Skip to content

Scumbag System 6

บทที่ 6

เมืองจินหลัน

สามปีผ่านไปราวกับกะพริบตา

ในสามปีนี้ นอกจากไปขอให้หลิ่วชิงเกอมาช่วยกรุยชีพจรรักษาพิษเป็นระยะๆ ไหว้วานมู่ชิงฟางช่วยจัดเทียบยาให้ หรือไม่ก็กำหนดเควสต์ให้ศิษย์ของชิงจิ้งเฟิงได้ฝึกฝนเพื่อเก็บเลเวลแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของเสิ่นชิงชิวจึงมักไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก

วันเวลาผ่านไปสบายๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จนกระทั่งเยวี่ยชิงหยวนร่อนจดหมายมาเรียกเขากลับชางฉยงซานเป็นการด่วน

เนื่องจากเจ้ายอดเขาหายหัวไปเป็นเวลานาน คราวนี้อยู่ๆกลับคืนสำนักอย่างกะทันหัน บรรดาศิษย์ชิงจิ้งเฟิงจึงพากันลงไปตั้งแถวต้อนรับที่ประตูทางเข้าแต่ไก่โห่ ครั้นเห็นเสิ่นชิงชิวเดินขึ้นบันไดมาก็กรูเข้าไปรุมล้อมทันที

หมิงฟานที่นำหน้ามาโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว รูปร่างสูงผอม แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าหล่อเหลาเกินใคร แต่นับว่าหน้าตาสะอาดหมดจด อย่างน้อยก็ไม่ปากแหลม หน้าตอบ มองปราดเดียวรู้เลยว่าเป็นใบหน้าของลิ่วล้อที่มีจิตใจคับแคบเหมือนตอนวัยรุ่น

ส่วนหนิงอิงอิงกลายเป็นหญิงสาวน่ารัก ทรวดทรงองค์เอวไร้ที่ติ ทันทีที่เห็นเสิ่นชิงชิวก็โผเข้าหา แล้วลากแขนเขาพาเดินขึ้นบันไดสวรรค์ไป

ถึงการมีหญิงสาวตัวนุ่มๆหอมๆเข้ามากอดจะเป็นเรื่องวิเศษสุดในโลก แต่เสิ่นชิงชิวกลับไม่มีวาสนาจะได้เสพสุข ยิ่งเวลานี้หนิงอิงอิงโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่หนูน้อยโลลิตัวเล็กน่ารักอย่างในตอนนั้นแล้ว บางครั้งเผลอเอาหน้าอกมาเบียดเขาโดยไม่ตั้งใจ ทำเอาเสิ่นชิงชิวเหงื่อแตกพลั่กภายใต้ใบหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก นึกถึงคอมเม้นต์ยาวเป็นตั้งที่เรียกร้องให้จับเสิ่นชิงชิวตอนขึ้นมาทันที

หนิงอิงอิงกล่าวอย่างออดอ้อน “ซือจุนไม่ค่อยยอมอยู่บนเขา พวกศิษย์คิดถึงท่านจะตายอยู้แล้วเจ้าค่ะ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างเอ็นดู “เหวยซือก็คิดถึงพวกเจ้า…ทุกคน”

ไม่จริงหรอก ที่นางควรคิดถึงคือลั่วปิงเหอต่างหาก เธอจะมาคิดถึงผู้ร้ายกากๆคนหนึ่งอย่างฉันทำไม อีกอย่างในฐานะหนึ่งในว่าที่เมียของลั่วปิงเหอเธอควรกินไม่ได้นอนไม่หลับผ่ายผอมตรอมตรมตลอดหน้าปีไม่ใช่เหรอ

ทำไมตอนนี้กลับดูอวบอั๋นขึ้นอีกต่างหาก

พวกศิษย์ห้อมล้อมเสิ่นชิงชิวขึ้นสู่ฉยงติ่งเฟง ในอารามฉยงติ่ง เจ้ายอดเขาทั้งสิบสองนั่งกันพร้อมหน้า โดยที่เจ้ายอดเขาแต่ละท่านมีศิษย์คนสนิทคนหรือสองคนคอยยืนรับใช้อยู่ด้านหลัง มีเพียงหลิ่วชิงเกอคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น

การสอนของไป่จั่นเฟิงตามธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมานั้นเหมือนการเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้าที่ปล่อยให้หากินเอาเองคือต่างคนต่างฝึก เจ้ายอดเขานอกจาจะโผล่มาทุบตีเหล่าลูกศิษย์เป็นระยะ โดยรวมก็ไม่ได้สอนอะไรอื่นจนกระทั่งศิษย์สามารถสู้ตอบโต้อาจารย์กลับไปได้นั่นแหละ ตำแหน่งเจ้ายอดเขาก็จะถึงคราวเปลี่ยนมือ ü* เป็นแบบนี้ก็แน่นอนว่าคงไม่มีศิษย์คนสนิทอะไรกับเขาหรอก

(เครื่องหมาย ü ณ ที่นี้ผู้เขียนอธิบายว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันในเน็ตมีความหมายประมาณว่า ‘โอเค’ สำหรับริบทนี้เทียบได้ว่า ‘ก็เป็นแบบนี้แหละ’)

เสิ่นชิงชิวทักทายไปทีละคน แล้วนั่งลงยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งของชิงจิ้งเฟิงซึ่งอยู่อันดับสอง หมิงฟานกับหนิ่งอิงอิงอยู่ข้างหลัง ส่วนด้านตรงข้ามเป็นฉีชิงชีและหลิ่วหมิงเยียนจากเซียนซูเฟิง

เยวี่ยชิงหยวนยังไม่ได้กล่าวเปิดการประชุม เสิ่นชิงชิวเลยเอาพัดด้ามจิ้วมาคลี่ๆหุบๆเล่น พลางกวาดตามองเจ้ายอดเขาแต่ละท่านรวมถึงบรรดาศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง คิดว่าหากลั่วปิงเหอยังอยู่ ที่ยืนอยู่ด้านหลังตนในตอนนี้ไม่มีทางเป็นคนอื่นแน่นอน ลูกศิษย์รุ่นต่อไปที่โดดเด่นที่สุดของชางฉยงซานก็ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้นอกจากลั่วปิงเหอ

ขณะกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย เยวี่ยชิงหยวนก็กล่าวว่า “สหายร่วมสำนักทุกท่านรู้จักเมืองจินหลันหรือไม่”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “เคยได้ยินมาบ้างขอรับ อยู่ที่จงหยวน เป็นจุดที่แม่น้ำใหญ่สองสายคือแม่น้ำลั่วกับแม่น้ำเหิงไหลมาบรรจบกัน เจ้าเมืองให้ความสำคัญกับการค้า ว่ากันว่าเจริญรุ่งเรืองมาก”

เยวี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ถูกต้อง เมืองจินหลันเป็นศูนย์กลางการสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก ตลอดมาเป็นแหล่งชุมนุมของพ่อค้าจากทั่วสารทิศ แต่สองเดือนก่อนเมืองจินหลันปิดเมืองเสียแล้ว ไม่เพียงห้ามเข้าออก การติดต่อสื่อสารยังถูกตัดขาดด้วย”

ค้าขายกันอยู่ดีๆ เมืองปิดก็เหมือนศูนย์กลางการเงินการธนาคารถูกตัดขาดกะทันหัน ช่างไร้เหตุผลเสียจริง รับรองว่าต้องมีเรื่องอะไรอยู่แน่

เสิ่นชิงชิวยกฝาถ้วยน้ำชาขึ้นปาดใบชาที่ผิวน้ำ “เมืองจินหลันอยู่ใกล้วัดเจาหัวมากที่สุด จากที่จำได้ มีการติดต่อคบหากันใกล้ชิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต้าซือ* ที่วัดทุกท่านน่าจะรู้สึกถึงความผิดปกติแล้วซิ”

(ต้าซือ เป็นคำเรียกพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ เหมือนกับคำว่า พระคุณเจ้า ออกเสียงตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า ไต้ซือ)

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ถูกต้อง 20 วันก่อน มีพ่อค้าชาวเมืองจินหลันคนหนึ่งหนีออกมาทางน้ำแล้วรีบไปขอความช่วยเหลืองจากวัดเจาหัว”

เขาใช้คำว่า ‘หนี’ เห็นทีว่าสถานการณ์คงร้ายแรงมาก ทั่วทั้งห้องเงียบขรึมไปตามๆกัน

“ชายกลางคนผู้นั้นความจริงแล้วเป็นเจ้าของร้านค้าอาวุธอันดับหนึ่งของเมืองจินหลัน ปกติแล้วจะไปจุดธูปไหว้พระที่วัดเจ้าหัวอยู่เป็นประจำ พระในวันที่รู้จักเขาจึงมีไม่น้อย ตอนนั้นเขาเอาผ้าดำห่อตัวแน่นหนา เปิดเพียงหน้าซีกหนึ่งให้เห็น พอถึงวัดเจาหัวก็หมดแรงล้มอยู่หน้าบันไดทางขึ้นเขา เอาแต่พูดซ้ำๆว่าในเมืองเกิดโรคระบาดน่าสะพรึงกลัว พระที่เฝ้าทางขึ้นเขารีบพาเขาเข้าไปในวิหารใหญ่ทันที แล้วแจ้งให้เจ้าอาวาสทราบ แต่พอเจ้าอาวาสกับต้าซืออีกสองสามท่านมาถึงก็สายไปเสียแล้ว”

หลิ่วชิงเกอถามว่า “เขาตายแล้ว?”

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “พ่อค้าคนนั้นกลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว”

เมื่อกี้ยังบอกว่าหนีจนหมดแรงอยู่หน้าประตูวัดอยู่เลย ทำไมถึงกลายเป็นโครงกระดูกไปในชั่วพริบตา

เสิ่นชิงชิวกล่าวพึมพำ “เมื่อครู่ศิษย์พี่บอกว่าพ่อค้าผู้นั้นห่มผ้าดำทั้งตัวหรือ หัวจรดเท้าเลยหรือขอรับ”

เยวี่ยชิงหยวนตอบว่า “ถูกต้อง ตอนนั้นมีพระรูปหนึ่งจะเข้าไปเอาผ้าออกให้เขา แต่พอแตะโดนตัวก็ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมานสุดแสนราวกับเนื้อหนังฉีกขาด ดังนั้นจึงไม่กล้าดึงอีก บรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ของวัดเจาหัวรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง หลังจากหารือกัน ก็ส่งอู๋เฉินต้าซือและพระอาวุโสอีกสองสามรูปไปตรวจสอบคืนนั้นเลย จนถึงบัดนี้ยังไม่กลับมา”

ต้าซือรุ่นที่มีคำว่า ‘อู๋’ อยู่ในชื่อ เทียบกับเสิ่นชิงชิวแล้ว ศักดิ์ฐานะไม่ต่ำกว่าเขาเลย ว่ากันที่พลังฝึกปรือก็ไม่น่าจะแตกต่างเช่นกัน

เสิ่นชิงชิวตกตะลึง “แม้แต่คนเดียวก็ไม่กลับมาหรือ”

เยวี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างหนักใจ “วังฮ่วนฮวาและอารามเทียนอีก็ส่งศิษย์ไปสิบกว่าคน แต่ไม่มีใครกลับมาเลยเช่นกัน”

4 สำนักใหญ่ถูกฉุดลงน้ำไป 3 สำนักแล้ว แน่นอนว่าชางฉยงซานย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย มิน่าถึงได้เรียกตัวเขากลับมาโดยด่วน จริงดังคาด เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ด้วยความอับจนหนทาง สหายพรตสำนักอื่นจึงได้ร่อนสารพร้อมกับส่งคนมาขอความช่วยเหลือจากชางฉยงซาน ช่วยเหลือน่ะต้องช่วยแน่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เกรงว่าจะมีโจรต่างเผ่าอยู่เบื้องหลังเพื่อสร้างความปั่นป่วน อีกอย่างหากส่งคนไป ต้องมีคนอยู่โยงเฝ้าที่นี่ด้วย”

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุที่ไม่มีคนอยู่รักษาการณ์เหมือนครั้งซาหัวหลิง

‘ต่างเผ่า’ ไม่จำเป็นต้องระบุชัด ก็ชี้ไปที่เผ่ามารเพียงเผ่าเดียวเท่านั้น

หลิ่วชิงเกออาสาเป็นคนแรก “ไป่จั้นเฟิงขอไปคุ้มกันศิษย์น้องมู่ขอรับ”

เพราะเกิดโรคระบาดที่เมืองนั้น มู่ชิงฟางแห่งเซียนเฉ่าเฟิงจึงย่อมต้องออกปฏิบัติการโดยไม่มีทางเลี่ยง

เสิ่นชิงชิวเห็นแล้วว่า สองคนที่ต้องไปนี้ คนหนึ่งมีหน้าที่ต้มยาให้เขา คนหนึ่งมีหน้าที่ช่วยกรุยชีพจรทิพย์ ถ้าไปกันหมด คนที่ปราศจากออร่าพระเอกคุ้มครองกายอย่างเขาจะเกิดเคราะห์หามยามร้ายขึ้นมาไหม ยิ่งน่ากังวลเข้าไปใหญ่ ไม่ไปดูสักหน่อยไม่ได้แล้ว เขารีบกล่าวทันที “ชิงชิวขออาสาไปด้วยขอรับ”

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “เจตนาเดิมของข้าคือให้เจ้าเฝ้าสำนัก”

วิธีรับมือกับคนผู้นี้ เสิ่นชิงชิวจะไม่รู้ได้อย่างไร ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก “ทำไมศิษย์พี่เจ้าสำนักถึงได้คิว่าข้าอ่อนแอขนาดนั้น ชิงชิวแม้ไร้ความสามารถ แต่วิธีจัดการกับพวกปีศาจสารพัดชนิดกลับพอมีความรู้อยู่บ้าง หากเป็นพวกมันชักใยอยู่เบื้องหลังจริงๆ จะมากจะน้อยข้าก็พอช่วยเหลือได้บ้าง”

สารนุกรรมเดินได้ว่าด้วยเผ่ามาร ไม่ว่าเสิ่นชิงชิวตัวออริจนอลหรือเสิ่นชิงชิวในเวลานี้ต่างคู่ควรกับสมญานามนี้ด้วยกันทั้งคู่ เอกสารและคัมภีร์โบราณที่เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงแต่ละรุ่นสะสมมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เล่มที่ถ้าอ่านไม่จบไม่อนุญาตให้ขึ้นรับตำแหน่งถูกกองเป็นพะเนินอยู่ในห้องด้านหลังของเรือนไผ่

เมื่อเยวี่ยชิงหยวนตรองดูแล้ว จึงยอมให้เขาออกเดินทางไปกับหลิ่วชิงเกอและมู่ชิงฟาง ดีเสียอีก จะได้มีคนช่วยสะกดข่มพิษ ‘ไร้ยาถอน’ ที่อยู่ในร่างเขา หากเกิดการต่อสู้ เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงยังช่วยคุ้มครองได้ ในที่สุดจึงแบ่งกำลังออกเป็น 3 กลุ่ม ให้กลุ่มของหลิ่วชิงเกอ มู่ชิงฟาง และเสิ่นชิงชิวเป็นทัพหน้าไปตรวจสอบเหตุการณ์ในเมืองจินหลันก่อน กลุ่มที่สองให้รออยู่ด้านนอก ดูสถานการณ์แล้วค่อยเคลื่อนไหว กลุ่มที่สามให้เฝ้ารักษาการณ์ที่ชางฉยงซาน

สถานการณ์เร่งด่วนจึงไม่มีเวลาให้เอ้อระเหยนั่งรถม้าหรือลงเรือได้ เสิ่นชิงชิวความจริงแล้วไม่ชอบท่องกระบี่ แต่ก็รู้ว่าคราวนี้ต้องทำตามเสียงส่วนใหญ่ พวกเขาท่องกระบี่ออกเดินทาง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันเสิ่นชิงชิวมองลงไปผ่านหมู่เมฆ แล้วเกร็งลมปรานตะโกนบอกสหายร่วมสำนักทั้งสอง “ด้านล่างคือจุดที่แม่น้ำลั่วกับแม่น้ำเหิงไหลมาบรรจบกัน”

เมื่อมองจากมุมสูงก็เห็นว่ามีแม่น้ำสองสายพาดตัดกันอยู่จริงๆ แลดูคล้ายแถบสีเงินที่คดเคี้ยวและทอดยาวทอประกายระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์ ทั้งดูราวกับเกล็ดเงินที่พลิ้วไหว

ในแม่น้ำสองสายนี้ สายหนึ่งคือแม่น้ำลั่ว ลั่วปิงเหอตอนแรกเกิด ถูกปล่อยลงแม่น้ำนี้ จึงใช้แซ่ลั่วตามแม่น้ำนี้นั้นเอง

คนทั้งสามเลือกยอดเขาโล่งเตียนแห่งหนึ่งเป็นจุดลงจอด จากตรงนี้พอจะมองเห็นชายคาโค้งงอนของบ้านเรือนในเมืองจินหลันอยู่ไกลๆ รวมทั้งกำแพงเมืองที่ปิดสนิดและสะพานข้ามคูเมืองที่ชักขึ้นสูง

เสิ่นชิงชิวลดมือที่ยกขึ้นป้องคิ้วบังแดดลง “ไฉนพวกเราไม่เหาะเข้าเมืองไปเลยล่ะ”

มู่ชิงฟางอธิบาย “วัดเจาหัวได้ร่ายเขตอาคมขนาดยักษ์ครอบเมืองจินหลังตามที่เจ้าเมืองขอเอาไว้ หากกระบี่วิเศษหรืออะไรก็ตามที่มีปราณทิพย์ปราณมารผ่านเข้าไปทางอากาศ จะถูกดีดกระเด็นออกมาทันที”

ความสามารถในการร่ายเขตอาคมขอวัดเจาหัวนั้น เสิ่นชิงชิวได้ประจักษ์มาแล้วจากทีมสร้างเขตอาคมอันเลื่องชื่อครั้งงานชุมนุมเซียน หากพวกเขาจัดให้ตัวเองอยู่ในลำดับสอง ไม่มีใครหน้าไหนจะกล้าอวดอ้างตัวเองเป็นลำดับหนึ่งแน่นอน เสิ่นชิงชิวจึงไม่ถามอะไรอีก

เมื่อไม่อาจกระโดดร่มเข้าไป ทั้งไม่อาจเข้าทางประตูใหญ่ ก็ต้องช่องทางอื่นอีกแน่ จริงดังดาด มู่ชิงฟางที่ทราบรายละเอียดต่างๆจากเยวี่ยชิงหยวนครบทุกเรื่อง นำศิษย์พี่ทั้งสองทะลุเข้าทางป่าละเมาะแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้หนาครึ้มช่วยอำพรางสายตา ได้ยินเสียงธารน้ำไหลรินเอื่อยๆ

เสียงนั้นดังมาจากถ้ำธารลอดที่อยู่ต่ำลงไปแห่งหนึ่ง มู่ชิงฟางเรียกคนทั้งสองเข้ามา “ตรงนี้มีถ้ำธารลอด ธารน้ำนี้สามารถเข้าไปโผล่ในเมืองได้”

เสิ่นชิงชิวแจ่มแจ้งทันที “พ่อค้าขายอาวุธคนนั้นหรือออกมาทางนี้หรือ”

มู่ชิงฟางพยักหน้า “พวกพ่อค้าเถื่อนมักนัดพบกันที่นี่ หรือไม่ก็ลักลอบขนสินค้าหนีภาษีกันทางนี้ คนที่รู้เส้นทางนี้ความจริงแล้วมีไม่นากนัก พ่อค้าขายอาวุธคนนั้นสนิทสนมกับพวกหลวงจีนจึงเคยบอกเอาไว้”

ปากถ้ำธารลอดมีเถาวัลย์เขียวเลื้อยพันเต็มไปหมด ทั้งยังสูงเพียงอก คนทั้งสามจึงต้องค้อมตัวลอดเข้าไป เดินไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็รู้สึกว่าเหนือศีรษะกว้างโล่งขึ้น เสียงน้ำไหลแรงกว่าเดิม ริมฝั่งน้ำมีเรือเล็กเก่าโทรมสองสามลำผูกอยู่ริมฝั่ง

เสิ่นชิงชิวเลือกลำที่สภาพดีหน่อยไม่ถึงกับรั่ว ดีดนิ้วทีหนึ่ง ตะเกียงแห้งผากที่แขวนอยู่หัวเรือ พลันก็ไฟลุก จุดติดไฟขึ้น เขามองซ้ายมองขวาพอเห็นว่ามีไม้ถ่อเรืออยู่เพียงด้ามเดียว เสิ่นชิงชิวผายมือทำท่า ‘เชิญ’ แล้วกล่าวกับหลิ่วชิงเกอ “พายเรือทวนน้ำเข้าเมืองต้องให้ผู้ที่มีกำลังแขนดีที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว ศิษย์น้อง เชิญ”

หลิ่วชิงเกอหน้าง้ำ ฉวยไม้ถ่อเรือผอมยาวด้ามน้ำมาจ้วงโดยไม่ปริปากบ่น จ้วงทีหนึ่งเรือก็แล่นวืดไปใกล ตะเกียงที่หัวเรือแกว่งดังเอี๊ยดอ๊าด

เสิ่นชิงชิวดึงมู่ชิงฟางให้นั่งลง มองลอดไปในน้ำข้างลำเรือ กลับมองเห็นปลาสองสามตัวแหวกว่ายในน้ำอย่างชัดเจน จึงพูดไปเรื่อยเปื่อย “น้ำนี่ใสดี”

เพิ่งสิ้นคำก็มีอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่าฝูงปลาลอยสวนมา

ซากศพ ศพหนึ่งลอยคว่ำหน้ามาตามน้ำ

เสิ่นชิงชิวนั่งตัวตรงแน่ว

ศพลอยน้ำ เชี่ยๆๆ!!!

เพิ่งพูดยังไม่ทันขาดคำว่า ‘น้ำใสดี’ ศพก็ลอยมาหาฉันเลย ไม่ต้องตบหน้ากันแรงขนาดนี้ก็ได้!

