองมือของลั่วปิงเหอสัมผัสต้นขาด้านในของเขาพยายามแยกหว่างขาของเขาออกจากกัน เขาดึงดันเล็กน้อยก่อนจะยอมให้ความร่วมมือแยกขาออกอย่างรวดเร็ว
มือข้างหนึ่งขยับขึ้นมาสัมผัสใบหน้าเสิ่นชิงชิว ลั่วปิงเหอกระซิบเสียงนุ่ม “ซือจุน…”
เสิ่นชิงชิวแยกริมฝีปากตนออกเปิดทางให้นิ้วของลั่วปิงเหอเข้ามาข้างใน แล้วเลียมันเบาๆ เขาปิดตาเสียแน่น ความรู้สึกของนิ้วที่เย้าแหย่ในปากจึง ยิงแจ่มชัด แค่นิ้วเดียวยังไม่พอ ครู่หนึ่งจึงมีเพิ่มเข้ามาอีกนิ้ว ลั่วปิงเหอตาเป็นประกายมองภาพเสิ่นชิงชิวพยายามรับนิ้วของเขาเข้าไปลึกๆ แล้วยังเลียจนชุ่ม จากนั้นจึงถอนนิ้วขยับไปที่ช่วงล่างของเสิ่นชิงชิว
หลังจากเขี่ยเย้าแหย่อยู่ครู่หนึ่ง รอยจีบพับแน่นที่กลางหว่างขาของเสิ่นชิงชิวก็เคลือบไปด้วยประกายจากความชุ่มชื้น มันทั้งนุ่มทั้งโอนอ่อนพร้อมต้อนรับ ลั่วปิงเหอจึงขยับกายเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวังไม่กดดันเสิ่นชิงชิวจนเกินไป เสิ่นชิงชิวรู้สึกถึงหัวแข็งๆ รุ่มร้อนบดขยี้เข้ามาในส่วนลับที่สุดของเขา ปากทางเข้าค่อยๆ ห่อรอบปลายของสิ่งนั้น เขารู้สึกถึงเส้นเลือดขดเกร็งไปด้วย
ลั่วปิงเหอเอ่ยเสียงตํ่า “ซือจุน… ข้าจะเข้าไปแล้วนะขอรับ,,
เสิ่นชิงชิวยังคงหลับตาขณะพยักหน้าน้อยๆ ลั่วปิงเหอจับเอวเขาไว้ แล้วเบียดร่างเข้ามา
ทันใดนั้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็แผดออกจากคอของเสิ่นชิงชิว เขาเกี่ยวมือกับมือของลั่วปิงเหอที่เอวตน
ถึงเสิ่นชิงชิวจะเตรียมใจเตรียมกายให้สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ใหญ่เกินไปก็คือใหญ่เกินไปอยู่ดี ส่วนนั้นของลั่วปิงเหอยังเข้ามาได้แค่ครึ่งทาง ก็ไปต่อไม่ได้แล้ว
ช่องทางเบื้องล่างนั้นทั้งนุ่มทั้งอุ่น แต่วงกล้ามเนื้อที่รัดรอบนั้นไม่ผ่อนคลายลงเลย ทั้งยังดึงดันสกัดกั้นไม่ให้ลั่วปิงเหอเข้ามา ลั่วปิงเหอจึงยื่นมือไปกลั่นแกล้งด้านหน้าของเสิ่นชิงชิว หลังจากท่อนเนื้อของเสิ่นชิงชิวถูกกระตุ้น ร่างกายเขาก็ให้ความร่วมมือใที่สุด ลั่วปิงเหอเห็นว่าร่างนี้ผ่อนคลายลงแล้วจึงฉวยโอกาสดันตัวลึกเข้าไป
โดนจับแบะขาออกกว้างเพื่อรองรับการสอดใส่เช่นนี้ช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกิน เสิ่นชิงชิวแอ่นหลังตนอย่างไร้สติ หัวนมบนแผ่นอกเขาโดนดันขึ้นมาให้ร่างที่อยู่เหนือตนเชยชม ลั่วปิงเหอจึงขยับมือมาเล่นกับหัวนมเขา
ในฐานะผู้ชายปกติธรรมดาทั่วๆ ไปแล้ว เสิ่นชิงชิวไม่เคยชอบถูกสัมผัสตรงนั้นเลยเพราะใจเขารู้อยู่เต็มอกว่ามันน่าละอาย เขามือสั่นพยายามผลักลั่วปิงเหอออกไป แต่ลั่วปิงเหอกลับโน้มศีรษะลงมาครอบครองหัวนมฝั่งขวาของเสิ่นชิงชิว เขาเลียมันจนแฉะและดูดทึ้งจนบวม เสิ่นชิงชิวหน้าแดงเถือกเสียจนเลือดแทบจะซึมออกจากผิวแล้ว เขารีบผลักลั่วปิงเหอออกไป แต่ลั่วปิงเหอฉวยโอกาสนี้ฝังตัวเองลงไปลึกขึ้นทั้งยังเล็งไปที่จุดอ่อนไหวในร่างเสิ่นชิงชิว
เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าทั้งร่างตนถูกผ่าครึ่งตั้งแต่กลางลำตัวลงไป ความเจ็บปวดกระจายไปทั่วช่วงล่าง
ความเจ็บปวดนี้ เกิดจากส่วนปลายของลั่วปิงเหอที่ขยายเสียจนมโหฬาร สิ่งนั้นสอดใส่เข้ามาพร้อมขยายผนังด้านในไปด้วย หัวที่กระหนํ่าแทรกเข้ามานั้นทั้งอัดแน่นทั้งบวมเป่งราวกับกำปั้นจนเขาเกือบนึกว่าเป็นแขนด้วยซ้ำ เลิ่นชิงชิวแทบหวังให้ตัวเองสลบไปตั้งแต่ตอนนี้ แต่เมื่อลั่วปิงเหอถูไถจุดที่คุ้นเคย เสียงครํ่าครวญก็เปลี่ยนเป็นเสียงแว่วหวาน เมื่อลั่วปิงเหอจับเอว เขาไว้แล้วใช้สิ่งนั้นกระหนํ่ากระแทกที่จุดนั้นไม่กี่ครั้ง เขาก็อ่อนระทวยไปทั้งตัว
เมื่อส่วนนั้นอ่อนนุ่มแล้ว ครึ่งล่างของเสิ่นชิงชิวยิ่งเชื้อเชิญมากกว่าเดิม ช่องทางนั้นลึกทอดไปข้างใน ทั้งอุ่นทั้งชื้น ยอมให้กระแทกลึกเข้าไปโดยไม่ขัดขืน ในสายตาของลั่วปิงเหอ แค่มองตํ่าลงหน่อยเขาก็เห็นเสิ่นชิงชิวอยู่ในสภาพขาแบะออกกว้างถูกงอพับมาถึงหน้าอก ถุงเท้าขาวยังอยู่ดีไร้ราคี
ยิ่งทำให้เขามีอารมณ์มากขึ้นไปอีก
เสิ่นชิงชิวจิกมือกับผ้าปูเตียง เขากัดฟันทนรับสัมผัสหนักหน่วงในกาย จังหวะสอดใส่แต่ละครั้งทำให้เขากลัวว่าเครื่องในตนจะกระจายไปคนละทิศละทาง แต่เขาไม่มีทางเลือก ตนทำได้แค่ยกขาเกี่ยวรอบเอวลั่วปิงเหอ แล้วปรับรังหวะให้พร้อมกัน ผ่อนบ้างรัดบ้าง ดูดกลืนลั่วปิงเหอเข้ามาแล้วปล่อยให้ส่วนหน้าของตนขยับตามจังหวะสอดใส่ของเขา จังหวะตอดรัดไม่หยุด ทำให้กล้ามเนื้อที่ปากทางเข้ามอดไหม้ไปด้วยความเจ็บปวด เสิ่นชิงชิว แค่นเสียง “อุก… ปิงเหอ ช้าลงหน่อย…”
เขามั่นใจว่าอย่างไรเสียตนก็เลือดออกอยู่ดี
ลั่วปิงเหอมองลงแล้วนิ่งงันไป เขาเห็นหยดสีแดงกระจายบนผ้าสีขาว ราวกับกลีบดอกไม้ เห็นได้ชัดว่าหยดเลือดบางเหมือนเส้นด้ายไหลจากจุดที่ร่างของพวกเชื่อมต่อกันเปื้อนไปถึงผ้าขาวที่วางรองเตรียมไว้
ผ่านไปครู่หนึ่งลั่วปิงเหอจึงพึมพำ “ซือจุน ข้าขอโทษขอรับ…ข้าสัญญาจะไม่ทำให้ท่านเลือดออกแต่ข้าก็ยัง…”
เสิ่นชิงชิวถูกกระทำจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เขาไม่มีแรงจะดูว่าช่วงล่างของตนอยู่ในสภาพไหนด้วยซ้ำ ต่อให้ใม่ต้องมองลงไปก็บอกได้เลยว่าครึ่งล่างของตนคงจะน่าอนาถไม่น้อย สติเขาจดจ่ออยู่กับจังหวะกระแทกกระนั้นของลั่วปิงเหอมากกว่าคำขอโทษจากเขา เสิ่นชิงชิวสั่นไปทั้งต้ว บั้นท้ายเขาเจ็บจนชา เขาสำสัก “อย่า… อย่า…”
ลั่วปิงเหอ “อย่าอะไรหรือขอรับ?”
