Skip to content

Scumbag System 8

บทที่ 8

ชีพวาย

ศิษย์ผู้นี้มองผิวเผินทีแรกก็ดูสามัญธรรมดา ยืนตัวลีบปะปนอยู่ท่ามกลางบรรดาศิษย์วังฮ่วนฮวา ไม่คิดสบตาผู้คน

ที่เสิ่นชิงชิวสังเกตเห็นนั้นเพราะใบหน้ามันเป็นสีหนึ่ง แต่ที่คอเป็นอีกสีหนึ่ง มือซ้ายกับมือขวาก็คนละสีกัน นอกจากนี้ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนต่างกำลังของขึ้น อารมณ์ดุเดือดพลุ่งพล่าน ไม่ชักกระบี่ออกมาร้องตะโกนฆ่าฟันก็ถลึงตาด่าทอ แต่คนผู้นั้นกลับแฝงตัวอยู่ท่ามกลางศิษย์วังฮ่วนฮวา ชนคนนั้นทีคนนี้ที ช่างเหมือนพวกมิจฉาชีพที่คอยหาโอกาสล้วงกระเป๋าผู้คนไม่มีผิด

ในความทรงจำของเสิ่นชิงชิวมีคนเพียงประเภทเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้

หมิงฟานสู้กับผู้คนเสียงดังช้งเช้งพลางหันมาแผดเสียงจนปอดแทบฉีก “ศิษย์น้องหญิง ศิษย์น้องหญิงเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หนิงอิงอิงตกตะลึงอยู่นานราวกับถูกตบจนเซ่อไปแล้ว เวลานี้จึงค่อยคืนสติกลับมาในที่สุด แก้มข้างหนึ่งของนางเป็นสีแดง อีกข้างเป็นสีขาว สีหน้าเจ็บแค้น น้ำตาคลอเบ้า ชักกระบี่เตรียมสู้ เพราะเมื่อครู่ใจอ่อนไปหน่อยถึงได้โดนหยามหยันเช่นนี้ คราวนี้นางจึงไม่ยั้งมือไว้ไมตรีอีกต่อไป

ภายในร้านสุราชุลมุนวุ่นวายไปหมด

เสิ่นชิงชิวมองจากด้านข้างเห็นแมวแก่ตัวหนึ่งกำลังนอนขดตัวอาบแดดพลางเลียขนอย่างเกียจคร้าน เขาจึงคว้าตัวมันขึ้นมา ก่อนจับโยนเข้าไปในร้านสุรา แมวแก่ตกใจร้องลั่น พยายามวิ่งหนีไปทางโน้นทีทางนี้ทีท่ามกลางคนทั้งสองฝ่าย

เสิ่นชิงชิวผลุบตามมันเข้าไป วิ่งพรวดเดียวก็สามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่กลางวงต่อสู้ได้สำเร็จ

คนผู้หนึ่งโผล่เข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คนทั้งสองฝ่ายต่างตะลึงงัน

หนิงอิงอิงกลัวจะไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์จึงลงมืออย่างจดๆจ้องๆ ผิดกับกงจู่น้อยที่ไม่สนอะไรทั้งสิ้น เก็บแส้กลับคืนมา ต้องฟาดอย่างไรก็ฟาดออกไปอย่างนั้น

เสิ่นชิงชิวทางหนึ่งทำเป็นไล่จับแมวแก่ที่วิ่งพล่านไปทั่วร้าน ทางหนึ่งร้องตะโกนเรียกแมวด้วยชื่อที่ตั้งให้มันสดๆร้อนๆ ท่ามกลางความโกลาหล เห็นชัดว่าหนิงอิงอิงกำลังอับจนหนทาง ไม่กล้าออกกระบวนท่าสะเปะสะปะ แต่นางมักรู้สึกว่าเดี๋ยวก็มีคนคอยประคองแขนนางเป็นระยะ เดี๋ยวก็มีคนผลักไหล่จนแทบไม่ต้องบังคับกระบี่ก็สามารถออกท่าได้อย่างคล่องแคล่ว กระทั่งเสียงฉาดดังขึ้นสองครั้ง กงจู่น้อยเอามือกุมแก้ม ยืนอึ้งอยู่กับที่

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าตอนที่นางตบหน้าหนิงอิงอิงเมื่อครู่เสียอีก

ทั้งสองฝ่ายล้วนเห็นกับตาว่าเมื่อครู่หนิงอิงอิงเงื้อมือตบหน้ากงจู่น้อยสองทีติดกัน จึงพร้อมใจกันยุติศึกโดยไม่ต้องนัดหมาย

หมิงฟานโห่ร้องด้วยความยินดี “ศิษย์น้อง ตบได้ดียิ่ง”

หนิงอิงอิงกล่าวเสียงอ่อย “…เปล่านะ ความจริงแล้วหาใช่ข้า…”

หมิงฟานให้กำลังใจนาง “ไม่ต้องกลัว ตบไปแล้วก็คือตบไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นกันทั้งนั้นว่านางลงมือก่อน ผู้อื่นจิตใจดีไม่อยากทำร้ายนาง แต่นางกลับลอบทำร้ายเจ้า สมน้ำหน้าแล้ว”

ศิษย์ซิงจิ้งเฟิงทุกคนพากันกล่าวแสดงความเห็นพ้อง

ดวงตากงจู่น้อยวาววับไปด้วยน้ำตา “เจ้า…พวกเจ้า…เจ้าบังอาจตบข้า ท่านพ่อยังไม่เคยตีข้าเลย”

หนิงอิงอิงยืนกรานปฏิเสธ “เปล่านะ ไม่ใช่ข้าจริงๆ…”

หมิงฟานชิงตวาดขัดคำพูดหนิงอิงอิง “ที่ตบก็คือเจ้า เจ้าจำไว้ ศิษย์ของซิงจิ้งเฟิงหากถูกรังแกย่อมต้องเอาคืนเป็นเท่าทวี ไม่ตบเท่ากับผิดต่อคำสอนของซือจุน”

เสิ่นชิงชิวลอบตะโกนเชียร์อยู่ในใจผสานเสียงโห่ร้องด้วยความชื่นชมของศิษย์ซิงจิ้งเฟิงในที่นั้น หมิงฟาน เจ้าเด็กคนนี้จดจำคำสอนของเขาได้ขึ้นใจจริงๆ ใช่แล้ว มีแค้นต้องชำระคืออย่างนี้แหละ!

เสิ่นชิงชิวซึ่งมุดเข้าไปอยู่กลางดงศิษย์วังฮ่วนฮวาโดยไม่มีใครสังเกตเห็นนั้น ในที่สุดก็จับแมวแก่ที่ร้องโหยหวนตัวนั้นไว้ได้

ต่อให้โง่ยิ่งกว่านี้ก็ควรมองออกถึงความผิดปกติแล้ว กงจู่น้อยที่กุมแก้มแดงก่ำและบวมเป่งถลึงตาใส่เขา โทสะพวยพุ่งขึ้นฟ้า “นี่เจ้าเป็นใครกันแน่ บังอาจมาแกล้งข้าหรือ?”