หลิ่วชิงเกอใช้ไม้ถ่อเรือเกี่ยวศพเข้ามา แล้วพลิกหงาย คาดไม่ถึงว่าศพนี้จะเป็นโครงกระดูก เนื่องจากใช้ผ้าดำห่อทั้งตัวรวมถึงศีรษะด้วย อีกทั้งหน้าคว่ำมา เมื่อครู้จึงมองไม่ออก

เสิ่นชิงชิวถามว่า “ศิษย์น้องมู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกนี้มีโรคระบาดชนิดใดที่ทำให้ร่างกายเหลือเพียงโครงกระดูกในชั่วพริบตา”

มู่ชิงฟางส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

เป็นอย่างที่เขาว่ากัน พายเรือทวนน้ำ หากไม่พายไปข้างหน้าก็ถูกกระแสน้ำพัดถอยหลัง หยุดเพียงครู่เดียว เรือน้อยถอยหลังมาช่วงหนึ่งเลยทีเดียว หลิ่วชิงเกอยกไม้ถ่อเรือขึ้นอีกครั้ง เพียงไม่นานก็บอกว่า “ข้างหน้ายังมีอีก”

เป็นจริงดังคาด ด้านหน้ามีศพลอยสวนมาอีกห้าหกศพ ล้วนเป็นโครงกระดูกที่ห่อด้วยผ้าดำเหมือนกันศพแรกทุกประการ

ขณะเสิ่นชิงชิวกำลังครุ่นคิดพิจารณา ฉับพลันหลิ่วชิงเกอเสียงไม้ถ่อเรือลงไปในผนังหินด้านข้าง ลำไผ่ถ่อเรือซึ่งทั้งผอมทั้งเปราะกลับสามารถปักเข้าไปในเนื้อศิลาแข็งและปราศจากรอยแยกได้ทันที เรือหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว เสิ่นชิงชิวรู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน จึงลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนั้น “ใคร”

เสียงหอบแฮกดังมาจากความมืดเบื้องหน้า ตะเกียงที่หัวเรือส่องให้เห็นเงาตะคุ้มของคนผู้หนึ่งอย่างเลือนราง เสียงที่ฟังอายุยังไม่มากกล่าวขึ้น “พวกเจ้าเป็นใคร ลับๆล่อๆเข้าถ้ำธารลอดคิดกระทำการใด”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “คำพูดนี้พวกเราก็อยากถามเจ้าที่อยู่ตรงนี้เช่นกัน”

แม้เสิ่นชิงชิวจะยืนอยู่บนเรือน้อยเก่าโทรม ทว่าชุดเขียวผมดำ ที่เอวแขวนกระบี่ยาว ยามยกมือวางเท้าดูสงบนิ่งไม่ลนลาน ดูแล้วเป็นผู้ฝึกวิชาเซียนที่มีลักษณะทรงภูมิไม่น้อย อีกทั้งเสิ่นชิงชิวในเวลานี้เก็กท่าจนติดเป็นนิสัย มีมาดเฉพาะของตนเองไปแล้ว จึงพอขู่ขวัญคนได้ เด็กหนุ่มผู้นั้นคาดไม่ถึงจริงๆว่าอีกฝ่ายจะดูภูมิฐานขนาดนี้ ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนตวาด “พวกเจ้าไปเสีย! ตอนนี้ห้ามเข้าไปในเมืองเด็ดขาด!”

หลิ่วชิงเกอแค่นเสีย “อาศัยเจ้า? คิดหรือว่าจะขัดขวางผู้อื่นได้”

เด็กหนุ่มผู้นั้นตะคอก “ในเมืองมีโรงระบาด ไม่อยากตายก็ไสหัวไป!”

มู่ชิงฟางกล่าวเสียงนุ่มนวล “สหายน้อย ที่พวกเรามาก็ด้วยเหตุนี้แหละ…”

เด็กหนุ่มผู้นั้นเห็นว่าบอกดีๆแล้วอีกฝ่ายยังไม่ยอมไปจึงโมโห “ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องใช่ไหม พวกเจ้าไสหัวไปเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

พูดยังไม่ทันขาดคำ หอกด้ามหนึ่งแทงมาด้วยกำลังแกร่งกร้าวดุดัน

หลิ่วชิงเกอหัวเราะหยัน ดึงไม้ถ่อเรือที่ปักอยู่ในผนังหินออก ไม้ถ่อตวัดเหวี่ยงอีกฝ่ายลงน้ำไปทันที

เสิ่นชิงชิวได้ยินเสียงหนุ่มน้อยคนนั้นว่ายตะเกียดตะกายอยู่ในน้ำ ปากก่นด่าไม่หยุด จึงถามว่า “จะช่วยขึ้นมาไหม”

หลิ่วชิงเกอตอบว่า “ด่าได้เสียงดังฟังชัดชนาดนี้จะช่วยขึ้นมาทำอะไร เข้าเมืองได้แล้ว” จากนั้นก็ถ่อเรือต่อ

พอคนทั้งสามออกมาพ้นถ้ำธารลอด เรือเถื่อนก็ลอยตามกระแสน้ำกลับเข้าไปในความมืด พวกเขามาโผล่ตรงบ่อน้ำตื้นรกร้างที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง ไม่เห็นผู้เห็นคน เดินเข้าใจกลางเมืองได้สักพัก ทันใดนั้น ด้านหลังมีคนวิ่งตึงๆตามมา

หนุ่มน้อยที่ดูเหมือนลูกหมาตกน้ำคนนั้นโผเข้ามากล่าวกระหืดกระหอบ “บอกว่าอย่าเข้าเมือง! เข้ามาจะมีประโยชน์อะไร คนที่มาช่วยก่อนหน้าตั้งมาก หลวงจีนกะจมูกโค* วังฮวาๆอะไรนั้นยังออกไปไม่ได้เลย รนหาที่ตายเองนะ”

(จมูกโค เป็นคำเรียกนักพรตอย่างหยาบคาย)

ที่แท้เด็กหนุ่มที่ซุ่มโจมตีในความมืดผู้นี้กลับคิดอ่านเพื่อพวกเขา เสิ่นชิงชิวถามว่า แต่พวกข้าก็เข้ามาแล้ว เจ้าว่าควรทำอย่างไรดี”

เด็กหนุ่มกล่าวว่า “ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ ตามข้ามาอย่าวิ่งเพ่นพ่าน ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาหลวงจีน”

คนทั้งสามไม่คัดค้าน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม้คุ้นทางในเมืองจินหลัน มีคนนำทางไม่ต้องเดินวนเวียนให้เสียเวลาก็ดีแล้ว

เสิ่นชิงชิวก้มหน้าเล็กน้อยถามว่า “สหายน้อย เจ้าชื่ออะไร”

หนุ่มน้อยยืดอก “ข้าชื่อหยางอี้เสวียน เป็นลูกชายร้านค้าอาวุธจินจื่อ”

หรือจะเป็นพ่อค้าอาวุธผู้นั้นที่เสี่ยงตายไปแจ้งวัดเจ้าหัวให้มาช่วย

หลิ่วชิงเกอเห็นเสิ่นชิงชิวมองหนุ่มน้อยผู้นั้นอย่างประเมินก็ถามว่า “เจ้ามองอะไร”

เสิ่นชิงชิงกล่าวว่า “ข้าว่าเด็กคนนี้สามารถรับมือเจ้าได้สองสามกระบวนท่า จิตใจก็ไม่เลว สองประการนี้ยากจะพบพาน กลับเป็นอัจฉริยะที่ปั้นได้คนหนึ่ง”

หลิ่วชิงเกอตอบว่า “ปั้นได้ก็ไร้ประโยชน์ ข้าไม่รับศิษย์ รำคาญ”

เดินเข้ามาในตัวเมือง เริ่มเห็นผู้คนค่อยๆหนาตาขึ้น แต่คำว่า ‘หนาตาขึ้น’ นี้ เพียงตรงข้ามกับคำว่าไม่เห็นผู้เห็นคนเมื่อครู่เท่านั้นเอง บนถนนสายหลักมีคนอย่างมากแค่สามสี่คน ทั้งยังห่อตัวด้วยผ้าดำตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ละคนเดินอย่างเร่งรีบร้อนรน ดูราวกับนกหวากเกาทัณฑ์และปลาหลุดแห

ร้านขายอาวุธจินจื่อไม่ใช่ร้านเล็กๆเลย ร้านมีขนาดสี่คูหาทะลุถึงกันตั้งอยู่บนถนนสายหลักที่กว้างที่สุด ทั้งยังมีลานบ้านชั้นใน ห้องโถง และห้องใต้ดิน

อู๋เฉินต้าซืออยู่ในห้องใต้ดินนี่เอง เขานอนอยู่บนเตียงมีผ้าห่อคลุมท่อนล่าง เมื่อเห็นคณะช่วยเหลือของชางฉยงซานมาถึงก็ลุกขึ้นกล่าว “อมิตาพุทธ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ต้าซือ สถานการณ์คับขัน ข้าจะเข้าเรื่องเลยแล้วกัน สถานการณ์โรคระบาดในเมืองจินหลันตกลงแท้จริงคืออะไรกันแน่ เหตุไฉนต้าซือเข้าเมืองมาแล้วไม่ออกไป ซ้ำไม่แจ้งข่าว และเหตุใดทุกคนถึงต้องคลุมผ้าดำ”

อู๋เฉินฝืนยิ้ม “ที่เสิ่นเซียนซือถาม ความจริงแล้วเป็นปัญหาข้อเดียวกัน”

ขณะที่พูดเขาก็เลิกผ้าที่ห่มคลุมกายออก เสิ่นชิงชิวตัวแข็งทื่อ

ใต้ผ้าห่ม มีเพียงต้นขาคู่หนึ่ง แต่ใต้เข่าลงไปคือความว่างเปล่า ตรงที่ควรจะเป็นน่องกลับหายไปแล้ว

หลิ่วชิงเกอถามเสียงเย็นยะเยียบ “ใครทำ”

อู่เฉินส่ายหน้า “มิใช่ใครทำ”

เสิ่นชิงชิวฉงน “มิใช่ใครทำ หรือว่ามันหายไปเอง”

นึกไม่ถึงว่าอู๋เฉินจะพยักหน้า “ถูกต้อง ขาทั้งสองข้างหายไปเอง”

ต้นขาที่อยู่เหนือเข่ายังมีผ้าดำพันไว้ อู๋เฉินยื่นมือพยายามจะแกะออก มู่ชิงฟางรีบเข้าช่วย อู๋เฉินกล่าวว่า “ของสิ่งนี้อาจทำให้สหายพรตทุกท่านรู้สึกไม่สบายตานัก”

เมื่อผ้าดำชั้นแล้วชั้นเล่าถูกคลี่ออก หลังจากเห็นสิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายในชัดเจนแล้ว ลมหายใจของเสิ่นชิงชิวสะดุดค้างไปครู่หนึ่ง

ต้าซือ แบบนี้ท่านเรียกว่า ‘รู้สึกไม่สบายตานัก’ รึ

บริเวณที่เดิมทีเป็นต้นขาล้วนเน่าเฟะเนื้อตายหมดแล้ว หลังเอาผ้าออก ก็ส่งกลิ่นเหม็นเน่าเป็นระลอก

เสิ่นชิงชิวถามว่า “นี่คือโรคที่ระบาดอยู่ในเมืองจินหลันหรือ”

อู๋เฉินตอบว่า “ถูกต้อง โรคนี้ตอนแรกเริ่มจะปรากฏผื่นแดงก่อน อย่างเร็วสามถึงห้าวัน อย่างช้าครึ่งเดือน ผื่นแดงก็จะลุกลามแล้วเริ่มเปื่อยพุพอง ผ่านไปอีกเดือนจะเน่าเปื่อยจนเห็นกระดูก ต้องใช้ผ้าดำพันไว้ อย่าให้โดนลมโดนแสง ถึงจะพอถ่วงเวลาลุกลามได้”

มิน่าเล่าคนในเมืองถึงได้เอาผ้าดำพันตัวเป็นมัมมี่กันทุกคน

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ช่วงเวลาที่โรคก่อตัวนานถึงหนึ่งเดือน เหตุใดตอนนั้นที่ท่านหยางไปแจ้งข่าวที่วัดเจาหัวกลับกลายเป็นโครงกระดูกในชั่วพริบตาเล่า”

อู๋เฉินมีสีหน้าเศร้าสลด ละอายแล้ว อาตมาเองก็เพิ่งรู้ทีหลัง ผู้ที่ติดโรคระบาด หากอยู่ในเมืองจินหลันจะยังพอมีชีวิตได้ประมาณหนึ่งเดือน แต่หลังจากติดโรคแล้ว ถ้าออกห่างเมืองจินหลันเกินชั่วระยะทางหนึ่ง จะยิ่งเร่งการลุกลามของโรค ศิษย์น้องของอาตมาสองรูปก็เนื่องด้วยเร่งออกจากเมืองกลับไปที่วัด เลยกลายเป็นโครงกระดูกไปอย่างรวดเร็ว”

มิน่าเล่าถึงเข้ามาได้ ออกไปก็ไม่ได้!

หลิ่วชิงเกอถามว่า “แล้วสาเหตุของโรคคืออะไร แพร่ระบาดอย่างไร”

อู๋เฉินถอนใจ “อาตมาละอายใจนัก เข้าเมืองมาคราวนี้ เสียเวลาไปหลายวัน กลับไม่อาจทำอะไรกับโรคระบาดนี้ได้เลย ทั้งไม่รู้ต้นเหตุของโรคเกิดจากที่ใด ไม่รู้ว่าแพร่ระบาดอย่างไร อีกทั้งไม่รู้จนแล้วจนรอดว่ามันแพร่ระบาดได้หรือไม่ด้วยซ้ำ”

มู่ชิงฟางตะลึง “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

เสิ่นชิงชิวดูจะเข้าใจอยู่บ้าง “พวกเจ้าดูลูกชายร้านขายอาวุธซิ เขาคอยดูแลอู๋เฉินต้าซืออย่างใกล้ชิดอยู่เป็นนาน ทั้งไม่ได้เอาผ้าดำห่อพันร่าง แต่ผิวหนังเขาก็ยังอยู่ดีเป็นปกติ ร่างกายก็แข็งแรงดีมาก หากบอกว่าที่เป็นกันอยู่ตอนนี้คือโรคระบาด เขากลับไม่ติดโรคไปจากอู๋เฉินต้าซือ จะไม่แปลกได้อย่างไร”

อู๋เฉินกล่าว “นี่แหละคือความหมายของอาตมา ลำบากพวกท่านต้องมาติดอยู่ที่นี่ อาตมาเกรงใจจริงๆ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เจตนาของต้าซือคือช่วยคนบรรเทาทุกข์ อย่าได้พูดเช่นนี้เด็ดขาด” เขาเห็นมู่ชิงฟางจ้องตำแหน่งที่ติดเชื้อเน่าบนขาของอู๋เฉินอย่างค้นคว้าและพิจารณาราวกับไม่รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเลย จึงถามเขา “ศิษย์น้องมู่พบอะไรหรือไม่ สามารถจัดยารักษาโรคได้หรือไม่”

มู่ชิงฟางส่ายหน้า “นี่ดูไม่เหมือนโรคระบาด หากแต่เป็น…” เขามองหน้าคนในห้อง “ผู้น้อยจำเป็นต้องขอดูอาการของผู้ป่วยเพิ่มอีกหลายๆคน จึงจะกล้าสรุปขอรับ”

เสิ่นชิงชิวออกจากห้องใต้ดิน เห็นบุตรชายร้านขายอาวุธแบกดาบยาวเดินไปเดินมาอย่างฮึดฮัดฟึดฟัด จึงยิ้มถาม “เถ้าแก่น้อย เกิดอะไรขึ้น”

หยางอี้เสวียนกล่าวว่า “มีคนเข้าเมืองมาอีกแล้วน่ะซิ คนของฮวาๆอะไรนั่นช่างไร้ประโยชน์ที่สุดล้วนแต่มารนหาที่ตายกันทั้งนั้น!”

ดูท่าว่าวังฮ่วนฮวาจะส่งทีมกู้ภัย(ผู้ประสบภัย) มาอีกรอบแล้ว เสิ่นชิงชิวเห็นเขาแก้มกลมๆคล้ายซาลาเปา ก็นึกอยากแกล้งเล่น “สหายน้อย ข้าเห็นว่าวิทยายุทธ์เจ้าไม่เลว มีคนสอนให้หรือ”

หยางอี้เสวียนไม่สนใจเขา เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “ข้าจะบอกให้นะ เจ้าไปหาพี่ชายที่ตีเจ้าตกน้ำวันนี้ซิ เขาร้ายกาจมากนะ เจ้าไปต่อยตีกับเขาอีกสักสองสามครั้ง ยังได้ประโยชน์กว่าที่เจ้าร่ำเรียนกับผู้อื่นอีก”

หยางอี้เสวียนได้ยินเช่นนี้ก็ทิ้งเสิ่นชิงชิว ออกวิ่งหน้าเริดไปทันที เสิ่นชิงชิวหาคนไปตอแยสร้างความเดือดร้อนให้หลิ่วชิงเกอได้จึงเบิกบานใจ เดินอีกสองสามก้าว เลี้ยงตรงมุมถนน พอเห็นภาพตรงหน้าก็หยุดเท้า

ในเมืองมีแต่ความซบเซา ประตุทุกบ้านปิดสนิท มีคนไม่น้อยที่ก่อนหน้านี้เป็นพวกคนจรจัดไร้บ้านหาที่ไปไม่ได้มารวมตัวกันอยู่ที่หัวถนน เมื่อก่อนถนนใหญ่คับคั่งวุ่นวาย ผู้คนเข้าออกให้วุ่น คนเหล่านี้ไม่กล้าโผล่หน้ามาให้เห็น แต่ตอนนี้ถนนว่างโล่ง พวกเขาจึงไม่ต้องเกรงใจใคร เอาหม้อใบใหญ่ออกมาตั้ง สุมฟืนต้มน้ำควันโขมง มีคนสองสามคนกำลังถอนขนไก่ที่ไม่รู้ว่าขโมยมาจากไหน แต่ละคนล้วนห่อตัวด้วยผ้าดำแน่นหนา

พอเห็นเสิ่นชิงชิวที่ดูไม่เข้าพวกกับพวกเขาสักนิดก็ไม่มีทีท่าประหลาดใจ มองหน้าเขาราวกับมองคนตาย เนื่องจากหลายวันมานี้ พวกเขาได้เห็นเหล่าซิวซื่อที่เข้าเมืองกันมาอย่างเอิกเกริกอลังการบอกว่าจะมาช่วย แล้วมีประโยชน์ไหมล่ะ ตายเร็วกว่าพวกเขาเสียอีก”

คนที่รับหน้าที่พ่อครัวเคาะหม้อเหล็ก “น้ำแกงเสร็จแล้ว มาตักไปได้แล้ว!”

คนจรจัดไม่น้อยที่นอนหาเหาให้กันอยู่ลุกพรวด ถือชามเดินเข้ามา

โรคระบาดคราวนี้ส่งผลให้การดำรงชีวิตของชาวเมืองทั้งเมืองต้องสะดุด น้ำแกงหม้อใหญ่ที่ต้มกันเองตามมีตามเกิดลักษณะนี้ช่วยผู้คนได้มากจริงๆ

ต้องหาต้นตอของโรคให้เร็วที่สุด เสิ่นชิงชิวตกลงใจแน่วแน่ หมุนกายหมายออกเดิน แต่หันมาเจอเข้ากับคนผู้หนึ่งที่อาศัญไม้เท้าพยุงตัว ร่างงองุ้มมือสั่นจนชามข้าวทำท่าจะร่วง ดูท่าจะเป็นหญิงชราผู้หนึ่ง

เขาเห็นดังนี้ก็หลีกทางให้ แต่ไม่ทราบอีกฝ่ายไร้เรี่ยวแรงด้วยความชรา หรือหิวจนเป็นลมหรืออย่างไร ขาแม่เฒ่าพลิก ร่างเอนล้มลงมาใส่ตัวเสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิวพยุงตัวนางไว้ หญิงชราผู้นั้นกล่าวอู้อี้ “ขอโทษ…ขอโทษ…คนแก่เลอะเลือนแล้ว…” พูดไปก็รีบเดินแซงเขาไปข้างหน้า คงกลัวจะแย่งน้ำแกงไม่ทัน

เสิ่นชิงชิวเดินไปได้สองสามก้าวก็หยุดชะงัก

ไม่ถูกต้อง

หญิงชราผู้นี้ดูๆไปราวกับเปลวเทียนกลางพายุที่ลมพัดมาทีก็จะล้ม แต่เมื่อกี้ตอนชนกัน ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวหนักกว่าชายหนุ่มเสียอีก

เขาหันกลับไปทันที ท่ามกลางฝูงชนที่ถือชามแย่งน้ำแกงกัน หาได้มีแม้แต่เงาของ ‘หญิงชรา’ ผู้นั้นไม่

ทางด้านซ้ายมีตรอกบุปผา* สายหนึ่ง เสิ่นชิงชิวไล่ตามไป ทันเห็นเงาร่างที่หลังงองุ้มอยู่ไวๆพอดี

(ตรอกบุปผา หมายถึง ตรอกที่เต็มไปด้วยสถานเริงรมย์)

เชี่ย ความเร็วไม่ต่างอะไรกับนักกระโดดข้ามรั้งประเภทร้อยเมตรเลย ยังจะใช่ ‘หญิงชรา’ ที่ไหนอีกเล่า เมื่อกี้เรามันตาบอดจริงๆ!

เสิ่นชิงชิวออกวิ่งตามทันที แม้ลักษณะท่าทางของหญิงชราคนนี้น่าสงสัย แต่การที่เขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติได้ทันท่วงที ถือว่าเป็นความผิดของเขาหรือ ในเมื่อตอนนี้เมืองจินหลันทั้งเมืองมีแต่คนเอาผ้าดำห่อตัวเดินไปเดินมาด้วยลักษณะท่าทางน่าสงสัยแบบนี้กันทั้งนั้น

ระหว่างที่วิ่งไล่ตาม อยู่ๆเขารู้สึกคันที่หลังมือจึงยกขึ้นมาดู

มือข้างนี้มันสุดจะซวยซ้ำซวยซ้อนเสียจริง ตอนนั้นที่ถูกผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ทิ่มพรุนก็มือข้างนี้แหละ ตอนนี้มือที่ติดเชื้อจนเริ่มเป็นผื่นแดงก็ข้างนี้อีก

จะว่าไปตอนนั้นไอ้มือพาซวยที่คลิกเปิดอ่านนิยายบ้าบอคอแตกอย่าง ‘เทพมารอหังการ’ ก็มือข้างนี้เลย นึกแล้วก็อยากฟันมือข้างนี้ทิ้งจริงๆ อ๊าก…

วอกแวกไปครู่เดียว ความเร็วของเสิ่นชิงชิวเลยตก จากนั้นก็รู้สึกว่ามีรังสีกระบี่พุ่งเข้ามาจากเหนือศีรษะ เขาคลี่พัดเดี๋ยวนั้น เตรียมซัดมีดลมออกไปพลางตวาด “ใคร!”

คนผู้นั้นกระโดดลงมาจากชายคาทันที เมื่อคนทั้งสองเผชิญหน้ากัน เสิ่นชิงชิวก็โพล่งออกไป “กงอี๋เซียว?”

