Skip to content

Scumbag System 7

บทที่ 7

คุกน้ำ

“ผู้อาวุโสเสิ่น โปรดใส่นี่”

เสิ่นชิงชิวก้มหน้า สายคาดสีดำเส้นหนึ่งก็คาดปิดตาเขา

ช่างทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นเสียจริง ด้วยความลึกลับซับซ้อนของค่ายกลวังฮ่วนฮวา ต่อให้เสิ่นชิงชิวถือกล้องวิดีโอเดินถ่ายไปทั่วสักเที่ยวหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้หรอกว่าเข้าอย่างไรออกอย่างไร

บรรยากาศในคุกน้ำอับชื้น พื้นค่อนข้างลื่น ตาถูกปิดทั้งสองข้าง ได้แต่ปล่อยให้พวกศิษย์ที่คุมตัวเขามาพาเข้าไปเท่านั้น

เสิ่นชิงชิวเรียก “กงอี๋เซียว”

กงอี๋เซียงที่ตามติดอยู่ข้างหลังมาตลอด รีบตอบ “ขอรับ ผู้อาวุโส”

เสิ่นชิงชิวถามว่า “ระหว่างที่รอ 4 สำนักไต่สวน ข้าสามารถติดต่อกับคนข้างนอกได้หรือไม่”

กงอี๋เซียวตอบว่า “ต้องมีป้ายผ่านทางของวังฮ่วนฮวา จึงจะสามารถเข้ามาในคุกน้ำได้ขอรับ”

แบบนี้หากซั่งชิงหัวจะเข้ามาเยี่ยมเพื่อหารือเรื่องการใช้หญ้าน้ำค้างคงต้องลำบากนิดหน่อยแล้ว เสิ่นชิงชิวขบคิด ถามว่า “แล้วตกลงจะจัดการกับคนเพาะเมล็ดพันธุ์อย่างไร”

กงอี๋เซียวเป็นประเภทมีคำถามต้องรีบตอบ “หลังจากเผาแล้ว ต้าซือวัดเจาหัวทุกท่านจะนำกลับไปทำพิธีสวดส่งวิญญาณขอรับ”

มีเสียงกล่าวอย่างไม่พอใจดังจากข้างๆ “ศิษย์พี่ ท่านจะพูดกับเขาให้มากมายปานนี้ทำไม เข้าคุกน้ำแล้ว ยังจะคิดออกไปอีกหรือ”

เสียงคุ้นๆ ดูเหมือนจะเป็นศิษย์หน้าสิวที่มีความแค้นกับเขาคนนั้นนั่นเอง

กงอี๋เซียวตวาด “อย่าได้เสียมารยาท”

เสิ่นชิงชิวกล่าวยิ้มๆ “ยามนี้ผู้แซ่เสิ่นมีสถานะเป็นนักโทษ ไม่จำเป็นต้องตำหนิเขาหรอก ทำตามสบายเถอะ”

ขณะที่กล่าวก็มาถึงสถานที่สำหรับคุมขังเขาชั่วคราวพอดี พอเอาผ้าปิดตาสีดำออก สายตาก็ค่อยแจ่มชัดขึ้น จึงได้เห็นว่าพวกเขายืนอยู่หน้าถ้ำศิลาใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง

เบื้องล่างเป็นทะเลสาบผิวน้ำดำมะเมื่อม รอบด้านปักคบไฟสีเหลืองส่องแสงสลัวๆ กระจายอยู่ตามผนังอย่างไม่เป็นระเบียบ แสงไฟจับสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายพร่างพรายด้วยริ้วคลื่น ใจกลางทะเลสาบมีแท่นหินสีขาวสร้างด้วยฝีมือมนุษย์ตั้งเด่นอยู่ หินสีขาวใสวาววับจนเกือบดูเหมือนหยก เห็นได้ชัดว่าทำมาจากวัสดุที่ไม่ธรรมดา

กงอี๋เซียงล้วงเอากุญแจพวกหนึ่งออกมา จากนั้นคลำไปที่ผนังหินแห่งหนึ่ง แล้วสาละวนอยู่กับการไขกุญแจอยู่เป็นครู่ใหญ่ ในที่สุดก้นทะเลสาบก็มีเสียงกลไกขับเคลื่อนดังขึ้น ทางเดินหินสายหนึ่งยกตัวขึ้นมา ทอดตรงสู่แท่นหินกลางทะเลสาบ

กงอี๋เซียวเอ่ย “ผู้อาวุโส เชิญขอรับ”

ศิษย์หน้าสิบหยิบก้อนหินธรรมดาขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ดูไว้เสีย”

เขาหย่อนหินก้อนนั้นลงในทะเลสาบ ก้อนหินกลับลอยอยู่บนผิวน้ำไม่จมลงไป หลังจากนั้นไม่นานเกิดเสียงดังฉี่ๆ เหมือนกับเสียงทอดเนื้อในกระทะเหล็ก ผิวก้อนหินเดือดเป็นฟอง จากนั้นก็ถูกกัดกร่อนสลายตัวไปอย่างไม่เหลือร่องรอยในเวลาอันรวดเร็ว

ศิษย์หน้าสิวกล่าวอย่างสะใจ “คุกน้ำแห่งนี้ใช้งานไม่บ่อย ใครคิดหนีออกไปจากที่นี่หรือชิงตัวผู้ที่อยู่ข้างในออกมาก็ฝันไปก่อนเถอะ”

เสิ่นชิงชิวถูกน้ำกรดพิฆาตทำช็อคไปแล้ว

หากเกลือกกลิ้งอยู่ในน้ำ สงสัยว่าแม้แต่กระดูกก็ย่อยสลายไม่เหลือ

วังฮ่วนฮวาไม่ใช่สำนักฝ่ายธรรมะรึไง ไปเอาน้ำกรดที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอำมหิตและผิดกฎหมายมาจากไหนมากมายอย่างนี้ล่ะ

ตอนที่เสิ่นชิงชิวเดินไปตามทางเดินหิน เขาพยายามระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีไปตลอดทาง เกิดพลาดท่าลื่นล้มขึ้นมาล่ะก็ไม่สนุกแน่ พอมาถึงแท่นหินใจกลางทะเลสาบ กงอี๋เซียวก็ไขกุญแจอีกรอบ ทางสายน้อยที่ทอดสู่ใจกลางทะเลสาบพลันจมหายลงไป

เสิ่นชิงชิวนั่งลงกับพื้นตรงแท่นหิน มองดูรอบตัว แอบคำนวณอยู่ในใจว่าการท่องกระบี่จะสามารถทำให้ทะเลสาบน้ำกรดหมดความหมายหรือไม่ เพิ่งจะคิดเช่นนี้ก็เห็นกงอี๋เซียงดึงกลไกด้านข้างของรูกุญแจทีหนึ่ง

และแล้วเหนือศีรษะก็มีเสียงน้ำไหลพลั่งๆ เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้นพอดี เห็นน้ำสีเข้มไหลลงมาเป็นสายจาก 4 ทิศ 8 ทาง ก่อเกิดเป็นม่านน้ำที่รัดกุมไร้ช่องโหว่โอบล้อมแท่นหินที่เขาอยู่เป็นรัศมีหกจั้ง

ข้าน้อยผิดไปแล้ว! อย่าว่าแต่คนเลย แบบนี้ต่อให้เป็นแมลงวันก็บินออกไปไม่ได้

ชื่อเสียงของคุกน้ำวังฮ่วนฮวาไม่ใช่เรื่องโคมลอย ไม่แปลกเลยที่ทุกสำนักจะพร้อมใจกันเลือกที่นี่เป็นคุกสาธารณะอย่างเป็นเอกฉันท์

……………………………………..

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าเดี๋ยวจะต้องมีคนมาหาเรื่อง แต่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้

เขาถูกน้ำเย็นเฉียบกะละมังหนึ่งราดศีรษะ

เสิ่นชิงชิวหนาวจนสั่นไปทั้งตัว ตอนแรกยังเข้าใจว่านอนหลับแล้วดิ้นตกลงไปในน้ำ เขาสะบัดศีรษะพยายามกะพริบตา ความรู้สึกที่น้ำเย็นเฉียบไหลเข้าตาช่างเลวร้ายเอามากๆ แต่ก็แน่ใจว่าเป็นแค่น้ำธรรมดา บนร่างมีเชือกมัดเซียน 118 เส้นมัดไว้ถี่ยิบสะกดปราณชีพจรทิพย์เข้าไว้อย่างแน่นหนา ถึงขนาดว่ากระทั่งเลือดลมยังเดินไม่สะดวก ความสามารถในการต้านทานความหนาวเย็นลดลงฮวบฮาบ ตัวจึงสั่นอย่างอดไม่อยู่

ม่านน้ำโดยรอบหยุดไหลแล้ว ทางเดินที่เชื่อมแท่นหินกับโลกภายนอกก็ยกตัวขึ้นมาเช่นกัน

สายตาค่อยๆแจ่มชัด พอเหลือบขึ้นมอง ที่เห็นเห็นอย่างแรกคือรองเท้าปักลวดลายอ่อนช้อยคู่หนึ่ง ครั้นมองเลยขึ้นไปอีกก็เป็นชายกระโปรงสีชมพู

สาวน้อยในชุดสีชมพู สวมเครื่องประดับทั้งตัว คิ้วเรียวยาว ดวงตากลมโตรูปเมล็ดอัลมอนด์ กำลังถือแส้ทองคำเส้นหนึ่ง จ้องมองเขาอยู่

เสิ่นชิงชิวแอบกลอกตามองบนในใจ

ลั่วปิงเหอคนเดียวก็ทรมานทรกรรมผู้คนพอแล้ว แต่บรรดาเมียๆของฝ่ายนั้นคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเข็ดขยาดอย่างแท้จริง ทยอยออกโรงกันมาแบบขี่ม้าชมดอกไม้ทีละคน แข่งกันมาสร้างปัญหาให้เขา ไม่ต้องมากันนักก็ได้ เขาไม่ใช่ไอ้ตัวออริจินอลนั่นซะหน่อย ไม่เคยมีความคิดบัดซบกับสาวงามเลยนะจะบอกให้

สาวน้อยเอาแส้ชี้หน้าเขา “ฟื้นแล้วก็ไม่ต้องทำเป็นแกล้งตาย เปิ่นกงจู่* มีเรื่องจะถามเจ้า”

(เปิ่นกงจู่ คือ คำเรียนตนเองที่มีฐานะเป็นกงจู่(เจ้าของวัง) อย่างภูมิใจในศักดิ์ฐานะของตน โดยการเติมคำว่า เปิ่น มีความหมายว่า ตัวข้าผู้เป็นเจ้าของวังผู้นี้)

ดูจากฐานะและพลังความสามารถของแม่คุณ ต่อให้เวลานี้เสิ่นชิงชิวตกที่นั่งลำบากอย่างไรก็ไม่ถึงตานางมาช่วยสั่งสอนหรอกมั้ง

เสิ่นชิงชิวกล่าว “นี่ดูจะไม่ใช่เรื่องที่กงจู่น้อยพึงกระทำเลยนะ”

นี่ก็คือแก้วตาดวงใจของกงจู่เฒ่า หัวโจกตัวแสบในฮาเร็มของลั่วปิงเหอ นางกล่าวอย่างหยาบคายไร้มารยาท “พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ก็น่าจะรู้ว่าข้ามาทำไมด้วยกระมัง”

ขอบตานางแดงก่ำ กัดฟันกรอด “เจ้าคนถ่อยต่ำช้าที่สมคบคิดกับภพมาร ขายได้กระทั่งเพื่อนร่วมสำนัก นับว่าฟ้ามีตานัก วันนี้เจ้าตกมาอยู่ในมือเปิ่นกงจู่ ข้าจะให้เจ้าเห็นดีแน่”

เสิ่นชิงชิวกล่าว “ดูเหมือนข้าจะยังไม่ได้ยอมรับเลยนะว่าสมคบคิดกับภพมาร”

กงจู่น้อยกระทืบเท้า “เจ้าเข้าใจว่าไม่ยอมรับ ข้าก็จะจัดการเจ้าไม่ได้หรือ เป็นผู้อาวุโสมีชื่อเสียงเสียเปล่า กลับโหดเหี้ยมต่อลั่วเกอเกอ* ถึงขนาดนั้น ชั่วช้าปานนี้ เรื่องอย่างสมคบกับเผ่ามาร ย่อมทำได้แน่”

(哥哥เกอเกอ หมายถึง พี่ชาย เป็นการเรียกอย่างสนิทสนม)

อานุภาพของกรรมพันธุ์ช่างทรงพลังจริงๆ ลอจิกนี้สมแล้วที่เป็นพ่อเป็นลูกกับกงจู่เฒ่า

เสิ่นชิงชิวอับจนคำพูดไปชั่วขณะ “เขาพูดจริงๆหรือว่าข้าเหี้ยมโหดชั่วช้ากับเขา”

กงจู่น้อยกล่าวอย่างสะเทือนอารมณ์ “ลั่วเกอเกอเป็นคนดีปานนั้น ย่อมไม่กล่าวเช่นนี้อยู่แล้ว บาดแผลที่เขาได้รับล้วนเก็บซ่อนในใจ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมให้แตะ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมให้เห็น แต่ท่านเข้าใจว่าเขาไม่พูด ข้าจะมองไม่ออกเชียวหรือ นึกว่าข้าไม่มีตา ไม่มีหัวใจหรืออย่างไร”

อินซะขนาดนี้…เสิ่นชิงชิวขนลุกขนพองไปหมดทั้งตัวแล้ว

นี่มันฉากงานแข่งขันร่ายบทกวีรึเปล่าเนี่ย

เขาไม่รู้เลยว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะให้ฟันร่วงดี ขอโทษทีเหอะ คือก็รู้นะว่าการหัวเราะน้องๆหนูๆที่กำลังดื่มด่ำกับความรู้สึกอันลึกซึ้งมันเป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างแรง แต่นี่มันน่าอายเกินไปแล้วจริงๆ! เป็นฉากที่น่าอาย!

ฮาเร็มของลั่วปิงเหอที่ใหญ่โตมโหฬารมีบรรยากาศมาคุมาก เรื่องวุ่นวายที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจไม่ว่าจะรูปแบบไหนล้วนมีหมด มักมากไปจนเคี้ยงไม่ละเอียดก็เป็นเช่นนี้แหละ มีแต่ปริมาณไม่มีคุณภาพ แถมยังเป็นผลงานของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ไอ้โอตาคุที่ในชีวิตได้แตะมือน้อยๆของหญิงสาวมาไม่กี่ครั้งแต่ดันอยากแต่งนิยายฮาเร็มกับเค้ามั่ง ลั่วปิงเหอเลยต้องรับกรรมไปเต็มๆ สมน้ำหน้าแล้ว ฮ่าๆๆๆ

กงจู่น้อยพลันกล่าวอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้น”

เสิ่นชิงชิวรีบเก็บอาการทำหน้าให้นิ่งๆ ล่วงเกินสาวน้อยคนนี้ย่อมมีแต่ผลร้ายไม่มีผลดี จริงดังคาดกงจู่น้อยโมโหเดือดขึ้นมาทันควัน “เมื่อครู่เจ้าหัวเราะเยาะข้าใช่หรือไม่”

กงจู่น้อยเดิมทีหลงรักกงอี๋เซียวที่เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่กันมา แต่พอลั่วปิงเหอปรากฎตัวก็ทุ่มเทความรักให้พระเอกจนหมดหัวใจ ช่วยไม่ได้ นับแต่โบราณมา ม้าไม้ไผ่สู้กับสายเลือดของเทวดาตกสวรรค์ เทวดาตกสวรรค์ก็ต้องชนะอย่างไม่ต้องสงสัย พล็อตปันใจเป็นอื่นในนิยายแนวฮาเร็มมีให้เห็นบ่อยจนเป็นเรื่องธรรมดา เพราะในโลกนี้มีแฟนๆสาย NTR อยู่มากมาย ไม่ว่าจะแนว NTR คนอื่น หรือแนวถูกคนอื่น NTR นักอ่านย่อมได้รับความบันเทิงจากพล็อตลักษณะนี้ไปอีกแบบ

คนที่ปันใจเป็นอื่นนั้นมักถามว่าพวกเขาผิดหรือที่ต้องการรักแท้ แต่ยังไงในใจก็รู้สึกผิดอยู่ดี พอเห็นคนอื่นทำหน้าแปลกๆ ก็จะนึกเอาว่าเขากำลังหัวเราะเยาะตน กงจู่น้อยอับอายจนพาลโกรธขึ้นมา สะบัดแส้ใส่เดี๋ยวนั้น

แส้นั้นฟาดมาอย่างแรง แหวกฝ่าอากาศเสียงแหลมสูง เสิ่นชิงชิวแม้ถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้ไม่อาจโคจรพลังทิพย์ แต่มือเท้ายังใช้การได้อยู่ เขากลิ้งตัวหลบวูบ แส้จึงฟาดพื้นเฉียดเท้าเขาไปไม่ถึง 3 ฉื่อ

แท่นหินถูกฟาดจนแตกเป็นสะเก็ดปลิวฟุ้ง เสิ่นชิงชิวยันเข่าข้างหนึ่งกับพื้นทรงตัวไว้

ไรวะ ผู้หญิงคนนี้ทำไมต้องเอาแส้เหล็กปลายหนามมาใช้ เล่นแบบนี้ไม่ถูกนะ

ที่ไม่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ แส้เหล็กวิเศษของกงจู่น้อยในนิยายดั้งเดิมมันเอาไว้สู้กับศัตรูหัวใจไม่ใช่เรอะ มันเป็นอุปกรณ์สำหรับตบตีกับพวกผู้หญิงด้วยกันเพื่อแย่งผู้ชาย ปกติเอาไว้ฟาดใส่สาวสวยที่ลั่วปิงเหอชายตามองนานหน่อยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเอามันมาใช้ฟาดผู้ชายล่ะ แส้เธอมันร้องไห้แล้วนะนี่ เธอได้ยินไหม!