ศิษย์วังฮ่วนฮวากรูเข้ามาล้อมตัวเขา พลางกล่าวตะคอก “กงจู่กำลังถามเจ้าอยู่นะ”

เสิ่นชิงชิวก้มลงไปปล่อยแมวตัวนั้นบนพื้นแล้วยืดกายขึ้น ก่อนชี้ไปยังศิษย์ที่ทำตัวลับๆล่อๆ เนียนถอยไปอยู่หลังสุด “ใยเจ้าไม่ลองถามดูเล่าว่าเขาเป็นใครกันแน่”

สายตาทุกคู่หันไปมองร่างคนผู้นั้นเป็นตาเดียว

กงจู่น้อยที่เดิมทีกำลังโมโหอยู่ จึงเพียงกวาดตามองผ่านๆ นึกไม่ถึงว่าพอมองกลับเอะใจ เลยไม่อาจจัดการเสิ่นชิงชิวในเวลานี้ได้ นางหันหน้าไปถามอย่างกังขา “เจ้าเป็นใคร แต่งกายเช่นนี้ทำไม เจ้าเป็นศิษย์วังฮ่วนฮวาของข้าจริงหรือ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?”

คนผู้นั้นที่อยู่ในคราบศิษย์อ้ำอึ้งพูดไม่ออก

กงจู่น้อยเลยถามเอาความจากลูกน้องแทน “พวกเจ้าเล่า มีใครรู้จักเขาบ้าง”

ศิษย์ผู้นั้นเมื่อเห็นท่าไม่ดี จึงร้องเสียงประหลาดออกมา ทุกคนพากันชี้กระบี่ใส่เขา

เสิ่นชิงชิวเกร็งพลังตะโกนลั่น “อย่าเข้าไปใกล้เขา”

ขณะเดียวกันก็ปลิดใบไม้อีกใบ แล้วพลิกข้อมือซัดออกไป

ไม่ใช่แค่หนิงอิงอิงเท่านั้น หมิงฟานพอเห็นอานุภาพของใบไม้ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ใบไม้เขียวแผงปราณทิพย์ดุจกระบี่แหวกผ่าอากาศ กรีดเสื้อผ้าของศิษย์คนนั้นจนขาดวิ่น เผยให้เห็นผิวหนังภายใน

คนทั้งหมดในที่นั้นมองมันราวกับเจอผี พากันถอยกรูด บ้างก็ร้องโหยหวน วิ่งหนีออกจากร้านสุราไปเดี๋ยวนั้น

ผิวแดงก่ำไปทั้งตัว!

เป็นอย่างที่เสิ่นชิงชิวคาดเดา เท่าที่เขาจำได้ มีคนประเภทเดียวที่ทำพฤติกรรมเช่นนี้ คนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา

เพราะทาสีผิวส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าให้เหมือนสีผิวของคนธรรมดา ผิวส่วนอื่นๆที่เหลือปล่อยไว้เหมือนเดิม เวลานี้จึงเปิดเผยให้ทุกคนที่นั้นได้เห็นกันจะจะ

คนเพาะเมล็ดพันธุ์ผู้นี้ไม่สนใจใยดีอีกต่อไป เส้นเลือดฝอยในดวงตาทั้งสองข้างแตกซ่าน ร้องตะโกนั่นพลางพุ่งตัวมาข้างหน้า ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุอานามก็น้อย มีหลายคนที่ครั้งก่อนไม่ได้ไปเมืองจินหลัน เคยได้ยินว่ามีตัวประหลาดเช่นนี้อยู่แต่ไม่เคยเห็น เวลานี้มันปรากฎตัวมาให้เห็นเป็นๆ อยู่ตรงหน้า อีกทั้งมีท่าทางเหมือนคนเสียสติ เจอใครก็โผเข้าไปหาคนๆนั้น แต่ละคนจึงขวัญกระเจิง

เสิ่นชิงชิวเห็นคนเพาะเมล็ดพันธุ์ทำท่าจะโผเข้าหาศิษย์ชิงจิ้งเฟิงผู้หนึ่งก็เอาตัวเข้ามาขวาง ถีบหน้าอกมันจนกระเด็นไปกระแทกโต๊ะสองตัวพังกระจาย กระอักเลือดออกมาอย่างแรง เขาหันกลับมาตะโกน “ยังไม่รีบไปอีก”

ทว่าหนิงอิงอิงกลับถลาเข้ามากอดรัดเขาทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะใส่เสียอย่างนั้น “ซือจุน ซือจุนหรือเจ้าคะ”

ขนาดฉันทาหน้าซะเหลือง ติดหนวดติดเคราเธอก็ยังจำฉันได้อีกเหรอ แม้จะแอบซึ้งใจอยู่นิดหน่อย แต่เวลาแบบนี้ยังไม่ยอมหนีไป กลับรั้งอยู่ให้เกะกะ ซ้ำยังเรียกตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาทั้งที่เขาปลอมตัวอยู่ สติปัญญาช่างทื่อด้านเสียจริง

พอเห็นว่าคนเพาะเมล็ดพันธุ์ยังดึงดันบุกเข้ามาอีกโดยไม่ยอมแพ้ เสิ่นชิงชิวเลยใช้มือข้างหนึ่งส่งหนิงอิงอิงออกไปอย่างอ่อนโยนประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่มืออีกข้างร่ายคาถาเรียกลูกไฟจู่โจมศัตรูอย่างเยือกเย็นอำมหิตประดุจพายุฤดูหนาว

จู่โจมไม่โดน!

ไม่สิ จู่โจมไม่ออกต่างหาก

เลือดที่สงบนิ่งอยู่ในร่างเสิ่นชิงชิวมาหลายปีเริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วนในลำคอขึ้นมาอีกครั้ง ลำพังพิษไร้ยาถอนที่มักกำเริบจนทำเอาเสียจังหวะในยามคับขันก็เกินพอแล้วนะ

เขาดีดนิ้วติดกันอีกสองสามที กระทั่งสะเก็ดไฟยังไม่มีออกมาสักสะเก็ด เหมือนไฟแช็กที่หมดน้ำมันยังไงยังงั้น แชะๆ กี่ครั้งก็ไม่มีประกายไฟ ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังนึกขัดใจอยู่นั้น คนเพาะเมล็ดพันธุ์ก็โผเข้ามากอดขาเขาไว้

เสิ่นชิงชิวไร้คำพูด “…”

เขายกมือขวาที่ซวยซ้ำซวยซ้อนขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว จริงเสียด้วย ผื่นแดงสามจุดซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ไม่แฟร์นี่ ทำไมมันถึงแพร่เชื้อใส่เขาได้เร็วขนาดนี้ทุกครั้งเลย

อาจเพราะความแค้นเป็นตัวจุดชนวน การดีดนิ้วครั้งสุดท้ายในที่สุดก็มีเปลวไฟลุกพรึ่บระหว่างนิ้วของเขา เสิ่นชิงชิวถีบคนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่กอดเขาอยู่ออกไป แล้วสับมันด้วยมือที่มีไฟลุกพวยพุ่งทันที

ร่างของคนเพาะเมล็ดพันธุ์จมอยู่กลางกองเพลิง มันกรีดร้องโหยหวน หนิงอิงอิงกับหมิงฟานวิ่งน้ำหูน้ำตาไหลเข้ามาประกบซ้ายขวา “ซือจุน”