ชายหนุ่มผู้นั้นชักกระบี่กลับทันที ตกใจมากกว่าดีใจ “ผู้อาวุโสเสิ่น”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าเอง เจ้ามาได้อย่างไร” พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่หยางอี้เสวียนบอกว่ามีคนของวังฮ่วนฮวาเข้าเมืองมาทางถ้ำธารลอด คงเป็นพวกพ้องของกงอี๋เซียวเป็นแน่ จึงเอ่ยถาม “วังฮ่วนฮวาส่งพวกเจ้ามาสืบข่าวหรือ”

กงอี๋เซียวกล่าว “ผู้เยาว์ได้รับมอบหมายให้มาสืบข่าวจริงขอรับ แต่ผู้นำขบวนมิใช่ข้า”

เสิ่นชิงชิวนึกฉงน กงอี๋เซียวเป็นศิษย์ที่กงจู่เฒ่ารักเอ็นดูมากที่สุด ก่อนที่ลั่วปิงเหอจะปรากฏตัว คนทั่วไปยอมรับเขาในฐานะที่เป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ บุตรสาวคนเดียวของกงจู่เฒ่าก็มีใจให้เขา เวลาศิษย์รุ่นเขามีเรื่องอะไรก็จะต้องเป็นเขานำทีม ยกเว้นลั่วปิงเหอที่สามารถใช้ออร่าของพระเอกมาสยบเขาแล้ว ยังจะมีใครชิงตำแหน่งเขาไปได้อีก

แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้ขบคิดแล้ว เสิ่นชิงชิวกล่าว “ตามไปด้วยกัน”

กงอี๋เซียวรับคำเสียงดังฟังชัด แล้วคนทั้งสองก็ก้าวกระโดดออกไปโดยพร้อมเพรียง

ร่างงองุ้มนั้นหลบหนีเข้าไปในหอสูงสามชั้นแห่งหนึ่ง ขนาดยืนอยู่ด้านนอกอาคารยังได้กลิ่นแป้งชาดชัดเจน ในหอตกแต่งอย่างฉูดฉาด ดูท่าว่าก่อนหน้านี้คงเป็นสถานเริงรมย์ แต่ตอนนี้ไร้เสียงหัวร่อต่อกระซิกหรือแม้แต่เสียงขับร้องเจื้อยแจ้ว มีเพียงประตูใหญ่เปิดอ้า และห้องโถงใหญ่ชั้นล่างที่ดูมืดมน

คนทั้งสองสะกดกลั้นลมหายใจ ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป

โต๊ะเก้าอี้ในห้องโถงใหญ่ล้มระเนระนาด  เสิ่นชิงชิวชำเลืองมองกงอี๋เซียว “แยกย้ายกันหา เจ้าไปดูห้องทางซ้าย ข้ารับผิดชอบทางขวา”

เขาใช้พัดด้ามจิ้วผลักประตูห้องที่ใกล้ที่สุดให้เปิดออก เห็นรางๆว่าบนเตียงมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ ทีแรกเขาใจหายวาบ ต่อมาคลายใจได้อย่างรวดเร็ว

นั่นเป็นแค่โครงกระดูกขาวกองหนึ่ง สวมเสื้อผ้าลายพร้อยหลายชั้น เครื่องประดับเต็มตัว ท่านอนเรียบร้อย น่าจะเป็นหญิงสาวที่อยู่ในหอนี้ คงรู้ตัวว่ากำลังจะตาย จึงได้แต่งตัวเต็มที่ สวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดรอความตายอย่างสงบ ถึงใกล้ไปก็อยากอยู่ในสภาพที่งดงามที่สุดตามประสา

เสิ่นชิงชิวสงบนิ่งไว้อาลัยให้หนึ่งวินาที ถอยออกจากห้องแล้วปิดประตูให้

หาต่ออีกสองสามห้อง ล้วนเป็นโครงกระดูกหญิงสาวแต่งกายเต็มยศ ดูท่าว่าคนในหอเริงรมย์แห่งนี้คงตายเรียบไม่เหลือ ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังจะเปิดประตูห้องที่หก พลันมีเสียงคนและเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากชั้นสอง

คนทั้งสองพุ่งกายขึ้นชั้นบนทันที เสิ่นชิงชิวนำหน้า ตัวยังไม่ทันขึ้นถึงบันไดขั้นบนสุด ทันใดนั้นมีเสียงนุ่มนวลของชายหนุ่มดังขึ้น “ไม่เป็นไร”

ถึงจะแค่สามพยางค์สั้นๆ แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ เสิ่นชิงชิวราวกับเจอฟ้าผ่า พัดด้ามจิ้วในมือถูกเขาบีบแน่นเสียจนเกิดเสียงดังกร๊อบ

ชั่วเวลานั้นแม้แต่ลมหายใจก็ราวกับหยุดชะงัก

เขายืนตัวแข็งค้างตรงบันไดขั้นนั้น ซึ่งสามารถมองเห็นห้องหรูที่อยู่สุดปลายทางเดินชั้นสองได้ คนผู้หนึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของบรรดาศิษย์วังฮ่วนฮวา

คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำ บนหลังสะพายกระบี่ยาว ใบหน้าราวกับหยก ดวงตาลึกล้ำสุกสกาวดุจดารา กำลังเดินเข้ามาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

ถึงจะโตขึ้นไม่น้อย บุคลิกแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่ใบหน้าที่ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็สามารถเอามาเป็นพระเอกบนปกหนังสือนิยายโรแมนซ์ได้นี้ ตีให้ตายเสิ่นชิงชิวก็ไม่มีวันจำผิดเด็ดขาด

ขณะเดียวกันเสียงคุ้นหูที่ฝุ่นจับไปแล้ว พร้อมจังหวะการพูดไร้อารมณ์แบบเว็บแปลภาษากูเกิลก็ส่งข้อความเข้ามาในสมองเขาแบบรัวเร็ว

[สวัสดี ระบบเปิดใช้งานสำเร็จแล้ว]

[รหัสเปิดใช้งาน : ลั่วปิงเหอ]

[การทดสอบตัวเอง : แหล่งพลังงานไหลเวียนอยู่ในระดับปกติสภาพดีมาก]

[ปิดการใช้งานสลีปโหมด เปิดการใช้งานโหมดปกติ]

[อัปเดตการดาวน์โหลดแพ็กเกจและการติดตั้งเสร็จสิ้น]

เดี๋ยวนะ อ๊าก นี่อัปเดตได้ด้วยเหรอ

[ขอบพระคุณที่กลับมาใช้บริการของเราอีกครั้ง]

คืนสินค้าได้ม้ายยยย…

เสิ่นชิงชิวมองดูชายหนุ่มที่สมควรจะสนิทสนมคุ้นเคย แต่กลับรู้สึกแปลกหน้า แขนขาพลันแข็งทื่อ ลำคอขมฝาด

ไม่ใช่บอกว่าหลังจาก 5 ปี ค่อยกลับมาทวงความเป็นใหญ่หรอกหรือ

ลั่วปิงเหอในตอนนี้ ไม่ใช่ควรฝ่าฟันขวากหนามอยู่ในนรกของห้วงอเวจี ฝึกกระบี่ตีมอนสเตอร์อยู่หรอกหรือ

ทำไมออกมาก่อนตั้งสองปี

ทำไมต้องรีบแสวงหาความสำเร็จ รีบฝึกเร็วไปจะไม่ได้ผลแบบชัวร์ๆนะปิงเกอ

เสิ่นชิงชิวอยากหมุนกายลงบันไดเดินออกไปจากตึก ออกไปจากเมืองจินหลัน ออกไปจากโลกเวรตะไลแห่งนี้ขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เพิ่งถอยหลังได้แค่ก้าวเดียวกลับถูกกงอี๋เซียวขวางไว้ แถมยังมีหน้ามาถามว่า “ผู้อาวุโสเสิ่น ทำไมถึงได้รีบร้อนถอยเล่าขอรับ”

นายก็กล่าวโดยไม่ดูเวล่ำเวลาหรือดูสีหน้าเลยนะ คุณชายกงอี๋

เสียงที่ฟังอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลัง “ซือจุนหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิวคอแข็ง ค่อยๆหันกลับไป

การเคลื่อนไหวง่ายๆแค่นี้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนหัวและคอหนักสักพันชั่ง ใบหน้าที่กล่าวได้ว่าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบปานนั้นของลั่วปิงเหอในสายตาเขาเวลานี้ดูน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ เวลานี้สีหน้าของลั่วปิงเหอไม่ได้เย็นชาปานน้ำแข็ง ไม่ได้ซ่อนดาบในรอยยิ้ม แต่เป็นความอ่อนโยนใจดีชนิดหนึ่งที่ทำให้คนเห็นแล้วมือไม้อ่อนยวบเลยทีเดียว

แม่งเอ๊ย นายอย่าทำอะไรน่ากลัวขนาดนี้ได้เปล่า

ยิ่งรอยยิ้มของลั่วปิงเหอนุ่มนวลราวกับน้ำ จุดจบของฝ่ายตรงข้ามไม่พ้นต้องวิญญาณดับสูญร่างแหลกสลาย ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเด็ดขาด

เสิ่นชิงชิวติดตาอยู่ที่หัวบันไดนั่นเอง ขึ้นไม่ได้ ลงไม่ได้ ขนที่หลังลุกเกรียว

ลั่วปิงเหอค่อยๆ เดินเข้ามา กล่าวเสียงเบา “เป็นซือจุนจริงๆด้วย”

เสียงเขาเบาหวิว แต่ทุกคำที่ออกจากปากก็เหมือนกับเสียงตอนที่เขาก้าวเดินทีละก้าวบนพื้นเมื่อครู่ ทำเอาเสิ่นชิงชิวใจหายวูบเหมือนตอนกระโดดบันจีจัมพ์บวกด้วยโดนท้าให้ทำไอซ์บักเกตนั่นเลย

เครื่องประหารหัวพยัคฆ์พาดอยู่ที่คอ ไม่ขึ้นก็ต้องขึ้นแล้ว

เสิ่นชิงชิวสงบสติอารมณ์ รวบรวมความกล้า มือขวากำซี่พัดด้ามจิ้วแน่นจนเส้นเอ็นเขียวปูดโปน แข็งใจใช้มือซ้ายยกชายเสื้อ ก้ามเดินขึ้นมาเหยียบชั้นบนในที่สุด

พอขึ้นไปก็ต้องหยุดกึก อยากร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น

ตอนนั้นที่ลั่วปิงเหอเข้าร่วมงานชุมนุมเซียน ยังสูงพอๆกับตนอยู่เลย แต่ตอนนี้เสิ่นชิงชิวกลับต้องแหงนหน้าเล็กน้อยถึงจะสบตาเขาได้ แค่มาดก็ด้อยกว่าโขแล้ว!

ดีที่เสิ่นชิงชิวหัดเก็กท่ามาหลายปี ประสบการณ์เพียบ ไม่ว่าข้างในจะปั่นป่วนพลุ่งพล่านแค่ไหน อย่างน้อยสีหน้าภายนอกก็ดูสงบนิ่ง

ผ่านไปครู่ใหญ่เขาเค้นเสียงออกจากลำคออย่างลำบาก “…ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

ลั่วปิงเหอยิ้มน้อยๆ ดูไม่มีทีท่าว่าจะตอบแต่อย่างใด ผิดกับพวกศิษย์วังฮ่วนฮวาที่อยู่ด้านหลังซึ่งกรูกันเข้ามาขวาง

เสิ่นชิงชิวจึงค่อยพบว่าท่าทางของศิษย์เหล่านี้ดูไม่ชอบมาพากล

เสิ่นชิงชิวนับว่าเคยกำราบบุคคลระดับปรมาจารย์มาแล้วทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำตั้งแต่สมัยรุ่นๆ อย่าว่าแต่ชนชั้นผู้เยาว์ของสำนักอื่น แม้แต่คนรุ่นเดียวกันเมื่อพบเจอ น้อยนักที่เขาจะไม่ได้รับความเคารพ แต่ศิษย์กลุ่มนี้ของวังฮ่วนฮวากลับตรงกันข้าม ซ้ำดูจะเปี่ยมไปด้วยความเป็นปรปักษ์ แววตาของแต่ละคนดูไม่ดีเอาเสียเลย บ้างก็ชัดอาวุธวาววับแล้ว เมื่อรวมกับท่าทางของลั่วปิงเหอที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ผู้เยาว์ของสำนักฝ่ายธรรมะดีๆกลุ่มหนึ่งจึงดูราวกับลูกกะจ๊อกที่พร้อมจะเฮโลกันเข้ามาพลีชีพเพื่อลูกพี่ หรือไม่ก็สุนัขรับใช้ของเผ่ามารที่กำลังจะไปก่อคดีฆ่าคนวางเพลิงก็ไม่ปาน

มันไม่ถูกนะเด็กๆ อย่าริทำตัวเป็นบอดี้การ์ดเลย คนที่อยู่ด้านหลังพวกนายต้องให้พวกนายมาปกป้องคุ้มครองรึไง เขาไม่ทำอะไรผู้คนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว คนที่ต้องการการปกป้องตัวจริงน่ะ คือฉันต่างหากนะ ฉันนี่!

กงอี๋เซียวเห็นบรรยากาศไม่ดีนัก เลยแทรกตัวเข้ามา ตำหนิเสียงต่ำ “เก็บกระบี่เดี๋ยวนี้ ขายหน้านัก”

ทุกคนจึงค่อยสำรวมขึ้น คนที่ชักกระบี่ออกมาสอดกระบี่กลับลงฝักอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ท่าทีเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อเสิ่นชิงชิวหาได้ลดน้อยลงไปสักนิดไม่

มิน่าล่ะ มิน่า ผู้นำกลิ่มครั้งนี้จึงมิใช่กงอี๋เซียว หากเป็นเมื่อก่อนเวลาศิษย์คนสำคัญที่สุดพูดอะไร เพื่อนร่วมสำนักเหล่านี้ไหนเลยจะกล้าชักสีหน้า แต่ตอนนี้มีลั่วปิงเหอสายดาร์กผู้มีเทคนิคการล้างสมองขั้นสูงอยู่ทั้งคน เขาก็ต้องเป็นศูนย์กลางอยู่แล้ว ไม่ว่าใครล้วนหมดสิทธิ์ชิงความเป็นผู้นำ

เสิ่นชิงชิวขบคิดจนสมองแทบแตกแล้วก็ยังไม่เข้าใจ นี่ลั่วปิงเหอเข้าไปปะปนอยู่กับศิษย์ของวังฮ่วนฮวาตั้งแต่เมื่อไหร่ หากว่ากันตามพล็อตเดิมในนิยาย นี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสองปีให้หลังนะ

ทั้งสองฝ่ายต่างยืนตัวแข็งกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสาวน้อยหน้าตาสะสวยในชุดเหลืองคนหนึ่งก็ก้าวออกมา กล่าวด้วยน้ำตาคลอหน่วย “ตอนนี้พวกเจ้ายังมีแก่จิตแก่ใจจะทำเช่นนี้อีกหรือ ศิษย์พี่ลั่ว…ศิษย์พี่ลั่วเขาถูกคนประหลาดผู้นั้นทำร้าย ช่วยกันคิดหาทางแก้ไขก่อนไม่ได้หรือ”

เสิ่นชิงชิวถึงได้สังเกตเห็นว่าที่มุมห้องมีร่างของคนผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือแม่เฒ่าต้องปลอมคนเมื่อกี้นั่นเอง เขาหันไปมองลั่วปิงเหออีกครั้ง จึงเห็นว่าแขนเสื้อของฝ่ายนั้นเหมือนจะถูกกระบี่กรีดขาดไปหย่อมหนึ่ง เผยให้เห็นเสี้ยวข้อมือ ผิวซีดขาวตรงข้อมือของลั่วปิงเหอปรากฏรอยแดงปื้นหนึ่งสะดุดตา

เสิ่นชิงชิวโพล่งออกไปโดยไม่รู้ตัว “เจ้าติดเชื้อแล้วหรือ”

ลั่วปิงเหอมองเขาแวบหนึ่ง ส่ายหน้า “บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

ท่าทีที่ไม่เห็นแต่ตัวแม้แต่น้อยนี้…พริบตานั้นเสิ่นชิงชิวเกือบหลงเข้าใจไปแล้วว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้ายังเป็นลูกแกะน้อยที่ร้องแบ๊ะๆชอบกินหญ้าตัวนั้น

จนใจที่บรรดาศิษย์ของวังฮ่วนฮวาช่างขยันสาดน้ำเย็นใส่เขาไม่หยุดกล่าวเหน็บแนมว่า “คราวนี้ศิษย์พี่ติดโรคระบาดแล้ว ผู้อาวุโสเสิ่นคงยินดีเป็นล้นพ้นเลยกระมัง”

เสิ่นชิงชิวเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจังว่าตัวเองไปล่วงเกินคนทั้งวังฮ่วนฮวาเข้าตอนไหน

กงอี๋เซียวเห็นสีหน้าเสิ่นชิงชิวดูกระอักกระอ่วนเต็มที จึงหันไปตำหนิเสียงเบา “ทุกคนหุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ”

ในฐานะผู้อาวุโสที่สั่งสมชื่อเสียงมานานปี เขาไม่มีทางลดตัวไปยุ่งกับผู้เยาว์ที่ถูกพระเอกล้างสมองเด็ดขาด

เสิ่นชิงชิวเอามือแนบลำตัวด้วยสีหน้านิ่งเฉย ให้ชายแขนเสื้อบดบังผื่นแดงที่ปรากฏบนหลังสือหลังจากเดินชนกับแม่เฒ่าตัวปลอมนั่น

ศิษย์หน้าสิวเขรอะที่กล่าวเหน็บแนมคนนั้นโดนดุเข้าก็หุบปากอย่างไม่พอใจ สีหน้ายังคงไม่ยินยอม

ฉินหว่านเยวียกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เป็นพวกเราไม่ดีเอง เมื่อครู่หากมิใช่เพราะปกป้องพวกเรา ศิษย์พี่ลั่วก็คงไม่…”

เสิ่นชิงชิวพอจะคาดเดาเกี่ยวกับเจ้าสิ่งที่แพร่เชื้ออยู่ในเมืองได้แล้วว่าเป็นอะไร เขากล้าใช้ช่วงเวลาตอนวัยรุ่นที่ตามอ่านนิยาย 20 ล้านตัวอักษรจนจบด้วยความเจ็บไข่มาการันตีได้เลยว่า

ข้อหนึ่ง เจ้าสิ่งนี้สำหรับลั่วปิงเหอผู้เป็นลูกครึ่งมารฟ้าแล้วไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อเขาแม้แต่น้อย ซ้ำยังมีคุณประโยชน์ไม่ต่างอะไรกับน้ำเกลือหรือกลูโคลสบำรุงร่างกายด้วยซ้ำ

ข้อสอง หากลั่วปิงเหอถูกคนอื่นทำให้ลำบากยุ่งยาก หรือช่วยคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บ ไม่จำเป็นต้องใช้หัวคิด ก็รู้ว่านั่นเป็นความจงใจของเขา ไม่รู้หรือไงว่าอะไรคือวิธีที่เร็วที่สุดในการสร้างภาพและความประทับใจน่ะ

เสิ่นชิงชิวทนดูบรรยากาศเศร้าสร้อยหดหู่ของพวกศิษย์วังฮ่วนฮวาต่อไปไม่ไหว แน่นอนว่าที่ทนไม่ไหวยิ่งกว่าคือการเผชิญหน้ากับลั่วปิงเหอโดยไม่พูดไม่จา เหมือนกำลังรอให้อีกฝ่ายเปิดปากก่อน

เขาแข็งใจจัดการธุระสำคัญให้มันจบๆไป สายตาไม่วอกแวก เดินไปยังซากร่างของหญิงชราผู้นั้น ชักกระบี่ซิวหย่าออก ฟันฉับจนผ้าดำขาดกระจุยเป็นชิ้นเผยให้เห็นร่างที่อยู่ข้างใจ

จริงๆด้วย

‘คน’ ผู้นี้มองผิวเผินเหมือนคนปกติทั่วไป แยกหญิงแยกชายไม่ออก ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

ประเด็นสำคัญที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ที่ร่างสีแดงก่ำทั้งร่างของมันดูเหมือนถูกต้มในน้ำเดือดทั้งตัวจนสุกเข้าไปถึงแกนใน แต่ร่างกลับยังอยู่ดีไม่ได้เปื่อยยุ่ยสักนิด

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เป็นคนเพาะเมล็ดพันธุ์”

คนเพาะเมล็ดพันธุ์เป็นอาชีพหนึ่งของเผ่ามาร เอาแบบเข้าใจง่ายๆ เสิ่นชิงชิวคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนเกษตรกรในภพมาร หรือเจ้าของฟาร์ม ไม่ก็เป็นพ่อค้าขายส่งอาหารสัตว์

เป็นเพราะความต่างของภูมิประเทศและเผ่าพันธุ์ สิ่งมีชีวิตหลายชนิดในภพมาร รวมทั้งชาวเผ่ามารบางพวกจะมีรสนิยมความชอบหรือมีความต้องการทางกายภาพพิลึกพิลั่นชนิดหนึ่ง พูดให้เจาะจงหน่อยคือชอบกินของเหม็นเน่า กลิ่นยิ่งเหม็นเน่ายิ่งดี ยิ่งเน่าจนมีหนอนไชยิ่งอร่อย คุณค่าทางโภชนาการเต็มเปี่ยม

แต่ที่ไหนล่ะจะมีของเหม็นเน่ามากมายขนาดนั้น

หน้าที่ของคนเพาะเมล็ดพันธุ์ก็อยู่ตรงนี้

สิ่งมีชีวิตทุกประเภทที่ไม่ใช่เผ่ามาร พอโดนพวกเขาแตะต้องโดยจงใจเพาะเมล็ดพันธุ์เอาไว้ ภายในเวลาไม่นานอวัยวะจะเน่าเปื่อย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ภพมารนิยมหุงข้าวหม้อใหญ่เพื่อเลี้ยงดูคนจำนวนมากในเขตปกครองด้วยวิธีนี้ กล่าวคือผู้เป็นนายจะจับคนเป็นๆมาทีละเป็นร้อยในคราวเดียว ขังไว้ในที่แห่งหนึ่งเหมือนขังสัตว์ แล้วปล่อยคนเพาะเมล็ดพันธุ์เข้าไป ไม่เกิน 7 วัน คนส่วนใหญ่จะเน่าได้ที่ ก็จะถึงเวลาเปิดประตู ท่านจะเลือกเอาคนออกมากินข้างนอกก็ได้ หรือจะเดินเข้าไปกินข้างในนั้นเอาเองก็ตามสบาย

นิสัยการกินอันพิลึกพิลั่นนี้น่าสะอิดสะเอียนอย่างมาก แต่แน่นอนว่าด้วยสายเลือดของมารฟ้าบรรพกาลในตัวลั่วปิงเหอซึ่งเป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุด เท่ากับว่าเป็นชนชั้นผู้ดีเก่าของภพมาร ความ B ในทุกด้าน ย่อมไม่อาจเอามาเปรียบกับพลเมืองในภพมารธรรมดาทั่วไปที่มีรสนิยมชอบของแปลกพวกนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางมาลิ้มรสชาติอันพิลึกพิลั่นนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วต่อให้ลั่วปิงเหอเกิดมาหล่อกว่านี้ เก่งผิดมนุษย์มนายิ่งกว่านี้ เกรงว่าพวกน้องๆหนูๆคงรับพฤติกรรมทางร่างกายและจิตใจอันแสนจะวิปริตพิสดาร ท้าทายศีลธรรม คุณธรรม และมโนธรรมเช่นนี้ไม่ไหวแน่ แค่คิดว่าต้องจูบกับเขาก็อ้วกแล้ว ฮ่าๆๆๆ

เนื่องจากอาชีพนี้ไร้มนุษยธรรมอย่างมากจึงไปกระตุ้นความโกรธแค้นของเหล่าซิวซื่อชาวมนุษย์ในเวลานั้นเข้า ปฏิบัติการฆ่าล้างบางคนเพาะเมล็ดพันธุ์จึงได้เกิดขึ้น ถึงขนาดว่าเหล่าผู้กล้านิรนามไม่น้อยยอมเสี่ยงอันตรายโดนรับเชื้อวายวอดไปด้วยกัน ไม่เกิน 10 ปี คนเพาะเมล็ดพันธุ์ก็แทบสาบสูญไม่เหลือร่องรอย แม้แต่ที่ภพมารก็ยากจะหาเจอ การที่พวกศิษย์รุ่นหลังและซิวซื่อทั่วไปไม่เคยได้ยินมาก่อนนั้นเป็นเรื่องปกติ

เสิ่นชิงชิวที่อยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำก็เอาคัมภีร์ตำรับตำราเก่าแก่ที่กองเป็นตั้งในชิงจิ้งเฟิงมาอ่านเล่นแทนนิยายแนวปราบปีศาจเลยรู้จักดี เสียดายที่ข้อวินิจฉัยซึ่งเขาอุตส่าห์คิดขึ้นมาได้เองนี้ไม่มีใครเห็นคุณค่า

ฉินหว่านเยวียกล่าวเกรงอกเกรงใจ “ที่แท้ผู้อาวุโสก็รู้จักปีศาจที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้เหมือนกัน ศิษย์พี่ลั่วคาดการณ์ได้แต่แรกแล้ว เมื่อครู่เขาเล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบคุณเธอกับบรรดาศิษย์ของวังฮ่วนฮวาที่อยู่รายรอบก็พร้อมใจกันมองลั่วปิงเหอด้วยความชื่นชมเป็นตาเดียว ประหนึ่งว่าบนหน้าเขามีรัศมีสีทองแผ่ออกมาหมื่นจั้งอย่างนั้นแหละ