พอได้แล้ว อย่าเอาบทแบบนี้มาให้ฉันได้ม้าย!

กงจู่น้อยฟาดไม่โดน ก็ยิ่งเดือดดาล สบถออกมาคำหนึ่ง ชักแส้กลับไป พื้นที่บริเวณแท่นหินกว้างขวางสักแค่ไหนกัน

เสิ่นชิงชิวถูกมัดอยู่ ต่อให้รวดเร็วกว่านี้ก็เลี่ยงไม่ให้โดนแส้ยาก ทำเอาเสื้อผ้าฉีกขาดไปหลายแห่ง ดีที่ยังไม่บาดเข้าเนื้อ แต่หลบไปหลบมาก็หลบมาจนถึงสุดขอบแท่นหิน ไม่ช้าก็พบว่าถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้ว คงต้องฝืนใจรับแส้ไปทีหนึ่ง เสิ่นชิงชิวกัดฟันนิ่ง หลับตารอความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น

แต่ผ่านไปนานแล้ว ก็ยังไม่รู้สึกเจ็บผิวเนื้อตรงไหน

เขาลืมตาเดี๋ยวนั้น หัวใจพลันดิ่งวูบ

ลั่วปิงเหอคว้าแส้ไว้ด้วยมือเปล่า ในดวงตาราวกับมีลูกไฟปีศาจสองดวงลุกเรือง ทั้งเย็นเยือกทั้งน่ากลัว

เขาถามทีละคำ น้ำเสียงเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ “เจ้ากำลังทำอะไร”

กงจู่น้อยไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกใจจนสะดุ้งโหยง แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจอย่างแท้จริง คือสีหน้าดุดันเย็นชาบนหน้าเขาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนพาให้นางตัวสั่นเทาอย่างอดไม่อยู่

เท่าที่รู้จักกันมา ลั่วปิงเหอมักอ่อนโยน มีท่าทีสบาย พูดจาเอาอกเอาใจคนเก่ง ไหนเลยจะเคยใช้สายตาราวกับฆาตกรฆ่าหั่นศพมองคนแบบนี้

กงจู่น้อยผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว กล่าวตะกุกตะกัด “ขะ…ข้า…ข้าไปขอป้ายหยกของท่านพ่อมาไต่สวนเขา…”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างเย็นชา “4 สำนักจะทำการไต่สวนในอีก 1 เดือนให้หลัง”

กงจู่น้อยพลันน้อยอกน้อยใจ กรีดร้องลั่น “เขาทำร้ายศิษย์พี่ศิษย์น้องข้าไปมากมายปานนั้น มิหนำซ้ำยังไม่ดีต่อเจ้า ข้ามาสั่งสอนเขาสักครั้งจะเป็นไรไป”

ลั่วปิงเหอยึดแส้ของนางไว้ มองดูหนามแหลมคมบนตัวแส้ราวกับความว่างเปล่า ทั้งที่ไม่ทันเห็นว่าฝ่ามือออกแรงแต่อย่างใด พอคลายนิ้วทั้งห้าอีกที แส้วิเศษเส้นนั้นก็กลายเป็นเศษเหล็กกองหนึ่งทันที

ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเฉยชา “กลับไป”

กงจู่น้อยเบิกตามองดูของรักของหวงกลายเป็นเศษขยะกองหนึ่งแบบนี้ แล้วกรีดร้องอย่างไม่อยากเชื่อ

นางร้องไห้โฮ ชี้หน้าเสิ่นชิงชิว จากนั้นชี้หน้าลั่วปิงเหอ “จะ…เจ้าทำเช่นนี้กับข้าหรือ ข้าระบายแค้นให้เจ้า เจ้ากลับไม่ยอมให้ข้าแตะต้องเขาหรือ”

ลั่วปิงเหอไม่หือไม่อือ เอาเศษซากแส้ในมือที่เหลือโยนลงทะเลสาบ เสียงโลหะกัดกร่อนดังฉี่ๆ มาเข้าหูไม่หยุด

กงจู่น้อยชมดูจนริมฝีปากสั่นระริก

พริบตานั้น นางพลันรู้สึกว่าสิ่งที่ลั่วปิงเหอปรารถนาจะบีบให้หักเป็นชิ้นๆแล้วโยนลงน้ำคือนางต่างหาก ทั้งไม่ได้ดูเหมือนล้อเล่นเลยสักนิด

กงจู่น้อยเสียใจ ตวาดลั่น “ข้าทำเพื่อเจ้าแท้ๆ!” ตวาดเสร็จก็หมุนกายวิ่งจากไปทั้งน้ำตา

เสิ่นชิงชิวกู่ร้องในใจ เฮ้ย บทมันไม่ถูกนะ ทำไมมันแหม่งๆงี้ล่ะ

ยังไม่ทันจะกู่ร้องเสร็จ สายตาของลั่วปิงเหอก็ย้ายมาจับที่ร่างเขา

เสิ่นชิงชิวหายใจไม่ทั่วท้องไปครู่หนึ่ง ในเวลาเช่นนี้เขายอมโดนกงจู่น้อยเอาแส้โบยสัก 180 ทียังจะดีเสียกว่า อย่างมากก็เจ็งตามเนื้อตามตัว ยังไงก็ดีกว่าอยู่ตามลำพังกับลั่วปิงเหอในห้องที่ปิดมิดชิดเยี่ยงนี้ แบบนี้ไม่ว่าตรงไหนเดี๋ยวต้องเจ็บไปหมดแน่นอน

สองคนจ้องตากันในความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลั่วปิงเหอก็เดินเข้ามาหนึ่งก้าว

เสิ่นชิงชิวกระถดกายหนีเพื่อคงระยะห่างเอาไว้อย่างเคร่งครัดโดยไม่รู้ตัว

มือของลั่วปิงเหอที่ยื่นออกไปชะงักค้างกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักกลับไป

เขาแค่นเสียง “ซือจุนไฉนต้องหวาดระแวงขนาดนี้ หากข้าคิดทำอะไรท่าน ไม่จำเป็นต้องแตะตัวท่านเลยสักนิด”

นี่เป็นความจริง เลือดของมารฟ้าเข้าสู่ท้องแม้เพียงหยดเดียว ก็เหมือนมีระเบิดเวลาลูกหนึ่งฝังอยู่ในร่างกาย อะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ขอแค่ลั่วปิงเหอเกิดความคิด กระดิกนิ้วทีเดียวก็สามารถทำให้ลำไส้เขาเน่า เจ็บปวดจนอยากตายไปให้พ้นๆเลยทีเดียว

เสิ่นชิงชิวนั่งในท่าขัดสมาธิ เหลือบตาขึ้นมองลั่วปิงเหอ

1 เดือน

จะอะไรก็ขอให้ประคองผ่านไปให้ได้อีก 1 เดือน หลังจาก 1 เดือนแล้ว ทะเลกว้างใหญ่ท้องฟ้าสูงไกล จะไปไหนก็ได้ เรื่องบ้าบอคอแตกพวกนี้ พ่อก็ไม่สนแล้ว

คนทั้งสองต่างเงียบกันไป เสิ่นชิงชิวขบคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการจะทำอะไรข้าก็ไม่ต้องรีบร้อนไป รอจน 4 สำนักตัดสินคดีเสร็จ ชื่อเสียงข้าฟอนเฟะ ไม่เหลือที่ยืนอีกต่อไป ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยสะสางบัญชี จะมิใช่ทั้งชอบธรรมและสะใจกว่าหรือ”

คำพูดนี้ของเขาเป็นการพูดตามสิ่งที่อยู่ในใจลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมทั้งหมด ว่ากันตามเหตุผลแล้ว น่าจะโดนใจลั่วปิงเหออย่างมากถึงจะถูก แต่กลับเป็นตรงกันข้าม สายตาของลั่วปิงเหอไม่เพียงไม่สดใสขึ้น หากแต่เย็นเยียบยิ่งกว่าเก่า

เขาหรี่ตา “ทำไมซือจุนถึงได้แน่ใจว่า ผลการตัดสินจะออกมาว่ามีความผิด”

เสิ่นชิงชิว “นี่ต้องถามเจ้าแล้ว หรือไม่ใช่”

ลั่วปิงเหอย้อนถาม “ถามข้าหรือ” เขาหัวเราะเสียงเย็น “เป็นข้าอีกจนได้”

เสิ่นชิงชิวพูดไม่ออก

เนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจินหลันเป็นส่วนที่เสิรมเพิ่มมา ตามเส้นเวลาของนิยายดั้งเดิมแล้ว เวลานี้ลั่วปิงเหอยังควรที่จะฝึกฝนเก็บเลเวลอยู่ในโลกล่าง ยังไม่ออกมาปรากฏตัว เสิ่นชิงชิงไม่อาจใช้ประโยชน์จากมุมมองของพระเจ้าได้ แต่เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเคยกล่าวไว้เรื่องหนึ่ง พอลั่วปิงเหออัปเลเวลเสร็จ หลังจากกลับคืนสู่พื้นพิภพ แผนร้ายและการเข่นฆ่าสังหารทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับเขา คิดอย่างไร ผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือเขา

ลั่วปิงเหอสีหน้าอึมครึม เอามือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าเสิ่นชิงชิว แต่แล้วจู่ๆก็หันกลับมา ถามเสียงเข้ม “ขอบังอาจถามซือจุน เผ่ามารทั้งหมดในหล้าที่ฆ่าคนวางเพลิง ก่อกรรมทำเข็ญ บาปกรรมเหล่านี้ล้วนเอามาสุมบนหัวข้าหรือ”

เสิ่นชิงชิวเลิกคิ้ว

เห็นเขาไม่ตอบ ลั่วปิงเหอก็ค่อยๆกำหมัด กล่าวต่อ “เมื่อก่อนเคยเชื่อใจข้าถึงขนาดนั้น มาตอนนี้กลับสงสัยไปหมดว่าข้าซ่อนเร้นเจตนาไม่ดี ความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์สำคัญถึงปานนั้นเชียวหรือ จึงสามารถทำให้ท่านเปลี่ยนท่าทีต่อคนผู้หนึ่งได้อย่างสิ้นเชิงเช่นนี้”

เสิ่นชิงชิวอดใจไม่ไหว รวบรวมความกล้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็มีเรื่องอยากถามเจ้าเหมือนกัน”

ลั่วปิงเหอเบือนหน้ามา “ศิษย์น้อมรอฟัง”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “แฝงตัวอยู่ในวังฮ่วนฮวา เจ้าอาจปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในใจ เช่นนั้นแท้จริงแล้วเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

ทำไมพระเอกถึงไม่เดินไปตามเนื้อเรื่องเดิมล่ะนี่ ความกดดันที่ได้รับจากเนื้อเรื่องและระบบ คำถามนี้ถ้าไม่ถามออกไปเขาคงนอนตาไม่หลับ

พอได้ยินคำถามนี้ลั่วปิงเหอก็ชะงัก ขยับริมฝีปากเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอดในที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมา

เสิ่นชิงชิวนึกประหลาดใจอยู่บ้าง “ตอบไม่ได้หรือ”

ในนิยายดั้งเดิมวาจาของลั่วปิงเหอคล่องแคล่วลื่นไหล คนเดียวก็เอาชะนะได้ทั้งชางฉยงซาน หรือนี่เป็นผลลัพธ์จากการผ่านด่านห้วงอเวจีเร็วเกินไป ไม่ได้ฝึกฝนเก็บเลเวลให้ดี เทคนิคการตีฝีปากเลยฝึกได้ไม่ดีไปด้วย…

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “อย่างไรซือจุนก็ไม่เชื่อข้าอยู่ดี ตอบหรือไม่ตอบ แตกต่างกันตรงไหน”

ในคุกอันมืดสลัว ผิวน้ำกระเพื่อมพรายภายใต้แสงไฟ ใจของเสิ่นชิงชิวดูเหมือนจะสั่นกระเพื่อมตามไปด้วย

เผชิญหน้ากันในความเงียบได้สักพัก จู่ๆลั่วปิงเหอก็กล่าวขึ้น “แต่ข้ามีคำถามหนึ่งที่หวังว่าซือจุนจะตอบอย่างจริงใจ”

เขาเม้มปาก กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ข้อเดียวเท่านั้น”

เสิ่นชิงชิวเอ่ย “ว่ามา”

ลั่วปิงเหอสูดลมหายใจเบาๆ

เขากล่าวเสียงแผ่ว “ท่านเคยนึกเสียใจหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวนิ่งเงียบไม่ตอบคำ กลอกตามองลั่วปิงเหอจากศีรษะจรดปลายเท้าตลบหนึ่ง

คำว่า ‘เคยนึกเสียใจ’ นี้ เอาแบบเต็ม ไม่ย่อ ควรต้องถามว่า ‘ที่ถีบลั่วปิงเหอลงไปในห้วงอเวจี เขาเคยนึกเสียใจหรือไม่’

เหลวไหล เขาต้องเสียใจอยู่แล้วซิ เสียใจจะตายอยู่แล้ว แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำถามนี้ของลั่วปิงเหอมันคืออะไรกัน

ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังขมับเต้นตุบๆนั่นเอง เบื้องหน้าพลันมีหน้าต่างข้อความใหญ่ยักษ์เด้งออกมา

ระบบ [โปรดเลือกคำตอบจากตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[A : เสียใจ เหวยซือเสียใจแต่แรกแล้ว สองสามปีมานี้ไม่ว่าเวลาไหนก็คิดตลอดว่านึกเสียใจก็สายไปแล้ว]

[B : (หัวเราะหยัน) เห็นสภาพเจ้าในยามนี้ก็รู้ว่าไม่จำเป็นจะต้องนึกเสียใจเลย]

[C : เงียบต่อไป]

จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย

พออัปเกรดมาแล้วกลายเป็นแบบนี้เหรอ

แล้วไอ้ประโยคในวงเล็บนั่นใส่มาทำบ้าอะไร แม้แต่น้ำเสียงกับสีหน้าก็กำหนดมาให้เสร็จสรรพ นี่แกคิดว่าเล่น GalGame* อยู่เรอะ

(Gal Game เป็นวิดีโอเกมจากญี่ปุ่น หรือบางครั้งเรียกเกมจีบสาว เนื่องจากเป็นเกมที่ผู้เล่นจะได้ผจญภัยและมีปฏิสัมพันธ์รูปแบบต่างๆกับตัวละครหญิงในเกม โดยเลือกไดอะล็อคคำพูดและท่าทางต่างๆจากตัวเลือกที่เกมมีให้)

แบบนี้เอาเวอร์ชั่นเดิมก่อนอัปเกรดยังดีกว่าอีก รีบ Install เวอร์ชั่น 1.0 กลับคืนอย่างไวเลย จะขอบใจมาก

หน้าผากเสิ่นชิงชิวเต็บไปด้วยขีดดำเรียงแถวกัน “ข้อ A ก็เฟคเกินไป ถ้าผมเป็นลั่วปิงเหอ ผมก็ไม่เชื่อหรอก แถมยังจะอ้วกด้วย ข้อ B นี่มาได้ไง คุณไม่พอใจที่คราวก่อนเขาไม่บีบคอผมตายใช่ไหม”

ระบบ [โปรดเลือก]

เสิ่นชิงชิว “ข้อ Cๆๆๆ!”