ศิษย์ชิงจิ้งเฟิงคนอื่นๆก็ตามมาสมทบ แต่ถูกซือจุนทำสายตา ‘ออกไปวิ่งห้าร้อยรอบ’ ไล่ออกไป

การปลอมตัวจบสิ้นแล้ว เสิ่นชิงชิวยื่นมือไปถูสีที่ฉาบบนหน้ากระทั่งกับคืนสู่หน้าตาที่แท้จริง “มีใครติดเชื้อเหรือไม่” จากนั้นกล่าวอย่างจริงใจด้วยประโยคที่เขาอยากกล่าวต่อผู้อื่นมาตลอด “รีบกินยา ห้ามหยุดกินเด็ดขาด”

ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง คนหนึ่งเสียงห้าว คนหนึ่งเสียงสูงร้องไห้หงิงๆอยู่ข้างหูเขา

“ซือจุน เจอตัวท่านเสียที”

“ซือจุน ศิษย์คิดถึงท่าน คิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว”

เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันได้กล่าวอะไร จู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบที่หลัง กระบี่ซิวหย่าพุ่งออกมาจากเสื้อเสียงดังเคร้ง สกัดแส้เหล็กของกงจู่น้อยไว้

ที่กระทบกระทั่งกับศิษย์ชิงจิ้งเฟิงเมื่อครู่ยังอาจนับได้ว่ากงจู่น้อยแค่โมโหชั่ววูบ แต่ลงมือคราวนี้หมายสังหารจริง แส้สั้นที่อยู่ในมือดุจฟันด้วยมีดผ่าด้วยขวาน ฟาดแต่ละทีรุนแรงแบบกะเอาให้ถึงตาย

เสิ่นชิงชิวถามอย่างไม่สนมารยาท “เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก โมโหอะไรนักหนาอยู่ทุกวี่ทุกวัน” คำถามนี้เขาอยากถามมานานแล้ว

กงจู่น้อยตวาดลั่น “โจรชั่ว เจ้าคืนชีวิตพวกศิษย์พี่ของข้ามานะ” เขียนต่อ

ทีแรกเสิ่นชิงชิวยังเข้าใจว่านางหมายถึงศิษย์ที่บาดเจ็บล้มตายตอนงานชุมนุมเซียน แต่ประโยคถัดจากเสียงกรีดร้องของกงจู่น้อยกลับเหนือความคาดหมาย “ศิษย์พี่หม่าแค่พูดจาไม่ดีตอนเอาเจ้าไปขัง เจ้า…เจ้าก็…เขาต้องตายอย่างอนาถ…อนาถนัก…”

ศิษย์พี่หม่าไหนวะ หรือจะเป็นเจ้าเด็กหน้าสิวปากไม่ดีคนนั้น เสิ่นชิงชิวถาม “ตอนผู้แซ่เสิ่นออกจากวังฮ่วนฮวาไม่ได้ทำร้ายใครถึงแก่ชีวิตแม้แต่คนเดียว เจ้าบอกเขาตายอย่างอนาถ หมายความว่าอย่างไร” เขาหันไปถามเสียงต่ำ “…ตายจริงหรือ อนาถมากไหม”

หมิงฟานตอบเสียงค่อย “ตายจริงๆขอรับ อนาถยิ่งนัก ตัวเขียวอื๋อเน่าหมดเลย เห็นว่าถูกพิษร้ายแรงของเผ่ามาร”

พิษร้ายแรงของเผ่ามาร ฟังแล้วคล้ายกับสไตล์ของลั่วปิงเหอเสียจริง

กงจู่น้อยเอ่ยว่า “ไม่ต้องเถียงข้างๆคูๆ เพื่อศิษย์วังฮ่วนฮวาที่ตายไปวันนี้จะต้องให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิตให้จงได้”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ผู้แซ่เสิ่นไม่เก่งเรื่องการใช้พิษ จะเอาชีวิตศิษย์วังฮ่วนฮวามีเป็นพันเป็นหมื่นวิธี ทำไมจะต้องเลือกใช้วิธีที่มันยุ่งยากที่สุดด้วย จริงอยู่ว่าข้าหลบหนีออกมา แต่ใครจะพิสูจน์ได้ว่าข้าฆ่าคนเล่า”

มีศิษย์วังฮ่วนฮวาตะโกนออกมา “เช่นนั้นมีใครพิสูจน์ได้หรือไม่เล่าว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าคน”

หากปมนี้ไม่สาง เกรงว่าวันหน้าสองสำนักใหญ่คงมีเรื่องกันไม่เลิกราแน่ เสิ่นชิงชิวขบคิด จากนั้นลองถามหยั่งเชิง “เกี่ยวกับเรื่องนี้ หัวหน้าศิษย์กงอี๋เซียวของสำนักเจ้ากล่าวว่าอย่างไร”

กงจู่น้อยเบิกตากลมโต น้ำตาที่เดิมหยุดไหลแล้วร่วงเผาะจากสองตาอีกครั้ง “เจ้ายังกล้าพูดถึงศิษย์พี่กงอี๋อีกหรือ

นางเอาแส้ชี้หน้าเสิ่นชิงชิว “เจ้าคิดว่าอย่างไรเขาก็ตายแล้ว คนตายไม่อาจให้การ เจ้าเลยปรับปรำเขาได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ”

เสิ่นชิงชิวราวกับโดนฟ้าผ่า

แต่ยังใช้สองนิ้วคีบปลายแส้ที่นางฟาดมาทัน เขาสงสัยว่าตัวเองคงฟังผิดไป “เจ้าว่าอะไรนะ กงอี๋เซียวตายแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นการกระทำของผู้ใด”

ต่อให้เป็นในนิยายดั้งเดิม สภาพอนาถสุดของกงอี๋เซียวก็แค่ถูกเนรเทศไปอยู่สาขาย่อยในพื้นที่อันไกลโพ้นของวังฮ่วนฮวา ทำหน้าที่ตัวประกอบต่อไปไม่ใช่เหรอ

กงจู่น้อยกล่าวอย่างดุดัน “เป็นการกระทำของผู้ใดหรือ เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าเป็นฝีมือผู้ใด”

ศิษย์วังฮ่วนฮวากรูกันเข้ามาทันที นางออกคำสั่ง “ฆ่าโจรชั่วต่ำช้าผู้นี้เพื่อแก้แค้นให้ศิษย์พี่กงอี๋ เพื่อศิษย์พี่ชายหญิงที่เฝ้ารักษาคุกน้ำของพวกเรา”

เสิ่นชิงชิวหนาวเยือกในใจ ศิษย์ที่เฝ้ารักษาคุกน้ำรวมทั้งกงอี๋เซียวหรือว่าทุกคนถูกลั่วปิงเหอฆ่าหมดเกลี้ยงไม่เหลือรอดเลย

ชีวิตคนนับร้อยเหล่านั้น เอามาสุมบนหัวเขาหมดเลยงั้นหรือ

หนิงอิงอิงเอ่ยอย่างโกรธแค้น “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรกับนังเด็กหน้าเหม็นคนนี้ก็ไม่เข้าหัวนางเลยสักนิด ไม่เห็นหรือว่าซือจุนของข้าหาได้รู้เรื่องไม่”