มาแล้วไง อย่าบอกนะว่า นี่คือ ออร่าของพระเอกในตำนาน ที่บอกว่า ‘ไม่ว่าพระเอกจะพูดอะไร คนอื่นล้วนรู้สึกว่าสูงส่งจนบดขยี้ทำลายไอคิวและประสบการณ์ของพวกเขาไม่เหลือ’

ลั่วปิงเหอมองเสิ่นชิงชิวแล้วยิ้มน้อยๆ “ความรู้ทั้งหมดของข้า ล้วนเป็นซือจุนสั่งสอนมา”

ที่น่ากลัวก็คือ เสิ่นชิงชิวเองก็ดันรู้สึกว่าหน้าลั่วปิงเหอมีรัศมีอ่อนโยนแผ่ออกมาจริงๆ

เสิ่นชิงชิวไม่อยากสิ้นเปลืองเวลาในชีวิตกับบรรยากาศประหลาดพิกลเช่นนี้ต่อไปอีกแล้ว ในเมื่อคนเพาะเมล็ดพันธุ์ถูกวังฮ่วนฮวาฆ่าตาย ตามหลักอำนาจในการจัดการกับศพก็ต้องอยู่ที่พวกเขา เสิ่นชิงชิวกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะขอยืมศพนี้มาตรวจสอบดูสักครั้งได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าศิษย์น้องมู่อาจค้นพบอะไรบ้าง จะได้หาวิธีรักษาและต้านโรคระบาดได้เร็วๆ”

ลั่วปิงเหอพยักหน้า “ทุกอย่างล้วนเชื่อฟังซือจุน ศิษย์จะส่งศพตามไปในไม่ช้าขอรับ”

เสิ่นชิงชิวถูกเขาเรียกว่าซือจุนก็ขนลุกซู่ ในที่สุดก็ได้ประสบด้วยตัวเองแล้วว่าความรู้สึกของคนที่ต้องเผชิญกับการยิ้มแบบ ‘ซ่อนดาบในรอยยิ้ม’ ของลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมเป็นอย่างไร เขาสะบัดแขนเสื้อปลีกตัวจากมา

พอออกมาจากตึกร้างแห่งนี้ได้ เสิ่นชิงชิวก็เคว้งคว้าง เดินไปอย่างมึนงง ก้าวขาสะเปะสะปะ

กงอี๋เซียวเดินตามหลังมา เห็นเสิ่นชิงชิวหน้าซีดเผือด แววตาเหม่อลอย จึงกล่าวอย่างกังวล “ผู้อาวุโสเสิ่น ต้องขออภัยจริงๆขอรับ ความจริงข้ารู้เรื่องที่ศิษย์พี่ลั่วอยู่ที่วังฮ่วนฮวามาตลอด แต่อาจารย์มีคำสั่ง ให้เก็บเป็นความลับอย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้แพร่งพรายออกไป ใครขัดขืนจะถูกขับออกจากวังฮ่วนฮวา จึงไม่อาจบอกความจริงกับท่านได้”

เสิ่นชิงชิวคว้าตัวเขาไว้ “ข้าขอถามเจ้า ลั่วปิงเหอไปอยู่ที่วังฮ่วนฮวาตั้งแต่เมื่อไหร่และอย่างไร”

กงอี๋เซียวกล่าว “เป็นศิษย์น้องฉินขอรับ ปีที่แล้วช่วยศิษย์พี่ลั่วที่บาดเจ็บสาหัสขึ้นมาจากแม่น้ำลั่วขอรับ”

ปีที่แล้ว แค่ปีเดียวสั้นๆ ก็ถีบกงอี๋เซียวให้ร่วงลงมาจากตำแหน่งศิษย์อันดับหนึ่งได้แล้ว ดูท่าว่าลั่วปิงเหอเข้ายึดครองวังฮ่วนฮวาไม่เพียงเร็วขึ้นกว่าที่นิยายเดิมถูกเขียนไว้ และยังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงด้วย กงอี๋เซียวถึงถูกพระเอกถีบลงจากทุกตำแหน่งจนกลายเป็นลิ่วล้อไป

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ในเมื่อเขาได้รับการช่วยชีวิตจากพวกเจ้าแล้ว ทำไมถึงไม่กลับชางฉยงซาน”

กงอี๋เซียวสังเกตสีหน้าของเสิ่นชิงชิว ตอบอย่างระมัดระวัง “หลังจากฟื้นขึ้นมา ศิษย์พี่ลั่วดูจะไม่เต็มใจพูดถึงเรื่องในอดีต ตอนจะกล่าวขอตัวอำลาก็บอกว่าจะไม่กลับไปชางฉยงซานแล้ว หวังว่าวังฮ่วนฮวาจะช่วยเก็บร่องรอยของเขาเป็นความลับ ดูตั้งใจจะออกไประหกระเหินเร่ร่อนตามลำพัง ซือจุนของข้าเอ็นดูศิษย์พี่ลั่วมาก จึงคะยั้นคะยอให้อยู่ต่อเป็นการใหญ่ ถึงแม้เขามิได้ทำพิธีกราบไหว้อาจารย์ แต่ก็ปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างอะไรจากศิษย์คนหนึ่ง”

อย่างนี้นี่เอง

มิน่าพวกศิษย์วังฮ่วนฮวาจึงได้มีท่าทีเป็นปรปักษ์กับตน ท่าทางเช่นนี้ของลั่วปิงเหอ ตรงตามมาตรฐานของดอกไม้ขาวใสซื่อที่ต้องทนรับการเหยียบย่ำและอดทนอดกลั้นโดยไม่ปริปากทุกประการ ผู้คนย่อมจะคาดเดาได้โดยง่ายว่าทำไมถึงไม่ยอมกลับไป ไม่แน่ว่าอาจเป็นชางฉยงซาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสิ่นชิงชิวที่ทำไม่ดีกับเขา ในรายละเอียดของข่าวที่ลือกันผิดๆ ว่าเขาตายตอนงานชุมนุมเซียนในครั้งนั้นจะต้องมีความลับที่น่าเจ็บปวดทรมานซึ่งไม่สามารถพูดออกมาได้อยู่ด้วยเป็นแน่

ความสามารถในการล้างสมองผู้คนของลั่วปิงเหอนั้นไม่เลวเลยทีเดียว เห็นท่าทางที่ผู้คนหลับหูหลับตาเชื่อฟังเขาเมื่อครู่ก็รู้เลยว่าสถานะของเขาที่วังฮ่วนฮวาเป็นอย่างไร

ศิษย์สำนัก A แค่เดินทางแวะไปสำนัก B ชั่วครู่ชั่วยาม ระดับสูงยันระดับล่างของสำนัก B ถึงกับพากันร้องห่มร้องไห้ขอให้เขาอยู่ต่อ และยังซุกซ่อนเขาไว้ไม่ให้สำนักอื่นรู้ อะไรมันจะไม่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่เป็นเหตุเป็นผลได้ขนาดนั้น แต่เรื่องพรรค์นี้ ภายใต้วงแหวนรัศมีของพระเอก ทุกอย่างถือว่าเป็นไปตามลอจิกเป๊ะๆ

เสิ่นชิงชิวไม่พูดไม่จา

กงอี๋เซียวนึกว่าเป็นเพราะเขากำลังเสียใจและผิดหวัง ศิษย์รักยังไม่ตาย แต่ขอยอมระหกระเหินอยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับไปหาเขา สำหรับมนุษย์ปุถุชนมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆนั่นแหละ จึงกล่าวปลอบว่า “ผู้อาวุโสเสิ่นอย่าใส่ใจมากเลยขอรับ บางทีศิษย์พี่ลั่วอาจมีเรื่องบางเรื่องที่ยังคิดไม่ตก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยยอมออกจากเขตของวังฮ่วนฮวาเลย คราวนี้พอรู้ว่าผู้อาวุโสเสิ่นและชางฉยงซานมาเข้าร่วมการช่วยเหลือ กลับเป็นฝ่ายขออาสามาเอง เห็นได้ว่าท่าทีเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ว่าพวกศิษย์น้อง อะแฮ่ม…เรื่องที่พวกเขาเข้าใจผู้อาวุโสผิด หวังว่าท่านจะไม่ถือสาพวกเขานะขอรับ”

ในใจเสิ่นชิงชิวอึดอัดราวกับมีแม่น้ำใหญ่มาอุดกั้น บารมีที่สู้อุตส่าห์สั่งสมมาหลายปี เจอลั่วปิงเหอเข้าก็เอาไม่อยู่ ลั่วปิงเหอคิดป้ายสีก็ป้ายสีจนดำ แถมยังเอาซะดำเป็นธรรมชาติเลยทีเดียว

แต่พอคิดอีกทีความจริงก็ไม่นับว่าป้ายสีเสียทีเดียว เพราะเขาก็ไม่ได้กล่าวหาผิดไปเลยสักนิด ตนเป็นคนถีบเขาลงไปในห้วงอเวจีจริงๆ

หาเหตุผลมาแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้เลย

เสิ่นชิงชิวกล่าว “แล้วเจ้าเล่า ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจข้าผิด”

กงอี๋เซียงตะลึงไปเล็กน้อย กล่าวว่า “แม้ไม่ทราบว่าตอนนั้นตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหุบเขาทางตัน แต่ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสไม่ใช่ผู้ที่ทำร้ายศิษย์ตัวเองได้แน่”

หลังจากกล่าวคำพูดนี้ออกมา ที่กงอี๋เซียวคิดคือ เขานึกไปถึงตอนอยู่ในป้าน้ำค้างขาว เรื่องที่เสิ่นชิงชิวเผลอหลุดปากพูดชื่อลั่วปิงเหอและสายตาที่มองสัตว์ประหลาดอย่างเอ็นดู

ส่วนที่เสิ่นชิงชิวคิดคือ นายกับฉันล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องแพ้ให้แก่พระเอก ไม่อาจโค่นลั่วปิงเหอผู้ไม่มีวันพ่ายได้ เลยเข้าใจหัวอกกันและกัน เห็นอกเห็นใจกันแบบนี้แหละ ต่างคนเลยต่างซาบซึ้งใจ

แต่ขณะที่ทั้งคู่ต่างดื่มด่ำอยู่ในภวังค์นั่นเอง พวกศิษย์วังฮ่วนฮวาก็ยกโขยงตามหลังมา

เสิ่นชิงชิวหันไปมองโดยไม่ตั้งใจ เห็นลั่วปิงเหอกำลังมองมาทางนี้พอดี

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าหลังจากได้เจอลั่วปิงเหอเพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป หัวใจของตนก็เปราะบางลงไปมาก ราวกับเรือลำน้อยที่ติดอยู่ท่ามกลางพายุใหญ่ล้มฟ้าอากาศปั่นป่วน อย่างเช่นในเวลานี้ ต่อให้ลั่วปิงเหอยืนห่างออกไปไม่น้อย ใบหน้าคงรอยยิ้มบางๆตามที่เหมาะที่ควร แต่ดวงตาเย็นชาดำขลับคู่นั้นกลับมีพลังทะลุทะลวงอย่างมาก ทำเอาเสิ่นชิงชิวผวาอยู่ในใจ

ปิงเกอ เป็นอะไรไปอีกล่ะ แค่ลิ่วล้อสองคนปลอบใจกันและกันก็ล่วงเกินนายแล้วหรือ

เมื่อถึงหน้าร้านขายอาวุธจินจื่อก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันที่ทำให้หลังคาแทบกระเจิงดังออกมาจากข้างใน นี่เป็นผลงานของหลิ่วชิงเกอซึ่งรับหน้าที่จับกัง หลังจากแยกย้ายกัน เขาก็ออกไปหาหนูทดลองมาให้มู่ชิงฟาง คนในเมืองล้วนหวาดผวา ไม่มีใครอยากให้ความร่วมมือ เวลาแบบนี้จะมัวอ้อยอิ่งมากไม่ได้ เลยได้แต่ใช้กำลังคลี่คลายปัญหา อีกอย่างหลิ่วชิงเกอเดิมทีก็ไม่ใช่คนมีน้ำอดน้ำทนพูดจาด้วยเหตุผลอยู่แล้ว สไตล์ของเขาก็เหมาะกับธรรมเนียมของไป่จั้นเฟิงนั่นแหละ พอออกมาข้างนอก เจอใครเลยคว้าหมับ จับตัวคนรูปร่างกำยำล่ำสันมาได้สิบกว่าคน มัดรวมๆกันไว้ที่ข้างแท่นหลอมโลหะหลังห้องโถงใหญ่ เวลานี้ บริเวณนั้นกลายเป็นห้องทดลองของมู่ชิงฟางไปแล้ว เสียงด่าทอ เสียงร้องไห้ของผู้ชายตัวโตกลุ่มหนึ่งนี่ไม่แพ้ผู้หญิงเลยจริงๆ

เสิ่นชิงชิวลงไปที่ห้องลับใต้ดินของร้าน เล่าเรื่องไม่คาดฝันเมื่อครู่ให้คนอื่นๆฟัง แต่ละเรื่องที่ตัวเองติดเชื้อไว้ก่อน

อู๋เฉินต้าซือกล่าว “อมิตาพุทธ โชคดีที่มีสหายชางฉยงซานทุกท่านอยู่ ในที่สุดก็มีความคืบหน้าแล้ว”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เกรงว่าไม่ง่ายดายปานนั้น ผู้ติดโรคไม่อาจแพร่เชื่อให้คนด้วยกันได้ แต่ในคัมภีร์โบราณที่อยู่บนชิงจิ้งเฟิงได้บันทึกไว้ว่าจำนวนมนุษย์ที่คนเพาะเมล็ดพันธุ์จะเพาะเชื้อใส่ได้ อย่างมากไม่เกินสามร้อยคน ดังนั้นการที่ติดเชื้อทีเดียวทั้งเมืองเช่นนี้ คนเพาะเมล็ดพันธุ์ไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่”

หลิ่วชิงเกอจับด้ามกระบี่ ลุกขึ้นยืนทันที

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าเขาเป็นพวกมือไวใจเร็ว ได้ยินปุ๊บก็จะออกไปหาคนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่เหลือทันที จึงรีบกล่าว “ช้าก่อน ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องบอก”

มู่ชิงฟางว่า “ศิษย์พี่เชิญกล่าว”

เสิ่นชิงชิวไม่รู้จะเริ่มอย่างไร อ้ำๆอึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ลั่วปิงเหอกลับมาแล้ว”

ไม่มีใครมีปฏิกิริยาใหญ่โตอะไร จะว่าไปในสามคนนี้ อู่เฉินต้าซือแห่งวัดเจาหัวไม่รู้อยู่แล้วว่าลั่วปิงเหอเป็นใคร ส่วนมู่ชิงฟางนอกจากวิชาแพทย์กับตำรายาแล้วไม่สนอะไรทั้งสิ้น มีแต่หลิ่วชิงเกอที่ขมวดคิ้ว ถามอย่างประหลาดใจว่า “ศิษย์คนนั้นของเจ้าน่ะหรือ เขามิใช่ตายด้วยน้ำมือของเผ่ามารตอนงานชุมนุมเซียนไปแล้วรึ”

เสิ่นชิงชิวยิ่งรู้สึกยากจะอธิบาย “…ไม่ตาย มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว เรื่องมันยาวน่ะ” เขาสาวเท้าพลางกล่าว “เจ้ากับข้าไปสำรวจในเมืองก่อนแล้วกัน เรื่องนี้กลับมาค่อยคุยกันอีกที”

มู่ชิงฟางกล่าว “ก็ดี ยิ่งจัดการเรื่องคนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่เหลือได้เร็ว ภัยพิบัติที่ทำให้ผู้คนล้มตายก็จะลดน้อยลงไปอีกหน่อย ข้าจะได้ไปดูแลคนป่วยเหล่านั้นเสียที”

พอเขาพูดขึ้นมา เสิ่นชิงชิวก็นึกไปถึงเครื่องเมือผ่าตัดวาววับเป็นประกายที่มู่ชิงฟางพกติดตัวอย่างเตรียมพร้อมตลอด มีดเข็มสารพัดชนิดแผ่เรียงรายเป็นแถวราวกับฉากแพทย์นิติเวชกำลังชันสูตรพลิกศพ ไหนจะขวดโถสารพัดที่ติดฉลากไม่ซ้ำเป็นร้อยเป็นพันนั้นอีก ตัวหนังสือบนฉลากบอกให้รู้ถึงสรรพคุณและกลิ่นของสิ่งที่อยู่ในขวด กลิ่นพาให้หน้าเปลี่ยนสี เห็นเข้าก็ทำเอาปอดแหก เข้าใจว่าบรรดาชายหนุ่มตัวโตที่อยู่ข้างแท่นหลอมเมื่อครู่ อีกเดี๋ยวจะต้องแหกปากจนหลังคากระเจิงแน่

เสิ่นชิงชิวหัวเราะแห้งๆออกมา ขณะกำลังจะเดินตามหลิ่วชิงเกอออกไปจากห้องใต้ดิน พริบตานั้นเอง โดยไม่มีสัญญาณเตือนอะไรทั้งสิ้น จู่ๆเสียงหัวใจเต้นราวกับถูกขยายให้ดังขึ้นสักร้อยเท่า แต่การเคลื่อนไหวกลับอืดอาดขึ้นเรื่อยๆ

หลิ่วชิงเกอที่รู้สึกถึงความผิดปกติ ถามขึ้นทันที “เป็นอะไรไป”

เสิ่นชิงชิวไม่ตอบ มือขวาพยายามปล่อยพลังทิพย์ออกไป กระแสปราณอ่อนแรงผุดมาอย่างกระท่อนกระแท่น ไม่พอจะเกิดประกายไฟด้วยซ้ำ

ไรวะ จะต้องมาเล่นงานกันในเวลาคับขันแบบนี้ด้วยเหรอ แกล้งกันใช่ไหม?!

มู่ชิงฟางกดเสียงต่ำ “พิษไร้ยาถอน”

หลิ่วชิงเกอจับชีพจรเขาทันที ชะงักไปครู่หนึ่ง และกดตัวเขาไว้ “นั่งรอที่นี่แหละ”

รออะไรเล่า รอให้ลั่วปิงเหอตามมาเคาะประตูเรียกเรอะ

เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นกะทันหัน “ข้าจะออกไปกับเจ้า”

หลิ่วชิงเกอพูดอย่างไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย “อย่ามาเกะกะ”

ลูกพี่ นายคือเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงที่ตัวคนเดียวต้านศัตรูได้นับหมื่นนะ พาฉันไปด้วยสักคนไม่เห็นเป็นไรเลย!

มู่ชิงฟางกล่าวว่า “ศิษย์พี่เสิ่นวันนี้ท่านกินยาตามเวลาหรือยัง”

เสิ่นชิงชิวอยากแหงนหน้าโก่งคอกู่ร้องจริงๆ ฉันไม่ได้ละเลยการรักษานะ!!!

เดือนนี้ฉันกินยาตรงตามเวลาแน่นอน! แล้วก็ขอมห้ท่านหลิ่วผู้ยิ่งใหญ่ช่วยกรุยชีพจรทิพย์ตรงเวลาด้วย ไม่รู้เพราะอะไรมันถึงกำเริบขึ้นมา ฉันก็งงไปหมดแล้วเหมือนกัน!

เวลานี้เองระบบก็โผล่มาประกาศอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ

[ค่าความฟินของพระเอกเพิ่มขึ้น 100 คะแนน]

ไปไกลๆเลย!

นี่มันหมายความว่า ‘ยิ่งเสิ่นชิงชิวดวงซวย พระเอกก็ยิ่งฟิน’ งั้นเรอะ

มู่ชิงฟางกล่าวต่อ “ศิษย์พี่เสิ่นอย่าได้ฝืนทำเก่งเด็ดขาด ศิษย์พี่หลิ่วทำเพื่อท่าน ตอนพิษกำเริบขึ้นมา หากฝืนโคจรพลังจะเป็นอันตรายใหญ่หลวง ท่านรั้งอยู่ที่นี่พักผ่อนก่อน ข้าจะไปต้มยา รอจนศิษย์พี่หลิ่วกลับมา ค่อยช่วยกรุยปราณชีพจรทิพย์ให้ท่าน”

เสิ่นชิงชิวลุกขึ้น 3 ครั้ง กลับถูกหลิ่วชิงเกอกดตัวลงไปทั้ง 3 ครั้ง น้ำเสียงของมู่ชิงฟางก็เหมือนกำลังสั่งสอนอบรมเด็กน้อยดื้อรั้น เขาเลยได้แต่จำใจกล่าวว่า “ก็ได้ ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าฟังข้านะ คนเพาะเมล็ดพันธุ์ผิวหนังทั่วตัวเป็นสีแดงก่ำ พลังในการแพร่เชื้อรุนแรงมาก หากไปเจอเป้าหมายน่าสังสัยที่มีลักษณะเช่นนี้ ห้ามบุ่มบ่ามเข้าไปเด็ดขาด ต้องโจมตีจากระยะไกลเท่านั้น ตอนกลับมาให้ตรงมาหาข้าทันที ข้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาเจ้า”

ประโยคสุดท้ายสำคัญมาก เสิ่นชิงชิวเลยจงใจเน้นเสียงเป็นพิเศษ

น้ำใจสหายเป็นสิ่งที่สูงค่าจนไม่อาจประเมินได้ บำรุงกองทัพพันวันเพื่อใช้งานในคราวเดียว ลูกพี่หลิ่วต้องช่วยคุ้มครองผมนะ

หลังจากหลิ่วชิงเกอกับมู่ชิงฟางออกไปจากห้องใต้ดิน อู๋เฉินก็ถามอย่างสงสัย “เสิ่นเซียนซือ ท่านไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ ภพมารเงียบมานาน แต่สองสามปีมาน้ำกลับมีท่าว่าจะหวนกลับมาอาละวาดอีก งานชุมนุมเซียนคราวก่อน ปีศาจที่ยากจะพบพานกลับมาปรากฏตัวขึ้นไม่น้อย ส่วนครานี้ในเมืองจินหลันกลับมีคนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่หายสาบสูญไปนับร้อยปีปรากฏตัวขึ้น อาตนาให้รู้สึกกังวลนัก นี่…เกรงว่าจะไม่ใช่ลางดีอะไร”

ลึกๆแล้วเสิ่นชิงชิวก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน “ความกังวลของต้าซือก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจวางใจเช่นกัน อีกทั้งคนเพาะเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เห็นได้ว่าทวีความแข็งแกร่งขึ้น ข้าไม่รู้ว่าคนเพาะเมล็ดพันธุ์เมื่อร้อยปีก่อนมีคุณสมบัติเช่นนี้ด้วยหรือไม่ มันสามารถควบคุมระยะห่างระหว่างพวกมันกับผู้ที่ติดเชื้อไม่ให้เกินระยะที่กำหนดได้ หาไม่แล้วจะเร่งความเร็วในการเปลี่ยนให้เป็นโครงกระดูก”

มิหนำซ้ำลั่วปิงเหอที่เดิมทีควรอยู่ในห้วงอเวจีอีกสองปีดันออกมาก่อนล่วงหน้า นี่จะถือว่าเป็นลางดีได้หรือ

หลังจากอู่เฉินต้าซือติดเชื้อ พลังวัตรก็เสื่อมถอยอย่างมาก กำลังวังชาแทบไม่เหลือ แค่นั่งคุยครู่เดียวก็เหนื่อยแล้ว เสิ่นชิงชิวเลยจัดที่ให้ท่านนอนแล้วถอยออกไปจากห้องใต้ดินให้เงียบที่สุด อู๋เฉินหลบอยู่ในห้องใต้ดินเพราะไม่อาจถูกแสงถูกลม แต่ห้องของเสิ่นชิงชิวกลับอยู่บนชั้นสองของร้าน หลิ่วชิงเกอยังไม่กลับมา เวลานี้อยากนอนก็นอนไม่หลับ เขาเลยนั่งเหม่อที่โต๊ะ เดี๋ยวก็นึกถึงลูกแกะน้อยลั่วปิงเหอที่ชอบดักหน้าดักหลังเรียกซือจุนทั้งวัน เดี๋ยวก็นึกถึงดอกบัวดำลั่วปิงเหอที่เพิ่งทำให้คนอึดอัดไปทั้งร่างเมื่อครู่ จนแทบอยากทึ้งผมตัวเองให้เกลี้ยง

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ไม่เบาไม่หนัก

เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นจากโต๊ะทันที “ศิษย์น้องหลิ่วหรือ รอเจ้ามาครึ่งคืนแล้ว รีบเข้ามา”

บานประตูพลันถูกกระชากเปิดออกทั้งสองข้าง

ลั่วปิงเหอยืนจังก้าอยู่หน้าประตู ข้างหลังคือความมืดมนอนธการไร้ที่สิ้นสุด เขายืนเอามือไพล่หลัง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลับล้ำลึกราวกับห้วงน้ำสุดจะหยั่ง

เขาหรี่ตา “ซือจุน ท่านสบายดีหรือไม่”

เชี่ยแล้ว!