เสิ่นชิงชิว “อย่าเรียกซือจุนตอนนี้…”
โดนเรียกว่า ‘ซือจุน’ ทั้งที่ก้นเขาโดนเสียบอยู่แบบนี้ทำให้อาจารย์อย่างเขาละอายนัก!
ลั่วปิงเหอเอ่ย “หากข้าไม่เรียกท่านว่า ‘ซือจุน’ แล้วข้าควรจะเรียกท่านอย่างไรหรือขอรับ”
เสิ่นชิงชิวสะอื้น “… อะไรก็ได้… เรียกข้าอย่างที่เจ้าอยากเรีย เลย…ช้าลงหน่อย อาาา… ปิงเหอ เจ้าทำช้าลงหน่อย…”
ลั่วปิงเหอจับเอวเขาไว้แล้วกระแทกเข้าถี่ๆ อย่างไร้เมตตา เขาหอบหายใจพลางเอ่ย “เข้าใจแล้วขอรับ ถ้าเช่นนั้น… ซือจุน ท่านเองก็เปลี่ยนวิธีเรียกข้าสิ แล้วข้าจะทำให้ช้าลงเอง! ”
เลิ่นชิงชิวโดนดึงตัวเข้าไปในอ้อมอกลั่วปิงเหอให้รู้สึกถึงของข้างในที่ฝังลึกเข้าไปมากกว่าเดิม “ข้า… ควรจะ… เรียกเจ้าว่า?”
ลั่วปิงเหอหยุดขยับ เขาโอบแขนรอบตัวเสิ่นชิงชิวแล้วจึงเอ่ยอย่างไม่อายฟัาดิน “เราเป็น…คืนนี้เป็นคืนร่วมหอของเราทั้งคู่ ซือจุน ท่านคิดว่าท่านควรเรียกข้าอย่างไรเล่า…”
“…”
ขอ — ที — เถอะ — อ๊า!
เสิ่นชิงชิวสั่นศีรษะอย่างรวดเร็วราวกับคำตอบนี้กำหนดชะตาชีวิตของเขา
ลั่วปิงเหอยังรอคอยอย่างคาดหวัง “ซือจุน ท่านจะเมตตาเรียกข้าอย่างนั้นซักครั้งได้ไหมขอรับ?,,
เสิ่นชิงชิวยังคงกัดฟัน ไม่ยอมเปิดปากพูดแม้ว่าจะอดกลั้นจนน้ำตาเล็ด ทว่าพอเห็นท่าทีปฏิเสธหัวชนฝาของเขาแล้ว ลั่วปิงเหอกลับเป็นฝ่ายน้ำตารื้นเสียเอง
เขาตัดพ้อ “ซือจุน ทั้งที่พวกเรามาถึงขั้นนี้กันแล้ว ท่าน…ทำไมท่านถึงยังไม่ยอมรับ…,,
เสียงของเขาฟังดูเจ็บปวดมาก เสิ่นชิงชิวบอกตัวเองว่าเขาจะไม่ยอมตกหลุมพรางแบบนี้อีกเด็ดขาด แต่น้ำตาของสั่วปิงเหอก็เป็นของวิเศษที่ทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่เสมอ
ลั่วปิงเหอดึงดัน “แค่ครั้งเดียวนะขอรับ ถ้าซือจุนไม่เต็มใจ ข้าขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ข้าจะจดจำไว้แล้วไม่ขอท่านอีกเลย ไม่ได้จริงๆ หรือขอรับ?,,
น้ำตาของลั่วปิงเหอหยดลงบนหน้าเสิ่นชิงชิวทั้งที่ช่วงล่างของเขายังบดขยี้เสิ่นชิงชิวอย่างไร้ความปรานี เสิ่นชิงชิวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ
ทำหน้าแบบนี้แล้วคิดว่าข้าจะปฏิเสธได้รึไง?
สุดท้ายเสิ่นชิงชิวก็ตัดสินใจให้ความร่วมมือซักครั้ง
ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะพูดคำนี้อีกเป็นครั้งที่สอง!