ศิษย์ชิงจิ้งเฟิงคนอื่นไ เข้ามาร่วมผสมโรงเพิ่มความยุ่งยากทันที ดาบกระบี่ไร้ตา เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันขบคิดได้กระจ่าง มองอีกทีก็เห็นศึกนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแน่ เขากระโจนออกจากร้านสุราพร้อมกล่าวว่า “ตามมา”

จริงดังคาด ศิษย์ทั้งสองฝ่ายพากันหยุดตะลุมบอน เบียดเสียดแย่งกันตามเขาออกมาเดี๋ยวนั้น

พอออกมายืนที่ถนนใหญ่เสิ่นชิงชิวก็พูดไม่ออก

ซิวซื่อเป็นโขยงในชุดเครื่องแบบหลากสีสันตั้งทัพรอเขาอยู่ด้วยสายตากระเหี้ยนกระหือรือราวกับเสือมองเหยื่อ

นั่นสิ ก็เหตุวุ่นวายในร้านสุราเมื่อครู่อึกทึกครึกโครมซะขนาดนั้น ถ้าไม่ดึงดูดคนพวกนี้ให้กรูกันมาก็ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เกินไปแล้ว

เสิ่นชิงชิวสะกิดฝ่าเท้าปราดเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคา เขาหมุนกายยืนอยู่บนชายคา สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปล่งเสียงจากช่องท้อง “หลิ่ว…ชิง…เกอ”

มีคนท่องกระบี่ตามขึ้นมาด่า “เสิ่นชิงชิว เจ้ามันจิตใจโหดร้ายนัก จงใจหนีมาถึงที่นี่หลอกล่อให้คนของทุกสำนักตามมา และสมคบคิดกับเผ่ามารจะได้กวาดล้างที่นี่ในคราเดียว มุ่งหมายให้ซ้ำรอยโศกนาฎกรรมครั้งงานชุมนุมเซียนใช่หรือไม่ สำนักป้าซี่จง(เหิมหาญ)ของพวกข้าจะไม่ยอมให้แผนชั่วของเจ้าบรรลุผลแน่”

ข้าหาที่เอามาสุมอยู่บนหัวเขาตอนนี้จะสุมเพิ่มอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่ถือว่ามากเกินไปแล้ว

เสิ่นชิงชิวกระทั่งจะต่อปากต่อคำยังไม่มีอารมณ์ ทางตะวันออกมีเสียงลมกระบี่ดังหวีดหวิว คนผู้หนึ่งในชุดขาวท่องกระบี่เข้ามาปานสายฟ้าแลบ เร็ว แรง และดุดันที่สุด ก่อเกิดลมแรงขึ้นวูบหนึ่ง จนคนที่กำลังด่าเสิ่นชิงชิวพลัดตกจากกระบี่ตัวเอง

หลิ่วชิงเกอเอามือกอดอก เหยียบอยู่บนเฉิงหลวน “มีอะไร”

ช่างพึ่งพาได้จริงๆ พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่!

เสิ่นชิงชิวตอบอย่างจริงใจ “พาข้าเหาะที”

หลิ่วชิงเกอพูดไม่ออก “…”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าพิษกำเริบอีกแล้ว โคจรปราณท่องกระบี่ไม่ขึ้น หากเจ้าไม่ช่วย ข้าก็มีแต่จะร่วงลงมาจากที่สูงเท่านั้น”

หลิ่วชิงเกอถอนใจ “ขึ้นมา”

คนที่มุงดูอยู่ข้างล่างพากันด่าไม่หยุด “ชางฉยงซานซุกซ่อนคนผิด” บ้าง

“ไป่จั่นเฟิงกับชิงจิ้งเฟิงเป็นแหล่งรวมคนชั่ว” บ้าง

แต่ทั้งคู่ทำเหมือนไม่ได้ยิน กระบี่เฉิงหลวนเหินสู่เวหา เสียงลมพัดตึงอยู่ข้างหู ทิ้งห่างผู้ที่ท่องกระบี่ตามมาด้านหลังหลายสิบคนไว้ไกลโข

หลิ่วชิงเกอถาม “จะไปไหน”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “หลังคาของหอที่สูงที่สุดในเมือง ต้องลำบากเจ้าช่วยสกัดคนเหล่านี้ให้ข้าอีกสักครู่”

หลิ่วชิงเกอซักต่อว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ หากเจ้าไม่เต็มใจเข้าคุก เหตุใดไม่บอกแต่แรก ต้องหาเรื่องลำบากลำบนเช่นนี้ ต่อให้ชางฉยงซานไม่รู้เส้นทางในนั้น ก็ไม่ไร้ความสามรถทลายคุกน้ำหรอก”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “นี่…เรื่องทลายคุกน้ำไม่ต้องลำบากแล้ว…”

หลิ่วชิงเกอเอ่ยว่า “ลงไป”

เสิ่นชิงชิวตัดพ้อ “ข้าแค่บอกว่าไม่ต้องลำบากแล้ว ทว่าใจจริงสำนึกในเจตนาดีของเจ้า ไม่จำเป็นต้องไล่ข้าลงไปเลยนี่”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “มีคนตามมาแล้ว”

เสิ่นชิงชิวไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโดดลงไปทันที

ปลายเท้าแตะกระเบื้องหลังคา เขาหมอบนิ่งอยู่บนชายคามุมหนึ่ง แรงพุ่งของเฉิงหลวนนั้นรุนแรงนัก หลิ่วชิงเกอท่องกระบี่ม้วนตัวตีลังกากลางอากาศชวนให้ตาลายรอบหนึ่งแล้วจึงทรงตัวนิ่ง จ้องมองไปยังจุดๆหนึ่ง เสิ่นชิงชิวเลยมองตาม

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะหยันดังขึ้นจากข้างหลัง “กำลังมองอะไรอยู่หรือ”

เสิ่นชิงชิวหวิดหัวทิ่มลงไปเดี๋ยวนั้น

ที่ว่า ‘คอยดูเถอะ’ ไม่ได้สักแต่พูดจริงๆ

แต่ก็นั่นแหละ ลั่วปิงเหอเป็นคนที่ ‘สักแต่พูด’ เมื่อไหร่กันเล่า

ถึงขนาดยอมเสี่ยงโดนกระบี่ซินหมัวย้อนกลืนกินเพื่อมาตามจับเขา มันต้องโกรธแค้นล้ำลึกถึงขนาดไหนกัน

ลั่วปิงเหอเขม่นมองพวกเขา สีหน้าอึมครึม ยื่นมือข้างหนึ่งมาหาเสิ่นชิงชิว “ตามข้ามา”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “กงอี๋เซียวตายแล้ว”

ลั่วปิงเหอตัวแข็งทื่อ

เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “ศิษย์ที่เฝ้ายามคุกน้ำก็ตายด้วย”

“ลั่วปิงเหอ คนในวังฮ่วนฮวากว่าร้อยชีวิต แลกกับการให้ทุกคนตามเข่นฆ่าข้า มันคุ้มกันแล้วหรือ”

นัยน์ตาของลั่วปิงเหอเรืองสีแดงขึ้นวาบหนึ่งแล้วพลันหายไป

เขากล่าวเสียงเย็น “ถึงอย่างไรท่านก็ไม่เชื่อที่ข้าพูดอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูด ข้าขอถามท่านอีกครั้ง ท่านจะมาหรือไม่”

