Skip to content

Sword of Coming 11

บทที่ 11 ดรุณีน้อยและกระบี่บิน

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีเงินยวงพาเด็กหนุ่มชุดเขียวเดินออกจากโรงเรียนมาถึงซุ้มประตูหิน สีหน้าของอาจารย์ผู้มีความรู้มากที่สุดในเมืองท่านนี้ค่อนข้างซีดเซียว เขายื่นมือชี้ไปยังกรอบป้ายที่อยู่เหนือศีรษะ “ตังเหรินปู้รั่ง สี่คำนี้หมายความว่าอย่างไร?”

เด็กหนุ่มจ้าวเหยาที่เป็นทั้งนักเรียนในโรงเรียน แล้วก็เป็นทั้งเด็กรับใช้ของเขา เงยหน้าขึ้นมองตามนิ้วเขาที่ชี้ไป พลางเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “คนสำนักขงจื๊ออย่าง พวกเราเน้นย้ำในหลักของมนุษยธรรม อักษรสี่คำบนกรอบป้ายนี้ มาจากประโยคที่ว่า ‘ในการปฏิบัติเมตตาธรรมนั้น ห้ามยอมให้กัน’ ความหมายก็คือบัณฑิตที่เรียนหนังสือศึกษาหาความรู้อย่างพวกเราควรเคารพครูบาอาจารย์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณธรรมแล้ว ห้ามยอมให้กัน”

อาจารย์ฉีถามว่า “ห้ามยอม? แก้เป็น ‘ไม่ควรยอม’ ดีหรือไม่?”

เด็กหนุ่มชุดเขียวหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ทั้งยังดูมีสง่าราศียิ่งกว่าซ่งจี๋ซิน บุคลิกท่วงท่าก็สุภาพอ่อนโยน คล้ายดอกบัวที่เพิ่งผลิดอกเบ่งบาน น่ารักอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่ออาจารย์ถามคำถามที่แฝงความหมายลี้ลับ เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าประมาท เขาใคร่ครวญอย่างระมัดระวังเพราะรู้สึกว่าอาจารย์กำลังทดสอบความรู้ของตน แล้วเขาจะกล้าตอบส่งเดชได้อย่างไร?

ปัญญาชนขงจื๊อมองท่าทางระแวดระวังประหนึ่งกำลังเผชิญศัตรูตัวฉกาจของ ลูกศิษย์ตัวเองแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ ตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ

“แค่ถามเจ้าไปอย่างนั้นเอง ไม่ต้องตื่นเต้น ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าคงเข้มงวดกับเจ้ามากเกินไป ขัดเกลาเจ้าบ่อยเกินไป ทำให้เจ้ามีชีวิตเหมือนรูปปั้นที่ถูกจัดวางไว้ใน หอเหวินชาง หน้าตาเคร่งเครียด อยู่ในกฎระเบียบ ทุกเรื่องต้องมีเหตุผลเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย…แต่ตอนนี้มาลองตรองดูแล้ว นี่กลับเป็นเรื่องที่ดี”

เด็กหนุ่มรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เพียงแต่ว่าอาจารย์ได้พาเขาเดินอ้อมมาอีกฝั่งแล้ว และอีกฝ่ายก็ยังคงเงยหน้ามองป้ายอักษรสี่คำ ทว่าสีหน้าของปัญญาชนสำนักขงจื๊อกลับผ่อนคลายมากขึ้น ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ อาจารย์สอนหนังสือผู้เคร่งขรึมคนนี้ถึงได้เริ่มยกเอาเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายมาพูดจ้อให้ลูกศิษย์ตัวเองฟัง

“ในอดีตคนที่เขียนตัวอักษรตังเหรินปู้รั่งในกรอบป้ายนี้ เคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งด้านการเขียนพู่กันจีน ทั้งยังชักนำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ยกตัวอย่าง เช่น ข้อถกเถียงด้านรูปแบบและท่วงทำนองการเขียน รวมถึงการโต้เถียงเรื่องข้อดีข้อเสียของ ‘การเขียนแบบโบราณที่เรียบง่าย’ กับ ‘การเขียนแบบยุคสมัยใหม่ที่สวยงาม’ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป

ตลอดนับพันปีที่ผ่านมา คนผู้นี้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามสี่คำจำกัดความของการเขียนพู่กันจีนอย่างท่วงทำนอง รูปแบบ ความหมายและหน้าตา เรียกว่าแทบไม่เว้นทางรอดให้แก่คนรุ่นเดียวกัน