เขาข่มความเจ็บปวดแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “… สามี…,,
ลั่วปิงเหอตาเป็นประกายทันที “ซือจุน ท่านพูดว่าอะไรนะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย “สา…” เขากลืนพยางค์สุดท้ายลงคอจนเสียงที่เปล่งออกไปแผ่วเบาไม่ต่างกับเสียงกระซิบแล้วเปลี่ยนเป็นวิงวอนอีกฝ่ายแทน “ปิงเหอ เจ้า…ช้าลงหน่อย,,
แต่ไม่มีทางเสียล่ะที่ลั่วปิงเหอจะปล่อยเขาไปง่ายๆ “ซือจุน พูดดังขึ้นอีกหน่อยสิขอรับ ข้า…ข้าได้ยินไม่ชัดเลย!”
ยิ่งเขามีอารมณ์มาก ก็ยิ่งทำอย่างหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ แค่กระแทกกระทั้นไม่หยุดหย่อนไม่กี่ครั้ง เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกว่าตนแทบจะโดนปลิ้นเนื้อในออกมาแล้ว จนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้
ปลายนิ้วสิ้นเรี่ยวแรงของเสิ่นชิงชิวเกี่ยวเรือนผมของลั่วปิงเหอ ขณะที่ตนสะอื้นไห้ไปด้วย “…อุ…อาา…สามี สามีข้า ข้าขอร้องล่ะ ได้โปรด หยุดทีเถอะ ข้ารับไม่ไหวแล้ว… ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ …”
ลั่วปิงเหอดึงร่างเสิ่นชิงชิวขึ้นนั่งบนตักของตนทั้งน้ำตา ท่านี้ทำให้แก่นกายของเขาเข้าถึงจุดที่ลึกที่สุดในร่างเสิ่นชิงชิว ลั่วปิงเหอใช้มือหนึ่งจับบั้นท้ายของเสิ่นชิงชิวไว้ อีกมือหนึ่งจับเอวของเขาไว้ขณะบดเบียดร่างของเสิ่นชิงชิวลงมาบนแก่นกายของตน ลั่วปิงเหอเอ่ยออกมาด้วยความตื้นตัน “ภรรยาข้า…”
… มี — เมตตาด้วย — อ๊า!
ได้ยินคำนี้แล้วเสิ่นชิงชิวอับอายเสียจนเกร็งไปทั้งร่าง เขาตะคอกเสียงสั่นพร่า “บ้าจริง เงียบนะ! …อย่า…อย่าเรียกแบบนั่น!”
แต่ลั่วปิงเหอไม่สนใจคำโต้แย้ง เขายังขยับไม่หยุดขณะประคองร่างเสิ่นชิงชิวไว้แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ซือจุน ท่านดีที่สุดเลย…ข้าอยากให้ท่านเรียกข้าเช่นนั้นมาตลอดเลย ท่านพูดอีกสักครั้งจะได้ไหมขอรับ?”
เสิ่นชิงชิวสัมผัสได้ถึงหยดน้ำอุ่นไหลผ่านหลังคอตน เขาไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าลั่วปิงเหอร้องไห้อีกแล้ว
ก็เป็นซะแบบนี้ เขาควรจะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดีล่ะเนี่ย
แขนขาของพวกเขากอดเกี่ยวกัน เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ทั้งเอวทั้งหลังของลั่วปิงเหอลื่นไปหมด จนเสิ่นชิงชิวแทบเกี่ยวขารอบเอวเขาไว้ไม่ได้ ตัวเขายิ่งลื่นลงจนต้องใช้แขนโอบรอบคอลั่วปิงเหอโน้มให้ร่างของคนทั้งคู่แนบชิดกัน แล้วเสิ่นชิงชิวจึงมอบจุมพิตลึกลํ้าปลอบโยนเขา
เมื่อลั่วปิงเหอสัมผัสได้ถึงความโอนอ่อนผ่อนตามของเสิ่นชิงชิว ประกายในตาลั่วปิงเหอก็สว่างวาบเหมือนเด็กน้อยได้ขนมหวาน ครึ่งล่างของเขายิ่งขยับอย่างหนักหน่วง ปลายแข็งขึงบดขยี้ทรมานผนังบวมช้ำในร่างเสิ่นชิงชิวช้า ๆ จนสุดท้ายเสิ่นชิงชิวทำได้แค่ยอมแพ้แล้วร้องครางทั้งเจ็บทั้งเสียว
เสียงนี้ทำให้ลั่วปิงเหอพอใจมาก เขาชอบสีลียงทุกแบบที่ตนทำให้เสิ่นชิงชิวเปล่งออกมา ก่อนสติของเสิ่นชิงชิวจะพร่าเลือน เขาได้ยินเสียงกระซิบช้างหู “ซือจุน… เรียกข้าแบบนั้นอีกครั้งสิขอรับ…”
เช้ารันรุ่งขึ้น เมื่อเสิ่นชิงชิวตื่นขึ้นมา ความคิดแรกของเขาคืออยากเอาหัวตัวเองกระแทกเจ้าปีศาจขนสั้นวัยกลัดมันบนชิงจิ้งเพิงให้ตนตายๆ ไปเสีย
เขาสาบานได้เลยว่าเรื่องที่ทำเมื่อคืนนี้ทำให้หน้าแก่ๆ ของเขาไม่เหลือแล้ว
น่าอายที่สุด เขาไม่มีทางทำอะไรน่าอายกว่านี้อีกแล้ว!