ลั่วปิงเหอยืนกรานไม่ยอมชักมือข้างนั้นกลับ เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันตอบ รอบด้านพลันมีคนสิบกว่าคนปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท่องกระบี่ร่อนมาลงที่ชายคาเพื่อล้อมพวกเขาเอาไว้

ผู้เป็นหัวหน้าก็คือศิษย์สำนักป้าซี่จงผู้นั้น ร่างกายท่อนล่างของเขามั่นคง กางขาสองข้างในท่าขี่ม้า* อยู่บนกระบี่เพื่อไม่ให้พลิกร่วงลงไปอีกรอบ

(ท่าขี่ม้า คือท่าพื้นฐานในการฝึกวิทยายุทธ์โดยการยืนกางขา ย่อเข่า แล้วค้างอยู่ในท่านั้นระยะเวลาหนึ่ง)

เขาตะคอก “เสิ่นชิงชิวเป็นของพวกข้า ใครหน้าไหนก็ห้ามแตะต้อง…”

ลั่วปิงเหอเบือนหน้ามาทันที ตวาดว่า “ไสหัวไป”

แม้ยังไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝัก ทั่วทั้งตัวกลับระเบิดปราณทิพย์อันกร้าวแกร่งออกมาขุมหนึ่ง ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกราวกับในหูมีเสียงหวีดแหลม คนสิบกว่าคนรวมทั้งกระบี่ถูกดีดกระดอนไปไกลหลายจั้งไม่เว้นแม้แต่รายเดียว ถึงขนาดว่าครึ่งหนึ่งนั้นกระเด็นไปกระแทกเสาบ้าง กระแทกผนังบ้าง เลือดทะลักออกจากปาก

สำนักป้าซี่จงเจอความเหิมหาญที่ไม่สนเหตุผลของจริงเข้าก็แตกพ่ายไม่เป็นกระบวน คนอื่นที่รอดูสถานการณ์ไม่มีใครไม่ตื่นตะลึง ชายหนุ่มชุดดำผู้นี้มีพลังฝึกปรือถึงขั้นนี้ เหตุใดก่อนหน้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน

หลิ่วชิงเกอผลักเสิ่นชิงชิว “ไปเลย ไปทำเรื่องที่เจ้าต้องทำเสีย”

เสิ่นชิงชิวถาม “ เจ้ารับมือคนเดียวไหวหรือ” ห้าต่อสองนะ ห้าต่อสอง นี่คือข้อมูลที่เขาไม่มีวันลืมเด็ดขาด ที่เขาตะโกนเรียกหลิ่วชิงเกอก็เพื่อจะให้อีกฝ่ายช่วยจัดการพวกปลาซิวปลาสร้อย และถือโอกาสให้พามาส่งด้วยเสียเลย แต่เขาไม่เคยคิดจะให้หลิ่วชิงเกอต้องมีอันเป็นไปสักนิด

______________________

แต่สองคนนี้ใช่ว่าจะยอมฟังคนอื่นพูดแต่โดยดี พูดยังไงก็ไม่เข้าหู ไม่สิ ยังไม่ทันเจรจาก็ลงมือฟาดฟันกันแล้ว กระบี่เฉิงหลวนทรงอานุภาพประหนึ่งสายรุ้ง แต่ลั่วปิงเหอไม่ยอมชักกระบี่ต่อกร กลับโคจรพลังทิพย์มาไว้ที่มือและใช้มือแทนดาบเข้าสู้ซึ่งๆหน้า

เสิ่นชิงชิวรู้เหตุผลว่าทำไมลั่วปิงเหอถึงไม่ชักกระบี่ ยอดฝีมือขณะประมือไม่อาจปล่อยให้มีข้อผิดพลาดได้แม้แต่น้อย ยิ่งในเวลาเช่นนี้เป็นการง่ายมากที่จะถูกซินหมัวเข้าครอบงำ หากปราณมารแทรกซึมขึ้นสมอง เกิดกระหายเลือดจนเกินควบคุมต่อหน้าต่อตาทุกคน อย่างนั้นก็จะได้ไม่คุ้มเสีย ในกายของลั่วปิงเหอความจริงแล้วครอบครองพลังฝึกปรืออยู่สองสาย สายหนึ่งคือปราณทิพย์ อีกสายหนึ่งคือปราณมาร

เนื่องจากเป็นลูกครึ่งที่ผสานสายเลือดระหว่างสองเผ่าได้อย่างลงตัว พลังฝึกปรือทั้งสองสายจึงโคจรเป็นเอกเทศ ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ยามจำเป็นมือทั้งสองข้างยังสามารถใช้พลังปราณที่แตกต่างกันร่วมจู่โจม

แต่ ณ เวลานี้ประการแรกเขาไม่อาจชักกระบี่ ประการที่สอง เขาไม่สะดวกจะใช้ปราณมาร พลังสังหารจึงลดลงไปอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ถึงกระนั้นกลับสู้หลิ่วชิงเกอได้อย่างสูสี

บนชายคาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว รุ้งขาวและประกายปราณทิพย์ฟาดฟันกันอย่างดุดัน ซิวซื่อที่อยู่เบื้องล่างล้วนไม่กล้าผลีผลามเข้ามาสอด มือใหม่อ่อนหัดที่ต่อให้ตาไร้แววปราศจากสมองขนาดไหนก็ยังมองออกว่าหากเฉียดโดยไอสังหารที่ร้อนฉ่าของสองคนนี้เข้าแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องฝึกบำเพ็ญเพียรก็สามารถเหาะได้ทันที…เหาะขึ้นสวรรค์ไปเลย!

ทั้งคู่สู้กันรุนแรงขนาดนี้ ความจริงเสิ่นชิงชิวรู้สึกคันยิบอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะพิษไร้ยาถอนดันกำเริบขึ้นมาเสียก่อน เขาก็อยากเข้าไปลองสู้ดูบ้างเหมือนกัน จนใจที่ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาแล้ว เขาหยีตามองฟ้า กระโดดปราดขึ้นไปยังแนวหลังคาที่สูงที่สุด

เหนือหลังคาลมพัดกระหน่ำแรงราวกับจะม้วนเขาให้ตกลงไป

ลั่วปิงเหอมองเห็นอยู่ไกลๆ ก็พลันร้อนใจขึ้นมาทันที ไม่สนใจการต่อสู้อีกต่อไป แววตาลุกเรืองด้วยโทสะ มือแตะด้ามกระบี่ที่สะพายอยู่บนหลัง

เขากล้าชักกระบี่ออกมาตรงนี้จริงๆหรือ

เสิ่นชิงชิวรีบกล่าว “ลั่วปิงเหอ เจ้าอย่าได้หุนหัน”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างเฉียบขาด “สายไปแล้ว” เขาพลิกข้อมือ กระบี่ซินหมัวถูกชักออก พร้อมด้วยไอสีดำร้อนฉ่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

เฉิงหลวนพุ่งเข้ามาทันที ลั่วปิงเหอดีดคมกระบี่ซินหมัวซึ่งบางราวปีกจักจั่นเบาๆ ทันใดนั้นเกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นระลอกคลื่นแผ่ออกมา เฉิงหลวนถึงกับชะงักค้างกลางอากาศอย่างที่หลิ่วชิงเกอคาดไม่ถึง