ระบบ [ค่าความบึกซึ้งด้านปรัชญาของภาพลักษณ์เพิ่มขึ้น 10 คะแนน]

เสิ่นชิงชิวถาม “ใครบอกผมได้บ้างว่าไอ้ค่าความลึกซึ้งด้านปรัชญามันวัดจากอะไร”

เขาจึงสายตาไม่วอกแวก คงความเงียบเอาไว้

ลั่วปิงเหอรอ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ มือที่กำเป็นหมัดแน่นค่อยๆคลายออก กล่าวเยาะตัวเอง “ทั้งๆที่รู้คำตอบ กลับยังจะถามคำถามนี้กับซือจุน ข้าก็โง่เง่าพอแล้ว”

หากไม่รู้อยู่ก่อนว่าลั่วปิงเหอคือแหล่งพลังงานทั้งหมดของโลกใบนี้ เสิ่นชิงชิวจะต้องนึกสงสัยว่าเขาถูกสวมร่างมาแน่

และหากมิใช่เพราะมุมมองของพระเจ้าเลยรู้เรื่องราวทั้งหมด เสิ่นชิงชิวจะต้องนึกสงสัยแน่ว่าลั่วปิงเหออาจกำลังเศร้าเสียใจอยู่จริงๆ

พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า เสิ่นชิงชิวหลับตา นั่งขัดสมาธิไปอย่างเงียบเชียบ

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ลั่วปิงเหอก็แค่นเสียงเบาๆอีกครั้ง “ซือจุนมักสงวนวาจา แต่เมื่อก่อนยังพูดกับข้ามากกว่านี้ พอมาตอนนี้กลับไม่ยอมพูดอะไรแล้ว”

เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงก็เปลี่ยนกะทันหัน ยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่ไม่เป็นไร ข้าย่อมมีวิธีทำให้ท่านเปิดปากเอง”

ประโยคสุดท้ายเพิ่งจะพูดเสร็จ เสิ่นชิงชิวก็ตาเบิกโพลง

ในส่วนลึกที่สุดของท้องน้อยพลันเจ็บแปลบเป็นระลอก

พูดก็ไม่พอใจ ไม่พูดก็ไม่พอใจ นายจะทำแบบนี้ทำไม ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซะหน่อย

หลังจากนั้นไม่นานความเจ็บแปลบหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังไต่มาตามเส้นเลือด

โลหิตมารฟ้ากบดานอยู่ในร่างมาหลายวัน ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของร่างกาฝากได้แล้ว เวลานี้ได้รับคำสั่งกระตุ้นจากผู้เป็นนายตัวจริง แข็งตัวแปรสภาพเป็นหนอน เริ่มหยั่งเชิงไปตามอวัยวะทั่วร่างกาย

ลั่วปิงเหอกล่าวไปทีละคำอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ม้าม ไต หัวใจ ปอด”

เขาเอ่ยชื่อตำแหน่งใดมา ตำแหน่งนั้นจะเกิดอาการเจ็บคันขึ้น ทั้งคันทั้งเจ็บ เหมือนถูกฟันเล็กขบย้ำถี่ๆ ควบคู่ไปกับความรู้สึกแสบร้อนอยู่ในที

แม้ไม่เจ็บขนาดจะขาดใจ แต่แค่นี้ก็เหลือจะพอแล้ว

เสิ่นชิงชิวนั่งไม่ไหว จำต้องลงไปนอนกับพื้นอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามฝืนไม่ขดตัวเป็นก้อนกลม เหงื่อเย็นไหลลงมารวมกันเป็นกระจุกอยู่ที่คาง

ท่าทางของลั่วปิงเหอในที่สุดก็ตรงกับคาแลคเตอร์สักที

แต่ตอนนี้กลายเป็นเขาที่อาการแย่ ปวดท้องสุดๆหรือที่สาวๆปวดประจำเดือนมันเป็นแบบนี้นี่เอง

ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงนุ่ม “ซือจุน ท่านอยากให้กัดตรงไหนหรือไม่”

ตรงไหนก็ไม่อยากทั้งนั้นแหละ

ที่แม้มันยังไม่กัดหรือนี่ แล้วถ้ามันกัดจะเป็นความรู้สึกแบบไหน

เสิ่นชิงชิวตบเรียกระบบป้าบหนึ่ง “ช่วยหาวิธีหน่อยได้ไหม จะดีจะชั่วผมก็ถือว่าเป็นลูกค้าคุณนะ”

ระบบ [ต้องการเปิดใช้งานไอเทมสำคัญ : จี้กวนอิมหยกปลอมหรือไม่ โปรดทราบ ไอเทมนี้จำกัดการใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น]

เสิ่นชิงชิว “ตอนนี้ค่าความโกรธของลั่วปิงเหอเป็นเท่าไหร่”

ระบบ [30 คะแนน]

เสิ่นชิงชิว “ทำไมต่ำขนาดนี้เนี่ย แน่ใจหรือว่าไม่ได้คำนวณพลาด นี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยนะ”

เอาไอเทมชั้นเทพที่สามารถสลายความโกรธได้ 5,000 คะแนนมาใช้กับ 30 คะแนน ไม่เอาเด็ดขาด

เสิ่นชิงชิว “ยังมีตัวเลือกอื่นไหม ตัวเลือกอันดับรองลงมาที่ยูสเซอร์วงในชื่นชมคืออะไร

ระบบ [ต้องการเปิดใช้งานตัวสร้างสถานการณ์หรือไม่]

ชื่อนี้ฟังแล้วเหมือนไม่ค่อยมีระดับเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเป็นตัวเลือกอันดับ 2 ก็เอาแหละ เสิ่นชิงชิวกดเลือกอย่างไม่ลังเล

ลั่วปิงเหอหัวเราะหยัน “ไม่อยากมองข้า ทั้งไม่อยากพูดกับข้าก็แสดงว่ารังเกียจว่าข้าสกปรกหรือ” กล่าวพลาวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ลั่วปิงเหอแค่นเสียง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่มีทางยอมให้ท่านได้สมใจหรอก” ว่าแล้วก็ยื่นมือมาจะกระชากไหล่เสิ่นชิงชิว

เห็นเขาขยับ เสิ่นชิงชิวก็หดกายหนีตามสัญชาตญาณ ลั่วปิงเหอคว้าพลาด เพียงกระชากผ้าขาดติดมือไปชิ้นหนึ่ง

เดิมทีเสื้อนอกตัวนี้ก็ถูกแส้ของกงจู่น้อยฟาดจนเปื่อยขาดเป็นริ้วๆอยู่ก่อนแล้ว พอดึงนิดเดียวก็หลุดออกมาจากไหล่เป็นแถบ

คนทั้งคู่คาดไม่ถึงกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ต่างตกตะลึงตัวแข็งอยู่กับที่ไปทั้งคู่

เสิ่นชิงชิวเพิ่งถูกน้ำเย็นสาดหน้า ถึงตอนนี้เสื้อผ้าเส้นผมเปียกลู่แนบติดกับผิวขาวๆโดยมีเชือกมัดเซียนเส้นเล็กราวกับด้ายแดงพันมัดทั่วร่าง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงจนไม่อาจตื่นตะลึงไปได้มากกว่านี้ แต่พอมองทั้งตัวแล้วก็ยังคง…ดูไม่เรียบร้อย…อย่างมาก

ลั่วปิงเหอเบิกตาค้างไปเลย

ตะลึงอยู่ชั่วขณะก็พลันเรียกสติคืนกลับมาได้ ราวกับถูกเหล็กตีตราร้อนๆนาบ เขาสะบัดมือหมุนกายทันที

การหมุนตัวออกห่างของลั่วปิงเหอ ทำให้หนอนกู่โลหิตที่เดิมทีดิ้นยุกยิกอยู่ในร่างเหมือนจะได้รับความตกใจไปด้วย พากันสลายตัว อาการเลือดลมติดขัดเมื่อครู่หายหมดสิ้นทันที

เสิ่นชิงชิวหอบหายใจ แอบน้ำตาไหลพราก ป้าใหญ่* ไปซะที

(ป้าใหญ่มา คือ คำสแลงของคำว่าประจำเดือนมา เสิ่นชิงชิวจึงเล่นคำ ป้าใหญ่ไป แปลว่า ประจำเดือนหมดแล้ว)

ตกลงไอ้ ‘ตัวสร้างสถานการณ์’ ที่ว่า มันทำงานยังไงของมันนี่ ทำให้เขาเสื้อผ้าขาดกระจุยเนี่ยนะ แบบนี้เรียกว่า ‘ตัวทำเสื้อขาด’ ไปเลยไม่ดีกว่าเรอะ อาศัยหลักการพื้นฐานอะไรของมัน อาศัยหลักการว่าพอลั่วปิงเหอเห็นผู้ชายเกือบเปลือยจะเกิดปฏิกิริยารังเกียจงั้นเรอะ

ลั่วปิงเหอยืนตัวแข็งหันหลังให้เขาอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนไม่รู้จะเอามือเท้าไปวางไว้ที่ไหน แต่แล้วก็โยนเสื้อตัวนอกเหวี่ยงมาข้างหลัง

เสื้อตัวนอกร่วงโปะลงมาใส่หน้าเสิ่นชิงชิวเต็มๆ

เสิ่นชิงชิง “…”

ทำแบบนี้หมายความว่าไง

ฉากนี้ ท่าทางนี้ ทำไมถึงได้ทำให้รู้สึกอึดอัดขัดใจอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้ มันทำให้เขาอดนึกไปถึงฉากวาบหวิวตามสูตรไม่ได้ ‘หลังจากช่วยหญิงสาวให้รอดพ้นจากการถูกย่ำยีมาได้ ชายหนุ่มก็ถอดเสื้อของตัวเองให้เธอคลุมกายเพื่อคลายหนาว’

เสิ่นชิงชิวขนลุกเกลียว พอขยับแขนเลยทำให้เสื้อตัวนอกสีดำไถลหลุดจากไหล่

เสื้อตัวนอกสีดำเนื้อนุ่มร่วงลงพื้น เส้นสีเงินยวงที่ปักแทรกในเนื้อผ้าอย่างประณีตสะท้อนแสงวาบ

ลั่วปิงเหอได้ยินเสียงสวบสาบ จึงหันมาก็เห็นเสื้อนอกกองอยู่ที่พื้น ส่วนเสิ่นชิงชิวกำลังเขี่ยๆมันมาทางนี้อย่างระแวง

ความจริงเสิ่นชิงชิวกำลังครุ่นคิดว่าต้องพับเสื้อให้ลั่วปิงเหอไหม ใครจะไปนึกว่ายังไม่ทันลงมือทำ พอเงยหน้าขึ้นลั่วปิงเหอก็หันกายมาแล้ว แสงไฟในดวงตาลุกเรืองเจิดจ้า ดูท่าความโกรธจะเพิ่มขึ้นแล้ว เอ็นเขียวๆบนหลังมือปูดโปน นิ้วเหยียดแล้วงอสองสามครั้ง ฟาดออกไปสองสามทีอย่างจะระบายความโกรธ

การฟาดออกมาสองสามทีนี้ความจริงเป็นคอมโบชุดเดียว ไม่ได้มีเป้าหมายไปที่ใครทั้งนั้น เขาฟาดไปที่ผิวน้ำ ทำเอาน้ำแตกกระจายตูมใหญ่บานกระเซ็นไปไกล และยังฟาดไปที่ผนังถ้ำทีหนึ่งจนระเบิดออกเป็นรูเบ้อเริ่มเศษหินร่วงกราว คบไฟที่ปักอยู่ตามผนังได้รับความกระทบกระเทือน ร่วงลงทะลสาบแต่ไม่ดับ กลับยังคงลอยตัวลุกโชนต่อบนผิวน้ำ แสงไฟอาบจับใบหน้าของลั่วปิงเหอเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ไอปีศาจพวยพุ่ง

เขาชักมือกลับ “เกือบลืมไป ของที่ผ่านมือเผ่ามาร ซือจุนย่อมรังเกียจ”

พระเอกผู้ยิ่งใหญ่ดันแสดงอาการโมโหแบบไม่มีเหตุผล โดยไม่ห่วงภาพลักษณ์แถวนี้เนี่ยนะ แบบนี้ต่างอะไรกับเด็กเอาแต่ใจที่โมโหก็เตะทำลายกองของเล่นล่ะ หมดท่าหมดราคา

ผนังถ้ำดีๆถูกฟาดจนเป็นหลุมเป็นบ่อ ลั่วปิงเหอระบายอารมณ์เป็นที่พอใจ เขาหมุนกายกลับมา

เสิ่นชิงชิวยังคงอยู่ในท่าสังเกตการณ์อยู่ข้างๆอย่างไม่มีอะไรจะทำ เส้นเอ็นเขียวบนขมับของลั่วปิงเหอเหมือนจะเต้นกระตุกสองสามครั้ง เขากัดฟันกรอด “ข้าจะคอยดูให้เห็นกับตา อีก 1 เดือนชื่อเสียงท่านจะป่นปี้อย่างไร”

กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที ตอนจะออกจากปากถ้ำเขาฟาดกลไกที่ผนังอย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ม่านน้ำไหลลงมาพลั่งๆ

เสิ่นชิงชิวนั่งอยู่ที่เดิม แหงนหน้ามองเหม่อ ยังงงอยู่เลย ตนตกต่ำจนกลายมาเป็นักโทษในกำมือเขาแล้ว งั้นเพลิงโทสะนี้ยังมาจากไหนอีกล่ะ

ลมในทะเลสาบพัดซู่ซ่าเย็นยะเยือก เสื้อผ้าก็เปียกแนบเนื้อ ทำเอาเสิ่นชิงชิวหนาวจนตัวแข็งปากสั่น

เสื้อของลั่วปิงเหอยังคงกองอยู่กับพื้นด้านข้าง

เสิ่นชิงชิวพลันนึกขึ้นได้ อันที่จริงลั่วปิงเหอสมัยฝึกวิชาอยู่ที่ชิงจิ้งเฟิงไม่เคยมีช่วงที่โมโหร้าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอารมณ์เสียของขึ้นง่ายเหมือนอย่างตอนนี้ แต่ตอนที่เขาสะบัดแขนเสื้อก่อนจากไปด้วยอาการโกรธเกรี้ยวนั้นกลับทำให้เสิ่นชิงชิวเห็นเงาของลูกแกะน้อยแสนงอนในอดีตขึ้นมานิดๆ

นึกแล้วก็กลับมาหนาวกายต่อ อยากจะจาม เสิ่นชิงชิวเลยได้แต่เอานิ้วคีบเสื้อสีดำตัวนั้นมาคลุมร่างอย่างอิดออด

ทำไงได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้เขาปากว่าตาขยิบหรอกนะ เพียงแต่ต่อหน้าลั่วปิงเหอ มันทำอะไรอย่างนั้นไม่ได้จริงๆต่างหาก

ในนิยายดั้งเดิม ทุกครั้งที่ปั้บๆๆ เสร็จ ที่ลั่วปิงเหอเอาเสื้อคลุมร่างให้สาวๆ ก็เสื้อตัวนี้ไม่ใช่เหรอ

อยู่ต่อหน้าพระเอก จะให้เขารับเสื้อมาสวมได้ไงล่ะ

……………………………..

เสิ่นชิงชิวพบว่า ขอเพียงเขาคิดจะนั่งสมาธิหรือเข้าฌานสักหน่อย ก็มักมีปัจจัยรบกวนจากภายนอกสารพัด เช่น คราวก่อนในถ้ำหลิงซี หรืออย่างคราวนี้ในคุกน้ำก็ด้วย

ทางเดินหินยกตัวขึ้น ม่านน้ำหยุดไหล

กงอี๋เซียวเดินมาตามทางเดินหินอย่างรีบร้อน แต่พอเห็นเสิ่นชิงชิวก็เท้าลื่นก้าวพลาดทีหนึ่ง เขากล่าวตะกุกตะกัก “ผะ…ผะ…ผู้อาวุโสเสิ่น ท่าน…”

เสิ่นชิงชิวอดแปลกใจไม่ได้ “ข้าทำไมรึ”

กงอี๋เซียวตีหน้าไม่ถูก เหมือนไม่รู้ว่าควรหมุนตัววิ่งหนีดีไหม เขาลังเลหยุดอยู่ด้านนอกแท่นหิน ไม่ยอมเดินต่อ

เสิ่นชิงชิวก้มมองตามสายตาของเขา

กงอี๋เซียงกล่าวอย่างลังเล “เสื้อตัวนั้นดูเหมือนจะ…”

เสิ่นชิงชิวตอบ “แค่กๆ ก็เสื้อลั่วปิงเหอน่ะแหละ”

กงอี๋เซียวเพิ่งจะตั้งตัวได้ รีบกระแอมบ้างทีหนึ่ง “ผู้อาวุโสเสิ่น 2 วันมานี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

เสิ่นชิงชิวตอบ “ไม่เลว”

แต่อย่าให้ป๊อปปูล่าห์ไปมากกว่านี้เลย ใน 2 วันมีคนมาเยี่ยมถึง 3 คน ห้องเดี่ยวแบบเดอลุกซ์ที่ใช้เป็นห้องขังเขาชั่วคราวนี้ จะต้องป๊อปปูล่าร์ที่สุดนับแต่มีการสร้างคุกน้ำแห่งนี้มาเป็นแน่

กงอี๋เซียวกล่าวว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานศิษย์พี่ลั่ว…ตอนออกไปโมโหหนักมาก ผู้เยาว์ยังห่วงอยู่เลยว่าเขาจะทำอะไรผู้อาวุโสเสิ่นหรือไม่…” ปากพูดไป ส่วนสายตาเหลือบมองเสื้อตัวนอกนั้นอย่างอดไม่ได้

เสิ่นชิงชิวถูกเขาจ้องเสียจนทนไม่ไหว ต้องรวบอกเสื้อให้กระชับขึ้นไปอีก

เขาจะทำอะไรได้เล่า ก็แค่ฟาดถ้ำพังไปครึ่งหนึ่งด้วยความโมโหเท่านั้นแหละ ว่าแต่สายตาที่มองแบบนี้น่ะ มันหมายความว่าไง!

เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “ลั่วปิงเหออยู่ในวังฮ่วนฮวาเหมือนปลาได้น้ำโดยแท้”

กงอี๋เซียวหัวเราะฝึดๆ “ไม่เพียงเท่านั้น ศิษย์พี่ลั่วพลังทิพย์แข็งแกร่ง จัดการเรื่องราวได้รวดเร็วเฉียบขาด ผู้อื่นได้แต่ถูกเขาทิ้งห่างอย่างไม่เห็นฝุ่น ไม่แปลกที่ซือจุนจะให้ความสำคัญต่อเขาปานนี้ หากมิใช่เพราะเขายืนกรานไม่ขอทำพิธีกราบอาจารย์ เกรงว่าตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ในวันนี้คงไม่ตกมาถึงข้าเป็นแน่”

เสิ่นชิงชิวมองเขาด้วยแววตาแฝงความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้ง

กงอี๋เซียวเก็บงำสีหน้าให้เรียบร้อย “ผู้เยาว์มาคราวนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญ เมื่อเช้าเจ้ายอดเขาซั่งมาขอป้ายผ่านทางจากอาจารย์ แต่ถูกบ่ายเบี่ยง ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะอนุมัติ เขาดูจะมีธุระด่วน จึงให้ผู้เยาว์นำจดหมายมาส่ง” ว่าพลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ

จดหมายบ้าบอคอแตกอะไรของมัน

แค่พับมาง่ายๆอย่างขอไปที กระทั้งจะเอาครั่งประทับลงคาถาผนึกก็ไม่ทำ

ไอ้ซั่งชิงหัว ไอ้คนฉลาด!

กงอี๋เซียวพูดว่า “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ จดหมายนี้ข้าอ่านแล้ว”

แบบนั้นยังจะวางใจบ้านเอ็งซิ!

กงอี๋เซียวกล่าวต่อ “แต่ไม่เข้าใจ”

เสิ่นชิงชิวแอบโล่งอก เออก็ได้ ดูท่าเขาจะด่าผิดไป ซั่งชิงหัวก็ไม่ได้หละหลวมขนาดนั้น ที่เขียนในจดหมายน่าจะเป็นรหัสลับ ต่อให้ถูกคนแอบเปิดอ่านเพื่อเซ็นเซอร์ก็ไม่กลัว

เสิ่นชิงชิวใช้สองนิ้วสะบัดจดหมายออกอ่าน กวาดตาดูรอบหนึ่งก็หน้าเขียวคล้ำ อ่านแถวที่สองจบก็หน้าซีด สารพัดสีตัดกันเป็นดอกไม้บานอยู่บนหน้าอย่างครึกครื้น

เสิ่นชิงชิว “…”

จดหมายนี่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ

ซ้ำยังเขียนเป็น Chinglish* แบบอุบาทว์ๆ แต่ไวยากรณ์แบบจีนแท้ๆ

(Chinglish คือ ภาษาอังกฤษแบบจีน ที่เขียนผิดๆมั่วๆ)

คำไหนที่เขียนไม่เป็นจะใช้พินอิน* แทน

(พินอิน คือ การใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับการออกเสียง แบบเดียวกับภาษาคาราโอเกะ)

ไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจี นายก็ไม่ได้คิดเลยนะ หากฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่องของนายไม่เข้าใจจะทำยังไง

หลังจากมั่วๆเดาๆความหมายโดยคร่าว เสิ่นชิงชิวก็โคจรกำลังภายในที่มือทำลายกระดาษเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษกระดาษโปรดปรายราวกับหิมะเดือนหก เช่นเดียวกับความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในจิตใจเขาเวลานี้

ที่แท้เขาดูถูกไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเกินไปจริงๆ

‘ถึงคุณเจวี๋ยซื่อหวงกวา

จัดการเรียบร้อย เตรียมการพร้อมแล้ว สถานที่ไม่เปลี่ยน แต่ด้านเวลามีเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อย เพื่อให้หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราโตทันใช้ผมเลยใช้ของมาเร่งให้มันโต แต่ไม่ระวังใช้เยอะไป ตอนนี้มันเลยโตได้ที่จนไม่อาจได้ที่ไปกว่านี้แล้ว อย่างมากสุดไม่เกิดอาทิตย์เดียวก็จะเน่า จึงหวังว่าคุณจะออกมาจากคุกน้ำวังฮ่วนฮวาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ วางใจได้ แค่ใช้ของที่คล้ายๆปุ๋ยวิทยาศาสตร์นิดหน่อย เอามาใช้ได้ไม่มีปัญหา คิดว่านะ’

ไอ้ที่ว่าเชื่อถือได้นี่ ชีวิตของไอ้คนๆนี้มันเคยมีของพรรค์นั้นด้วยรึ!

พืชบริสุทธิ์ปลอดสารพิษแบบนั้น ดันกล้าใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์มาเร่งให้โต เร่งให้โตเนี่ยนะ! ที่รับประกันแบบ ‘เอามาใช้ได้ไม่น่ามีปัญหา’ มันก็ครือๆกับความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตนมผงเด็กหัวตัว* นั่นแหละ

(ผู้ผลิตนมผงที่เด็กกินแล้วหัวโต อ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดในปี 2003 ที่พบเด็กเป็นโรคหัวโตในจีน จากการบริโภคนมผงปลอม)

กงอี๋เซียงมองไปรอบตัว “ผู้อาวุโส ท่านอ่านจบแล้วหรือยังขอรับ หากอ่านจบแล้วโปรดเอาจดหมายหย่อนลงในทะเลสาบเพื่อทำลายทิ้งด้วยขอรับ ความจริงเมื่อวานศิษย์พี่ลั่วมีคำสั่ง นอกจากตัวเขาแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา ผู้เยาว์ต้องรีบไปแล้ว เพื่อมิให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านี้”

เสิ่นชิงชิวคว้าตัวกงอี๋เซียวไว้ทันที “ช่วยข้าหน่อย”

กงอี๋เซียวกล่าว “ผู้อาวุโสเชิญกล่าว ขอเพียงข้า…”

เสิ่นชิงชิวไม่รอให้เขาพูดว่า ‘ทำได้จะทำสุดความสามารถ’ ออกมา กล่าวออกไปตามตรง “ปล่อยข้าออกไป”

“…” กงอี๋เซียวกล่าวอย่างลำบากใจ “ผู้อาวุโส…เรื่องนี้ทำไม่ได้จริงๆ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงขรึม “ข้ามีความจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ หาใช่คิดหนีจากการไต่สวนของ 4 สำนัก หลังจากจัดการธุระแล้ว ข้าจะกลับมาที่คุกน้ำเองเพื่อรับผลการลงโทษ หากเจ้าไม่เชื่อ เรามากรีดเลือดสาบานกันก็ได้”

กรีดเลือดสาบานเป็นสิ่งที่ไม่อาจกลับคำได้ แต่ในความเป็นจริง หลังจากจัดการธุระแล้ว เสิ่นชิงชิวจะกลับมาที่วังฮ่วนฮวาหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว ดังนั้นไอ้ที่พูดไปเนี่ยเขากำลังเล่นเล่ห์น่ะแหละ

กงอี๋เซียวกระอักกระอ่วน “ข้าย่อมเชื่อใจผู้อาวุโส แต่ผู้อาวุโสมิใช่เป็นฝ่ายขอเข้ามาอยู่ในคุกน้ำเองหรอกหรือ ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องสำคัญถึงกับต้องออกไปจากคุกน้ำให้ได้ หากว่าผู้อาวุโสเสิ่นยอมบอกกล่าว ข้าอาจจำไปแจ้งเจ้าสำนักทุกท่านและผู้อาวุโสที่จะร่วมกันพิจารณาดคีท่าน…”

เสิ่นชิงชิวคิดอีกที กงอี๋เซียวเป็นศิษย์ของวังฮ่วนฮวา ลอบปล่อยนักโทษหลบหนี้ โทษนี้จะตกไปอยู่ที่ใครล่ะ มิใช่โทษเล็กๆเลย หนุ่มน้อยคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ทำร้ายเขาเช่นนี้ดูไม่เข้าทีจริงๆ เวลาที่กำหนดคือ 7 วัน โอกาสยังมี

เขาจึงแก้ไขคำพูดเสียใหม่ “งั้นก็อย่าเลย อย่างไรเสียก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” กล่าวพลางพยายามกอบเศษกระดาษบนพื้นไปโปรยลงในทะเลสาบ เพื่อเป็นการทำลายหลักฐาน

เพราะถูกเชือกมัดเซียนพัดรัดเกือบทั้งตัว เคลื่อนไหวไม่สะดวก ขยับตัวได้ไม่เท่าไหร่ เสื้อชุดดำก็หลุดจากร่าง

กงอี๋เซียวเดิมทีก้มตัวจะมาช่วย แต่พอเห็นเสื้อชุดดำที่พื้นก็เงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ แขนขาพลันแข็งทื่อไปทันที

เสิ่นชิงชิว “…?”

เสื้อขาวตัวในตรงไหล่ขาดหายไปแถบหนึ่ง มองทีเดียวก็รู้ว่าถูกคนใช้มือเปล่าฉีกกระชาก นอกจากนี้ยังมีรอยขาดเป็นหย่อมๆดูเหมือนจะเป็นรอยแส้โบย ตามผิวเนื้อขาวที่โผล่พ้นเสื้อออกมา มีแผลถลอกเป็นรอยแดงไม่น้อย มองให้ละเอียด ที่คอก็ดูเหมือนจะมีรอยช้ำจางๆที่ยังไม่หายดีด้วย

กงอี๋เซียวตะลึงลาน โลกทัศน์ถูกทำลายจนพังครืน

เขากล่าวเสียงสั่น “ผู้อาวุโส…ทะ ท่านไม่เป็นไรจริงๆหรือขอรับ”

มิน่าเล่าลั่วปิงเหอถึงได้มีคำสั่งว่า นอกจากเขาไม่ว่าใครล้วนไม่อนุญาตให้เข้ามา ต่อให้มีป้ายผ่านทางก็ไม่ได้ และยังบ่ายเบี่ยงคำขอของซั่งชิงหัวด้วย

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!

ศิษย์ทรพีโดยแท้!

ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว!

ยิ่งกว่าเดรัจฉานอีก!

กงอี๋เซียงหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดอยู่ในใจให้เสิ่นชิงชิว แต่ประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวงุนงงว่า “ข้าไม่เป็นไรนี่…” พาให้เขาสั่นยะเยือกในใจ เพราะเหตุใด…ในเวลาเช่นนี้ผู้อาวุโสเสิ่นกลับยังสามารถทำสีหน้าสงบนิ่งปานนี้ได้อีก

เสิ่นชิงชิวเอาเศษกระดาษโปรยลงน้ำ กล่าวว่า “ที่ข้าพูดเมื่อครู่ เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกนะ เจ้า…”

จู่ๆ กงอี๋เซียวลุกขึ้น หมุนกายจากไปโดยพลัน

เสิ่นชิงชิวขีดดำเรียงแถวขึ้นเต็มหน้าผาก พอบอกว่าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจก็ไปเดี๋ยวนั้นเลยเรอะ เถรตรงเกินไปหน่อยไหมนี่

ใครจะไปนึก ผ่านไปไม่ทันครึ่งชั่วยาม กงอี๋เซียวก็กลับมาอีกครั้ง เขาถือของอย่างหนึ่งมาด้วย พอมาถึงตรงหน้าเสิ่นชิงชิวก็แก้ห่อและแกะตราผนึกแล้วตวัดเฉียงๆทีหนึ่ง

ประกายสีขาววาบผ่าน เสิ่นชิงชิวตัวเบาทันทีราวกับเสียบปลั๊ก นิ้วงอแล้วก็เหยียด พลังทิพย์โคจรไม่มีติดขัด บังคับได้ดั่งใจ พิษไร้ยาถอนที่กำเริบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยคราวก่อน พอถูกเชือกมัดเซียนมัดอยู่ 2 วันกลับถูกสะกดข่มลงไปแล้ว หรือเป็นเพราะหลัการที่ว่าพิษต้านพิษ ลบลบเลยเป็นบวกหรือ

เชือกมัดเซียนลงไปกองเป็นท่อนๆอยู่กับพื้น กงอี๋เซียวโยนของในมือยื่นส่งให้ เสิ่นชิงชิวยื่นมือไปรับ

กระบี่ซิวหย่า!

เสิ่นชิงชิวคว้าไว้ทันที ยินดีแกมประหลาดใจ มองดูกงอี๋เซียว “ข้านึกว่ามันคงถูกเอาไปเก็บไว้ในห้องของกงจู่เฒ่านะนี่”

กงอี๋เซียวกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ต่อให้ต้องถูกอาจารย์ลงโทษ ผู้เยาว์ก็ไม่อาจนั่งมองผู้อาวุโสได้รับความอัปยศแล้วยังนิ่งเฉยดูดายได้หรอกขอรับ ข้าเชื่อใจผู้อาวุโสเสิ่น โปรดมากับข้า”

เสิ่นชิงชิวพลันเกิดความรู้สึกเหมือนหมดแรง

ความรู้สึกนี้…มันเหมือน…เขาเข้าใจผิดเรื่องสำคัญบางอย่างไปนะ

แต่ว่า…ช่างเถอะ ให้เป็นแบบนี้ไปก็แล้วกัน

เสิ่นชิงชิวตัดสินใจเดี๋ยวนั้น “ได้”

ถึงแม้เลือดมารฟ้าในกายเขาตอนนี้กำลังหลับอยู่ ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด ลั่วปิงเหอก็จะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนอยู่ดี

แต่ว่ารู้ไปก็ไม่สำคัญแล้ว ขอแค่ตามเขาไม่ทันก็พอ

กงอี๋เซียวกล่าวอย่างกังวล “ผู้อาวุโส ทะ ท่านเดินไหวหรือไม่ ต้องให้ข้าแบกไหม…”

เสิ่นชิงชิวหน้าดำทะมึน ก้าวตัดหน้า พุ่งกายเหินออกไป ใช้การกระทำมาพิสูจน์ว่าเดินเองไหว แถมยังเดินเร็วเป็นพิเศษเสียด้วย

กงอี๋เซียวตกตะลึง รีบตามหลังเขาไปติดๆ ไม่นึกว่าพอคนทั้งคู่ก้าวพ้นขอบแท่นหิน เหยียบลงบนทางเดินที่ยกตัวขึ้นมา ม่านน้ำกรดที่หยุดไว้เมื่อครู่ก็พ่นน้ำออกมาทันที

เสิ่นชิงชิววิ่งเร็ว ก็เบรกเร็วเช่นกัน ไม่งั้นคงโดนมันตกลงมาใส่เต็มๆ พอคนทั้งสองเดินถอยกลับไปที่แท่นหิน ม่านน้ำก็ค่อยหยุดอีกครั้ง

เหมือนเป็นการจงใจไม่ให้พวกเขาหนีออกไป ฉลาดเกิดไปแล้ว

กงอี๋เซียวรีบอธิบาย “ข้าลืมไป พอเริ่มใช้งานคุกน้ำ บนแท่นหินจะต้องเหลือไว้หนึ่งคนเสมอ หากคนๆนี้หนีออกไป แท่นหินก็จะหนักไม่พอ ต่อให้ปิดกลไกก็จะเชื่อมต่อเข้ากับม่านน้ำทันที เขาไม่เคยมีประสบการณ์พานักโทษหนีมาก่อน ย่อมจดจำเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้

เสิ่นชิงชิว “สรุปคือต้องเหลือคนไว้หนึ่งคนที่แท่นหิน อีกคนที่เหลือถึงจะออกไปได้หรือ”

กงอี๋เซียวพยักหน้า

เสิ่นชิงชิวกล่าว “งั้นเจ้าอยู่นี่”

กงอี๋เซียว “…”

พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันควัน กงอี๋เซียวชูมือขึ้นอย่างอ่อนแรงอยู่ด้านหลัง “ผู้อาวุโสเสิ่น ถึงแม้ผู้เยาว์เต็มใจรับใช้ท่าน แต่ไม่มีข้าพาออกไป เกรงว่าท่านก็ออกไปไม่ได้นะขอรับ…”