ส่วนคำว่า ‘ซีเหยียนจื้อหรัน’ นี้ก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก หากเจ้าลองสังเกตอย่างละเอียดก็น่าจะพบว่าแม้ตัวอักษรทั้งสี่จะใช้ลายมือ โครงสร้างและปณิธานคล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้วกลับแยกกันเขียนด้วยฝีมือของเจินเหริน (คำเรียกเต้าหยินที่ บรรลุมรรคผล) สี่ท่านแห่งลัทธิเต๋า ตอนนั้นยังมีเทพเซียนเฒ่าสองท่านส่งจดหมายทะเลาะกันเองไปมา เพราะแย่งกันเขียนคำว่า ‘ซี’ ที่ฟังดูแล้วลึกลับ แต่ไม่อยากเขียนคำว่า ‘เหยียน’ ที่ธรรมดาสามัญ…”

จากนั้นปัญญาชนสำนักขงจื๊อก็พาเด็กหนุ่มเดินอ้อมมาถึงใต้อักษรคำว่า ‘โม่เซี่ยงว่ายฉิว’ เขามองซ้ายมองขวา สายตาแฝงความหมายลึกล้ำ

“โรงเรียนที่เจ้าเรียนอยู่ อีกไม่นานจะถูกตระกูลใหญ่ทั้งหลายปิดทำการเพราะไม่มีอาจารย์ผู้สอน หรือไม่ก็อาจถูกโค่นเพื่อสร้างเป็นวัดเล็กๆ ของลัทธิเต๋า หรืออาจสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คนมากราบไหว้บูชา อาจจะมีนักพรตเต๋าหรือหลวงจีนเป็นผู้ดูแล และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะครบหกสิบปี

ระหว่างนี้อาจมีการ ‘เปลี่ยนคน’ สองสามครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านเกิดข้อสงสัย อันที่จริงนี่เป็นแค่วิธีตบตาแบบหยาบๆ เท่านั้น เพียงแต่ว่าการร่ายวิชาคาถาอาคมที่ใหญ่แค่เมล็ดงาให้สำเร็จในที่แห่งนี้ หากไปอยู่ข้างนอก บางทีอาจมี พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเท่ากับเทพสวรรค์ตีกลอง เท่ากับฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิที่สะเทือนไปทั้งฟ้าดินเลยกระมัง…”

มาถึงท้ายที่สุด เสียงของอาจารย์ที่เปล่งออกมาจากลำคอก็เบาราวเสียงยุง ต่อให้บัณฑิตจ้าวเหยาเงี่ยหูตั้งใจฟังก็ยังได้ยินไม่ชัดเจน

อาจารย์ฉีถอนหายใจ น้ำเสียงที่พูดค่อนข้างจนใจและเหนื่อยล้า “มีหลายเรื่องที่เดิมทีเป็นเจตนารมณ์สวรรค์ไม่อาจเปิดเผย เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงวันนี้ สิ่งเหล่านั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งไม่สำคัญ แต่จะอย่างไรซะพวกเราก็เป็นบัณฑิตที่ได้เรียนหนังสือ มีหน้าตาให้ต้องรักษา แล้วนับประสาอะไรกับที่หากข้าฉีจิ้งชุนเป็นผู้นำพาให้ผู้คน ทำผิดกฎซะเอง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมถูกตราหน้าว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง แบบนั้นคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

จ้าวเหยาพูดให้กำลังใจ “อาจารย์ ศิษย์รู้ว่าท่านไม่ใช่คนหยาบช้า และเมืองเล็กแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อหัวเราะพลางเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “อ้อ? ไหนลองเล่ามาสิ”

จ้าวเหยาชี้ไปยังซุ้มประตูสิบสองเสาสูงสล้างโอ่อ่า “สถานที่แห่งนี้ บ่อโซ่เหล็กของตรอกซิ่งฮวา สะพานแบบคานที่เล่าลือกันว่าด้านใต้แขวนกระบี่เหล็กไว้สองเล่ม ต้นไหวเก่าแก่ ต้นท้อของตรอกเถาเย่ รวมไปถึงถนนฝูลวี่ที่ตั้งตระกูลจ้าวของข้า ทุกปีที่มีการติดประกาศวันกู่อวี่[1] ติดประกาศวันฉงหยาง[2] หรือวันอื่นๆ มักจะมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเสมอ”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อตัดบทคำพูดของเด็กหนุ่ม “ประหลาด? ประหลาดอย่างไร? เจ้าเติบโตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยออกไปไหน เจ้าเคยเห็นสภาพนอกเมืองหรือ? ในเมื่อไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ เหตุใดถึงได้กล่าวเช่นนี้?”