เฉิงหลวนไม่ฟังคำสั่ง หลิ่วชิงเกอไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงตะลึงงันทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ อีกด้านเสิ่นชิงชิวกลับรู้ได้ถึงความคับขันของสถานการณ์อย่างชัดเจน

หากลั่วปิงเหอถูกซินหมัวย้อมกลืนกินจริง ทุกคนในที่นี้รวมทั้งเมืองฮวาเยวี่ยทั้งเมืองและในรัศมีร้อยลี้คงจะไม่มีสิ่งมีชีวิตรอดไปได้เลย

สุดวิสัยแล้วจริงๆ กระบี่ซิวหย่าออกจากฝัก เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ลั่วปิงเหอ เจ้าเข้ามา วันนี้สมควรจัดการให้มันจบสิ้นไปเสียทีเดียว”

ลั่วปิงเหอเงยหน้ามองด้วยแววตาล้ำลึก ครู่ต่อมาร่างเขาก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันเบื้องหน้าเสิ่นชิงชิวห่างออกไปประมาณสามฉื่อ และยกมือขึ้นร่ายเขตอาคมครอบคลุมพื้นที่ชายคาบริเวณนี้เอาไว้ ตัดขาดไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

เขาหัวเราะสีหน้าบิดเบี้ยว “จบสิ้นหรือ ท่านจะทำให้มันจบสิ้นอย่างไร ซือจุน หรือตอนนี้เราสองคนยังสามารถจบสิ้นได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ”

ทำไมจบสิ้นไม่ได้ล่ะ

เสิ่นชิงชิวสูดลมหายใจเบาๆ แม้กุมกระบี่อยู่ในมือแต่กลับไม่มีความคิดจะต่อสู้ อันที่จริงเขาก็ใช้กระบี่เล่มนี้ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

เขาทอดถอนใจอย่างสะเทือนอารมณ์ “เรื่องมาถึงป่านนี้ข้าไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว ต่อให้ทุ่มเทสมองวางแผนอย่างไร จนใจที่ลิขิตสวรรค์ไม่อาจฝืนจริงๆ”

ลั่วปิงเหอหัวเราะลั่น “ลิขิตสวรรค์หรือ ลิขิตสวรรค์คืออะไร คือปล่อยให้เด็กสี่ขวบคนหนึ่งถูกรังแก โดยมิมีผู้ใดยื่นมือช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ ปล่อยให้หญิงชราไร้ความผิดคนหนึ่งหิวตาย แค้นตายเช่นนั้นหรือ”

เขาพูดประโยคหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้ก้าวหนึ่ง ร่ายต่อเป็นฉากๆ

“หรือปล่อยให้ข้าต้องแย่งชิงอาหารกับหมาตัวหนึ่ง หรือปล่อยให้คนที่ข้ามอบความจริงใจจนหมดใจโกหกหลอกลวงข้า ทอดทิ้งข้า หักหลังข้า ผลักข้าให้ตกลงไปในสถานที่ๆเลวร้ายยิ่งกว่านรกด้วยมือตัวเองอย่างนั้นหรือ”

ลั่วปิงเหอถามว่า “ซือจุน ท่านดูสิ ตอนนี้ข้าเป็นเช่นนี้แข็งแกร่งพอแล้วหรือไม่ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนที่ข้าอยู่ในโลกล่างสามปีนั้น ข้าผ่านวันเวลามาได้อย่างไร ตลอดสามปีในห้วงอเวจี ทุกชั่วยาม ทุกขณะ สิ่งที่อยู่สมองข้ามีแต่ซือจุน ข้าคิดว่าไยซือจุนต้องทำเช่นนี้กับข้า ทำไมไม่ยอมมอบโอกาสให้ข้าได้อธิบายสักนิด ท่านต้องการให้ข้ายอมรับว่านี่เป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดไว้ให้ข้าอย่างนั้นหรือ ข้าคิดมาเนิ่นนานปานนั้น ในที่สุดก็เข้าใจ”

ในรอยยิ้มของลั่วปิงเหอกลับมีเจตนาสังหารแฝงอยู่

“เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่สำคัญแล้ว ข้าทำในสิ่งที่ข้าอยากทำก็พอ สวรรค์ลิขิตอาจไม่มีอยู่จริง แต่ถ้ามีข้าก็จะเหยียบมันไว้ใต้ฝ่าเท้าเสียเลย”

พระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ ในที่สุดหมอกสายสุดท้ายก็สลายจนหมดไม่เหลือ แสงอาทิตย์แผ่ปกคลุมทั่วทั้งเมือง เจิดจ้าเป็นประกายประหนึ่งทองคำบริสุทธิ์แผ่รัศมีครอบคลุมผืนพิภพ

เสิ่นชิงชิวละสายตาจากท้องฟ้า เพราะจ้องมองดวงอาทิตย์ตรงๆ ดวงตาเลยแวววาวด้วยหยาดน้ำที่เอ่อท้น

แม้สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำนั้นเป็นเพราะภาวะจำยอม แต่การที่ลั่วปิงเหอกลายเป็นชายหนุ่มจิตใจดำมืดที่คิดแต่จะแก้แค้นเอากับโลก ก็เป็นความผิดของเขาจริงๆนั่นแหละ เจตนาเดิมคืออยากปกป้องลั่วปิงเหอไม่ให้เปลี่ยนไปสุดโต่ง ทว่าทั้งหมดที่เขาทำไม่เพียงไม่ส่งผลในเชิงบวก กลับยิ่งส่งผลให้ความคับแค้นเกลียดชังของลั่วปิงเหอรุนแรงสลักลึกลงไปในกระดูกหนักขึ้นอีก

ลั่วปิงเหอเห็นแววตาอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มละมุนก็อดตะลึงไม่ได้ อึดใจนั้นอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงพลันพุ่งจี๊ด เขากัดฟันกำกระบี่ซินหมัวที่ทำท่าจะดิ้นหลุดให้กระชับมือ

ไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่อาจถูกมันย้อนกลืนกินตรงนี้

และแล้วเสิ่นชิงชิวก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “อย่าปล่อยให้มันความคุมความคิดเจ้า”

พอได้ฟังลั่วปิงเหอก็ใจลอย รู้สึกราวกับเมื่อครั้งที่ยังอยู่บนชิงจิ้งเฟิง

ลั่วปิงเหอควบคุมตัวเองลำบากขึ้นทุกขณะ ในสมองเหมือนมีมีดแหลมหมุนกวน เพลิงสีดำจากกระบี่ซินหมัวโหมกระพือยิ่งกว่าเดิม

ในช่วงเวลาคับขันนี้เอง ขณะที่ลั่วปิงเหอพยายามข่มความเจ็บแปลบอย่างยากลำบาก จู่ๆ พลันรู้สึกว่าไหล่ของเขาถูกกอดไว้เบาๆ

พลังทิพย์ขุมหนึ่งทะลักเข้ามาประหนึ่งเขื่อนแตก คล้ายดั่งฝนห่าใหญ่ที่ตกลงสู้ผืนดินซึ่งแตกเป็นระแหงหลังจากแล้งมานาน ไหลบ่าท้วมท้นเข้าสู่ร่างกายของลั่วปิงเหอ เพียงชั่วพริบตาก็ดับไอสังหารของซินหมัวที่กำลังฟาดฟันลั่วปิงเหออย่างสุดกำลังจนหมดสิ้น

ลมหายใจของลั่วปิงเหอกลับมาคงที่ สามารถโคจรพลังไปทั่วร่างอย่างไม่ติดขัด ทว่าเขากลับใจหายวาบ

ระเบิดตัวเอง!