เสิ่นชิงชิวเหลียวหน้ากลับมา กล่าวเสริม “รอข้ากลับมาแล้วกัน”

กงอี๋เซียวยืนอึ้งอยู่กับที่ นึกอยากตามออกไป แต่ไม่มีวิธีออกไปจากขอบแท่นหิน เลยได้แต่รอเงียบๆ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก เสิ่นชิงชิวลากคอคนผู้หนึ่งเข้ามา

เสิ่นชิงชิวเอาศิษย์หน้าสิวที่ยังสลบไสลไม่ได้สติผู้นั้นโยนลงบนแท่นหิน ตบไหล่กงอี๋เซียว “เห็นเขากำลังเดินลาดตระเวนอยู่พอดี จึงขอยืมตัวมาใช้ก่อน พวกเราไปกันเถอะ”

ความจริงไม่ใช่ว่า ‘พอดี’ หรอก ตรงที่เสิ่นชิงชิวซ่อนตัวอยู่ มีคน 4 คนเดินลาดตระเวนผ่านมา แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เลยตัดสินใจเอาเจ้าเด็กปากมากคนนี้นี่แหละ

เมื่อครู่กงอี๋เซียวคิดจะจับตัวศิษย์น้องสักคนมาเป็นตุ้มถ่วงน้ำหนักแทนเหมือนกัน แต่เป็นความคิดชั่วแวบเท่านั้น ตอนนี้เสิ่นชิงชิวจัดการเองเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องให้เขาลงมือฟาดเพื่อนร่วมสำนักจนหมดสติ ก็อดโล่งใจไม่ได้ คนทั้งสองเดินตีคู่กันออกไป เห็นเสิ่นชิงชิวกระชับเสื้อดำที่คลุมไหล่ตัวนั้นเข้ากับร่างก็จุกในคอไปชั่วขณะ

เขาอดเศร้าใจไม่ได้ เสิ่นชิงชิวมีฐานะเป็นถึงเจ้ายอดเขา ต้องมาถูกกักขังย่ำยีศักดิ์ศรี นั่นเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ตอนนี้กลับยังต้องอาศัยเสื้อผ้าของคนที่ย่ำยีตน เพื่อปกปิดร่องรอยแห่งความอัปยศ ช่างน่าทอดถอนใจด้วยความระทมจริงๆ

เสิ่นชิงชิวเห็นแววตาเขาเหมือนจะมองมาด้วยความสงสาร ทั้งเหมือนจะโกรธแค้นโศกเศร้าอยู่ในที ก็ได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว

แต่แล้วกงอี๋เซียวก็กล่าว “ผู้อาวุโส โปรดถอดเถอะขอรับ”

เสิ่นชิงชิง “…”

หา?!

ไม่รอให้เขาตั้งตัว กงอี๋เซียวเริ่มถอดเสื้อชั้นนอกของตัวเองออก ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะฟาดพลังใส่เขาสักทีดีไหม ดูซิว่าจะทำให้เขาตาสว่างได้รึเปล่า กงอี๋เซียวก็เอาเสื้อตัวนอกของตัวเองที่ถอดออกมาประคองส่งให้ด้วยสองมือ “โปรดใส่ตัวนี้เถอะขอรับ”

เสิ่นชิงชิวพลันเข้าใจ

อ้อ ที่แท้ก็หมายความแบบนี้นี่เอง เสื้อของลั่วปิงเหอถึงแม้เป็นสีดำ แต่เสื้อก็เหมือนกับเจ้าของนั่นแหละ มันมีความโดดเด่นแฝงอยู่ในตัวของมันเองเงียบๆ เช่นเดียวกับพระเอก เอามาสวมจะเตะตาให้คนสงสัยเสียเปล่าๆ เปลี่ยนมาสวมเสื้อสีขาวให้เหมือนกับคนอื่นที่มีโอกาสจะพบปะกันสูง จะไม่มีประโยชน์ต่อการหลบหนีกว่าหรือ ช่างรอบคอบเสียจริง

เขาตัดสินใจเด็ดขาดถอดเสื้อของลั่วปิงเหอออก มาสวมเสื้อของกงอี๋เซียวแทน ก่อนจะไปก็คิดว่ายังคงเอาเสื้อของลั่วปิงเหอมาพับให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า แล้วค่อยวางไว้กับพื้น…

ตอนเดินออกจากคุกน้ำ แรกเริ่มก็ยังไม่รู้สึกว่าลำบากอะไร แต่พอยิ่งเดินออกไปไกลยิ่งรู้สึกว่าเขาวงกตของวังฮ่วนฮวานี่ช่างน่ากลัวจริงๆ ออกจากถ้ำก็เจอถ้ำ ทางเดินตัดกันวุ่นวาย เดิน 3 ก้าวแล้วเลี้ยวอีก 9 ครั้ง วกไปวนมาจนเวียนหัวตาลาย เห็นอยู่ว่าแผ่นหลังของกงอี๋เซียวอยู่ตรงหน้าชัดๆ แต่มีอยู่สองสามครั้งที่เกือบจะตามไม่ทัน หากไม่ใช่เพราะกงอี๋เซียวรู้ตารางเวลาและการจัดวางกำลังเวรยามเป็นอย่างดี น่ากลัวว่าคงไปจ๊ะเอ๋กับศิษย์ที่เดินลาดตระเวนไปหลายครั้งแล้ว

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดทั้งคู่ก็ออกจากคุกน้ำใต้ดินเป็นผลสำเร็จ เดินต่อไปอีกสองสามลี้โดยไม่หยุดก็เข้าสู่ป่าน้ำค้างขาว อีกนิดก็จวนจะพ้นจากเขตแดนของวังฮ่วนฮวาแล้ว ถึงตอนนี้ระฆังสัญญาณของคุกน้ำยังไม่ถูกตี เท่ากับว่ายังไม่มีใครรู้ว่านักโทษหนีออกมาแล้ว คำสั่งของลั่วปิงเหอที่ว่านอกจากเขาแล้วไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปที่คุกน้ำโดยพลการ กลับเป็นการช่วยให้เสิ่นชิงชิวหนีออกมาได้สำเร็จ

พักหายใจกันครู่หนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็กล่าว “คุณชายกงอี๋ ถึงตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องส่งแล้ว ฉวยโอกาสที่ยังไม่มีใครรู้ เจ้ารีบกลับไปเถอะ” เว้นจังหวะครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “ภายใน 7 วัน เจ้าไปที่เมืองฮวาเยวี่ย ก็จะเจอตัวข้าที่นั่นอย่างแน่นอน

กงอี๋เซียวเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ส่งแล้ว แม้ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสได้วางแผนการจะจัดการเรื่องราวต่อไปภายหน้าไว้อย่างไร แต่จากนี้ไปโปรดระวังให้มาก การไต่สวนของ 4 สำนักในอีก 1 เดือนให้หลัง ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ดังเช่นที่ท่านได้กล่าวไว้ ผู้บริสุทธิ์ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่วันยังค่ำ เจ้าสำนักทุกท่านจะต้องชำระล้างข้อกล่าวหาให้ท่านได้แน่”

เสิ่นชิงชิวกลั้นหัวเราะไม่ได้

ข้อหนึ่ง ประวัติดำมืดนั้นแกว่งตะกร้าล้างน้ำยังไงก็ล้างไม่ออกหรอก

ข้อสอง การใต่สวนของ 4 สำนักอีก 1 เดือนข้างหน้าก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาแล้ว ฮ่าๆๆๆ

ว่าแล้วก็กุมมือประสานกันอย่างสบายอกสบายใจ “หวังว่าจะได้พบกันใหม่”

เส้นทางจากชายเขตแดนของวังฮ่วนฮวาไปยังเมืองฮวาเยวี่ยนั้น ผ่านพื้นที่ที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นที่สุด เศรษฐกิจรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งของที่ราบจงหยวน ซึ่งก็หมายความว่า ในบริเวณนี้มีตระกูลผู้ฝึกวิชาเซียนทั้งระดับฝีมือธรรมดาสามัญและตระกูลดังรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นไปด้วย

ซิวซื่อในโลกแห่งนี้ให้ความสำคัญกับการระวังป้องกันภัยทางอากาศอย่างมาก อย่างเช่นเมืองจินหลันเป็นต้น ตามปกติแล้วพวกเขาจะสร้างเขตอาคมป้องกันภัยทางอากาศไว้เหนือน่านฟ้าของเมืองตน หากมีกระบี่เซียนหรืออาวุธวิเศษแล่นผ่านเกินความเร็วที่กำหนดก็จะถูกค้นพบอย่างไม่ต้องสงสัย และยังจะถูกรายงานให้สำนักของตนทราบด้วย

แค่ตรองดูก็รู้ มันก็เหมือนการถือโทรโข่งประกาศเส้นทางหนีให้สาธารณชนรับรู้เชียวล่ะ

เสิ่นชิงชิวท่องกระบี่สลับกับการเดินเป็นระยะโดยไม่มีหยุดพัก เย็นวันต่อมาก็รุดถึงเมืองฮวาเยวี่ยในที่สุด

เต่เขามาได้ไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลย เวลานี้เมืองฮวาเยวี่ยกำลังมีพิธีฉลองวันครบรอบสร้างเมืองอยู่พอดี ทั้งค่ำคืนสว่างไสวด้วยโคมไฟประดับตกแต่ง มีการเชิดสิงโตแห่มังกร เสียงปี่เสียงกลองดังสนั่นหวั่นไหว ฝูงชนเบียดเสียดเยียดยัด แผงลอยขายของแทบจะเกยกัน พ่อค้าเร่เดินเตร่ไปทั่วทุกหนแห่ง ผู้คนเกือบทั้งเมืองพากันออกจากบ้าน

ที่ไม่ประจวบเหมาะยิ่งกว่าคือ พอเขารุดมาถึง เมษดำก็บดบังพระจันทร์พอดี

หากไร้พลังเสริมของแสงตะวันแสงจันทร์ โอกาสที่จะล้มเหลวก็สูงมากขึ้น เสิ่นชิงชิวขัดใจอย่างมาก ตัดสินใจว่าคงต้องรอไปอีกสักพัก อย่างมากสุดหนึ่งวัน หากในหนึ่งวันนี้เมฆยังไม่สลายตัวไป ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว โอกาสล้มเหลวสูงก็ช่างเถอะ ดีกว่าต้องกอดหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราที่แก่เกินใช้งานร้องไห้ก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นเอามันไปผัดแกล้มเหล้าก็ยังรังเกียจว่าปนเปื้อนสารเคมีเลย

เสิ่นชิงชิงเดินช้าๆ บางครั้งบางคราวก็ชนเข้ากับพวกเด็กที่ออกมาวิ่งเล่นสนุกสนาน หรือไม่ก็เดินเฉียดผ่านเด็กผู้หญิงที่จับกลุ่มกันหัวเราะ จึงเกิดนึกเสียดาย หากไม่ใช่เพราะกำลังอยู่ระหว่างหนีเอาชีวิตรอดก็น่าจะเที่ยวเล่นในเมืองนี้ให้สนุกสักพัก

และแล้วเบื้องหน้าก็มีคนสองสามคนสะพายกระบี่ที่หลังเดินตรงมา เป็นชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบสีเดียวกัน แต่ละคนอกผายไหล่ผึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นศิษย์สำนักปลาซิวปลาสร้อยที่เย่อหยิ่งยโส

จะว่าไปก็แปลก ยิ่งเป็นศิษย์สำนักเล็กๆ ยิ่งกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนในแวดวงผู้ฝึกวิชาเซียน ชนิดแทบปักอักษรตัวโตๆบนเสื้อเพื่อป่าวประกาศด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเสิ่นชิงชิวย่อมหลบเลี่ยง ฉวยเอาหน้ากากผีจากข้างทางมาสวมที่หน้า เดินสวนพวกเขาไปอย่างโอ่อ่าผ่าเผย คนที่มาเดินเที่ยวงาน ใน 10 คนมี 6 คนที่สวมหน้ากากเดินปะปนกัน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะน่าสงสัย

ได้ยินชายหนุ่มหนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ศิษย์พี่ กระบี่ซิวหย่าผู้นั้นจะมารอให้คนจับตัวที่เมืองนี้จริงๆหรือ”

คนที่ดูจะเป็นหัวหน้ากล่าวตำหนิเสียงดัง “4 สำนักมีคำสั่งไล่ล่า ยังจะเป็นเรื่องแปลกปลอมหรือ ไม่เห็นหรือว่าไม่รู้กี่สำนักล้วนส่งคนมาสกัดจับที่เมืองนี้แล้ว จับตามองให้ดีก็แล้วกัน สินบนนำจับของวังฮ่วนฮวาพวกเจ้าก็เห็นแล้ว ไม่อยากได้หรือไร”

เสิ่นชิงชิวแทบทำตัวไม่ถูก ยังไม่ทันจะอะไรเลย ก็ถูกออกหมายจับแล้วเหรอ

“แต่ก็ไม่แปลกที่วังฮ่วนฮวาจะทุ่มทุนหนักปานนี้ สำหรับพวกเขาแล้วมันช่างน่าอนาถเหลือเกินจริงๆ…”

เสิ่นชิงชิวนึกในใจว่า เราก็แค่ตีหัวศิษย์น้อยของวังฮ่วนฮวาให้สลบคนเดียวเอง ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนะ ทำไมถึงบอกวังฮ่วนฮวากลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่น่าอนาถล่ะ

เขานึกอยากฟังต่อ แต่คนเหล่านั้นกลับเดินออกไปไกลขึ้นทุกที จนพลัดหายไปกับฝูงชน จำต้องยอมแพ้ ขณะกำลังคิดจะหาบ้านร้างสักหลังเป็นที่พักขา จู่ๆขาก็หนักอึ้ง เขาก้มหน้ามองก็เห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกอดขาเขาไว้แน่น

เด็กคนนี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดขาว ดูเหมือนเด็กขาดสารอาหาร แต่ดวงตากลับกลมโตและสุกใสเป็นกระกาย ทั้งกำลังมองจ้องเขาอยู่ กอดขาเขาแน่นไม่ยอมปล่อย

เสิ่นชิงชิวลูบหัวเขา “เจ้าเป็นลูกบ้านไหน หลงทางหรือ”

เด็กน้อยพยักหน้า อ้าปากกล่าวเสียงฉอเลาะ “หลงทางขอรับ”

เสิ่นชิงชิวมองเขาแล้วนึกเอ็นดู ทั้งเหมือนจะรู้สึกคุ้นๆหน้า จึงค้อมตัวลงไปอุ้มเขาขึ้นมาให้นั่งบนแขนตัวเอง “แล้วใครพาเจ้าออกมา”

สหายน้อยกอดคอเขา เม้มปาก “มากับซือจุน…”

หรือจะเป็นศิษย์น้อยของสำนักไหนสักแห่งกระมัง หากว่ามีคนมาตามหาจะดันกลายเป็นเผือกร้อนเอาน่ะซิ แต่ไม่รู้ทำไมท่าทางน้อยอกน้อยใจตอนเด็กคนนี้พูดคำว่าซือจุนทำให้เสิ่นชิงชิวรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างประหลาด จนทำใจอำมหิตโดยเขาทิ้ง ปล่อยให้นั่งรอข้างทางแล้วเดินต่อไม่ลง เขาตบก้นงอนๆยุ้ยๆของเด็กน้อย กล่าวว่า “ซือจุนไม่ดูแลเจ้าให้ดี ช่างใจร้ายจริงๆ พวกเจ้าพลัดหลงกันตรงไหน จำได้หรือไม่”

เด็กน้อยหัวเราะคิกคักอยู่ข้างหู “จำได้ขอรับ ซือจุนฟาดข้าลงไปด้วยมือตัวเอง ไยจะจำไม่ได้”

ร่างกายเสิ่นชิงชิวเย็นเฉียบไปครึ่งซีก

เขาพลันพบว่าที่อุ้มอยู่ไม่ใช่ร่างของเด็กน้อยจริงๆ แต่เป็นงูพิษตัวหนึ่ง เป็นงูที่แยกเขี้ยวขาววับอยู่ที่คอเขา พร้อมจะกัดและปล่อยพิษร้ายเข้าไปในกายเขาได้ทุกเมื่อ

เขาเหวี่ยงร่างที่อยู่ในอ้อมแขนออกไปอย่างแรง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว พริบตานั้นขนอ่อนทั่วร่างพลันลุกชี้ชันทันที

คนทั้งถนนกำลังมองมาที่เขา

ทั้งที่สวมหน้ากาก ไม่สวมหน้ากาก เหมือนทุกคนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กำลังกลั้นหายใจมองดูเขา

คนที่สวมหน้ากาก บนใบหน้าดูโหดร้ายน่ากลัว ส่วนคนที่ไม่สวมยิ่งดูน่าหวาดสะพรึงกว่า เพราะพวกเขาไม่มีใบหน้า!