จ้าวเหยากดเสียงให้เบาลงจากเดิมเล็กน้อย

“เนื้อหาในตำราทั้งหลายของท่านอาจารย์ ข้าท่องจำขึ้นใจมานานแล้ว ดอกท้อในตรอกเถาเย่ไม่เหมือนกับที่บรรยายไว้ในบทกวี อีกอย่าง เหตุใดท่านอาจารย์ถึงสอนแค่ตำราสามเล่มสำหรับเด็กเล็ก เน้นย้ำให้รู้แค่ตัวอักษรเท่านั้น ถัดจากตำราสามเล่มนี้ พวกเราควรจะเรียนอะไรต่อ? แล้วเราจะเรียนไปเพื่ออะไร?

‘สอบเคอจวี่’ ที่บอกไว้ในตำรา มีเพื่ออะไร? คำว่าเกิดมาเป็นชาวนาในยามเช้า ยามเย็นเข้าสอบกลางท้องพระโรงหมายความว่าอย่างไร? อะไรคือ ‘โอรสสวรรค์อยากได้ผู้มีความรู้ แต่ปราชญ์กล่าวว่า ความรู้อื่นล้วนด้อยค่า?’ แม้ว่าขุนนางผู้ตรวจการเตาเผาทั้งสองคนจะไม่เคยพูดถึงเรื่องในราชสำนัก เรื่องเมืองหลวงและเรื่องในใต้หล้ากับใคร แต่ว่า…”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อยิ้มอย่างชื่นชม “พอแล้วล่ะ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”

จ้าวเหยาจึงเงียบเสียงลงทันที

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อที่เรียกตัวเองว่าฉีจิ้งชุนเอ่ยเบาๆ ว่า “จ้าวเหยา ต่อไปเจ้าต้องระวังคำพูดให้มาก จงจำไว้ว่าภัยมักออกจากปากเสมอ ดังนั้นปราชญ์สำนักขงจื๊อส่วนใหญ่จึงมักปิดปากสนิท ส่วนวิญญูชนที่อยู่เหนือปราชญ์ก็ยิ่งระมัดระวังตัวยามอยู่ลำพัง รักษากายตัวเองประดุจหยกล้ำค่า เพราะเกรงว่าจะแปดเปื้อนมลทิน

ส่วนอริยะ ยกตัวอย่างเช่นพวกเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา…คนเหล่านี้น่ะ แทบจะไม่ต่างจากต้าเจินเหรินของลัทธิเต๋า หรืออรหันต์ร่างทองของศาสนาพุทธที่เอ่ยคำเดียวก็เป็นดั่งคำพยากรณ์ คำพูดหลุดจากปากก็กลายมาเป็นความจริง

เมื่อคนเหล่านี้กับเหล่าผู้สูงศักดิ์ในเมธีร้อยสำนักเลื่อนมาถึงขอบเขตนี้แล้ว ก็จะเรียกโดยรวมว่าเทพเซียนพสุธา นับว่าเท้าข้างหนึ่งก้าวเข้ามาในธรณีประตูแล้ว แต่คนเหล่านี้แทบไม่ต่างจากมังกร ไม่ต่างจากรูปปั้นองค์เทพในอารามลัทธิเต๋าที่อยู่สูงจนไม่อาจเอื้อมถึง มังกรเทพบางส่วนยังเห็นได้แค่หัว ไม่เห็นหาง คนธรรมดาไม่มีทางได้พบเจอ”

จ้าวเหยารับฟังอย่างมึนงง เหมือนเดินคลำอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ไม่รู้ทิศทาง

สุดท้ายอดไม่ไหวจึงถามว่า “อาจารย์ เหตุใดวันนี้ท่านถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ล่ะขอรับ?”