เสียงใครคนหนึ่งที่เฝ้าดูอยู่ด้านล่างร้องด้วยความตื่นตะลึง “เสิ่นชิงชิวระเบิดตัวเองแล้ว”

เสิ่นชิงชิวปล่อยลั่วปิงเหอ และค่อยๆถอยไปด้านหลัง ระหว่างนั้นก็สะดุดทีหนึ่ง

กระบี่ซิวหย่าร่วงลงไปก่อนแล้ว เจ้านายของมันระเบิดพลังทิพย์ตัวเอง คนอยู่ กระบี่อยู่ บัดนี้กระบี่แตกหักเป็นชิ้นๆกลางอากาศ

เสิ่นชิงชิวที่มักกลืนเลือดลงท้องจนกลายเป็นนิสัย เวลานี้กลับกลืนไม่ลง

หลังจากพลังทิพย์สูญสลาย เขาก็เป็นแค่คนพิการคนหนึ่งที่สู้คนธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ เสียงแผ่วระโหยของเขาแทบถูกลมพัดหายไป ทว่าลั่วปิงเหอกลับได้ยินชัดเจน

ที่เสิ่นชิงชิวพูดคือ “ทุกอย่างในอดีต วันนี้ขอคืนให้เจ้า”

ในที่สุดก็ถือว่าเขาทำเรื่องดีๆแล้วกระมัง

จากนั้นร่างของเสิ่นชิงชิวก็หงายไปด้านหลัง ก่อนดิ่งตกลงไปจากหอสูง

ลั่วปิงเหอได้แต่มองอย่างโง่งม ทุกภาพที่มองเห็นเวลานี้ ล้วนถูกชะลอให้ช้าลงไปไม่รู้กี่เท่า แม้แต่ชั่วพริบตาที่เสิ่นชิงชิวร่วงลงไป ภาพก็ยังเคลื่อนไหวช้าจนเห็นทุกอย่างแจ่มชัดที่สุด

ร่างของเสิ่นชิงชิวลอยคว้างกลางอากาศดุจว่าวโลหิตตัวหนึ่ง

ลั่วปิงเหอขยับตามสัญชาตญาณก่อนสติรู้คิดจะกลับคืนมาเสียอีก เขาชิงเข้าไปรับตัวเสิ่นชิงชิวได้ทันเวลาก่อนจะร่วงสู่พื้น จึงได้พบว่าทรวงอกของเสิ่นชิงชิวเบาหวิว ทั่วทั้งร่างไม่มีพลังทิพย์เหลืออยู่แม้สักเสี้ยว คล้ายดั่งว่าวตัวหนึ่งที่ออกแรกฉีกทีเดียวก็ขาด

แต่ไม่ต้องถึงขั้นฉีกก็สิ้นสลายแล้ว

เขายังไม่กล้าเชื่อ

ซือจุนมิใช่เกลียดชังสายเลือดในตัวเขาอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ

มิใช่ไม่ยอมเข้าใกล้เขา คอยขีดเส้นให้ห่างจากเขามาตลอดหรอกหรือ

ทำไมสุดท้ายถึงยอมให้เขาควบคุมจิตใจของตัวเองด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนอย่างตอนนั้นเลยเล่า

เพราะอะไรถึงระเบิดพลังทิพย์ของตนจนหมดสิ้นไม่มีเหลือเพื่อช่วยสะกดข่มการย้อนกลืนกินของกระบี่ซินหมัว

รอบด้านเหมือนมีเสียงคนพูดกันเซ็งแซ่ “คนชั่วช้าถูกประหาร”

เห็นแก่คุณธรรมมากกว่าน้ำมิตร” ฯลฯ

ทว่าในสมองของลั่วปิงเหอกลับสับสนว้าวุ่น ได้แต่กอดเสิ่นชิงชิวเอาไว้ กล่าวพึมพำ “ซือจุน?”

บรรดาศิษย์ชิงจิ้งเฟิงกับวังฮ่วนฮวาทะเลาะกันมาตลอดทาง ในที่สุดก็รุดมาถึง หนิงอิงอิงได้ยินเรื่องที่ลั่วปิงเหอยังไม่ตายแล้ว จู่ๆได้พบกันอีกครั้งเลยทั้งตื่นตกใจทั้งดีใจ แต่พอเห็นเสิ่นชิงชิวที่หลับตาแน่นิ่ง คำพูดที่จ่ออยู่ที่ปลายลิ้นก็เปลี่ยนไปทันที กล่าวเสียงสั่นว่า “อาลั่ว…ซือจุน…เกิดอะไรขึ้น”

หลิ่วชิงเกอเดินเข้ามา มุมปากยังมีคราบเลือด เขากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ตายสนิทแล้ว”

ศิษย์ทุกคนพากันตกตะลึง

ทันใดนั้นหมิงฟานก็ตะโกนลั่น “เป็นฝีมือผู้ใด”

ทุกคนในที่นั้นหันมองลั่วปิงเหอเป็นตาเดียว

หากพูดกันตามจริงไม่อาจนับว่าลั่วปิงเหอเป้นผู้สังหาร แต่เสิ่นชิงชิวก็ระเบิดตัวเองตายต่อหน้าลั่วปิงเหอจริงๆ

หมิงฟานกับศิษย์ทุกคนที่อยู่ด้านหลังพากันชัดกระบี่หมายจะลงมือ

หลิ่วชิงเกอกล่าว “พวกเจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก”

หมิงฟานสองตาแดงก่ำ “อาจารย์อาหลิ่ว ท่านฆ่าเขาได้นี่ ท่านจะแก้แค้นให้ซือจุนใช่หรือไม่ขอรับ”

หลิ่วชิงเกอกล่าวเสียงชืดชา “ข้าก็สู้เข้าไม่ได้เช่นกัน”

หมิงฟานสะอึก

หลิ่วชิงเกอเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก “เสิ่นชิงชิวก็มิใช่เขาฆ่า แต่ถึงเขาไม่ได้ฆ่า ก็นับว่าตายเพราะเขา” หลิ่วชิงเกอกล่าวทีละคำ น้ำเสียงประดุจกระบี่คมกริบออกจากฝัก “แค้นนี้ชางฉยงซานจะต้องทวงคืนแน่นอน”

ทั้งหมดนี้กลับไม่ได้เข้าหูลั่วปิงเหอเลยสักคำ จิตใจเขาสับสน มือเท้าปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก ยังกอดร่างเสิ่นชิงชิวที่เย็นเฉียบลงอย่างรวดเร็วเอาไว้ ทำท่าเหมือนอยากตะโกนเรียก อยากเขย่าแรงๆ เพื่อปลุกให้ตื่น แต่ไม่กล้า เพราะกลัวจะถูกดุ เขางึมงำ “ซือจุน?”