ปฏิกิริยาของเสิ่นชิงชิวในพริบตานั้นคือกุมด้ามกระบี่ แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้กลับไม่อาจโจมตี!

นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยสอนลั่วปิงเหอในตอนแรกๆ ภายในเขตแดนของมารฝัน การโจมจี ‘คน’ ที่อยู่ในฝัน แท้จริงแล้วเป็นการโจมตีดวงจิตของตนนั่นเอง

เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผากเสิ่นชิงชิว เขาดันไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเข้ามาอยู่ในเขตอาคมตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงคนเราจะไม่เคยจำได้ว่าเริ่ม ‘ฝัน’ ตั้งแต่ตอนไหน เริ่มอย่างไรก็เถอะ แต่เขากำลังหนีอยู่นะ ก็ไม่น่าจะถึงกับประมาทเลินเล่อเผลอหลับไปข้างทางทั้งๆกำลังหนีหรอกมั้ง

เสียงเล็กใสดังขึ้นจากด้านหลัง “ซือจุน”

เสียงนี้เพิ่งจะฉอเลาะอย่างน่าเอ็นดูอยู่ข้างหูเขาเมื่อกี้นี้เอง ตอนนี้ฟังแล้วกลับเจือแววข่มขวัญอย่างบอกไม่ถูก

ลั่วปิงเหอในวัยเยาว์อยู่ด้านหลังเขา กล่าวเสียงเบาหวิว “ทำไมถึงไม่ต้องการข้าแล้ว”

เสิ่นชิงชิวตัดสินใจว่าจะไม่หันกลับไปเด็ดขาด จึงออกวิ่งเดี๋ยวนั้น

ถึงแม้คนไร้หน้าเหล่านี้กำลังมองเขาอยู่ ไม่ถูกซิ บอกว่ามองไม่ได้หรอก เพราะพวกเขาไม่มีดวงตาเสียหน่อย แต่ใบหน้าล้วนหันมาทางเสิ่นชิงชิง เขารู้สึกได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังมองมาอย่างชัดเจน

เสิ่นชิงชิวทำเป็นมองไม่เห็นไปเสียเลย เดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจใคร ใครเข้ามาขวางก็ฟาดฝ่ามือออกไป แต่แล้วมือข้างหนึ่งก็ขวางฝ่ามือเขาไว้ เขาหันไปมอง มือข้างนั้นถึงแม้เล็กผอม แต่เรี่ยวแรงกลับมหาศาลอย่างน่ากลัว ราวกับห่วงเหล็กก็ไม่ปาน

ลั่วปิงเหอในวัย 14 กำลังยึดข้อมือเขาไว้แน่น สิ่งที่อยู่บนใบหน้า นอกเหนือจากรอยฟกช้ำดำเขียวที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจางหายแล้ว มีแต่ความเศร้า ดวงตาดำขลับคู่นั้นจับจ้องมาที่เขาอย่างแน่วแน่ อยู่ใกล้จนแทบเอื้อมมือถึง

ยังจะมาอีก

เสิ่นชิงชิวสะบัด 3 ครั้งถึงสะบัดหลุด เขาฝ่าฝูงคนวิ่งต่อไปข้างหน้า ครั้งแรกเป็นเด็ก ครั้งต่อมาเป็นวัยรุ่น ขืนมาอีกทีคงเป็นเวอร์ชั่นวัยหนุ่มเต็มตัว เขาเป็นได้ยันไม่อยู่จริงๆแน่

แต่ถนนสายนี้ช่างยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เดินไม่จบไม่สิ้นเสียที แผงลอยที่เรียงรายสองข้างทาง หลังจากเด็กไร้หน้าที่กำลังเล่นซน และพวกเด็กผู้หญิงสวมหน้ากากผีออกมาเป็นครั้งที่ 2 ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็มั่นใจ ถนนในห้วงฝันสายนี้วนเวียนเป็นลูป เดินหน้าไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถผ่านไปได้!

ในเมื่อเดินหน้าไม่ได้ เช่นนั้นก็หาหนทางอื่น เสิ่นชิงชิวมองซ้ายมองขวาก็หลบฉากไปอยู่หน้าร้านสุราแห่งหนึ่ง

หน้าร้านสุราซึ่งประตูใหญ่ปิดสนิทแขวนโคมแดงใบใหญ่ ส่องแสงสีแดงสวยงาม เสิ่นชิงชิงผลักประตูเปิดออกแล้วก้าวเข้าไป บานประตูไม้หุบปิดตามหลังเองทันที

ภายในห้องมืดทึบ แถมยังมีลมเย็นๆลอดผ่านเสียงซู่ซ่า ไม่เหมือนอยู่ในร้านสุรา แต่เหมือนเข้ามาในถ้ำ

เสิ่นชิงชิวกลับไม่แปลกใจ ในห้วงฝันไม่อาจใช้สามัญสำนักทั่วไปมาประเมินได้ หลังบานประตูแต่ละบาน จะนำไปสถานที่ใดล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น

เวลานี้ข้างหูพลันมีเสียงแปลกๆดังขึ้น

เสียงนั้นคล้ายคนกำลังจะตายเพราะถูกแทงเข้าที่ปอด หอบหายใจด้วยความลำบากอย่างสุดจะเปรียบ เจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด

ทั้งดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่คนเดียว

เสิ่นชิงชิวดีดนิ้วทีหนึ่ง ปลายนิ้วพลันบังเกิดเปลวไฟขึ้น จากนั้นยิงเข้าใส่ที่มาของเสียงนั้น

ทันทีที่แสงไฟจับให้เห็นภาพตรงนั้นโดยไม่มีตกหล่น รูม่านตาของเขาก็หดเหลือเป็นขีดบางๆโดยพลัน

หลิ่วชิงเกอกำลังกุมกระบี่เฉิงหลวนอยู่ในมือ แต่กลับหันปลายกระบี่เข้าแทงทรวงอกตนเอง

ร่างเขาเปราะไปด้วยเลือดแดงฉานน่าสยดสยอง บาดแผลไม่ได้มีแค่ที่เดียว ดูเหมือนว่าจะแทงตัวเองไปไม่รู้กี่กระบี่แล้ว ที่มุมปากมีเลือดไหลพลั่กๆ แต่สีหน้ากลับดูเกรี้ยวกราดดุดัน เห็นชัดว่าไม่มีสติรู้คิดเป็นของตัวเอง เหมือนถูกธาตุไฟเข้าแทรก

ภายใต้แสงไฟสลัวมัว ภาพนี้ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด เสิ่นชิงชิวถึงกับลืมตัวไปชั่วขณะว่ากำลังอยู่ในห้วงฝัน โผเข้าไปยึดเฉิงหลวนเอาไว้ แต่กระบี่เล่มนั้นเสียบเข้าไปในอกของหลิ่วชิงเกอแล้ว แค่เสิ่นชิงชิวแตะเบาๆเลือดก็พุ่งกระฉูดออกมาเดี๋ยวนั้น เห็นแต่สีแดงอยู่ตรงหน้า เสิ่นชิงชิวได้สติขึ้นมาเล็กน้อย ถอยหลังออกมา 2 ก้าว กลับชนเอาคนผู้หนึ่งเข้า

เขาหันกลับไปทันที เยวี่ยชิงหยวนกำลังยืนก้มหน้า สบตากับเขา

ถึงสบตากับเขา แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเคว้งคว้างไร้แวว จากลำคอลงมาจนถึงหน้าอก แขนขาทั้ง 4 ช่องท้อง อัดแน่นไปด้วยลูกธนูสีดำมะเมื่อมเบียดกันแน่น

หมื่นศรเสียบทะลุร่าง!

เสิ่นชิงชิวกระจ่างแจ้งทันทีว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร

มันคือสภาพการตายของพวกเขา!

สภาพการตายที่เดิมทีควรเกิดจากน้ำมือของเขาเอง

เสิ่นชิงชิวทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาขอไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคนไร้หน้าข้างนอก ยังดีกว่าต้องเห็นภาพเหล่านี้

เขาถอยกลับไปยังปากทางที่เข้ามา กลับแตะโดนประตูบานนั้นเข้าจริงๆ เสิ่นชิงชิงราวกับได้รับนิรโทษกรรม เขาถีบประตูพุ่งออกไปข้างนอกทันที คราวนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว วิ่งเตลิดเปิดเปิงออกไปในสภาพล้มลุกคลุกคลานแทบไม่เหลือสารรูป ‘คน’ ทั้งหมดบนถนนจับจ้องเขาอย่างเงียบเชียบ ขณะกำลังวิ่งอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ศีรษะของเสิ่นชิงชิวก็ชนเข้ากับแผ่นอกของคนผู้หนึ่ง

คนผู้นี้ยกมือโอบเขาไว้เต็มอ้อมแขนทันที

อีกฝ่ายสูงกว่าเขาเล็กน้อย ร่างสูงเหยียดตรงเป็นสง่า เสื้อคลุมสีดำราวกับหมึก เปิดให้เห็นเพียงลำคอสีขาวผุดผาก มองเลยขึ้นไป เป็นใบหน้าที่บดบังไว้ด้วยหน้ากากผีที่ดูดุร้าย

เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงทุ้มเจือแววหัวเราะของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น

“ซือจุน ระวังหน่อยซิขอรับ”

ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้ากาก ก็รู้ได้เลยว่าใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากคือใคร

เสิ่นชิงชิวดิ้นทันที เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ใช้กำลังควบคุมเขาเต็มแรง ทำให้หลุดออกมาได้ไม่ลำบาก เขาถอยหลังกรูด จนออกมาอยู่ห่างในระยะที่ปลอดภัย จึงค่อยทรงตัวนิ่ง

เสิ่นชิงชิวถาม “เมืองนี้เป็นเจ้าสร้างขึ้นมาหรือ”

ลั่วปิงเหอถอดหน้ากากออกช้าๆ ทำหน้าราวกับเสียดายที่ไม่อาจเล่นเกมผีไล่จับคนต่อได้ “ถูกต้อง ซือจุนเห็นว่าเป็นอย่างไร”

เสิ่นชิงชิวพยักหน้าช้าๆ “สมกับที่เป็นศิษย์สืบทอดวิชาของมารฝันโดยแท้”

แดนมายาที่สามารถสร้างออกมาได้อย่างพิถีพิถันถึงเพียงนี้ เปรียบกับเมืองที่มารฝันสร้างขึ้นเพื่อกักขังพวกเขาในครั้งนั้นแล้ว เกรงว่าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย

มิหนำซ้ำยังสามารถจับจุดที่เป็นความหวาดกลัวของเขาได้อย่างแม่นยำ

อารมณ์ของลั่วปิงเหอที่ตอนแรกเหมือนจะดีอยู่ พอได้ฟังประโยคนี้เข้า รอยยิ้มมุมปากก็หายไปทันที “ข้าหาใช่ศิษย์ของมารฝัน”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้ามิได้กราบเขาเป็นอาจารย์แล้วหรอกหรือ”

หลังจากข่มอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ลั่วปิงเหอตอบด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะหงุดหงิด “ข้าไม่เคยกราบ”

ก็ได้ ไม่เคยก็ไม่เคยซิ เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่จำเป็นต้องเซ้าซี้ให้มากความ

ลั่วปิงเหอเอ่ยว่า “ซือจุน หากท่านเต็มใจกลับมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าอะไรล้วนพูดกันได้”

เสิ่นชิงชิวกล่าว “นี่จะนับว่าเป็นการลงโทษสถานเบาหรือ”

ลั่วปิงเหอเอ่ยว่า “ตราบใดที่ข้าไม่เอากู่โลหิตออกจากกายท่านไม่ว่าท่านจะหนีไปที่ใดก็เปล่าประโยชน์”

เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “อ้อ เช่นนั้นหรือ” เขาหัวเราะ กล่าวเสริมว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เหตุใดเจ้าจึงไม่มาจับข้าด้วยตัวเองเล่า”

ลั่วปิงเหอตัวแข็งค้าง ประกายไฟในดวงตาลุกวาบ

เสิ่นชิงชิวเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็นึกรู้ในใจทันที เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “กระบี่ของเจ้าเล่า เกิดปัญหาขึ้นหรือ”

สวรรค์ช่วยตูแล้ว

หลังจากลั่วปิงเหอตกลงไปในห้วงอเวจี ได้พบกับกระบี่วิเศษเล่มหนึ่งในท้องของสัตว์ประหลาดยักษ์บรรพกาลซึ่งนักหลอมกระบี่ของเผ่ามารทุ่มเทแรงกายแรงใจหลอมออกมา

กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่า ซินหมัว (จิตมาร)

ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นของอันตรายขนาดไหนใช่ไหม

แต่มันก็เป็นเรื่องจำเป็น ยิ่งเป็นอาวุธวิเศษที่มีความแข็งแกร่งก็ยิ่งควบคุมยาก นับจากอดีตจวบจนปัจจุบัน ซินหมัวเปลี่ยนเจ้าของมานับร้อย นายของมันแต่ละคนไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์หรืออัจฉริยะของแต่ละเผ่าพันธุ์ แม้จะเป็นเช่นนี้สุดท้ายกลับหนีไม่พ้นชะตากรรมต้องตายใต้คมดาบตนเอง

กระบี่ซินหมัวจะย้อนมากลืนกินผู้เป็นเจ้าของ หากสามารถทำให้มันยอมสบยอยู่ใต้อำนาจ มันก็จะเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพในมือ แต่หากวันใดไม่สามารถควบคุมปราณอำมหิตของมัน คุณก็จะเป็นเหมือน ‘แกะบูชายัญ’ ที่เอาไว้สังเวยกระบี่นั่นเอง

ในนิยายดั้งเดิม หลังจากลั่วปิงเหอเข้าสู่อาณาจักรภพมาร เกิดอาการจิตใจปั่นป่วน เกือบจะเกิดเหตุการณ์ถูกย้อนกลืนกิน ต่อมาเพราะต้องแก้ปัญหานี้เลยแตกพล็อตย่อยที่มีความยาวประมาณ 500 บท รับสาวๆเข้าฮาเร็มมาอีกไม่ 8 ก็ 9 คน

แต่ตอนนี้ลำดับเนื้อเรื่องสับสนมั่วซั่วไปหมด ฉากการย้อนกลืนกินเลยเกิดขึ้นเร็วก่อนกำหนดซินะ

การย้อนกลืนกินของกระบี่ซินหมัวนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก มิน่าล่ะเขาถึงไม่ได้ตามมา เพราะต้องรีบปิดด่านรักษาตัว เลยตามมาจับตนกลับไปด้วยตัวเองไม่ได้น่ะเอง

ทันใดนั้นลั่วปิงเหอก็กระชากไหล่เขาอย่างแรก

แควก

อีกแล้ว!