ชั่วพริบตานั้น เสิ่นชิงชิวราวกับสมองเดือดพล่าน วืดเดียวก็ติดไฟพรึ่บ

ฉากใน ‘เดอะริง’ มาเล่นให้ดูสดๆตรงหน้าเลย

เขาคว้าพัดด้ามจิ้วขึ้นมา พลิกกายกลับหลังได้ก็กระโจนพรวดเดียวออกนอกหน้าต่างไปทันที

ในที่สุดก็ฉีกหน้ากากที่ชวนขนหัวลุกเมื่อตอนกลางวัน เผยตัวตนที่แท้จริงมาคิดบัญชีกับเขาแล้ว

ที่หนีออกมานี่ทำไปตามจิตใต้สำนึกล้วนๆ แต่ความที่เก็กมาหลายปีจนติดเป็นนิสัย ดังนั้นต่อให้กำลังหนีก็ต้องท่าสวยไว้ก่อน พอลงสู่พื้นได้มั่นคงสะกิดฝ่าเท้าเบาๆ ร่างก็ลอยพลิ้วออกไปราวกับห่านป่าสยายปีก

เสียงแจ่มชัดกังวานของลั่วปิงเหอแฝงพลังอันกร้าวแกร่งไว้ด้วย จังหวะนั้นเองเสียงหัวเราะเยือกเย็นแว่วมาข้างหูเขา “เมื่อกลางวันเห็นซือจุนปฏิบัติต่อกงอี๋เซียวอย่างสนิทสนมอ่อนโยน ตกดึกก็ถือโคมคอยท่าอยู่รออาจารย์อาหลิ่วจนดึกดื่น เป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงใจ ไฉนพอถึงตาศิษย์จึงได้ห่างเหินเช่นนี้เล่า”

เชี่ย แต่ละประโยคยิ่งรู้สึกว่าระยะห่างมันร่นเจ้ามาเป็นเท่าตัว อัตราความเร็วขนาดนี้มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยนะเฟ้ย!

เสิ่นชิงชิวสูดลมหายใจเข้าลึก คิดว่า ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาผู้ช่วยไว้ก่อน เปล่งเสียงตะโกนจากจุดตัวเถียนทันที “หลิ่วชิงเกอ!”

เสียงของลั่วปิงเหอเข้ามาใกล้เต็มที คราวนี้ไม่เหลือความอ่อนโยนแล้ว เหลือเพียงเสียงหัวเราะเย็นเยียบ “อาจารย์อาหลิ่วกำลังต่อสู้ติดพัน เกรงว่าไม่ว่างมาแล้ว หากซือจุนมีอะไรจะสั่ง มิสู้บอกข้าก็ได้”

ไม่บังอาจรบกวนหรอกคร้าบ

เสิ่นชิงชิวนึกรู้ทันทีว่า หลิ่วชิงเกอคงถูกลั่วปิงเหอใช้เล่ห์กลอะไรสักอย่างพัวพันเอาไว้ หมดกัน เขาจึงโคจรพลังทั้งหมดลงช่วงล่างโดยไว หวังเร่งความเร็ว

แต่เขาดันลืมไปว่ากำลังอยู่ในช่วงที่พิษไร้ยาถอนกำเริบอยู่

กว่าจะรู้ตัวก็ไม่ทันแล้ว พริบตาเดียวเลือดทั่วกายของเสิ่นชิงชิวจับตัวแข็ง ร่างกายทรุดฮวบทันที

ครู่ต่อมาคอถูกบีบอย่างแรง หลังกระแทกกับกำแพงหินเย็นเฉียบทำเอาเจ็บสะเทือนไปถึงไขสันหลัง ในหัวเป็นเสียงดังหึ่งๆ

ลั่วปิงเหออยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

เสิ่นชิงชิวถูกเขาเหวี่ยงใส่กำแพงด้วยมือเดียว ท้ายทอยกระแทกจนมึน ตาลายไปครู่หนึ่งกว่าจะมองเห็นชัดอีกครั้ง

ภายใต้แสงเดือนสาดส่อง ยิ่งทำให้โครงหน้าของลั่วปิงเหอดูราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง งดงามสุดจะเปรียบ

ลั่วปิงเหอยื่นหน้าเข้ามากล่าวเนิบนาบเสียงเบา “ไม่พบกันหลายปี ได้มาพบกันอีกครั้งอย่างยากเย็น ซือจุนกลับเรียกหาแต่ผู้อื่น ศิษย์ช่างปวดใจนัก”

เขาย้ำคำว่าปวดใจไม่หยุด ทว่าในรอยยิ้มและแววตากลับแฝงรังสีสังหาร ดูยังไงก็โกหกหน้าตายชัดๆ

เสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนลำคอถูกรัดด้วยห่วงเหล็ก ขยับลูกระเดือกแทบไม่ได้ อย่าว่าแต่จะพูดเลย แค่หายใจก็ลำบาก

นิ้วยังพอจะฝืนวาดท่าร่ายกระบี่ได้อยู่ แต่ตัวเขาเวลานี้พลังทิพย์ติดขัด ร่ายไปก็เท่านั้น ร่ายให้ได้มาตรฐานยังไงก็สั่งให้ซิวหย่าขยับไม่ได้

มิหนำซ้ำมือของลั่วปิงเหอยังค่อยๆกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ

แต่แล้วเบื้องหน้าเสิ่นชิงชิวพลันสว่างวาบ กล่องข้อความขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น

กล่องข้อความนี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนจะออกมาเหมือนข้อความเตือนของระบบ XP ตอนนี้กลับเรียบหรูดูดี…ที่สำคัญคือเนื้อหา ระบบประกาศว่า

[ต้องการรับคำแนะนะจากระบบในการคลี่คลายความลำบากเล็กๆน้อยที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้หรือไม่]

แกเรียกแบบนี้ว่า ‘ความลำบากเล็กๆน้อย’ เรอะ

เสิ่นชิงชาตะโกนในใจจนเสียงแหบเสียงแห้ง “เอาๆ มีอีซี่โหมดเปล่า ขออีซี่โหมดมาเลย”

ระบบ [เปิดการใช้งานเต็มอัตรา ต้องการนำไอเทมสำคัญมาใช้เพื่อช่วยชีวิตหรือไม่]

เสิ่นชิงชิวหายใจไม่ออกจนหน้าเขียวแล้ว “มีไอเทมสำคัญด้วยเรอะ ต้องใช้ค่า B เท่าไหร่ ว่ามาเลย”

ระบบ [ไอเทมอยู่ในคลังเก็บอุปกรณ์ของท่านแล้ว ต้องการใช้ไอเทม ‘จี้กวนอิมหยกปลอม’ เพื่อหักล้างค่าความโกรธของลั่วปิงเหอ 100 คะแนนไหม]

เออใช่ จี้กวนอิมหยกปลอม ของเพียงชิ้นเดียวที่แม่บุญธรรมลั่วปิงเหอเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า

ไอเทมช่วยชีวิตที่ได้มาตอนถึงโลกนี้ใหม่ๆ อุปกรณ์สวมใส่เลเวลสูง เขาลืมไปได้อย่างไร มีถ้วยทองคำใช้แท้ ๆ แต่ดันขอข้าวเขากิน ระบบ ในที่สุด นายก็รู้จักทำงานสมหน้าที่เสียทีนะ

เสิ่นชิงชิว “ใช้ๆๆ!” ลูกกระเดือกเขากำลังจะถูกบีบแตกอยู่แล้ว!

ระบบ [ขอแจ้งให้ท่านทราบก่อนว่า ไอเทมนี้สามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หักล้างค่าความโกรธของลั่วปิงเหอได้สูงสุดที่ 5,000 คะแนน]

เสิ่นชิงชิวยั้งม้าหยุดที่หน้าผากะทันหัน “เดี๋ยวนะ!!!”

ลั่วปิงเหอออกอาการขนาดนี้มีค่าความโกรธแค่ 100 คะแนนเองเหรอ! ล้อเล่นเปล่า แค่ร้อยเดียวยังโหดขนาดนี้ ตอนที่ค่าความโกรธของเขาอยู่ที่ 5,000 จะเป็นยังไง ตูไม่กล้าจินตนาการแล้ว แต่ประเด็นสำคัญก็คือไอเทมที่ใช้ครั้งเดียวสลายได้ 5,000 เอามาใช้ในสถานการณ์แค่ 100 เนี่ยนะ มิหนำซ้ำจากนี้จะเอามาใช้ไม่ได้อีก!

ต่อให้ยามนี้อยู่ในช่วงแห่งความเป็นความตาย เสิ่นชิงชิวก็ยังต้องการเวลาสักนิดเพื่อให้หายปวดใจและสับสน!

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่ใช่หายใจไม่ออกตายก็ต้องคอหักตายแน่ ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังจะตัดใจกัดฟันใช้ไอเทมช่วยชีวิตนั่นเอง แรงบีบที่คอก็คลายกะทันหัน

หนีก็หนีไม่รอด ก็ได้แต่เก็กต่อ เสิ่นชิงชิวเอามือยันกำแพง ฝืนยืนให้นิ่ง เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปกองกับพื้น

ลั่วปิงเหอที่เมื่อครู่แทบบีบคอเขาให้ตาย ตอนนี้เข้ามาประคองเขาพร้อมทั้งยิ้มตาหยี ทำหน้าเหมือนกับเมื่อก่อนตอนประคองเขาขึ้นรถม้าหรือไม่ก็ตอนส่งขนมให้เขาไม่มีผิด เสิ่นชิงชิวถึงกับลืมดิ้นหนีไปชั่วขณะ รู้สึกแต่ว่ากิริยะท่าทางเหมือนคนสองบุคลิกนี้ทำเอาเขาขนลุกซู่

ลั่วปิงเหอถอนใจ “เมื่อครู่ไยซือจุนถึงต้องรีบหนีด้วย ศิษย์เกือบตามไม่ทัน”

ตามไม่ทันกะผีน่ะซิ เมื่อกี้ใครวะเพิ่งจะเล่นแมวจับหนูตามหลังกันมาติดๆแบบชิลลๆโดยไม่มีหอบสักนิด

เสิ่นชิงชิวหอบหายใจ ค่อยๆกล่าวเสียงแหบ “เจ้าขวัญกล้าไม่น้อย กลับมาอย่างเอิกเกริกเลยทีเดียว ไม่กลัวคนอื่นจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือไร”

ลั่วปิงเหอนัยน์ตาเรืองวาบกล่าวว่า “ซือจุนพูดด้วยความเป็นห่วง หรือเพราะกังวลเล่าขอรับ”

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่า คำพูดของเขาแฝงความหมายเอาไว้ แต่คำว่า ‘เป็นห่วง’ กับ ‘กังวล’ ณ เวลานี้มันต่างกันตรงไหนรึ

เขาถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้าไม่คิดว่าข้าจะเอาไปบอกคนอื่นหรอกหรือ”

ลั่วปิงเหอมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงสมเพช “ซือจุน อย่างกับจะมีคนเชื่อท่านอย่างนั้นแหละ”

เสิ่นชิงชิวใจกระตุกวูบ

ความหมายของลั่วปิงเหอคือคิดทำเหมือนในนิยายดั้งเดิม ทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียงก่อน จากนั้นก็ค่อยๆบีบหนทางของตนทีละก้าว เอาให้ตายอย่างช้าๆซินะ

เสิ่นชิงชิวในนิยายดั้งเดิมนั้น มีความเลวชาติอยู่สองอย่าง

  1. พยายามจะงาบไม่ว่าสาวน้อยสาวใหญ่
  2. เข่นฆ่าทั้งศิษย์ร่วมสำนักและที่ไม่ใช่ศิษย์ร่วมสำนัก

แต่เสิ่นชิงชิวถามตัวเอง นับจากสวมคราบนี้มา เขาไม่เคยมีความคิดจะสืบทอดความชอบและความทะเยอทะยานของเจ้าของร่างเดิมแม้แต่น้อย ลั่วปิงเหอยังสามารถทำลายสถานะเขาให้สูญสิ้นจุดยืนในสังคมได้ด้วยหรือ

ระบบ [ขอตอบอย่างฉันมิตร แน่นอนว่าได้]

เสิ่นชิงชิง “หุบปากไปเลย ไม่ต้องมาเตือนกันเรื่องนี้ก็ได้นะ ขอบใจ”

ระบบ [ไม่ต้องเกรงใจ คำตอบคราวนี้ไม่ชาร์จค่า B แต่อย่างใด]

เสิ่นชิงชิวปิดกล่องข้อความทันที

เขายืนนวดคอได้สักพักก็พบว่าลั่วปิงเหอกำลังมองเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ยังไม่มีท่ามีว่าจะลงมือต่อ

ยังมองอยู่รึ

คงไม่ใช่ว่าเพราะจากกันไปสองสามปีเลยต้องมองเสียให้คุ้มหรอกนะ

ระบบ [ค่าความฟินของพระเอกเพิ่มขึ้น 50 คะแนน]

เสิ่นชิงชิวเอ่ยว่า “พออัปเกรดแล้ว ทำไมแม้แต่เหตุผลในการบวกคะแนนก็ไม่มีแล้ว อย่ามาว่าผมโกงคะแนนตอนหลังละคน ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ค่าความฟินมันเพิ่มมาจากไหนกันนี่ แล้วก็ช่วยอย่าโผล่มาสักพักจะได้ไหม”

เสิ่นชิงชิวถามขึ้นหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ “ที่เจ้ากลับมานี้คิดจะทำอะไรกันแน่”

ลั่วปิงเหอตอบว่า “ก็แค่คิดถึงว่าซือจุนดีต่อข้ามาก เลยกลับมาเยี่ยมเท่านั้น”

เสิ่นชิงชิวเข้าใจทันทีว่าที่เขากลับมาหาคนก็เพื่อสะสางบัญชีเก่าโดยเฉพาะนั่นเอง

เสิ่นชิงชิวถามคำตอบคำกับลั่วปิงเหอ กลับยังนับว่าสงบปรองดอง เสิ่นชิงชิวเลยค่อยๆขวัญกล้าขึ้น น้ำเสียงสงบนิ่ง ขยับนิ้วไปแตะด้ามกระบี่ “เพียงเพื่อมาฆ่าข้าหรือ เช่นนั้นสถานการณ์โรคระบาดในเมืองจินหลันมันเกิดได้อย่างไรกัน หรือชาวบ้านในเมืองก็ล้วน ‘ดีต่อเจ้า’ เช่นกัน”

นึกไม่ถึงว่าพอพูดประโยคนี้ออกมาดันไปแตะเกล็ดย้อน* ตรงไหนก็ไม่รู้ของลั่วปิงเหอเข้า ดวงดาราในตาเขาราวกับตกวูบจากฟ้าลงมาเดี๋ยวนั้น รอยยิ้มบางๆที่คล้ายมีคล้ายไม่มีเมื่อครู่หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยทันใด

(เกล็ดย้อน หมายถึง เรื่องที่ไม่อาจแตะต้อง)

ลั่วปิงเหอกล่าวหยัน “ซือจุนช่างเกลียดชังเผ่ามารเสียจริงๆ” ในน้ำเสียงมีร่องรอยของโทสะที่พยายามฝืนข่มอยู่ด้วย

ไม่จริงสักหน่อย

ลั่วปิงเหอกัดฟันกรอด “ไม่ซิ ต้องบอกว่าเกลียดชังข้าอย่างลึกซึ้งถึงจะถูก”

ดูซิ นายก็เข้าใจนี่ เหอๆๆ เสิ่นชิงชิวพูดไม่ออก แต่ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยนะ

จู่ๆลั่วปิงเหอเดินเข้ามาก้าวหนึ่ง เสิ่นชิงชิวมีสีหน้าหวาดระแวงขึ้นมาทันที ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ข้างหลังเป็นกำแพง ถอยต่อไม่ได้แล้ว

สายตาของทั้งสองปะทะกัน ลั่วปิงเหอรู้สึกว่าตนเองเสียการควบคุมตัวมากเกินไปจึงหลับตาครู่หนึ่ง แล้วค่อยลืมตาขึ้น

“ซือจุนมิใช่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆหรอกหรือ เรื่องอย่างฆ่าคน วางเพลิง ทำลายชาติ เพียงเพราะเลือดครึ่งหนึ่งในกายข้า ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะทำเรื่องเหล่านั้นแน่นอนใช่หรือไม่”

เสิ่นชิงชิวได้แต่อยู่ให้เงียบเข้าไว้

หากมี ‘เทพมารอหังการ’ สักเล่มในมือก็คงเอาหนังสือฟาดหน้าเขาไปแล้ว

หรือใครมีค้อนก็ส่งค้อนมาหน่อย! หนังสือความยาม 20 ล้านตัวอักษรเต็ม เอามาใช้เป็นค้อนที่ตนต้องการได้เลย ไม่ใช่แค่ฆ่าคน วางเพลิง ทำลายชาติหรอกนะ การลงมือของลั่วปิงเหอเอาคำว่า ‘หมาไก่ไม่เหลือ’ มาบรรยายก็ยังไม่สาสม…

ลั่วปิงเหอเห็นเสิ่นชิงชิวหลุบตาเก็บงำสีหน้า ไม่กล่าวคำพูดเท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยาย จึงหัวเราะหยัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดตอนนั้นถึงได้บอกข้าว่าอย่าได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเผ่าพันธุ์ ไยถึงกล่าวถ้อยคำอันสวยหรูว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่สวรรค์ไม่อาจอภัย”

สีหน้าเขาหม่นวูบลงไปโดยพลัน หว่างคิ้วเกิดไอสังหารขึ้น ฟาดมือออกมาพร้อมตวาดลั่น “เสแสร้งจอมปลอมเป็นที่สุด”

เสิ่นชิงชิวเตรียมระวังอยู่ก่อนแล้ว รีบถอยหลังกรูดจึงรอดพ้นอันตรายมาได้ พอเหลียวไปมองก็พบว่ากำแพงที่พิงอยู่เมื่อครู่ทลายลงมากองหย่อมหนึ่งเลยทีเดียว

แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้ว พอออกมาจากสถานที่อย่างห้วงอเวจี นิสัยของลั่วปิงเหอจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนแปลงไปถึงขึ้นพลิกฟ้าพลิกดินขนาดนี้ บอกว่าเจ้าอารมณ์ยังเบาไปด้วยซ้ำ

รู้จากนิยายก็เรื่องหนึ่ง แต่พอเห็นคนที่เคยสนิทด้วยแปรเปลี่ยนไปขนาดนี้กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาทำให้เกิดขึ้นเอง

ลั่วปิงเหอคล้ายไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีเขาจริงๆ หลังจากฟาดฝ่ามือระบายโทสะไปครั้งหนึ่ง ความโกรธก็คลายลงไปบ้าง เบือนหน้ามาเล็กน้อยยื่นมือมาเหมือนจะเข้ามาคว้าตัวเขา

เสิ่นชิงชิวรีบชักกระบี่ออกมาเดี๋ยวนั้น เขาไม่ได้ใช้มือจับกระบี่นานแล้ว ก่อนหน้านี้โดยมากจะใช้คาถาวาดนิ้วร่ายกระบี่ ตอนนี้เขาไม่มีพลังทิพย์เหลือ เลยได้แต่ใช้กำลังกายแทน ทำไงได้ ยังไงเขาก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าหรอก อย่างน้อยในเวลานี้เขาก็ไม่สามารถนั่งรอความตายโดยไม่ทำอะไรเลย

นี่เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เดิมทีเข้าใจว่าลั่วปิงเหอต้องฝึกถึง 5 ปี จึงจะออกมาจากห้วงอเวจีได้ ใครจะไปรู้ว่าดัชนีทองคำของอีกฝ่ายร้ายกาจยิ่งกว่าในนิยายดั้งเดิมเสียอีก ออกมาเร็วก่อนกำหนดเท่าตัว ลองนับเวลาดูแล้ว หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราที่เสิ่นชิงชิวเลี้ยงไว้หมายเอาเป็นไม้ตายช่วยชีวิตยังโตไม่ทันใช้งานเลยด้วยซ้ำ

ลั่วปิงเหอเห็นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นช้าๆ ทำให้เสิ่นชิงชิวเห็นปราณมารที่ลอยตลบระหว่างฝ่ามือชัดเจน เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ซือจุน ท่านลองเดาดูซิ ซิวหย่าถูกข้าจับกี่ครั้งถึงจะกร่อนไม่เหลือ”

ไม่ต้องเดาแล้ว ฉันพนัน 5 เหมา* เลยละกันว่าอย่างมากก็ครั้งเดียว เสิ่นชิงชิวนึกสลดอยู่ในใจ

(เหมา คือ หน่วยเงินในระบบเงินเหมินปี้ของจีน 10 เหมา = 1 หยวน)

ลั่วปิงเหอเข้ามาใกล้อีกก้าว

เสิ่นชิงชิวเลยจำต้องเอากระบี่เข้าต้าน เขาเตรียมใจแทงบัญชีโละซิวหย่าแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ลั่วปิงเหอเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างซึ่งทำให้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ปราณมารบนฝ่ามือสลายตัวทันที แล้วใช้มือเปล่าจับปลายกระบี่เต็มมือ

เสิ่นชิงชิวไม่ได้คิดจะแทงเขาจริงๆ 2 ครั้งแล้วนะนี่ ชั่วขณะที่นิ่งงัน ลั่วปิงเหอฉวยจังหวะนี้เอาสันมือฟันข้อมืออีกฝ่าย เสิ่นชิงชิวเจ็บจนปล่อยมือ กระบี่ที่ร่วงลงพื้นถูกเขาปัดกระเด็นในชั่วพริบตา

ลั่วปิงเหอใช้มือข้างหนึ่งจับแขนเสิ่นชิงชิวเอาไว้แน่น เลือดจากฝ่ามือเขาไหลอาบแขนเสื้อเสิ่นชิงชิวจนชุ่มโชก

เลือดไหลแล้วอ่า! เลือดไหลแล้วอ่า!