หมิงฟานตะคอก “เจ้าอย่ามาเรียกซือจุนนะ เจ้าไม่คู่ควรเป็นศิษย์ของซือจุน ศิษย์น้องทั้งหลายสู้กับมันเลย สู้ไม่ได้แล้วอย่างไร อย่างมาก็ถูกฆ่าเท่านั้น”

หนิงอิงอิงกลับยกมือขึ้นขวาง หมิงฟานพลันโกรธจัด นึกว่านางยังคงอาลัยอาวรณ์ความหลังครั้งเก่าเลยกล่าวตำหนิ “ศิษย์น้องเล็ก ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังแยกแยะไม่ได้หรือ”

หนิงอิงอิงตวาด “หุบปาก! รีบร้อนหาที่ตายขนาดนี้ ซือจุนรู้หรือไม่ หากซือจุนรู้เข้าจะว่าอย่างไร ซือจุนยอมให้ตัวเองติดเชื้อ แต่ไม่ยอมให้พวกเราถูกรังแก แล้วศิษย์พี่กลับไม่ถนอมชีวิตเช่นนี้หรือ”

หลายปีมานี้หนิงอิงอิงทำตัวเป็นสาวน้อยไร้เดียงสามาตลอด ไม่นึกว่ายามนี้กลับแข็งกร้าวขึ้นมา ทำเอาหมิงฟานตะลึงงันไปเลยทีเดียว

ผ่านไปครู่หนึ่งน้ำตาหมิงฟานก็รินไหลออกมา

เขาน้ำตานองหน้า กล่าวอย่างเจ็บช้ำ “แต่ว่า…หากเป็นเช่นนี้ซือจุนก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมน่ะซิ…

“ชัดเจนว่าท่านมิได้ทำ แต่ทุกคนก็บอกว่าท่านสมคบกับเผ่ามาร บอกว่าท่านฆ่าคน เป็นคนชั่วช้าสารเลว จับท่านเข้าคุกน้ำ กระทั่งโอกาสจะล้างมลทินให้ตัวเองยังไม่มี

เขาเอ่ยเสียงเครือ “เห็นๆอยู่ว่าเขารักเจ้าเด็กผู้นี้ขนาดไหน ตอนงานชุมนุมเซียนก็เดิมพันศิลาทิพย์ห้าพันก้อนโดยไม่เสียดาย คาดหวังในตัวมันอย่างใหญ่หลวง เวลามีใครกล่าวชมมันก็ดีอกดีใจถึงปานนั้น…สุดท้าย…ยังไม่ยอมเอากระบี่เจิ้งหยางไปคืนยอดวั่นเจี้ยนเฟิง ขอเก็บไว้เอง สร้างสุสานกระบี่ที่หลังเขา เศร้าเสียใจอยู่เป็นนาน ท้ายที่สุด…กลับต้องพบจุดจบเช่นนี้”

ลั่วปิงเหอรับฟังอย่างเลื่อนลอย เหมือนจะฝันก็ไม่คล้ายฝัน เหมือนจะจริงก็ไม่คล้ายจริง

เป็นเช่นนี้จริงๆหรือ

ตอนนั้นความจริงซือจุนก็…เศร้าเสียใจมากหรือ

หนิงอิงอิงเดินขึ้นหน้า ของตาแดงก่ำ แต่น้ำเสียงสงบนิ่ง นางกล่าวว่า “อาลั่ว” เรื่องในเมืองจินหลัน พวกเราถึงแม้ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่ก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมกลับชางฉยงซานทั้งที่ยังไม่ตาย และไม่ยอมกลับชิงจิ้งเฟิง ทั้งไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยพูดให้ซือจุน ยิ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนงานชุมนุมเซียน ทว่าบุญคุณที่ซือจุนอบรมเลี้ยงดูตลอดหลายปี เมตตาเอ็นดูปกป้องเจ้า หาใช่เรื่องเท็จ ไม่ว่าใครก็รู้อยู่แก่ใจ”

นางเว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “หากเจ้ารู้สึกว่าเมื่อก่อนนี้ซือจุนไม่ดีต่อเจ้า ลองคิดดูซิว่าเรื่องในวันที่จี้กวนอิมหยกของเจ้าหายไปนั้น พวกศิษย์พี่ถูกโจมตีอย่างลึกลับ เจ้าน่าจะเคยสะกิดใจว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติซิ ใช้วิชาปลิดใบไม้บุปผามาลงโทษเล็กๆน้อยๆ บนชิงจิ้งเฟิงไม่มีทางมีใครทำได้เป็นคนที่สองหรอก”

ลั่วปิงเหอกอดเสิ่นชิงชิวแน่นขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว

เขากล่าวเสียงเบา “ข้าผิดไปแล้ว ซือจุน…ข้ารู้ความผิดแล้วจริงๆขอรับ “ข้า…ไม่ได้คิดจะฆ่าท่าน…”

หนิงอิงอิงเอ่ยเสียงดัง “เรื่องที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว ต่อให้เมื่อก่อนซือจุนเคยทำสิ่งใดไม่ดีต่อเจ้า ใจของเจ้ายังปล่อยวางไม่ได้ วันนี้ก็นับได้ว่าท่านใช้คืนให้เจ้าแล้วกระมัง นับแต่นี้ไปเจ้า…”

นางพูดมาถึงตรงนี้ก็ทนต่อไปไม่ไหว เบนหน้าหนีไป “ขอให้เจ้า…เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกท่านว่าซือจุนแล้ว”

“ใช้คืนหรือ”

ใช่แล้ว เมื่อครู่เหมือนซือจุนจะพูดว่า ‘คืนให้เจ้า’

หรือนั่นจะเป็นการบอกว่า…ครั้งนั้นที่ผลักเขาตกลงไปในห้วงอเวจี วันนี้จึงชดใช้ด้วยการร่วงหล่นลงจากหอให้เขาแล้ว

ลั่วปิงเหอลนลาน

“ข้าไม่ได้อยากให้ท่านใช้คืนให้ข้า ข้า…ข้าแค่โมโห” เขาพึมพำกับตัวเอง

“ข้าแค่โมโหที่พอท่านเห็นข้าก็ทำเหมือนเห็นผี ซ้ำยังพูดคุยยิ้มแย้มกับคนอื่น ทั้งๆที่เมื่อก่อนทำเช่นนั้นกับข้าคนเดียว ยามนี้แม้แต่พูดก็ไม่ยอมพูดกับข้า ทั้งยังสงสัยข้าด้วย…ข้าผิดไปแล้ว…” เขากล่าวสะดุดเป็นห้วงๆ พูดไปก็เช็ดเลือดบนหน้าเสิ่นชิงชิวไปพลาง

“ท่านไม่ชอบที่ข้าเป็นเผ่ามาร ข้าเลยกลัวว่าหากตรงกลับชางฉยงซาน ท่านจะไล่ข้าออกมา ข้าคิดว่าหากรวบวังฮ่วนฮวาไว้ในมือ อยู่บนมรรคาเซียนที่ถูกต้องเหมือนกันกับท่าน จะทำให้ท่านดีใจได้…”

ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงสั่นเครือ “ซือจุน…ข้า…ความจริง…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version