สีหน้าลั่วปิงเหอใกล้จะดำเป็นก้นหม้ออยู่แล้ว เขากล่าวทีละคำราวกับต้องออกแรงเค้นกว่าจะลอดไรฟันออกมาได้ “ต่อให้ในตอนนี้ข้ามาด้วยตัวเองไม่ได้ ซือจุนก็อย่างได้ดีใจไป”

งั้นนายก็อย่าฉีกเสื้อผ้าฉันซิ เสิ่นชิงชิวจับเศษผ้าที่เหลืออยู่บนร่างไว้แน่น กล่าวเคืองๆ “เจ้าจะทำอะไร วิธีสบประมาทคนของเจ้ามีแต่กระบวนท่านี้หรือ”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “เห็นชัดว่าเป็นซือจุนที่สบประมาทข้าก่อน”

ระบบ [ค่าความฟิน เพิ่มขึ้น 50 คะแนน]

นี่ก็เอามาบวกเพิ่มได้ด้วย โรคจิต! ทำไมถึงรู้สึกว่ามันแหม่งๆล่ะ

ลั่วปิงเหอออกแรง เสื้อขาวก็หลุดเป็นชิ้นๆ ปลิวไปกับสายลม เท่านั้นยังไม่หนำใจ ถึงกับปรี่เข้ามาอีกครั้ง

เสิ่นชิงชิงมองแววตาของเขาก็รู้สึกว่าจะไม่จบง่ายๆ แม่เขาจะไม่รู้มาก่อนว่าลั่วปิงเหอมีนิสัยฉีกทึ้งเสื้อผ้าเวลาโกรธ แต่ก็ไม่สามารถงอมืองอเท้ารอความตายได้ ยันกลับไปกลับมาอย่างฉับไวอยู่ 10 กว่ากระบวนท่า ชัดเจนว่าลั่วปิงเหอเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่กลับโรมรันพันตูกับเขาอย่างอดทนใจเย็นเหมือนแมวหยอกหนูก็ไม่ผิด

เสิ่นชิงชิวนับว่าเคลื่อนไหวเร็วพอสมควร แต่ในสายตาของลั่วปิงเหอกลับช้าไปหนึ่งก้าวเสมอ ครั้นเสิ่นชิงชิวเล็งแล้วซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ายนั้นเบี่ยงนิดเดียวก็หลบได้แล้วสบาย แถมยังซัดกลับเสียหน่อยพอเป็นพิธีอย่างกับกลัวจะเสียมารยาท

ส่วนไอ้เจ้าระบบที่แสนจะกวนโอ๊ยก็คอยแจ้งอัปเดตค่าความฟินของพระเอกที่เพิ่มขึ้นมาให้ไม่หยุด ค่าเดี๋ยวก็ 20…30…50 ไม่เท่ากัน ราวกับเสียงปีศาจไชกะโหลก โต้กันไปโต้กันมาไม่กี่ทีก็ถึงตาเสิ่นชิงชิวหน้าดำแล้ว

นี่เขาเรียกต่อยตีที่ไหนกัน หยอกเล่นซิไม่ว่า การต่อสู้มันต้องมีเป้าหมายที่จะน็อกอีกฝ่ายให้คว่ำไม่ใช่เรอะ

นี่มันใช่การต่อสู้ไหม กระทั่งป้อนกระบวนท่ายังไม่ใช่ด้วยซ้ำ นี่เขาเรียกหมาหยอกไก่ชัดๆ

มัวคิดเช่นนี้ เสิ่นชิงชิวเลยไม่ทันระวัง ใช้แรงเกินไปทำให้หัวคะมำไปทางลั่วปิงเหอ

ลั่วปิงเหอกลับไม่เบี่ยงตัวหลบ ปล่อยให้เสิ่นชิงชิวพุ่งโครมเข้ามาในอ้อมกอด เสิ่นชิงชิวได้ยินเขากล่าวด้วยเสียงเจือหัวเราะเหมือนอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา “กระบวนท่านี้ซือจุนเคยสอนข้าด้วยตัวเองนี่นา แรงที่ใช้ต้องคำนวณให้ดี ช่วงล่างต้องมั่นคง ไฉนกลับลืมเสียเองแล้ว”

ยามนี้มีตัววิ่ง 7 สีขึ้นมาเต็มสมองเสิ่นชิงชิว ‘เดรัจฉานน้อย’

ที่สุดจะเจ็บไข่คือเขาเคยสอนกระบวนท่านี้ให้ลั่วปิงเหอจริงๆนั่นแหละ

ตอนนั้นลั่วปิงเหอเพิ่งย้ายออกจากห้องเก็บฟืนได้ไม่นาน แม้จะอาศัยว่ามีสติปัญญาสูงล้ำ ฝึกวิชามั่วเอาเองจนพอมีกระบวนท่าไว้ต่อยตีได้ชุดหนึ่ง แต่นอกจากท่าฟันแทงที่ศิษย์ระดับแรกเข้าสำนักคนอื่นล้วนใช้เป็นแล้ว กระบวนท่าอื่นๆนอกนั้นก็ไม่ได้เรื่อง

เสิ่นชิงชิวเห็นเขาฝึกวิชากระบี่ วิชาฝ่ามือ วิชาท่องเท้าแล้วต้องกุมขมับอยู่นาน ลั่วปิงเหอรอรับการประเมินด้วยความกระสับกระส่ายอยู่ด้านข้าง

เสิ่นชิงชิวไม่อยากทำร้ายจิตใจเขา ครึ่งค่อนวันถึงค่อยหาคำพูดออกมาได้ “พลิกแพลงค่อนข้างฉับไว”

เพื่อแก้ไขกระบวนท่าที่สุดจะทนดูได้ของลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวกล่าวได้ว่าทุ่มเทด้วยความเหนื่อยยาก ชี้แนะเขาด้วยตนเองทุกวัน แต่ไม่รู้เพราะอะไรด้วยระดับสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้ของลั่วปิงเหอ ที่ควรชี้แนะนิดเดียวก็ฉลุย ไม่ต้องให้ตนพูด 2 รอบด้วยซ้ำ แต่พอเอาจริงเข้าท่าทางของเขากลับแก้ไม่หาย ตั้งอกตั้งใจสอนขนาดไหน พอหันหลังก็ลืมมักใช้แรงมากเกินไป พุ่งตัวเข้าชนอ้อมอกของเสิ่นชิงชิวไม่รู้กี่ครั้ง จนเสิ่นชิงชิวโกรธขึ้นมาในที่สุด

ตกลงแล้วเป็นการจงใจของเจ้าใช่หรือไม่

เขาอดไม่อยู่ตบท้ายทอยลั่วปิงเหอไปทีหนึ่งอย่างไม่เบาไม่หนัก ดุว่า “นี่คือวิธีต้านรับศัตรูของเจ้าหรือ นี่มันเป็นการโผเข้ากอดต่างหาก”

ลั่วปิงเหอที่หน้าแดงก่ำจึงได้ตั้งใจฝึกอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่กล้าทำผิดพลาดตามใจชอบอีก

แต่มาวันนี้กลับให้ลั่วปิงเหอเป็นฝ่ายชี้แนะท่าที่ไม่ถูกต้องของเขาเสียแล้ว

นี่มันโลกบ้าอะไรกัน!

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนในฐานะที่เป็นอาจารย์ถูกท้าทาย แต่ยังไม่ทันโต้กลับ มือของลั่วปิงเหอกลับลูปไปตามแนวกระดูกสันหลังของเขา ทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งแผ่นหลัง

เสิ่นชิงชิวกัดฟันกรอด “ลั่วปิงเหอ!”

ระบบ [ค่าความฟินเพิ่มขึ้น 100 คะแนน! ขอแสดงความยินดีด้วย!]

แสดงความยินดีพ่องซิ!

ลั่วปิงเหอฉีกกระชากเสื้อขาวออกไปอีกแถบหนึ่ง “ข้าเห็นอาจารย์สวมเสื้อตัวนี้แล้วรู้สึกขัดหูขัดตา ยังคงฉีกออกให้หมดดีกว่า”

นี่หมายความว่าจะไม่เลิกฉีกจนกว่าจะเปิดหมดไม่เหลืองั้นเหรอ

เสิ่นชิงชิวกล่าว “หากเจ้าเกลียดข้าก็อย่าไปลงกับเสื้อตัวนี้เลย อีกอย่างนี่มันเป็นเสื้อของกงอี๋เซียวเขา”

ลั่วปิงเหอหน้าอึมครึมลงไปทันที “เป็นซือจุนต่างหากที่เกลียดข้า เสื้อตัวเดียวก็ต้องเลือกที่รักมักที่ชัง”

อะไรกัน ทำไมผู้ชายตัวโต 2 คน จะต้องมายืนเถียงกันด้วยเรื่องเสื้อตัวเดียวอย่างเอาเป็นเอาตายท่ามกลางสายตามุงดูด้วยล่ะ ลั่วปิงเหอ ที่แท้นายเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวรึไง

แล้วฉันก็พับเสื้อไว้ให้นายอย่างดีเลยนะ นายจะเอายังไงอีก หรือจะต้องให้ฉันเอาไปซักด้วยตัวเองให้สะอาดก่อนส่งคืนนายรึไง

แววตาของเสิ่นชิงชิวผกผันไปมาอย่างยากจะคาดเดา ลั่วปิงเหอเห็นดังนั้นก็กล่าว “ซือจุนกำลังคิดอะไรอยู่”

เขากล่าวต่ออย่างเย็นชา “หากคิดถึงกงอี๋เซียว ข้าก็ขอแนะนะซือจุนด้วยความเคารพว่าไม่ต้องไปคิดถึงเขาแล้ว”

เสิ่นชิงชิวได้ยินดังนั้นก็นึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ถามเสียงต่ำ “…เกิดอะไรขึ้นกับกงอี๋เซียว”

ว่ากันตามหลักแล้ว กงอี๋เซียวถูกเนรเทศไปเฝ้าชายแดนอย่างไร้อนาคต น่าจะเป็นเรื่องหลังจากลั่วปิงเหอมีอะไรกับกงจู่น้อยแล้วซิ

แต่เนื้อเรื่องตอนนี้สับสนเละเทะชนิดที่แม้แต่เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีที่คลอดเรื่องนี้มาด้วยตัวเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะฉะนั้นย่อมมีความเป็นไปได้ว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นก่อนกำหนดได้

แต่ไม่ทันที่ลั่วปิงเหอจะได้ตอบ อยู่ๆคนไร้หน้าที่อยู่ข้างกายเสิ่นชิงชิวก็พากันกระสับกระส่ายขึ้นมา

ช่วงแรกพวกเขาเพียงแต่ยืนมุงดูอย่างทื่อมะลื่อ เงอะงะเหมือนท่อนไม้ หรือทำงานในมือของตนไป แต่ตอนนี้ค่อยๆล้อมวงเข้ามา เสิ่นชิงชิวถูกบีบอยู่ตรงกลาง ไม่อาจฟาดพวกเขาออกไปได้ เมื่อมองไปที่ลั่วปิงเหออีกครั้งกลับเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด มือข้างหนึ่งบีบขมับ ไม่ว่างมาสนใจตน คล้ายกับว่ากำลังอดทนต่อบางสิ่งบางอย่างที่รุกล้ำเข้ามาในสมอง

เสิ่นชิงชิวลองย้อนนึกดู เป็นไปได้อย่างมากว่ากระบี่ซินหมัวฉวยโอกาสย้อนกลืนกิน พยายามจะรบกวนสติรู้คิดของลั่วปิงเหอ เลยทำให้เขาไม่มีกำลังเหลือพอจะรักษาเขตอาคมต่อไปได้อีก ห้วงฝันจึงเริ่มปั่นป่วนแล้ว

ไม่หนีไปตอนนี้ จะไปตอนไหน

ตอนนี้ลั่วปิงเหอไม่อาจแบ่งสมาธิมาจัดการกับเขา เช่นนั้นขอเพียงผ่านห้วงมายานี้อีกรอบ สะกดความกลัวที่แฝงเร้นในใจ ก็จะสามารถทำลายเขตอาคมที่เริ่มจะพังทลายแห่งนี้ลงได้

เสิ่นชิงชิวนึกจะไปก็ไปทันที

ลั่วปิงเหอกำลังปวดศีรษะจนหัวแทบแตกแต่ไม่อาจกระดิกกระเดี้ย ตะโกนว่า “ท่านกล้าไปก็ลองดู”

เสิ่นชิงชิวเดินต่อไปอีก 10 กว่าก้าว แล้วค่อยหันมาถาม “แล้วจะทำอะไรหรือ”

ลั่วปิงเหอดูท่ากำลังจะกระอักเลือดออกมาอยู่รอมร่อ เขาเค้นเสียงลอดไรฟันทีละคำ “คอยดูเถอะ!”

เสิ่นชิงชิวมองตรงไม่วอกแวก หน้าเชิดหยิ่ง “แล้วพบกันใหม่”

นายบอกให้รอ ฉันก็รอรึ ฉันไม่ใช่ไอ้ทึ่มนะเฟ้ย!

เสิ่นชิงชิวเล็งร้านข้างๆอีกร้านไว้ จากนั้นถีบประตูกระโดดเข้าไป

ไม่ว่าที่ออกมาคราวนี้จะเป็นตัวอะไร เสิ่นชิงชิวก็สามารถรับมือได้อย่างสงบแน่นอน

อย่างน้อยก็ดีกว่าเจอกับลั่วปิงเหอมาก

เมื่อประตูปิด เสียงเอะอะอึกทึกจากโลกภายนอกก็ราวกับถูกตัดขาดเงียบสนิดไร้สรรพเสียงทันใด

เสิ่นชิงชิวกลั้นหายใจตั้งสมาธิ รอคอยเงียบเชียบ

ผ่านไปพักใหญ่ เหมือนมีใครจุดเทียนขึ้น ทัศนวิสัยค่อยๆกระจ่างชัด เสิ่นชิงชิวก้มหน้า สบตาเข้าอย่างจังกับใบหน้าที่ทั้งไม่คุ้นและเหมือนจะคุ้นๆ

ร่างเยาว์วัยอ่อนแอคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา

ร่างนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย คุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น ท่าทางสิ้นหวังอับจนหนทาง สองมือถูกมัดแน่นหนาด้วยเชือกเนื้อหยาบ ใบหน้าซีดขาวขัดกับนัยน์ตาทั้งสองข้างที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

เสิ่นชิงชิวไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย

นี่ไม่ใช่ความทรงจำของเขาอย่างแน่นอน แต่ใบหน้านี้ช่างเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน เพราะแต่ว่าใบหน้านี้ยังไม่ผ่านการขัดเกลาจากวันเวลาและการฝึกฝน มีความไร้เดียงสากว่ามาก

นี่คือเสิ่นชิงชิว แต่ก็ไม่ใช่เสิ่นชิงชิวเช่นกัน

หากจะพูดกันแบบชัดๆ นี่คือเสิ่นจิ่ว

เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นจากไม้กระดาน

หลังจากตกใจตื่น เขามองไปรอบกายจึงพบว่าตนเองนอนอยู่ในบ้านร้างแห่งหนึ่ง ฟ้าสางแล้ว แสงสีขาวส่องลอดมาตามรอยแยกของหน้าต่างผุเก่า

นึกออกแล้ว เมื่อวานเขาเดินสะเปะสะปะอยู่ในงานแห่ ไม่นานนักก็หาบ้านเก่าที่ไม่มีคนอยู่เจอ ตั้งใจจะพักสักครู่ แต่ไม่นึกว่าจะเผลอหลับไปถึงได้ถูกลั่วปิงเหอจับตัวได้ในห้วงฝัน

นึกถึงภาพมายาก่อนที่ห้วงฝันจะแตกกระจายแล้วเสิ่นชิงชิวก็อดครุ่นคิดไม่ได้

แม้วิญญาณของตัวจริงกับตนจะเป็นของใครของมัน แต่อย่างไรเสียก็ใช้กายเนื้อของตัวจริง จะมากจะน้อยย่อมได้รับผลกระทบมาบ้าง ที่เขาเห็นเมื่อคืน น่าจะเป็นความทรงจำของเสิ่นจิ่วในวัยเยาว์นั่นเอง

แต่นี่นับว่าโกงแล้ว เพราะยามนี้เสิ่นชิงชิวไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความทรงจำในช่วงนั้นเลย ถึงได้หลุดพ้นจากห้วงฝันมาอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้ความพยายามสักนิด

ทว่าหลังจากย้อนนึกดูก็สงสัยขึ้นมาหน่อยๆ เสิ่นจิ่วในห้วงฝันถูกจับมัดอยู่ ตอนแรกเขาเข้าใจว่าเสิ่นจิ่วที่เขาเห็นยังอยู่ในมือของพวกพ่อค้ามนุษย์ แต่ในห้องกลับมีผ้าปูเตียง และยังมีชั้นวางข้าวของมีค่า บนผนังก็แขวนภาพ ดูหรูหราพอตัว มองแล้วไม่เหมือนรังโจร เห็นชัดว่าเป็นห้องหนังสือของครอบครัวที่มีอันจะกินเลยทีเดียว

ดูท่าว่าตอนเสิ่นจิ่วอยู่ที่บ้านตระกูลชิว ไม่ได้รับความเอ็นดูเมตตาอย่างที่ชิวไห่ถังพูดไว้เลย

เสิ่นชิงชิวกระโดดผลุงลงจากเตียงไม้ที่ไม่มีฟูก ลูบคลำตามเนื้อตามตัวโดยสัญชาตญาณ เสื้อผ้านับว่ายังอยู่

ถึงเสื้อผ้าจะยังอยู่ครบถ้วนไม่มีเสียหาย ทว่ากลับรู้สึกกระวนกระวายเหมือนมันจะถูกฉีกทึ้งเมื่อไหร่ก็ได้

เดินๆอยู่ในเมืองได้ไม่กี่ก้าว เสิ่นชิงชิวก็พบว่าคนที่ได้รับคำสั่งให้มาจับกุมเขาได้ทะลักเข้าเมืองฮวาเยวี่ยแล้วไม่น้อย

แม้ว่าซิวซื่อจำนวนมากจะทำเนียนไม่สวมเครื่องแบบ ปลอมตัวเป็นคนธรรมดา แต่ที่นั่งกันอยู่ตามแผงข้างทาง แค่ลำพังท่าทางก็แตกต่างจากคนธรรมดาแล้ว เสิ่นชิงชิวเห็นว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ เขาจึงเสาะหามุมหนึ่ง เอาสีมาทาหน้าให้เหลืองๆ ติดหนวดเคราเพิ่มเข้าไปแบบส่งๆ เป็นอันว่าเรียบร้อย แล้วค่อยกลับไปเดินบนถนนต่อแบบชิลล์ๆ

เขาเงยหน้ามองฟ้า เมฆโปร่งซึ่งบางตาพอสมควรมีทีท่าจะสลายตัว หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตอนเที่ยงวันนี้น่าจะเป็นจังหวะเหมาะสุด

พอเขาก้มหน้าอีกครั้ง ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้า ร่างผอมสูงในชุดขาวหมดจดราวหิมะแวบผ่านไป ทั้งรวดเร็วและพลิ้วเบา หน้าตาหล่อเหลาเป็นสง่า

หลิ่วชิงเกอ!