สีหน้าของปัญญาชนสำนักขงจื๊อแจ่มใส กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“เจ้ามีอาจารย์ ข้าเองก็ย่อมต้องมีอาจารย์เหมือนกัน และอาจารย์ของข้า…ไม่พูดถึงดีกว่า เอาเป็นว่า เดิมทีข้านึกว่าจะต้องมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบนี้อีกหลายสิบปี แต่จู่ๆ กลับค้นพบว่าแม้เวลาเพียงเท่านี้ พวกคนที่อยู่เบื้องหลังบางคนก็ยังไม่อยากจะรออีกต่อไป

ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงไม่อาจพาเจ้าออกจากเมืองได้ จำเป็นต้องให้เจ้าออกไปด้วยตัวเอง ความจริงบางอย่างที่ไม่เป็นภัยต่อภาพรวมก็ควรจะเปิดเผยให้เจ้ารู้บางส่วน เจ้าคิดเสียว่าฟังเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน หวังเพียงเจ้าจะเข้าใจหลักการข้อหนึ่งที่บอกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ไม่ว่าเจ้า จ้าวเหยาจะเป็นเช่นไร ‘เมื่อสภาพแวดล้อมเป็นใจเอื้ออำนวย โชคก็มักจะเข้าข้างเสมอ’ จงอย่าพึงพอใจกับสิ่งใดจนใจเกิดความเพิกเฉย”

บ่อน้ำลดลงต่ำ ใบไหวหลุดจากกิ่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลางบอกเหตุทั้งสิ้น

ปัญญาชนนามฉีจิ้งชุนเอ่ยเตือนว่า “จ้าวเหยา ยังจำใบไหวใบนั้นที่ข้าบอกให้เจ้าเก็บไว้ให้ดีได้หรือไม่?”

บัณฑิตหนุ่มพยักหน้ารับแรงๆ “เอาเก็บไว้พร้อมกับตราประทับที่ท่านอาจารย์ให้มาแล้ว”

“ใต้หล้านี้มีใบไม้ที่ไหนร่วงหลุดออกจากกิ่งในขณะที่ยังเขียวชอุ่มสดใหม่เหมือนเพิ่งแตกหน่อเช่นนี้? คนในเมืองมีหลายพันคน แต่คนที่ได้รับ ‘พร’ กลับมีน้อยจน นับนิ้วได้ ใบไหวใบนั้นสามารถเอาออกมาเล่นบ่อยๆ ได้ ไม่แน่ว่าวันหน้ามันอาจกลายมาเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่ง”

สายตาของปัญญาชนสำนักขงจื๊อฉายแววลึกล้ำ “นอกจากนี้ ตลอดหลายปีที่ ผ่านมาข้าให้เจ้าประพฤติดี สร้างแต่กรรมดีกับคนในเมืองเล็ก ปฏิบัติตนอย่างมีมารยาทและซื่อสัตย์จริงใจต่อทุกคนอยู่ตลอดเวลา วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่เอง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่มองดูเหมือนไม่สะดุดตาเหล่านี้เหมือนน้ำหยดลงหินที่ทำให้หินกร่อนได้ ผลประโยชน์ที่จะได้รับในท้ายที่สุดก็ไม่แน่ว่าจะต้องแย่กว่าการได้ครอบครอง ‘อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น’ เล่มหนึ่งเสมอไป”

เด็กหนุ่มค้นพบว่ามีนกขมิ้นตัวหนึ่งบินมาหยุดอยู่บนคานหิน และบางครั้งมันก็กระโดดโลดเต้น ร้องจิ๊บๆ อยู่เป็นระยะ

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อเอามือทั้งคู่ไพล่หลัง เงยหน้ามองนกขมิ้นตัวนั้นด้วยสีหน้าเครียดขรึม

เด็กหนุ่มมองไม่ออกถึงความผิดปกติใดๆ

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อฉีจิ้งชุนพลันหันไปมองทางตรอกหนีผิง หัวคิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนที่ปัญญาชนสำนักขงจื๊อจะถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “แมลงที่จำศีลเริ่มได้ยินเสียงแห่งวสันต์ฤดู จึงพากันโผล่ออกมาจากใต้ดินแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นแค่แขก คนหนึ่งกลับกล้ามาทำตัวลับๆ ล่อๆ คิดจะใช้อุบายชั้นเลวเหล่านั้นใต้จมูกเจ้าบ้าน

ไม่หวังสูงเกินไปหน่อยหรือ? นึกจริงๆ หรือว่าอาศัยความสามารถเท่าน้ำครึ่งถ้วยแล้วจะได้ทุกอย่างสมใจปรารถนา?”