เสิ่นชิงชิวแตกตื่นจนประสาทกินไปแล้ว ขณะกำลังทำอะไรไม่ถูก ลั่วปิงเหอก็จับมือเขาพลิกขึ้นดู “ติดเชื้อหรือ”

บนแขนของเสิ่นชิงชิวมีผื่นแดงขึ้นเป็นจุดๆ เพิ่มจำนวนขึ้นมาจากเมื่อตอนกลางวันเล็กน้อย

นิ้วเรียวยาวของลั่วปิงเหอปัดผ่านแทบไม่รู้สึก ผื่นแดงเหล่านั้นก็หายไปราวกับหมึกที่กระจายตัวในน้ำ

แน่นอนว่าสำหรับลั่วปิงเหอแล้ว ของเล็กน้อยแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

สีหน้าลั่วปิงเหอดูจะผ่อนคลายขึ้น กล่าวว่า “มือข้างนี้ของซือจุนเคราะห์ร้ายไม่หยุดจริงๆ”

พวกเขาสองคนใจตรงกันชะมัดยาด เสิ่นชิงชิวมองดูหลังมือของตนเองกลับมาขาวกระจ่างเหมือนเก่า ยิ่งไม่เข้าใจวงจรสมองของลั่วปิงเหอเข้าไปอีก ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้ เป็นได้ว่าพอเห็นมือขึ้นมาก็เลยนึกถึงน้ำใจแต่หนหลัง นึกได้ว่ามือข้างนี้เคยช่วยรับหนามแหลมบนเกราะฉาบยาพิษแทนเขา เลยไปกระตุ้นความหลังอย่างนั้นหรือ

ขณะที่เขาคาดเดาเปะปะพลันท้องน้อยก็ถูกต่อยเข้าทีหนึ่ง

ลั่วปิงเหอยิ้มน้อยๆ “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ในเมื่อซือจุนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เช่นนั้นก็รับผลกรรมเอาเองเถอะ แผลที่ซือจุนฝากไว้ก็ต้องชดใช้ด้วยตนเอง”

เสิ่นชิงชิวยังเข้าใจว่าเขาเปรียบเปรยถึงความเจ็บปวดทางใจที่ตนทำไว้กับเขาในตอนนั้น แต่ใครจะไปนึกว่าหนังหัวพลันเจ็บวูบ คอถูกกระชากอย่างแรง มือของลั่วปิงเหอจ่อที่ริมฝีปากตน เลือดสายหนึ่งทะลักเข้ามาในปาก

เสิ่นชิงชิวตาเบิกโพลง

เขาถึงรู้ตัวว่าบาดแผลที่ลั่วปิงเหอหมายถึงคือบาดแผลที่ตนเพิ่งจะใช้ซิวหย่าฝากเอาไว้เมื่อครู่

บ้าเอ๊ย แม่ง! ของแบบนี้ดื่มไม่ได้เด็ดขาด ดื่มไม่ได้!

เขาปัดมือข้างนั้นอย่างแรง ก้มหน้าหมายถ่มเลือดที่กลืนเข้าไปออกมา แต่ถูกลั่วปิงเหอจับหน้าแหงนเงย กรอกเลือดเข้ามาไม่หยุด

ลั่วปิงเหอฉีกปากแผลบนมือตัวเองให้กว้างยิ่งขึ้น เลือดอุ่นๆไหลพลั่ง เขากลับดูจะยิ่งพอใจซะด้วยซ้ำ

“ซือจุน อย่าถ่มออกมานะ เลือดของมารฟ้าถึงแม้สกปรก แต่ดื่มแล้วไม่ตายหรอก ถูกต้องหรือไม่”

ตายน่ะไม่ตายหรอก แต่แบบนี้เท่ากับอยู่ไม่สู้ตายต่างหาก

……………………………………

เสิ่นชิงชิวไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาถึงร้านขายอาวุธจินจื่อได้อย่างไร จนกระทั่งขึ้นไปข้างบน กลับเข้าห้องตัวเองแล้วก็ยังมึนงงอยู่ ตอนล้มตัวลงนอนก็รู้สึกแต่ว่าสมอง น้ำดีในกระเพาะ และเลือดพากันตีขึ้นลงไม่หยุด มีอะไรบางอย่างไต่ตามพวกมันขึ้นมาด้วย ทำเอาเขาพลิกตัวด้วยความทรมานทั้งคืน

เลือดของมารฟ้าบรรพกาลหลังออกจากร่าง ยังสามารถควบคุมสั่งการได้โดยเจ้าของ หากเป็นคนอื่นดื่มลงไป ไม่แน่ว่าจะต้องตายสถานเดียว แต่อาจเลวร้ายกว่านั้นหลายเท่าตัว

เช่นในนิยายดั้งเดิม หลังจากลั่วปิงเหอสามารถควบคุมสั่งการเลือดของตัวเองได้แล้ว ก็นำไปใช้ประโยชน์ได้สารพัด เช่น ใช้เป็นยาพิษ ใช้เป็นหนอนกู่ฝังในกายคนเพื่อติดตามตำแหน่งที่อยู่ เป็นเครื่องมือในการล้างสมอง ทำคนให้เป็นเซ็กส์ทอย ฯลฯ

เสิ่นชิงชิวเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว ครึ่งฝันครึ่งตื่น กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปรุ่งสาง หลับได้ไม่ทันไร ก็ถูกเสียงโห่ร้องยินดีปลุกให้ตื่น เขาโผเผลงจากเตียง เพราะเมื่อคืนนอนทั้งเสื้อผ้าชุดเดิม จึงไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

ขณะกำลังจะเปิดประตู จู่ๆประตูก็เปิดออกเอง หนุ่มน้อยผู้หนึ่งกระโดดโลดเต้นเป็นการใหญ่

หยางอี้เสวียนร้องอย่างตื่นเต้น “ประตูเมืองเปิดแล้ว ประตูเมืองเปิดแล้ว”

เสิ่นชิงชิวถามว่า “อะไรนะ”

หยางอี้เสวียนตะโกนลั่น “ปีศาจตัวแดงๆเหล่านั้นโดนจับหมดแล้ว ประตูเมืองเปิดแล้ว เมืองจินหลันในที่สุดก็รอดแล้ว” แต่พอนึกถึงการตายของผู้เป็นบิดา น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา

เสิ่นชิงชิวผะอืดผะอมไปทั้งตัว ปวดศีรษะจนแทบแตกกลับต้องมาปลอบเขา พลางนึกในใจว่า รวดเร็วอะไรอย่างนี้ คืนเดียวก็จับตัวได้หมดแล้วหรือ

เมื่อประตูเมืองเปิดแล้ว เหล่าซิวซื่อแต่ละสำนักที่เฝ้ารอดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกก็หลั่งไหลเข้ามาในเมือง มารวมตัวกันที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง

มู่ชิงฟางคอยแจกจ่ายยาเม็ดที่ปรุงออกมาอยู่ตรงนั้น

เมืองจินหลันที่สองสามวันก่อนยังปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายทั้งเมือง

บัดนี้มีแต่ความรื่นเริงยินดี คนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ถูกจับตัวได้มีทั้งหมด 7 ตน โดนจับขังแยกอยู่ในเขตอาคมของวัดเจาหัว

เสิ่นชิงชิวเห็นหลิ่วชิงเกอมีท่าทางครุ่นคิดก็เดินเข้าไปตบบ่าเขา “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”

หลิ่วชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง ย้อนถาม “เรื่องศิษย์ของเจ้านี่มันเป็นอย่างไรกัน”

เสิ่นชิงชิงกล่าวว่า “เขาทำอะไรหรือ”

หลิ่วชิงเกอตอบช้าๆ “เมื่อคืนเขาจับได้ 5 ข้าจับได้ 2” เขามองดูเสิ่นชิงชิว “ช่วงสองสามปีที่ลั่วปิงเหอหายไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

กล้าแย่งชิงมอนสเตอร์จากมือเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง ซ้ำยังแย่งได้สำเร็จ นี่เป็นเรื่องที่ทำลายความเชื่อของผู้สืบทอดยอดเขาไป่จั้นเฟิงเสียจริง หยามกันชัดๆ

อีกทั้งจำนวนนี้อาจสามารถระบุได้เช่นกันว่า สถานการณ์ตอนนี้ค่าพลังยุทธ์ของลั่วปิงเหกับหลิ่วชิงเกอคือ 5 ต่อ 2

แต่แล้วบรรดาศิษย์แถวนั้นพร้อมใจกันเงียบเสียง แหวกทางเปิดที่ว่างไว้ตรงกลาง ไม่ไกลนักบุคคลระดับเจ้าสำนักสองสามท่านก็ค่อยๆเดินเข้ามาในลาน

เยวี่ยชิงหยวนกับกงจู่เฒ่าเดินตีคู่กันมา โดยมีอารามเทียนอีและวัดเจาหัวตามหลังมาติดๆ

ลั่วปิงเหอยืนอยู่ข้างกายกงจู่เฒ่า แสงตะวันยามเช้าอาบไล้ให้เขาดูสดใสเปี่ยมกำลังวังชา

เสิ่นชิงชิวก้มมองตัวเองเป็นการเปรียบเทียบก็รู้สึกหมองขึ้นมาทันที

เยวี่ยชิงหยวนที่เดินเข้ามาใกล้ยังมองตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามอย่างเป็นห่วงว่า “สีหน้าเจ้าแย่เต็มที ไม่ควรให้เจ้ามาเลยจริงๆ”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะแห้งๆ “ก็เมื่อคืนพวกคนป่วยที่ศิษย์น้องมู่ดูแลร้องโหยหวนทั้งคืน ข้าเลยนอนหลับไม่สนิทน่ะขอรับ”

มู่ชิงฟางแจกยาเสร็จกลับมาพอดี ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน “ศิษย์พี่ ถึงทางข้าจะเสียงดังแค่ไปน ก็ไม่ถึงขนาดทำให้ท่านเปลี่ยนไปขนาดนี้ในคืนเดียวหรอกนะ ยาที่ข้าวางไว้ให้ในห้องกินแล้วหรือยัง”

เสิ่นชิงชิวรีบกล่าว “กินแล้วๆ” แต่อย่ามาถามต่ออีกเชียวนะว่าวันนี้เขากินยาแล้วยัง”

แต่แล้วทางด้านหนึ่งมีเสียงเอะอะขึ้นกะทันหัน พอเสิ่นชิงชิวเหลียวหน้าไปมอง ก็อยากเบือนหน้าไปทางอื่นเสียเดี๋ยวนั้น

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดไว้ทุกข์ เดินนำฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่ประกอบด้วยชายหญิง พยายามจะคุกเข่าลงตรงหน้าลั่วปิงเหอ เขาก็คือเจ้าเมืองจินหลันนั่นเอง

เขาตื่นเต้สจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ “เมืองเล็กๆแห่งนี้ได้เซียนซือทุกท่านสละชีวิตช่วยเหลือ บุญคุณนี้ไม่อาจทดแทนได้ จากนี้ไปหากมีคำสั่งใด แม้ตายก็ยินดีเอาตัวเข้าเสี่ยงโดยไม่ปริปาก”

เสิ่นชิงชิวมุมปากกระตุก เป็นไปตามระเบียบจริงๆ ตีมอนเสร็จ ได้ลูกน้อง ได้รางวัล เวลาเช่นนี้มีแต่พระเอกเท่านั้นที่จะได้สปอร์ตไลท์ไปเพียงผู้เดียว ส่วนคนอื่นที่ลงแรงเหมือนกันต่างกลายเป็นตัวประกอบฉากกันหมด ตัวเขานั้นไม่ต้องพูดถึง แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีหลิ่วชิงเกอที่จับปีศาจได้ 2 ตัว และไหนจะมู่ชิงฟางที่แจกยาอยู่ตรงนั้นอีกเล่า

ปฏิกิริยาของลั่วปิงเหอก็เป็นไปตามระเบียบเช่นกัน เขาตอบอย่างถ่อมตนว่า “ท่านเจ้าเมืองโปรดลุกขึ้น เมืองจินหลันผ่านพ้นอันตราย เพราะหลายสำนักร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน กำลังของคนๆเดียวไม่สามารถทำเรื่องที่ลำบากเช่นนี้ได้หรอกขอรับ”

กิริยาวาจาของเขาทั้งจริงใจและเป็นไปอย่างเหมาะสม ความโดดเด่นของตัวเองไม่ลดน้อยลง สำนักอื่นฟังแล้วก็ไม่รู้สึกน้อยหน้า

เจ้าเมืองจินหลันกล่าวยกย่องต่อรัวๆ “เมื่อคืนข้าได้เห็นคุณชายท่านนี้จับปีศาจที่ทำร้ายผู้คนเหล่านี้ด้วยตาตัวเอง พลังฝึกปรือเป็นเยี่ยม ช่างเป็นวีรบุรุษผู้กล้าตั้งแต่ยังเยาว์โดยแท้ ยอดอาจารย์ย่อมก่อกำเนิดยอดศิษย์ กงจู่ ท่านนับว่ามีผู้สืบทอดแล้ว”

ลั่วปิงเหอได้ยินว่า ‘ยอดอาจารย์ย่อมก่อกำเนิดยอดศิษย์’ ก็ยิ้มแฝงความหมาย เหลือบมองมาทางเสิ่นชิงชิวครู่หนึ่งคล้ายตั้งใจและคล้ายไม่ตั้งใจ ราวกับแมลงปอแตะโฉบผิวน้ำ

เสิ่นชิงชิวคลี่พัดเบือนหน้าหนี

สายตาของกงจู่เฒ่าที่มองลั่วปิงเหอนั้นแฝงไว้ด้วยความชื่นชมและรักใคร่เอ็นดู คนอื่นอาจมองไม่ออก แต่เสิ่นชิงชิวย่อมรู้ดีว่านี่คือแววตาที่มองผู้สืบทอด + ว่าที่ลูกเขยในอนาคตนั่นเอง

คนเพาะเมล็ดพันธุ์ทั้ง 7 ที่ถูกจับขังส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรไม่หยุด ชวนให้ผู้คนกระวนกระวายใจ จึงมีคนกล่าวขึ้นว่า “ตัวน่ารังเกียจเหล่านี้สมควรจัดการอย่างไรดี”

เยวี่ยชิงหยวนถามว่า “ศิษย์น้อง เจ้ามีหนทางหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวกดเสียงต่ำ “ที่ชิงชิวเคยอ่านจากตำราโบราณที่เกี่ยวข้อง คนเพาะเมล็ดพันธุ์กลัวความร้อน ดูเหมือนมีแต่เอาไปเผาจึงจะสามารถกำจัดพลังในการแพร่เชื้อเน่าในร่างของมันได้หมดขอรับ”

หลักการง่ายๆที่เข้าใจได้ การฆ่าเชื้อโรคต้องใช้ความร้อนสูง

มีซิวซื่อคนหนึ่งกล่าวอย่างตกตะลึง “นี่…หากใช้วิธีนี้…วิธีเช่นนี้ออกจะโหดร้ายป่าเถื่อนไม่ต่างอะไรกับเผ่ามารเลยนะ”

เสียงของเขาถูกกลบหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงตะโกนอย่าง (ขออภัยด้วย ต้นฉบับไม่ชัด จึงไม่เห็นประโยคนี้)

ช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด ในเมืองมีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตไปนับไม่ถ้วน อีกทั้งสภาพการตายล้วนเน่าเปื่อยไปทั้งร่าง อเนจอนาถเกินกว่าจะทนดูได้ เมืองการค้าที่คึกคักเจริญรุ่งเรืองแทบกลายเป็นเมืองร้างเช่นในตอนนี้ การแสดงความสงสารและเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กับคนเพาะเมล็ดพันธุ์ในยามนี้ เท่ากับตั้งตนเป็นศัตรูชาวเมืองจินหลันทั้งเมือง ซิวซื่อสองสามคนนั้นพลันค้นพบอย่างรวดเร็วว่า พวกเขาถูกรุมด่าชนิดถล่มทลาย “เอาพวกเขาไปเผาเลย”

“ใครคัดค้านก็เอามันไปเผาด้วยเลย”

คนเพาะเมล็ดพันธุ์ทั้ง 7 ที่อยู่ในเขตอาคม ส่วนใหญ่ออกอาการแยกเขี้ยวยิงฟัน หัวเราะเฮอะๆอย่างไม่ยอมจำนน

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่า พวกมันอาจยังเชื่อมั่นว่าพวกตนเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่สร้างผลผลิตให้คนในเผ่าพันธุ์ได้เก็บเกี่ยวอยู่ก็เป็นได้ มีเพียงคนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ตัวเล็กอ่อนแอกว่าใครอยู่ตนเดียวเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ เห็นดังนั้นก็มีคนเริ่มใจอ่อนสงสาร

ฉินหว่านเยวียกัดริมฝีปาก เข้าไปใกล้ๆลั่วปิงเหอ “ศิษย์พี่ลั่ว คนเพาะเมล็ดพันธุ์ตนนั้น ดูแล้วน่าสงสารมากเลย”

พวกเขาดูน่าสงสารอย่างนั้นหรือ ต่อให้น่าสงสารสักแค่ไหน แล้วคนที่ติดเชื้อโรคระบาดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่จนร่างกายเน่าเปื่อยไปทั้งตัวไม่น่าสงสารรึไง

ลั่วปิงเหอยิ้มให้ แต่ไม่ได้ตอบอะไร

ตามความเห็นของเสิ่นชิงชิว ปฏิกิริยาเช่นนี้ของลั่วปิงเหอต่อน้องคนนี้เป็นแบบขอไปทีจริงๆ ไม่ควรนับว่าสอบผ่าน ตามนิยายดั้งเดิมในเวลาอย่างนี้เขาควรฉวยโอกาสพูดจาอ่อนโยน ใช้เสียงนุ่มนวลมาแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับน้องเขาซิ ทำไมลั่วปิงเหอถึงอัพเลเวลได้เร็ว แต่ฝีมือจีบสาวกลับตกต่ำล่ะนี่

จนใจที่ผู้อื่นไม่ว่าจะทำหน้าอย่างไร จะมองมุมไหนก็ยังดูอ่อนโยนราวกับหยก หล่อเหลาสง่างาม

ฉินหว่านเยวียมองดูจนเคลิ้ม โยนคำพูดที่เพิ่งจะกล่าวไปเมื่อครู่ทิ้งลงก้นสมองไป ยืนเป็นขามุงต่อไปตามเดิม

เวลานี้เองสิ่งที่ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น

คนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ตัวเล็กผอมตนนั้นกระแทกร่างใส่เขตอาคมอย่างแรง ใบหน้าที่แดงก่ำเพราะร้องไห้ดุร้าย ร้องตะโกนลั่น “เสิ่นเซียนซือ ท่านอย่าได้ปล่อยให้พวกเขาเผาข้าเป็นอันขาดนะ ขอร้องท่านล่ะ เสิ่นเซียนซือ ขอร้องท่านแล้ว”

พริบตานั้นเสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนในสมองมีเส้นลวดตึงเขม็ง แล้วขาดเปรี๊ยะ

…แกเป็นอะไรของแก…หา!!!

อยู่ดีๆโผเข้ามาเรียกเสิ่นเซียนซือตามใจชอบได้ไง ฉันไม่รู้จักแกนะเว้ย!!!

สายตานับพันคู่ทั่วทั้งลานจัตุรัสหันมามองเสิ่นชิงชิวโดยพร้อมเพรียง

คนเพาะเมล็ดพันธุ์ตนนั้นตะโกนไม่หยุดทั้งน้ำตา “พวกเราเพียงแต่ทำตามคำสั่งท่าน ท่านไม่เห็นเคยบอกเลยว่าจะต้องถูกเผาด้วย”

วอท เดอะ ฟัค!

เดินเรื่องก้าวกระโดดอะไรขนาดนี้ เล่นกล่าวหากันง่ายๆอย่างนี้เลยเรอะ

เสิ่นชิงชิวมึนตึ้บแทบเซ ต่อมากงจู่เฒ่ากล่าววาจาที่ทำให้เขามึนหนักเข้าไปอีก “ที่เจ้าปีศาจผู้นี้กล่าวมา เสิ่นเซียนซือสมควรมีคำอธิบายกระมัง”

วิธีการตื้นเขินขนาดนี้ดันมีคนเชื่ออีก!

มีคนกล่าวเห็นด้วยทันที “ใช่แล้ว สมควรต้องอธิบาย”

และไม่หยุดอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น!

สิบสองยอดเขาสมัครสมานสามัคคี พอมีคนพูดออกมาเช่นนี้ ซิวซื่อของชางฉยงซานไม่น้อยแสดงอาการไม่พอใจ

เยวี่ยชิงหยวนพลันมีสีหน้าเย็นยะเยือก

ฉีชิงชีแค่นเสียงเยาะ “ขอเพียงมีหัวคิดย่อมสมควรมองออก เห็นชัดว่าเจ้าปีศาจตนนี้ใกล้จะตายก็ไม่ยอมจำนน ยังคิดจะลากคนอื่นมาเป็นแพะรับบาปด้วย ใส่ความกันเห็นๆ พวกปลายแถวของเผ่ามารล้วนมีสันดานเดียวกัน กลับยังมีคนหลงกลยอมเชื่อ น่าหัวเราะแทบตายแล้ว”

กงจู่เฒ่ากล่าวเสียงเรียบ “เช่นนั้นทำไมไม่ใส่ความผู้อื่น ไฉนใส่ความเสิ่นเซียนซือแต่เพียงผู้เดียว มันน่าสังเกตนะ”

เสิ่นชิงชิวเจอลอจิกนี้เข้าไปก็ยอมก้มกราบเลยทีเดียว ตามที่เขาพูดมา ใครก็ตามที่ถูกชี้นิ้วกล่าวหา ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่ ก็เป็นที่ ‘น่าสังเกต’ หมด ต้นทุนที่ปรับปรำคนช่างถูกเหลือเกิน

ลั่วปิงเหอไม่พูดไม่จา มองมาทางนี้เขม็ง ไม่รู้เพราะอุปาทานไปเองรึเปล่า เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าในดวงตาดำขลับราวกับดวงดาราของเขากำลังยิ้มอย่างพอใจ

ในนิยายดั้งเดิม บาปที่เกินอภัยของเสิ่นชิงชิวคือทำร้ายเพื่อนร่วมสำนัก ฆ่าหลิ่วชิงเกอด้วยมือตัวเอง แต่ตอนนี้หลิ่วชิงเกอยืนอยู่ข้างๆเขานี่เอง หากมีใครหมายเข้ามาทำร้ายเขา ไม่แน่ว่าหลิ่วชิงเกออาจยื่นมือมาช่วยก็ได้ แล้วข้อหาก็เป็นอันตกไป!

นอกเสียจากว่า รอยด่างไม่พอเลยต้องป้ายสีเพิ่ม?