คนที่จะสู้กับบอสไหวออกโรงแล้ว! เสิ่นชิงชิวตาเป็นประกาย หมายจะวิ่งตามไป แต่แล้วก็ได้ยินเสียงใสกำลังด่าคนดังมาจากร้านสุราแถวนั้น “ปากสกปรกของเจ้าพูดอะไรน่ะ”

เสียงนี้สดใสกังวาน ฟังคุ้นหูอย่างมาก เสิ่นชิงชิวอดหยุดเดินไม่ได้ สายตาถูกดึงดูดไว้ทันที เสียงฟาดโครมครามจนคนมองกันเป็นแถวดังตามมา

ขณะเดียวกันหญิงสาวอีกคนหนึ่งก็แค่นเสียงกล่าว “แล้วจะทำไม กล้าทำแต่ไม่อนุญาตให้คนอื่นว่ากล่าวหรือ นั่นซินะ ชางฉยงซานมีคนสารเลวเช่นเสิ่นชิงชิว ทั้งสำนักโดยเฉพาะชิงจิ้งเฟิงก็ต้องรีบเอาใบบัวมาปิดเช่นนี้แหละ เฮอะ แต่น่าเสียดาย เขาเป็นตัวอะไร คนทั่วหล้ามีข้อสรุปออกมาแล้ว เจ้าเข้าใจว่าปกปิดได้หรือ”

น้ำเสียงอาฆาตแค้นเต็มเปี่ยม หญิงสาวคนที่พูดก่อนสวนกลับทันที “ซือจุนไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นแน่นอน เจ้าหยุดใส่ความเขาได้แล้ว”

สาวน้อยที่ถึงตอนนี้ยังสามารถกล่าวแทนเขาได้อย่างนี้ไม่ใช่หนิงอิงอิงแล้วจะเป็นใคร

เสียงของหมิงฟานก็ดังขึ้นเช่นกัน “พวกเราเห็นแก่หน้าท่านกงจู่เฒ่าจึงได้รักษามารยาทต่อเจ้า เจ้าก็พูดจาให้มันเกรงอกเกรงใจกันบ้าง”

ถึงเสิ่นชิงชิวอยากไปตามหาหลิ่วชิงเกอ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญกว่า แต่มองเห็นบรรยากาศทางนี้ไม่ค่อยดี จึงลังเลเล็กน้อย อีกทั้งกลัวว่าศิษย์ชิงจิ้งเฟิงจะเสียเปรียบ จึงรั้งอยู่ก่อน หลบไปซ่อนตัวอยู่ด้านข้างเพื่อจับตาดูสักพัก

ชั้นล่างของร้านสุราแห่งนี้ เห็นชัดว่าแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งนำทีมโดยหนิงอิงอิงกับหมิงฟาน ด้านหลังคือศิษย์ชิงจิ้งเฟิงแต่บะคนสีหน้าเอาเรื่อง อีกฝ่ายหนึ่งคือกงจู่น้อยยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างหน้า ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ศิษย์วังฮ่วนฮวาที่อยู่เบื้องหลังชักอาวุธออกมาแล้ว แววตาขุนเคืองยิ่งกว่า

หญิงสาวสองคน คนหนึ่งงามน่ารัก คนหนึ่งสวยสะดุดตา ยืนประจันหน้ากัน ต่อให้ในอากาศเต็มไปด้วยประกายไฟแลบเปรี๊ยะๆ ก็ยังเป็นภาพที่น่ามองที่สุด

ปัญหาบ้านเล็กตีกันของลั่วปิงเหออีกแล้วซินะ ไม่ซะ แม้แต่ศิษย์ของชิงจิ้งเฟิงก็มาแล้ว ซ้ำยังมาเจอะเอาวังฮ่วนฮวาเข้า นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าศัตรูพบกันบนทางแคบของจริง

เสิ่นชิงชิวกล้าฟันธงเลยว่า หากตอนนี้เขานิ่งดูดายเดินจากไป ชิงจิ้งเฟิงจะต้องเสียเปรียบแน่นอน พึงรู้ว่ากงจู่น้อยผู้นี้จองหองอวดดีขนาดว่าใต้หล้านี้นอกจากลั่วปิงเหอแล้วไม่มีใครที่นางไม่กล้าลงมือ ขอบทำร้ายผู้คนจนบาดเจ็บพิการเป็นกิจวัตร

กงจู่น้อยแค่นเสียง “ไม่ใช่คนแบบนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าก็บอกมาซิ ทำไมเขาจะต้องหนีการจับกุมด้วย ไม่เพียงเท่านั้นนะ ยัง…ยัง…กล้าทำเรื่องแบบนั้นด้วย” พูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างชิงชัง ขอบตาแดงก่ำ

หนิงอิงอิงกล่าวแดกดัน “ซือจุนยังไม่ได้ถูกระบุโทษ จะนับว่าเป็นนักโทษหลบหนีได้อย่างไร นอกจากนี้ตกลงเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของผู้ใด ถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น พวกเราชางฉยงซานยังไม่ได้โทษวังฮ่วนฮวาของพวกเจ้าหูเบาขี้ระแวว ไม่รู้จักแยกแยะ ตั้งหน้าตั้งตาจะจับเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงของข้าไปเข้าคุกน้ำให้จงได้เลย ไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องมันคงไม่วุ่นวายถึงขั้นนี้หรอก”

สาเหตุที่ตบตีกัน ไม่ใช่เพราะพระเอกแต่เป็นเขาหรือ

เสิ่นชิงชิวฝ่ามือชุ่มเหงื่อ นึกสงสัยว่า นี่เราสั่งสมบุญวาสนามาแต่ไหนนี่

แต่ขณะเดียวกันลางร้ายในใจเขากลับยิ่งหนาหนักขึ้น

ดูจากสภาพการณ์แล้ว หลังจากเขาหนีออกมา เกรงว่าวังฮ่วนฮวาจะเกิดเรื่องขึ้นกระมัง จะแค้นใหม่หนี้เก่า ตอนนี้มีอะไรก็เอาสุมบนหัวเขาหมดแล้ว

กงจู่น้อยเดือดขึ้นมาปุบปับ แต่พูดกันตามจริง เสิ่นชิงชิวคิดว่ายัยคนนี้ก็เดือนขึ้นมาปุบปับมันทั้งเรื่องแหละ “จากที่เจ้าพูดมา วังฮ่วนฮวาของข้าเป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัวหรือ ได้ชางฉยงซานช่างวิเศษแท้ อวดเบ่งจองหองพองขน ไม่เพียงไม่สำนึกผิด ยังกล้าพาลพาโลใส่ผู้เป็นเจ้าทุกข์ อาศัยสันดานชั่วช้าเช่นนี้ของพวกเจ้า กลับยังมีหน้ามาวางโต ถือตนเป็นสำนักอันดับหนึ่งในหล้าหรือ น่าขันอะไรเช่นนี้”

หนิงอิงอิงเบ้ปาก “ก็ชางฉยงซานได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งในหล้าจริงๆนี่ เจ้าจะยอมรับก็ดี ไม่ยอมรับก็ช่าง ไม่สำคัญอะไรเลยสักนิด อีกอย่างใครกันแน่ที่มาวางโตใส่พวกข้าก่อน พวกข้าชิงจิ้งเฟิงนั่งกินในร้านนี้อยู่ดีๆ แต่เจ้ามาถึงก็ด่ากราด เดี๋ยวบอกให้พวกข้าชิงจิ้งเฟิงทุกคนคุกเข่าโขกศีรษะขอขมา เดี๋ยวบอกว่าจะเอาชางฉยงซานทั้งสำนักไปฝังให้ตายตาม ใครกันแน่ที่น่าขัน เมืองฮวาเยวี่ยหาใช่สวนดอกไม้หลังบ้านเจ้า หรือจะบอกว่าใต้หล้านี้ก็เป็นบ้านเจ้าอีกล่ะ”

นางกล่าวเสียงดังฟังชัด ทำเอาเสิ่นชิงชิวฟังจนอ้าปากค้าง ทำไมหนิงอิงอิงผู้สวยใสไร้สมองถึงมีปัญญาโต้กลับได้ขนาดนี้ แล้วทำไมกงจู่น้อยถึงได้เหมือนตัวอะไรที่ไม่จับขังให้ดี เห็นคนก็กัดล่ะ

หนิงอิงอิงกล่าวต่อ “ชิงจิ้งเฟิงของข้ารู้ธรรมเนียมเสมอมา ซือจุนอบรมพวกเรามาเป็นอย่างดี อย่าได้ถือสาทารกที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จึงได้ยอมอดทนกับเจ้ามาถึงป่านนี้ เจ้าด่าเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ด่าเสร็จก็รีบไปเสีย อย่างได้รบกวนการกินของพวกเรา เห็นหน้าเจ้าแล้วพาให้กินไม่ลง” พูดเสร็จก็ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นสาดไปข้างๆเท่าของอีกฝ่าย

กงจู่น้อยหลบไม่ทัน น้ำชาจึงกระเซ็นใส่ชายกระโปรงนางสองสามหยด นางกรีดร้องเสียงแหลม “เจ้า…นางหญิงปากร้าย!”

คราวนี้หมิงฟานไม่อยู่เฉยแล้ว ปาตะเกียบ หัวเราะหยัน “เจ้าอย่าได้เข้าใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวกงจู่เฒ่าแล้วเราจะกลัวเจ้าเล่า อย่างไรก็เป็นแค่เด็กสาวไม่รู้ความที่อาศัยบารมีพ่อคนหนึ่งเท่านั้น ลำดับอาวุโสและพลังฝึกปรือไม่มีสิ่งใดจะมาโอ้อวดได้เลย แต่ความสามารถในการก่อเรื่องก่อราวกลับเป็นที่หนึ่ง หญิงปากร้ายหรือ ข้าว่าในที่นี้ไม่มีใครเป็นหญิงปากร้ายไปกว่าเจ้าแล้ว หน้าตาของวังฮ่วนฮวาล้วนถูกเจ้าทำลายหมดสิ้น”

เสิ่นชิงชิววถึงกับช็อค!

ศิษย์ชิงจิ้งเฟิงทุกคน ก่อนหน้านี้เวลาอยู่ต่อหน้าเขาล้วนเป็นพวกไม่มีปากมีเสียง จะผายลมยังไม่กล้าผาย สั่งให้ป้อนข้าวไก่รับรองว่าไม่กล้าไปจูงสุนัข สั่งให้หุงข้าวไม่มีทางกล้าต้มโจ๊ก ที่แท้เวลาอยู่ข้างนอก ศึกปะทะคารมกลับทำได้เยี่ยมขนาดนี้?

กงจู่น้อยโกรธจนหน้าซีด ผนวกกับเคยได้ยินฉินหว่านเยวียบอกว่า หญิงสาวอ้อนแอ้นตรงหน้าผู้นี้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับลั่วปิงเหอมาหลายปี เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ที่สนิดกันมาแต่เด็ก ก็นึกอิจฉาเกลียดชังเป็นทวีคูณ เงื้อมือขึ้น เงาดำสายหนึ่งดูเหมือนงูพิษพุ่งลอยออกมาจากแขนเสื้อทันควัน

เฮ้ย! เปลี่ยนแส้เส้นใหม่แล้วด้วย!

พอเห็นว่าในที่สุดก็เริ่มต่อสู้กันแล้ว ลูกค้าที่เดิมทีนั่งอยู่ในร้านพากันเผ่นออกมาอย่างรวดเร็ว ตอนวิ่งผ่านเสิ่นชิงชิวไปล้วนมีหน้าตาเฉยชาไม่สะทกสะท้าน เห็นทีว่าชาวเมืองฮวาเยวี่ยจะชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ถึงขนาดแปะบัญชีค่าอาหารไว้ที่เสาได้อย่างชำนาญก่อนจะวิ่งออกมา

กงจู่น้อยถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวสุดที่รักของกงจู่เฒ่า ได้รับการถ่ายทอดวิชายุทธ์ชนิดแทบจับมือสอน ศาสตราวุธก็เป็นของชั้นหนึ่ง พลังแส้รุนแรงรวดเร็ว

ส่วนหนิงอิงอิงในฐานะที่เป็นศิษย์น้องหญิงคนเล็กที่คนทั้งชิงจิ้งเฟิงรักใคร่เอ็นดู น้อยนักที่จะเจอะเข้ากับสถานการณ์ร้ายแรง แทบไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ในสนามจริง เอากระบี่ปัดซ้ายป่ายขวา มีเค้าว่าจะต้านไม่อยู่ หมิงฟานอยากเข้าไปช่วย แต่ก็แทรกเข้าไปในรัศมีโจมตีของแส้เหล็กที่ซัดกราดออกมาไม่ได้เลย ได้แต่ยืนดูอย่างร้อนใจ

เสิ่นชิงชิงเห็นเข้าดังนั้นก็ฉวยใบไม้เขียวใบหนึ่งจากแจกันดอกไม้ข้างตัวซัดออกไป

ใบไม้เขียวอ่อนนุ่มบรรจุพลังทิพย์ไว้เต็มๆ ปะทะเข้ากับแส้เหล็กวิเศษอย่างถนัดถนี่ กลับทำให้เกิดเสียงโลหะเสียดสีกันแสบแก้วหู กงจู่น้อยไม่ทันเห็นชัดว่ามีอะไรผิดปกติ รู้แต่ว่าง่ามมือถูกกระแทกจนชา แส้กระเด็นหลุดจากมือ

หนิงอิงอิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เดิมทีหมายจะตั้งกระบี่รับ แต่เวลานี้พอเห็นกงจู่น้อยไม่มีอาวุธไว้ป้องกันตัว กลัวว่าจะพลั้งมือเข้าไปแทงนาง เลยรีบชักกระบี่กลับ ไม่คาดว่ากงจู่น้อยกลับกัดไม่ปล่อย ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วพอาวุธหลุดจากมือก็สะบัดแขนอย่างแรก ตบเข้าไปที่หน้าของหนิงอิงอิง

สิ้นเสียงฉาด หนิงอิงอิงหน้าหันไปข้างหนึ่งตามแรงตบ

แม่ง!!!

เห็นใบหน้าของหนิงอิงอิงขึ้นเป็นรอยห้านิ้วชัดเจน แก้มบวมพองไปซีกหนึ่ง ก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายลงมือดุดันแค่ไหน เสิ่นชิงชิวเจ็บปวดใจแทบตายแล้ว

ลูกศิษย์ที่ฉันเองยังไม่เคยตีสักแปะ แต่เธอกล้าตบเลยหรือ!

เห็นหน้าสวยๆของหนิงอิงอิงถูกนางตบจนโย้ไม่เท่ากัน ข้างหนึ่งบวมข้างหนึ่งเรียบ ดูไม่ได้เอามากๆ กงจู่น้อยได้ระบายความโกรธออกมาบ้าง สะใจหนัก นางนวดข้อมือ เชิดหน้าขึ้นหัวเราะ “หากซือจุนเจ้าสอนเจ้าไม่เป็น ก็ให้เปิ่นกงจู่สอนเจ้าก็แล้วกัน ข้อหนึ่ง จะพูดจาต้องรู้จักการควรไม่ควร”

แม่เจ้าโว้ย ใครหน้าไหนให้เธอมาสั่งสอนศิษย์แทนฉัน

หมิงฟานชักกระบี่ ตวาดลั่น “นางแพศยา! รังแกกันเกินไปแล้ว! พวกเราเสี่ยงชีวิตกับพวกมันเลย!”

ศิษย์ชิงจิ้งเฟิงเหลืออดอยู่ก่อนแล้ว ศิษย์น้องเล็กถูกตบ ยังจะทนไหวหรือ เวลานี้ทุกคนล้วนตะโกนกันดังลั่น ชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่เปล่งประกายวูบวาบ

ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังใช้ความคิดเป็นการด่วนว่าจะสั่งสอนกงจู่น้อยอย่างไรดีโดยไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลือดตกยางออกมากไปกว่านี้ ทั้งไม่เปิดเผยตำแหน่งของตัวเอง พลันสังเกตเห็นว่า ในบรรดาศิษย์วังฮ่วนฮวามีคนหนึ่งท่าทางผิดปกติ ดูไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างมาก

เสิ่นชิงชิวจับตาดูคนผู้นี้อยู่ 2 วินาที ในเต้นโครมคราม ลอบร้องว่า แย่แล้ว!

น่ากลัวว่าจะหลุดรอดไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆเสียแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version