ลั่วปิงเหอนอนทอดกายอยู่ข้างเขาด้วยพลังงานเหลือลัน จนเขาเห็นว่าเสิ่นชิงชิวตื่นแล้วจึงฉวยโอกาสจูบอรุณสวัสดิ์ เสิ่นชิงชิวสงสัยว่าลั่วปิงเหออาจจะไม่ได้นอนแล้วมองเขาทั้งคืน จะแกล้งหลับต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ทว่าเมื่อตนเปิดปากจะพูดก็พบว่าลำคอตนแห้งผาก เปล่งได้เพียงเสียงแหบแห้งเท่านั้น
ในที่สุดลั่วปิงเหอก็จูบเขาจนพอใจ “ซือจุน นอนพักต่อเถอะขอรับ ข้าจะไปทำอหารเช้าให้ท่านนะ”
เขากำลังจะลุกแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้ว แต่เขาได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ของเสิ่นชิงชิวจึงถามกลับไป “ท่านว่าอะไรนะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวหน้าแดงอยู่แล้ว หลังจากได้ยินเสียงของลั่วปิงเหอเขายิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก เขาพูดตะกุกตะกักไปหมด “… ไม่ ไม่มีอะไร”
ลั่วปิงเหอว่าจะเค้นต่อแต่ก็หักห้ามใจตนเองไว้แล้วเอ่ย “เช่นนั้นข้าไปทำอาหารเช้านะขอรับ”
เขาดึงผ้าห่มคลุมตัวเสิ่นชิงชิวอย่างระมัดระวังแล้วหันไปลุกจากเตียง หยิบเสื้อผ้าที่กองบนพื้นมาสวมช้าๆ
เสิ่นชิงชิวนั่งบนเตียง ชุดที่สวมหลวมตกลงมาถึงไหล่ เขามองแผ่นหลังกว้างของลั่วปิงเหออยู่ชั่วขณะ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ตนเอ่ยปาก “…สามี”
ลั่วปิงเหอตัวแข็งทื่อ
ทั้งร่างเขาถูกตรึงอยู่กับที่ กว่าจะได้สติหันมาช้าๆ แล้วเอ่ยปากถาม “ซือจุน เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าอะไรหรือขอรับ,,
เสิ่นชิงชิวพูดอะไรไม่ออก “เอ๋”
เขาอยากจะแก้ตัวแต่ก็คิดคำอธิบายดีๆ ไม่ออกเลย “ข้า…เหวยซือ…เอ่อ ข้า…เอ่อ…”
คนเราไม่ควรลั่นวาจาว่าครั้งสุดท้ายจริงๆ เขาเพิ่งคิดว่าตนจะไม่มีวันทำอะไรน่าอายไปกว่านี้อีกแล้ว เขาก็ทำทันทีเลย!
คราวนี้เขาไม่ใช่เพราะลั่วปิงเหอล่อลวงตนขณะสติพร่ามัว หรือตนจำยอมทำเพราะเห็นน้ำตาของลั่วปิงเหอ เขาใช้ข้ออ้างพวกนี้ไม่ได้เลย หรือก็คือตนแค่อยากเรียกเช่นนั้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปเท่านั้นเอง
พอพูดออกไปจริง ๆแล้วเขาก็อับอายเสียจนอยากขุดหลุมฝังตัวเอง ไม่ก็เอาหัวชนเต้าหู้จนกว่าจะตายๆ ไปเสีย
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็เลิกล้มความคิดจะอธิบายแล้วเอนหลังลงไปยอมแพ้ เขาเอ่ยอย่างใจเย็นแม้ตนจะไม่ได้เย็นตามไปด้วยเลย “เหวยซือหิวแล้ว,,
ลั่วปิงเหอโน้มร่างลงมากับเขาทั้งฉีกยิ้มกว้าง “ซือจุน ข้าก็หิว เหมือนกัน”
“ถ้าเจ้าหิวก็ลุกไปทำอาหารสิ…”
ไปทานอาหารเช้าสายสักครั้งคงไม่เป็นไรกระมัง