นิสัยของลั่วปิงเหอหลังจากกลายเป็นพระเอกสายดาร์กก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้

แต่แล้วจู่ๆศิษย์ใบหน้าเขรอะสิวผู้หนึ่งของวังฮ่วนฮวาก้าวออกมา เขาคือศิษย์ที่พูดจาแดกดันเสิ่นชิงชิวตอนอยู่ในหอเริงรมย์นั่นเอง เขาก้มกายกล่าว “กงจู่ ศิษย์เพิ่งค้นพบเรื่องหนึ่งขอรับ ไม่ทราบกล่าวได้หรือไม่”

เสิ่นชิงชิวกล่าวโดยไม่เผยสีหน้า “มีคำพูดก็กล่าวเถอะ ในเมื่อเอ่ยปากมาแล้ว ยังจะมีอะไรที่ ‘ไม่ทราบกล่าวได้หรือไม่’ อีกหรือ ออกจะจอมปลอมไปหน่อยกระมัง” นี่ไม่เป็นการตบหน้าตัวเองเหรอ

ศิษย์ผู้นั้นคงคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะกระแนะกระแหนตน หน้าจึงเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดอยู่พักหนึ่ง กระทั่งสิวบนหน้าคลายจะเปลี่ยนสีไปด้วย แต่ไม่กล้าตอกกลับ เพียงถลึงตาใส่เสิ่นชิงชิวอย่างดุดัน “เมื่อวานศิษย์กับศิษย์น้องสองสามคนพบว่า บนแขนผู้อาวุโสเสิ่นมีผื่นแดงที่เกิดจากการติดเชื้ออยู่สองสามจุด เห็นได้อย่างชัดเจนมาก แต่วันนี้พอมาเห็นอีกที ผื่นแดงกลับหายไปจนหมดสิ้นแล้วขอรับ ผู้อาวุโสมู่ของชางฉยงซานบอกเอาไว้ว่ายาเม็ดที่แจกจ่ายในเมืองเมื่อครู่เพิ่งปรุงเสร็จ ต้องรอสิบสองชั่วยามถึงจะออกฤทธิ์ ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจไม่ได้ผลเลยก็เป็นได้ ศิษย์พี่ลั่วกินยาถอนพิษต่อหน้าพวกเราถึงตอนนี้ผื่นแดงก็ยังไม่หายไป ไฉนมีแต่ผู้อาวุโสเสิ่นที่หายได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ผื่นแดงหายไปจนมองไม่เห็นแล้ว ไม่ว่าจะกรณีไหน ศิษย์เข้าใจว่าจุดนี้มีความน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งขอรับ”

เสิ่นชิงชิวลอบถอนใจ กะแล้วเชียว ลั่วปิงเหอคงไม่ใจดีช่วยเอาเชื้อเน่าออกให้เขาอยู่แล้ว

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวช้าๆ “ศิษย์น้องของข้าดูแลชิงจิ้งเฟิงมีฐานะเป็นเจ้ายอดเขา เป็นแบบอย่างที่ดีอยู่ในสำนักเสมอมา นิสัยใจคอสูงส่งบริสุทธิ์ในสำนักไม่มีผู้ใดไม่รู้ ไม่มีผู้ใดไม่ประจักษ์ ใครที่หูเบาเชื่อเรื่องเหลวไหล ก็ย่อมจะถูกคนยุงยงโดยง่ายแล้ว”

หนังหน้าแก่ๆของเสิ่นชิงชิวแดงไปหมดแล้ว ศิษย์พี่อย่าพูดแบบนี้ซิ ซีเรียสเปล่านี่ หากท่านพูดเช่นนี้เพื่อปกป้องข้าด้วยเจตนาดีก็ขอโทษด้วย ไม่ว่าจะตัวปลอมตัวจริง แม้แต่ที่บอกว่า ‘นิสัยใจคอสูงส่งบริสุทธิ์’ ก็ไม่มีใครเป็นได้ขนาดนั้นหรอก โอ๊ะ ไม่ซิ อย่างน้อยๆ เสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลก็หมกมุ่นกับอักษรตัวแรกของคำว่านิสัยใจคอ* (เพศ) อยู่นะ

(อักษรจีนของคำว่า นิสัยใจคอ คือ 性格 ซึ่งตัวอักษรตัวแรก 性 แปลว่า ‘เพศ’ ได้ด้วย)

กงจู่เฒ่ากล่าวว่า “อย่างนั้นหรือ แต่ที่ข้าได้ยินมามันไม่ใช่อย่างนั้นนะ”

เสิ่นชิงชิวใจหายวูบ

ดูท่าว่าวันนี้เขาคงต้องถูกลากลงน้ำให้จงได้แล้ว

เสิ่นชิงชิวหรี่ตา “ผู้สืบทอดชิงจิ้งเฟิงแห่งชางฉยงซานมีนิสัยใจคอเช่นไร ไม่รู้ว่าต้องให้สำนักอื่นอาศัยข่าวลือมาตัดสินตั้งแต่เมื่อใด”

กงจู่เฒ่ากล่าว “หากเป็นข่าวลือย่อมไม่กล้าหูเบาเชื่อโดยง่ายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องนี้กลับร่ำลือออกมาจากสำนักของท่านเอง” เขามองไปรอบๆก่อนจะกล่าวต่อ

“ทุกท่านน่าจะรู้ ศิษย์แต่ละสำนักมีการติดต่อคบหากันเป็นการส่วนตัวถือเป็นเรื่องปกติ ยากจะเลี่ยงการซุบซิบนินทากันบ้าง แค่เรื่องที่เจ้ายอดเขาเสิ่นจงใจกดขี่ข่มเหงศิษย์ในสังกัด ก็แบกคำว่า ‘นิสัยใจคอสูงส่งบริสุทธิ์’ ไม่ไหวแล้ว”

เสิ่นชิงชิวได้ฟังก็สมองบวมขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

กดขี่ข่มเหงศิษย์ในสังกัดหรือ

นี่กลับเป็นความจริงอย่างยิ่ง แค่ลำพังช่วงที่ลั่วปิงเหอกำลังโต เสิ่นชิงชิวหาเรื่องรังแกเขาสารพัด ขนาดเอาอดีตอันรุ่งโรจน์ที่เคยใช้แรงแรงเด็กมาแต่งนิยายโศกสลดได้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ศิษย์คนอื่นที่คุณสมบัติดี แต่ถูกเสิ่นชิงชิวกลั่นแกล้งจนถูกไล่ออกจากสำนักก็เยอะจนรวมเป็นทีมยิมนาสติกได้เลย แต่ว่าไอ้คนที่ลงมือทำร้ายน่ะ มันไม่ใช่เขา มันคือไอ้ตัวจริงนั่นต่างหาก!

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างสำรวม “ในเมื่อทราบว่าเป็นเรื่องซุบซิบนินทา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเอามาเป็นสาระมิได้ จริงอยู่ที่ศิษย์น้องของข้าปกติก็มีนิสัยไม่ชอบพูดคุยไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของพวกศิษย์ แต่หากเป็นเรื่องทำร้ายร่างกาย นั่นก็กล่าวหากันเกินไปแล้ว”

มีเสียงอ่อนหวานดังขึ้น ฉินหว่านเยวียในที่สุดก็ทนไม่ไหว อยากออกหน้าแทนชายในดวงใจ “เช่นนั้นศิษย์ของบังอาจถามเจ้าสำนักเยวี่ยประโยคหนึ่ง สั่งให้เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าขวบเข้าไปรับหน้าผู้อาวุโสเผ่ามารที่มีพลังยุทธ์หลายร้อยปี ทั้งยังสวมเกราะหนามอาบยาพิษไปทั้งตัว เช่นนั้นไม่นับเป็นการกดขี่ทำร้ายร่างกายหรอกหรือเจ้าคะ”

คราวนี้เสิ่นชิงชิวไม่อาจทำตัวเป็นหนุ่มหล่อผู้เงียบขรึม ยืนฟังเฉยๆต่อไปได้อีก

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นับหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้คือหากผู้เป็นอาจารย์เมื่ออยู่ต่อหน้าเกราะหนามอาบยาพิษ ปัดตัวลูกศิษย์ออก แล้วเอาตัวเองเข้าไปขวางหน้า นี่ไม่อาจนับว่าเป็นการทำร้ายร่างกายแน่นอน เจ้าว่าอย่างไรเล่า ลั่วปิงเหอ”

ซิวซื่อที่อยู่ในลานกว้าง พอได้ยินชื่อนี้สีหน้าพลันตะลึงลาน โดยเฉพาะคนของชางฉยงซานยิ่งมีปฏิกิริยาค่อนข้างมาก บางคนตอนแรกพอเห็นหน้าลั่วปิงเหอก็นึกตงิดๆอยู่ อย่างเช่นฉีชิงชีเป็นต้น ตอนนี้เลยตะลึงลานไปแล้ว ขณะที่ธุรการแนวหลังซึ่งเพิ่งจะเข้าเมืองจินหลันมาเช่นกัน พอเจอหน้าลั่วปิงเหอก็แทบคุกเข่าให้เดี๋ยวนั้น หลังจากที่ในใจปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง ครู่ต่อมาก็สงบลงได้

เพราะก่อนหน้านี้เสิ่นชิงชิวมักจะลงโทษลั่วปิงเหออยู่บ่อยๆ เยวี่ยชิงหยวนเองก็เคยเห็นเหตุการณ์หลายครั้ง แต่นั่นเป็นแต่ตอนลั่วปิงเหอยังเด็ก ภายหลังต่อมา เสิ่นชิงชิวเริ่มให้ความสำคัญกับลั่วปิงเหอ มักจะส่งลั่วปิงเหอลงจากสำนักไปจัดการเรื่องราวสารพัด ตนจึงไม่ค่อยได้พบเขานัก ในงานชุมนุมเซียนมีโอกาสได้เห็นหน้าลั่วปิงเหอก็จากจอแก้วผลึกและแค่ช่วงเวลาสั้นๆ กอปรกับภาพจากจอแก้วผลึกไม่ชัดนัด ดังนั้นระหว่างเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงจำชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสง่างามที่อยู่ข้างกายกงจู่เฒ่าไม่ได้ว่านั่นคือ ‘ศิษย์รัก’ ของเสิ่นชิงชิวในครั้งนั้นนั่นเอง ก่อนหน้านี้เยวี่ยชิงหยวนได้ยินว่ากงจู่เฒ่าให้ความสำคัญกับศิษย์คนโตมาก ดังนั้นจึงเหมาเอาว่าลั่วปิงเหอเป็นกงอี๋เซียงมาตลอด คราวนี้พอเสิ่นชิงชิวเปิดประเด็นเลยพลอยตกตะลึงไปอีกคนเช่นกัน

ท่ามกลางผู้คน ลั่วปิงเหอจับจ้องเสิ่นชิงชิวไม่คลาดสายตา เสิ่นชิงชิวเบือนหน้ากางพัดด้ามจิ้ว แล้วเกิดอยากส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ถึงอาจมองดูเป็นการยิ้มเยาะก็ตาม

จะบอกว่าเขาไม่โกรธเลย นั่นก็จะเป็นการโกหก แน่นอนว่าเสิ่นชิงชิวย่อมต้องรักตัวกลัวตาย จึงมักมีความคิดเกี่ยวถึงลั่วปิงเหอไปต่างๆ นานา ยกเว้นตอนเอาตัวเข้าไปขวางให้ลั่วปิงเหอนั้นกลับทำไปโดยไม่รู้ตัวเลย ถึงลั่วปิงเหอไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาช่วยเขาคลี่คลายวิกฤติก็เถอะ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรในการประลองสามรอบนั้น คนที่โชคร้ายที่สุดก็คือเขา แต่ดันเอาเรื่องนี้มาสาดโคลนกัน เสิ่นชิงชิวโกรธแล้วจริงๆ

ลั่วปิงเหอตอบช้าๆ “พระคุณที่ซือจุนใช้ร่างกายเข้าปกป้อง ไม่กล้าลืมไปชั่วชีวิต”

ฉีชิงซีกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื้อ “เป็นเจ้าจริงๆหรื เสิ่นชิงชิว เจ้ามิใช่บอกว่าเขาตายแล้วหรอกหรือ” มองดูลั่วปิงเหออีกครั้ง “ในเมื่อยังอยู่ทำไมเพราะอะไรถึงไม่กลับชิงจิ้งเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ เพราะเจ้า ซือจุนของเจ้าต้องเสีย…”

เสิ่นชิงชิวไอแห้งๆกะทันหัน ไอหนักเสียจนฉีชิงชีต้องหยุดมอง

เสิ่นชิงชิวอยากจะคารวะเสียจริง สังหรณ์ว่าจะต้องได้ยิน ‘เสียขวัญสูญวิญญาณ’ แน่ เขาไม่อยากได้ยินมันอีกหรอกนะ ให้ตายเหอะ ขนลุก! ถ้าให้ลั่วปิงเหอได้ยินเป็นต้องยิ้มจนหน้าฉีกเสียมาดพระเอกแน่

กงจู่เฒ่ากล่าวราวกับวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด “ใช่ จุดนี้เลย ข้าขบคิดเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่เข้าใจ เห็นๆอยู่ว่ายังไม่ตาย กลับดึงดันบอกว่าตายแล้ว และเห็นอยู่ว่าจะกลับไปก็ได้ แล้วไยไม่ยอมกลับไป”

เสิ่นชิงชิวรำคาญน้ำเสียงที่จงใจให้เป็นปริศนาของเขาเต็มที “เขาไม่เต็มใจกลับไป ข้าก็จนปัญญา จะมาก็ดี จะไปก็ตามสบาย แล้วแต่เขาแล้วกัน กงจู่อยากพูดอะไร เชิญพูดมาตรงๆเถอะ”

กงจู่เฒ่าหัวเราะ “ข้าอยากพูดอะไร เจ้ายอดเขาเสิ่นย่อมจะรู้อยู่แก่ใจ ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ก็คิดได้อย่างกระจ่างชัดเช่นกัน คนเพาะเมล็ดพันธุ์ของเผ่ามารแน่นวนว่าควรถูกเผาไฟ แต่หากมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังยิ่งไม่ควรปล่อยผู้ที่เติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟนั่นไป ไม่ว่ากรณีไหนจะต้องมีคำอธิบายให้แก่คนจินหลันทั้งเมือง”

การที่เขาพูดประโยคนี้ออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นความโกรธแค้นให้แก่ชาวเมืองจินหลันที่รอดชีวิต และเพิ่งรอดพ้นเคราะห์กรรมมาได้ สภาพจิตใจของพวกเขาในยามนี้จึงหวาดหวั่นและโกรธแค้ส อยากมีเป้าหมายให้ระบายอารมณ์ใส่อยู่แล้ว คนไม่น้อยเริ่มโวยวายขึ้น

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุนเกลียดชังความชั่วร้ายดุจศัตรู กับเผ่ามารยิ่งแค้นใจที่ไม่อาจกำจัดให้หมดสิ้นเร็วๆด้วยซ้ำ จะไปสมคบคิดกับเผ่ามารได้อย่างไร”

ประโยคนี้ฟังเหมือนจะแก้ต่างให้เสิ่นชิงชิว แต่ความหมายที่แท้จริงของประโยค ‘กับเผ่ามารยิ่งแค้นใจที่ไม่อาจกำจัดให้หมดสิ้นเร็วๆด้วยซ้ำ’ ท่ามกลางคนทั้งหมดในที่นั้น มีแต่เขาคนเดียวที่เข้าใจ

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เสิ่นชิงชิวเอ่ยปากถามตรงๆ “ลั่วปิงเหอ ตอนนี้เจ้าตกลงว่าเป็นศิษย์ของชิงจิ้งเฟิง หรือศิษย์ของวังฮ่วนฮวา”

กงจู่เฒ่ายิ้มหยัน “เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้ายอดเขาเสิ่นยังจะยอมรับศิษย์ผู้นี้อีกหรือ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าไม่เคยไล่เขาออกจากสำนัก ในเมื่อเขายังเรียกข้าว่าซือจุน ในใจย่อมต้องยอมรับอยู่แล้วซิ”

เขาพูดแบบนี้เพียงเพื่อจะเหน็บแนมลั่วปิงเหอ แต่เหมือนจะไม่สำเร็จ ลั่วปิงเหอนัยน์ตาลุกวาบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แววตาอีกฝ่ายดูสดใสขึ้น

เวลานั้นผู้คนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ในอากาศราวกับมีสะเก็ดไฟปะทุออกมา บรรยากาศปริ่มไปด้วยการห้ำหั่นชนิดแทบเงื้อดาบยิงธนูใส่กันเต็มที ส่วนคนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ตอนแรกเป็นชนวนสงครามครั้งนี้ กลับถูกลืมทิ้งไว้ข้างๆ ไม่มีใครสนใจแล้วว่าจะจัดการกับพวกมันอย่างไร

แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงไพเราะของหญิงสาวดังขึ้น “เสิ่นจิ่ว* หรือ เจ้าใช่เสิ่นจิ่วหรือไม่”

(ตามกฎการออกเสียงในภาษาจีน เมื่อ ‘เสิ่น’ กับ ‘จิ่ว’ ซึ่งเป็นเสียง 3 อยู่ด้วยกัน ควรต้องออกเสียงเป็นเสินจิ่ว แต่เพื่ออรรถรสในการอ่าน และเพื่อให้ทราบว่ายังคงเป็นแซ่เสิ่นเหมือนกัน จึงขอเรียกเป็นการเฉพาะในฉบับแปลไทยว่า “เสิ่นจิ่ว”)

พอได้ยินชื่อนี้ความสงบนิ่งบนใบหน้าของเสิ่นชิงชิวก็แตกร้าวกลายเป็นหุบเขารอยเลื่อนอัฟริกันขนาดยักษ์เดี๋ยวนั้น

ผีหลอกกลางวันแสกๆ

หรือวันนี้สวรรค์จะกำหนดให้เป็นวันตายของตูจริงๆ

ตูตายแน่ ผู้หญิงคนนี้คือชิวไห่ถัง

ในนิยายดั้งเดิมการปรากฏตัวของชิวไห่ถัง มีความหมายเพียงอย่างเดียว ก็คือชื่อเสียงอันป่นปี้ยับเยินของเสิ่นชิงชิว

ต่อให้ไม่ใช่ชิงไห่ถัง แม้มิใช่สาวน้อยวัยแรกแย้มแล้ว แต่ใบหน้าขาวผุดผ่องราวกับดอกอวี้หลัน* รูปโฉมสาวยหยาดเยิ้ม แถมยังทรวดทรงอ้อนแอ้น อกอึ๋ม หน้าตาสะสวยไม่ธรรมดา และในเมื่อหน้าตาสะสวยไม่ธรรมดาย่อมถูกกำหนดมาให้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในฮาเร็มของลั่วปิงเหออย่างหนีไม่พ้น

(ดอกอวี้หลัน คือ ดอกแมกโนเลียสีขาว)

แต่แย่ตรงที่ผู้หญิงคนนี้ดันเคยมีอะไรกับเสิ่นชิงชิวมาก่อน

ขอแสดงความยินดีด้วย! มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนกับเมียสองคนของพระเอกนิยายฮาเร็ม เสิ่นชิงชิวตัวจริงนับว่าหาตัวจับยากโดยแท้

อย่างน้อยที่สุดในบรรดานิยายฮาเร็มทั้งหมดที่เสิ่นหยวนเคยอ่านมาก็หาคนแบบนี้เป็นคนที่สองไม่ได้เลยจริงๆ

แค่คิดก็รู้แล้ว นี่คือที่มาที่ทำให้นักอ่านไปตั้งกระทู้ยาวเหยียดหนที่สองที่เรียกร้องให้ ‘จับเสิ่นชิงชิวตอน ไม่งั้นเลิกอ่าน’

ในใจเสิ่นชิงชิวขึ้นตัววิ่ง ‘บรรลัยแล้ว เชี่ยๆๆๆ ยกกำลัง N’ รัวเต็มหน้าจอ

ส่วนทางด้านชิวไห่ถังก็ยกกระบี่ขึ้นระดับอก ทำท่าเหมือนจะฆ่าเขาให้ตายแล้วฆ่าตัวตายตามไป “ข้ากำลังถามเจ้า ทำไมเจ้าไม่กล้ามองข้า”

พี่สาว ผมจะเอาความกล้าที่ไหนไปมองคุณเล่า คุณกำลังจะฆ่าผมนะ

ใบหน้าของชิวไห่ถังโศกซึ้งตรึงใจ “อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าข้าแปลกใจนักที่ตามหาเจ้าหลายปีขนาดนี้ แต่ไม่เคยเจอเจ้าเลย ที่แท้เจ้าเหาะขึ้นยอดไม้กลายเป็นเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงผู้สูงส่งไปแล้วนี่เอง ฮ่าๆ เลื่อมใสจริงๆ!”

เสิ่นชิงชิวไม่รู้เลยว่าควรมองไปทางไหน หรือพูดอะไรดี ดังนั้นจึงมองตรงไปข้างหน้าลูกเดียว ทำสีหน้าเย็นชาห่างเหินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทุกคนในที่นั้นพากันกระซิบกระซาบ

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวเสียงต่ำ “ชิงชิว แม่นางผู้นี้กับเจ้า…เคยเป็นสหายเก่ากันหรือ”

เสิ่นชิงชิวน้ำตาตกใจ ศิษย์พี่ อย่าได้ถาม

ชิงไห่ถังสีหน้าเศร้าสร้อยอีกครั้ง “สหายเก่าหรือ ไม่เพียงเป็นสหายเก่า ข้ากับบุรุษที่สง่าภูมิฐานผู้นี้ เคยเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่* กันมาก่อน…ข้าเป็นภรรยาเขา”

(เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง เพื่อนที่สนิทกันมาแต่เล็ก)

ได้ฟังแล้วลั่วปิงเหอก็เลิกคิ้วสูง

ไม่ใช่นะ

เธอนะเป็นเมียลั่วปิงเหอต่างหาก รีบตื่นๆ

ซั่งชิงหัวตกตะลึง “หา พูดจริงหรือ ทำไมไม่เคยได้ยินศิษย์พี่เสิ่นพูดถึงเลยล่ะ”

เสิ่นชิงชิวเหยียดมุมปาก ส่งยิ้มปลอมๆให้เขา แกไม่ต้องมาช่วยใส่ไฟก็ได้นะ

เนื้อเรื่องน้ำเน่าช่วงนี้ที่ทำเอาระดับความสารเลวและน่ารังเกียจของฉันพุ่งกระฉูดอย่างงี้ ไอ้หน้าไหนล่ะที่เป็นคนแต่ แถมยังมาทำเนียนเป็นขามุงได้อีก!

แล้วที่มุงๆกันอยู่น่ะ ต่างเป็นผู้ฝึกวิชาเซียนกันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงชอบเผือกกันอย่างนี้ ไปๆๆๆ แยกย้ายได้แล้ว!

ชิวไห่ถังยิ้มหยัน “เดรัจฉานในคราบปัญญาชนผู้นี้เป็นคนโฉดชั่วบ่อนทำลายสังคม ย่อมไม่กล้าเอาเรื่องชั่วของตัวเองมาพูดอยู่แล้ว”

อู๋เฉินต้าซืออยู่ร่วมกับคนทั้งสามของชางฉยงซานมาระยะเวลาหนึ่งได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเสิ่นชิงชิว จึงค่อนข้างมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาไม่น้อย ความขัดแย้งระหว่างชางฉยงซานกับวังฮ่วนฮวาเมื่อครู่ ท่านไม่สะดวกจะเข้าแทรกแซง เรื่องนี้ท่านจึงพยายามช่วยไกล่เกลี่ย “อมิตาพุทธ สีกาท่านนี้หากมีเรื่องเจรจาก็ค่อยพูดค่อยจากันเถิด พูดให้กระจ่าง การที่เอาแต่ด่าทอไม่อาจทำให้ผู้คนเชื่อถือได้หรอกนะ”

เสิ่นชิงชิวน้ำตานองอยู่ในใจ ต้าซือ รู้ว่าท่านหวังดี แต่ให้เจ้เขาพูดให้ชัดผมก็จะยิ่งแย่ซิ ไม่กลัวว่าเคยทำเรื่องน่าละอาย แต่ไอ้ที่กลัวคือผีมาเคาะประตูผิดบ้านต่างหาก

เวลานี้ชิวไห่ถังกลายเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคนในที่นั้นไปแล้ว อารมณ์เดือดพล่านเสียจนแก้มแดงฉีดซ่านเป็นสีระเรื่อ เชิดอกขึ้น กล่าวเสียงดัง “ที่ข้าชิวไห่ถังจะพูดต่อไปนี้ หากแม้นพูดปดเพียงครึ่งคำ ขอให้ข้าโดนหมื่นศรอาบยาพิษของเผ่ามารแทงทะลุร่าง ไม่ได้ตายดี”

นางชี้นิ้วใส่เสิ่นชิงชิว นัยน์ตาลุกเป็นไฟ “ยามนี้คนผู้นี้ฐานะเป็นเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงแห่งชางฉยงซาน เสิ่นชิงชิวฉายากระบี่ซิวหย่า มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว แต่ผู้คนหารู้ไม่ว่าเขาเคยเป็นตัวอะไรมาก่อน”

คำพูดของนางค่อนข้างหยาบคาย ฉีชิงชีนิ่วหน้า “ระวังคำพูดของเจ้าหน่อย”

ชิวไห่ถังเวลานี้เป็นหัวหน้าสาขาอะไรสักอย่างขอสำนักเล็กๆแห่งหนึ่ง ถูกหนึ่งในชนชั้นผู้นำของชางฉยงซานผู้ยิ่งใหญ่ติเตียนก็ผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

กงจู่เฒ่ากลับกล่าวว่า “เจ้ายอดเขาฉีไฉนต้องมีโทสะ ให้แม่นางท่านนี้พูดต่อได้หรือไม่ จะปิดปากผู้อื่นไม่ได้ตลอดไปหรอกนะ”

ชิวไห่ถังมองเขา กัดฟัน แววตาแฝงความโกรธแค้นระคนขมขื่น พูดเสียงดังกว่าเก่า “ตอนเขาอายุ 12 เป็นแค่ทาสที่ตระกูลข้าซื้อมาจากพ่อค้ามนุษย์ เพราะเป็นทาสลำดับที่เก้า จึงเรียกกันว่า เสี่ยวจิ่ว (小九 เก้าน้อย 九 จิ่ว แปลว่า 9) พ่อแม่ข้าเห็นเขาถูกพวกพ่อค้าทาสะกดขี่ข่มเหงเลยสงสาร พาเขากลับมาด้วย สอนหนังสือเขาจนอ่านออกเขียนได้ ให้ที่อยู่ที่กิน ให้เงินใช้ กินอิ่มนอนอุ่นไม่ต้องดิ้นรน พี่ชายข้าก็สนิทสนมกับเขาเป็นอย่างดี พออายุ 15 พ่อแม่ข้าลากจากโลกนี้ไป พี่ชายข้ารับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจึงจัดการให้เขาหลุดพ้นจากสถานะทาส ทั้งยังรับเขาเป็นน้องร่วมสาบาน ส่วนข้าเพราะโตมาด้วยกันกับเขา หลงคารมเขา ถึงกับเชื่อเป็นจริงเป็นจังว่าพวกเราต่างก็มีใจให้กันและกัน จึงได้ตกลงหมั้นหมายกับเขา”

เสิ่นชิงชิวยืนอยู่ตรงนั้น ถูกบังคับให้ฟังประวัติอันมืดมนของ ‘ตัวเอง’ ไปพร้อมกับคนนับพัน คำพูดนับหมื่นในใจแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาไปเงียบๆ

ดวงตาของนางเริ่มมีหยาดน้ำเอ่อคลอ “ปีนั้น พี่ชายข้าอายุ 19 ในเมืองมีซิวซื่อพเนจรท่านหนึ่งเดินทางผ่านมา ถูกใจว่าปราณทิพย์ที่นี่บ่มเพาะคนได้ดี จึงตั้งแท่นปะรำขึ้น ชายหนุ่มหญิงสาวที่อายุต่ำว่า 18 ลงไปสามารถขึ้นไปรับการทดสอบปราณทิพย์ได้ เขาต้องการคัดเลือดผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นมาเพื่อรับเป็นศิษย์ ซิวซื่อท่านนั้นวิชาเซียนเป็นเลิศ คนในเมืองไม่มีผู้ใดไม่เลื่อมใส เสิ่นจิ่วก็ไปที่แท่นปะรำทดสอบปราณทิพย์ด้วย เขามีสติปัญญาไม่เลว เข้าตาซิวซื่อท่านนั้น จึงวิ่งกลับมาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้นบอกว่าจะลาออกไปจากบ้านข้า

พี่ชายข้าย่อมไม่เห็นด้วย ในสายตาของพี่ชายข้าการเป็นผู้ฝึกวิชาเซียนนั้นเลื่อนลอยไม่มั่นคง อีกทั้งเขาได้ตกลงหมั้นหมายกับข้าแล้ว จู่ๆจะมาทิ้งกันไปได้อย่างไร เขากับพี่ชายข้ามีปากเสียงกันใหญ่โต ทำหน้าอมทุกข์ทั้งวัน พวกเรานึกว่าเขาจะคิดไม่ตกสักพัก หลังจากคิดได้คงจะปล่อยวางลง”

สีหน้าเปลี่ยนในฉับพลัน “แต่ใครจะคาดคิด คืนวันนั้นเขาก็เปิดเผยด้านที่ชั่วร้ายออกมา เขาฆ่าพี่ชายกับบ่าวในบ้านไปหลายคน ทิ้งศพไว้ในบ้านแล้วหายออกไปจากเมืองพร้อมกับซิวซื่อท่านนั้นในคืนนั้นนั่นเอง

บ้านข้าเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ข้าเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง ไร้กำลังจะประคับประคองไหว กิจการบ้านช่องใหญ่โต ได้แต่ปล่อยให้กระจัดกระจายไป ข้าเที่ยวตามหาศัตรูผู้นี้อย่างยากเย็น ไม่พบร่องรอยมาตลอด ซิวซื่อที่รับเขาเป็นศิษย์ในครั้งนั้น ตายอย่างอนาถไปก่อนแล้ว เงื่อนงำจึงขาดตอนนับจากนั้นมา…หากมิใช่เพราะวันนี้มาเมืองจินหลัน เกรงว่าข้าคงไม่รู้ไปชั่วชีวิตว่าเจ้าคนถ่อยอกตัญญูที่ตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยดาบผู้นี้ กลับได้ดิบได้ดี มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้ายอดเขาของสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถึงหน้าตาเขาจะแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่ใบหน้านี้ต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็ไม่มีวันจำผิดเด็ดขาด ซิวซื่อผู้นั้นที่เสี้ยมสอนให้เขาก่อคดีฆ่าคน ข้าก็ไม่กลัวที่จะเอ่ยชื่อเพราะชื่อนั้นอยู่บนป้ายประกาศจับมาหลายปีแล้ว คนผู้นั้นก็คืออู๋เยี่ยนจื่อ ฆาตรกรที่เอาชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน”

อู๋เยี่ยนจื่อผู้นี้กล่าวได้ว่าเป็นฆาตรกรนามกระฉ่อนที่มีคดีติดตัวนับไม่ถ้วน อยู่ๆก็กลายเป็นว่าหนึ่งในสิบสองเจ้ายอดเขาคือศิษย์ของเขา ทำให้ทุกคนพากันตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ แต่ท่ามกลางเสียงทอดถอนใจและเสียงสะอื้น เสิ่นชิงชิวกลับใจเย็นลงมาแล้ว

ในใจเขาความจริงกำลังนึกสงสัยขึ้นมาตงิดๆ ประสบการณ์ช่วงนี้ที่ชิงไห่ถังเล่า ฟังแรกๆเต็มไปด้วยความพลิกผัน แต่ใช่จะไม่มีช่องโหว่ ไม่ใช่ว่าเสิ่นชิงชิวดูถูกดูหมิ่นตัวจริง แต่ตัวออริจินอลนั้นแต่ไหนแต่ไรมา มุ่งมั่นแสดงแต่บุคลิกของเสิ่นชิงชิวซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมาตลอด ท่าทางแข็งกร้าว จิตใจคับแคบ ไม่พูดไม่จา ไม่ประจบเอาใจใคร หัวสูงเย็นชา เก็กท่าอยู่ตลอดเวลา บุคลิกเช่นนี้ยากจะทำให้คนเชื่อว่าเสิ่นชิงชิวในวัยเยาว์จะมีท่าทางน่ารักจนชักชวนให้ผู้ที่ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันสักนิดถึงกับอยากยอมรับเป็นญาติ

ทว่าสำหรับคนอื่นแล้ว พวกเขาจับสังเกตรายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้

เดิมทีเสิ่นชิงชิวกลัวพล็อตเรื่องช่วงนี้อยู่ แต่ใช่ว่าจะหวั่นมากมายนัก เรื่องเก่าแก่นานนมพวกนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจน เพียงอาศัยลมปากของชิวไห่ถังอย่างเดียว ขอแค่เขายืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับซะอย่าง ให้ชิวไห่ถังเข้าใจว่าตนจำคนผิด ก็เป็นแค่การทำให้รอยด่างที่เหมือนมีเหมือนไม่มีนี้เกิดขึ้นบนเรซูเม่ของเสิ่นชิงชิวเท่านั้น

ช่วยไม่ได้ เสิ่นชิงชิวเคยผิดต่อชิวไห่ถังจริงๆ แต่นั่นมันเสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลต่างหาก เขาไม่คิดจะแบกหม้อดำ* นี้แทนให้หรอก เขาขอชดเชิยให้ชิวไห่ถังด้วยวิธีอื่นในภายหลังก็แล้วกัน เขาไม่ได้ฆ่าหลิ่วชิงเกอ ไม่ได้ลวนลามหนิงอิงอิง อย่างไรก็ไม่น่าจะถึงขนาดตึกสูงร้อยจั้งพังทลายลงมาในชั่วข้ามคืน ถูกผู้คนก่นด่าประณามหรอก

(แบกหม้อดำ ตรงกับสำนวนไทย คือ แพะรับบาป)

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน

แย่ตรงที่รอยด่างที่เหมือนมีเหมือนไม่มีทั้งหมดกำลังมารวมกัน ก่อนหน้านี้ก็เป็นข้อกล่าวหาของคนเพาะเมล็ดพันธุ์ ต่อมากงจู่เฒ่าชี้ปม แล้วนี้ยังมาเจอข้อกล่าวหาของชิวไห่ถังเข้าให้อีก ทั้งหมดนี้อาจกลายมาเป็นหลักฐานของความประพฤติซึ่งไม่เหมาะสมของเขา ผู้ชายสารเลวที่ไม่มีความรับผิดชอบ + คนทรยศที่สมคบกับเผ่ามาร + ศิษย์ของฆาตกรที่หนีการจับกุม เป็นการเติมดอกไม้ลงบนผ้าปักให้งามสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีกตามมาตรฐานโดยแท้

เมื่อความบังเอิญทั้งหมดดันมาสอดคล้องกันพอดิบพอดี ผู้คนก็จะไม่มองว่ามันเป็นความบังเอิญอีกต่อไป

กงจู่เฒ่ากล่าว “เจ้าสำนักเยวี่ยจัดการเรื่องลักษณะนี้เป็นการส่วนตัวคงไม่เหมาะ หาไม่แล้ว ผู้คนจะเอาไปร่ำลือได้ว่าชางฉยงซานที่ยิ่งใหญ่ปกป้องคนเลว จะเป็นที่ยอมรับนับถือได้อย่างไร”

เยวี่ยชิงหยวนยังคงสงบนิ่งไม่หวั่นไหว “เช่นนั้นความคิดเห็นของกงจู่คือ…”

“ตามความเห็นของข้า ให้จัดหาที่ทางให้เสิ่นเซียนซืออยู่ที่วังฮ่วนฮวาเป็นการชั่วคราวก่อน รอจนสืบสาวเป็นที่กระจ่าง ค่อยตัดสินใจอีกทีเป็นอย่างไร”

ผู้ใดก็รู้ คำว่า ‘จัดหาที่ทาง’ นี้มันหมายความว่าอย่างไร

ใต้ดินของวังฮ่วนฮวามีคุกน้ำอยู่แห่งหนึ่ง แผนผังสลับซับซ้อน ผนวกกับค่ายกลของวังฮ่วนฮวา ค่ายกลที่วิเศษเยี่ยมยอดนี้ไม่เหมือนกับค่ายกลป้องกันสำนักที่ใช้ป้องกันคนธรรมดาทั่วไป ภายในคุกน้ำมีการป้องกันอย่างเข้มงวด อุปกรณ์ลงทัณฑ์ทรมานครบครัน ถือเป็นความชำนาญอย่างเอกอุของวังฮ่วนฮวา ผู้ที่ถูกคุมขังล้วนเป็นผู้ที่ก่อความผิดมหันต์ในโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียน สองมือเปื้อนเลือด หรือไม่ก็เป็นซิวซื่อที่ไปละเมิดกฏต้องห้ามเข้า

สรุปแล้ว คุกน้ำของวังฮ่วนฮวาคือคุกสาธารณะในโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียนนั่นเอง

นอกจากนี้หากมีซิวซื่อที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าก่อคดีทำร้ายผู้คน ต้องเอาตัวมาคุมขังเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการไต่สวน ก็จะถูกส่งตัวมานี่นี่เช่นกัน รอจน 4 สำนักใหญ่ร่วมกันตัดสินเสร็จจะได้มีการลงโทษเป็นลำดับต่อไป

หลิ่วชิงเกอยิ้มเย็น “พูดพอหรือยัง”

เขาอดทนฟังคำพูดเหลวไหลไร้สาระพวกนี้อยู่นาน ในใจคุกรุ่นมาสักพักแล้ว มือเอื้อมไปกุมด้ามกระบี่เฉิงหลวนที่อยู่ด้านหลัง ตั้งท่าเตรียมต่อสู้

ศิษย์วังฮ่วนฮวาที่อยู่ตรงข้ามก็ทยอยชักกระบี่ออกมา จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

เยวี่ยชิงหยวนกล่าว “ศิษย์น้อยหลิ่วถอยไป”

หลิ่วชิงเกอต่อให้ไม่เต็มใจ เขาไม่เคยยอมฟังผู้ใด แต่ถึงอย่างไรยังยอมรับนับถือเยวี่ยชิงหยวน จึงจำใจละมือออกจากด้ามกระบี่

พอเห็นเขาถอยกลับไป เยวี่ยชิงหยวนก็พยักหน้า “ข้อกล่าวหาลักษณะนี้ ใช่ว่าสักแต่พูดแล้วก็จะเอามานับได้”

กระบี่ยาวที่ห้อยอยู่ข้างเอวเขาเป็นสีดำมะเมื่อมตลอดเล่ม พลันดีดตัวขึ้นจากฝักมาหนึ่งชุ่น แผ่รัศมีขาวพร่างราวหิมะเจิดจ้าบาดตา

ชั่วพริบตานั้นราวกับมีตาข่ายยักษ์ไร้รูปทิ้งตัวลงมาปกคลุมทั่วทั้งลานกว้าง พลังทิพย์ที่อยู่ภายในลานกว้างแห่งนั้นปั่นป่วนดั่งคลื่นในมหาสมุทรที่โหมซัดไม่หยุด

เสียงหวีดร้องของกระบี่ประหนึ่งดังหึ่งอยู่ข้างหู ศิษย์ที่อายุน้อยพากันเอามืออุดหูโดยไม่รู้ตัว ใจเต้นรัวเป็นการใหญ่

กระบี่เสวียนซู่!

บรรดาผู้คนของทุกสำนักในที่นั้นล้มระเนระนาดไปตามๆกัน

เยวี่ยชิงหยวนสั่งให้หลิ่วชิงเกอถอยไป ที่แท้ต้องการจะเปิดศึกเองอย่างนั้นหรือ พลิกความคาดหมายจริงๆ

ว่ากันว่านับแต่เยวี่ยชิงหยวนเจ้ายอดเขาฉยงติ่งเฟิงแห่งชางฉยงซานรับตำแหน่งมา เคยชักกระบี่เล่มนี้ออกจากฝักเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกคือพิธีรับตำแหน่ง ครั้งที่ 2 คือเข้าต่อสู้กับผู้สืบสายเลือดของมารฟ้าซึ่งก็คือบิดาของลั่วปิงเหอ

แค่กระบี่เสวียนซู่ออกจากฝักเพียงหนึ่งชุ่น ทุกคนในที่นั้นพลันแจ่มแจ้งขึ้นมา

สามารถครองตำแหน่งสูงสุดของฉยงติ่งเฟิง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่แค่อ่อนโยนสุขุมก็เพียงพอ

กงจู่ฒ่าออกคำสั่ง “ตั้งค่ายกล”

นี่ใช่เวลาจะมาสู้กันหรือ เผ่ามารยังไม่ทันโจมตีเข้ามา มนุษย์กลับสู้กันเองก่อนแล้ว

เสิ่นชิงชิวเห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้อง รีบปลดกระบี่ลง ขว้างไปข้างหน้า กระบี่ซิวหย่าปักฉึกลงตรงหน้ากงจู่เฒ่า

ทิ้งกระบี่เท่ากับยอมจำนน ยอมทำตามกฎ กงจู่เฒ่ารีบเก็บกระบี่มายึดไว้ทันที แล้วโบกมือให้คนในสำนักกลับคืนที่

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวเสียงต่ำ “ศิษย์น้อง”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์วันยังค่ำ ชิงชิวเต็มใจถูกจองจำ”

กงจู่เฒ่าวังฮ่วนฮวากัดไม่ปล่อยราวกับพวกตาแก่เลอะเลือน ยิ่งเจอดับเบิ้ลแอทแทคของคนเพาะเมล็ดพันธุ์และชิวไห่ถัง ถูกขังก็เป็นเรื่องที่แน่นอนเหมือนตอกตะปูลงกระดาน ถึงอย่างไรในนิยายดั้งเดิม ตอนแรกก็เขียนออกมาแบบนี้เหมือนกัน เดิมทีเข้าใจว่าเลี่ยงได้แล้ว นึกไม่ถึงว่ายังวงกลับมาที่พล็อตเก่าอยู่ดี แล้วทำไมจะต้องทำให้ 2 สำนักอย่างชางฉยงซานและวังฮ่วนฮวาต้องแตกหักผิดใจกันด้วยล่ะ

เสิ่นชิงชิวยืนกราน “พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้เท่านั้น”

พูดจบ เขาก็ไม่มองว่าเยวี่ยชิงหยวนมีสีหน้าอย่างไร เพียงกวาดตามองลั่วปิงเหอแวบหนึ่ง

ใบหน้าของฝ่ายนั้นมิได้ไม่แสดงอาการดีใจหรือโกรธขึ้ง ยังคงยืนปักหลักอยู่ที่เดิม ทำให้เกิดเป็นภาพที่ตัดท่าทางต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนกับบรรดาซิวซื่อรอบด้านที่เอามือปิดหูทำหน้ามึนอยู่ในขณะนี้

ครู่ต่อมาเยวี่ยชิงหยวนเก็บกระบี่ในที่สุด ตาข่ายยักษ์ไร้รูปที่กางอยู่กลางอากาศราวกับถูกเก็บกลับไปด้วย

เสิ่นชิงชิวหันไปน้อมคารวะเยวี่ยชิงหยวนอย่างลึกซึ้ง พูดขึ้นมาแล้วเขาก็เรียกได้ว่าสร้างความลำบากให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้นี้ไม่น้อยเลยจริงๆ ช่างน่าละอายนัก

ชิวไห่ถังยังคงสะอื้นไม่หยุด ตอนฉินหว่านเยวียเดินผ่านก็กล่าวปลอบ “แม่นางชิวไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร 3 สำนักจะต้องมีคำอธิบายให้ท่านแน่” พูดว่า 3 สำนัก ละชางฉยงซานไปดื้อๆ แสดงจุดยืนให้เห็นกันจะจะ

ชิงไห่ถังสีหน้าพลุ่งพล่าน แววตาสั่นระริก สองตามีน้ำคลอคลอง เงินหน้าขึ้นกล่าวขอบใจ มองลั่วปิงเหอที่อยู่ด้านหนึ่งเนิ่นนาน สองแก้มเป็นสีระเรื่อทันที

เสิ่นชิงชิวแอบกลอกตามองบน จะว่าไปเขาก็ถูก NTR* ซึ่งๆหน้าเลยนะนี่ ทำไมเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนสักนิดเลยล่ะ

(NTR เป็นศัพท์สแลงที่เอามาจากภาษาญี่ปุ่น คำว่า Netoru หมายถึง แย่งคนรัก/สามี/ภรรยา)

ศิษย์วังฮ่วนฮวาสองสามคนนำโดยกงอี๋เซียวเดินเข้ามา ในมือถือสิ่งของบางอย่างที่ดูคุ้นตาอย่างมาก

หวัดดี เชือกมัดเซียน แล้วเจอกันนะเชือกมัดเซียน [โบกมือบ๊ายบาย]

กงอี๋เซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงขอโทษขอโพย “ผู้อาวุโสเสิ่น ล่วงเกินแล้ว ผู้เยาว์ย่อมต้องปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี ก่อนที่ความจริงทุกอย่างจะปรากฏ ย่อมต้องดูแลผู้อาวุโสเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ”

เสิ่นชิงชิวพยักหน้า กล่าวเพียง 3 พยางค์ “รบกวนแล้ว”

แค่การดูแลฉันเป็นอย่างดีของนายจะมีประโยชน์อะไร ดูสีหน้าแววตาของบรรดาศิษย์วังฮ่วนฮวาในที่นี้แล้ว แต่ละคนดูแค้นจนแทบจะจับเขากินทั้งเป็นกันทั้งนั้น อย่างไรเสียผู้ที่ประสบความสูญเสียหนักที่สุดตอนงานชุมนุมเซียนก็คือวังฮ่วนฮวา ยังไงก็ต้องลำบากแน่

ถูกเชือกมัดเซียนมัดขามัดแขนไพล่หลัง เสิ่นชิงชิวรู้สึกร่างกายหนักขึ้นไม่น้อย ก่อนหน้านี้เวลาที่พิษไร้ยาถอนกำเริบเป็นพักๆ จะรู้สึกแค่ว่ากระแสปราณติดขัด ก็เหมือนเวลาที่รีโมททีวีขัดข้องนั่นแหละ ตบๆทุบๆแรงหน่อยก็กลับมาใช้ต่อได้ แต่เวลาโดนเชือกมัดเซียนรัด จะส่งผลให้พลังทิพย์ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ถูกลดเกรดกลายเป็นแค่กายเนื้อกากๆเท่านั้นเอง

กงจู่เฒ่ากล่าว “การพิจารณาคดีต่อหน้ามวลชน จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ทุกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร”

หลิ่วชิงเกอกล่าว “5 วัน”

ยิ่งถูกขังอยู่ในคุกน้ำนานก็จะยิ่งทุกข์ทรมานมาก หลิ่วชิงเกอบอกว่า 5 วัน เท่ากับต้องย่นระยะเวลาในการเตรียมการลงมาจนสั้นที่สุด กงจู่เฒ่าย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว “รีบร้อนเช่นนี้ เกรงว่าจะผิดพลาดตกหล่นไป”

วัดเจาหัวเชี่ยวชาญเรื่องไกล่เกลี่ยเป็นพิเศษ พระรูปหนึ่งกล่าวเสนอ “เช่นนั้น 10 วันเป็นอย่างไร”

เยวี่ยชิงหยวนยื่นคำขาดว่า “7 วัน ไม่อาจถ่วงนานไปกว่านี้”

กลุ่มชนชั้นผู้นำต่อรองกันอยู่ตรงนั้น มองเผินๆ ดูราวกับอยู่ในตลาดสุด

เสิ่นชิงชิวมีแผนการของตัวเอง รีบกล่าว “ไม่ต้องพูดมาก เอาตามที่กงจู่เฒ่าว่าเถอะ 1 เดือน”

ถ่วงเวลานานขึ้นอีกนิด หญ้าน้ำค้างจะได้โตทันเอามาใช้งาน เขามองซั่งชิงหัวที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งด้วยหางตาแล้วยักคิ้ว

ซั่งชิงหัวก็เป็นอันรู้กัน สองมือห้องแนบอยู่ข้างลำตัว ลอบทำท่า ‘ไม่มีปัญหา เดี๋ยวจัดการให้’

ขอแค่เขายืนหยัดอยู่ในวังฮ่วนฮวาที่ลั่วปิงเหอใหญ่คับฟ้าให้ได้ถึง 1 เดือนก็แล้วกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version