จ้าวเหยาพลันเกิดความกังวล “อาจารย์?”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อโบกมือบอกให้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเด็กหนุ่ม ก่อนจะพาเขาเดินมาหยุดยืนอยู่ใต้ป้ายสุดท้าย

เด็กหนุ่มจ้าวเหยาเหมือนแมลงจำศีลที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่ายามฤดูใบไม้ผลิ เขาพลันชะงักฝีเท้า สายตาเหม่อลอย

เห็นเพียงว่าห่างออกไปไม่ไกลมีเด็กสาวชุดดำสวมหมวกที่มีผ้าคลุมบางๆ บดบังใบหน้าที่แท้จริงยืนอยู่ เรือนกายของนางสมส่วน ทั้งไม่ผอมบางเกินไป แล้วก็ไม่ อวบอิ่มเกินไป ตรงเอวห้อยกระบี่เล่มยาวฝักสีขาวดั่งหิมะหนึ่งเล่ม และเหน็บดาบฝัก สีเขียวหนึ่งเล่ม นางกำลังยืนกอดอก เงยหน้ามองป้าย “ชี่ชงโต้วหนิว” ที่อยู่เหนือศีรษะตัวเอง

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อรู้สึกขบขันจึงกระแอมเบาๆ

เด็กหนุ่มยังคงยืนอึ้งเป็นไก่ไม้ ไม่ได้รู้สึกถึงคำเตือนว่า ‘สิ่งใดที่ไม่ควรมอง ห้ามมอง’ จากอาจารย์เลยแม้แต่นิดเดียว

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ได้ส่งเสียงตำหนิ แล้วก็ไม่ส่งเสียงกระแอมอีก ปล่อยให้เด็กหนุ่มข้างกายมองไปยังเด็กสาวคนนั้นด้วยสายตาหลงใหลต่อไป

ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะสัมผัสไม่ได้ถึงสายตาของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

คล้ายว่านางจะชื่นชอบสี่อักษร ‘ชี่ชงโต้วหนิว’ นี้มากเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับอักษรในอีกสามกรอบที่เป็นอักษรข่ายซู[3] ซึ่งดูสุภาพเคร่งขรึมแล้ว ตัวอักษรสิงข่าย[4] ตัวใหญ่ที่เขียนอยู่ในกรอบป้าย และท่วงทำนองในการตวัดปลายพู่กันของมันก็แทบจะเรียกได้ว่ากำเริบเสิบสานอย่างเอาแต่ใจ

นางชอบ!

เด็กหนุ่มพลันคืนสติ ที่แท้เป็นเพราะอาจารย์ตบไหล่ของเขา “จ้าวเหยา เจ้าควรไปเก็บของที่โรงเรียนกลับบ้านได้แล้ว”

เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าเดินตามอาจารย์กลับไปที่โรงเรียน

เด็กสาวถึงได้ค่อยๆ คลายนิ้วทั้งห้าที่กำด้ามดาบออก

ห่างออกไปไกล ปัญญาชนสำนักขงจื๊อเอ่ยเย้าขึ้นว่า “จ้าวเหยาเอ๋ยจ้าวเหยา ข้าเพิ่งจะช่วยชีวิตเจ้าไว้นะเนี่ย”

เด็กหนุ่มตะลึง “อาจารย์?”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันหน้าหากพบนางอีก เจ้าต้องรีบออกห่างให้ไกล”

เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้อบอุ่นสง่างามรู้สึกทั้งแปลกใจ ทั้งผิดหวัง “ท่านอาจารย์ เป็นเพราะอะไรหรือ?”

ฉีจิ้งชุนหยุดคิดไปชั่วครู่ ก่อนตอบด้วยคำวิจารณ์ที่เป็นดั่งข้อสรุปสุดท้าย “นางคมกริบอย่างไร้ทัดเทียม อนาคตถูกกำหนดมาให้เป็นกระบี่ที่ไร้ฝัก”

เด็กหนุ่มทำท่าจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าหากเป็นเพียงแค่การแอบชอบใคร บรรพจารย์เต๋าและพระพุทธเจ้าต่างก็ไม่เคยห้ามปราม ต่อให้เป็นบัณฑิตอย่างพวกเราที่อยู่ในกฎระเบียบมากที่สุด ก็ยังแค่เตือนว่า ‘ห้ามพูด ห้ามมอง ห้ามฟังและ ห้ามกระทำในสิ่งที่ไม่สมควร’ เท่านั้น ไม่เคยบอกว่าห้ามคิดในสิ่งที่ไม่สมควร”

ทว่านาทีนั้นเหมือนภูตผีบังใจเด็กหนุ่ม เขาถึงหลุดปากพูดออกมาเสียงดังว่า “แต่ตัวนางหอมมากเลยนะ!”

พอคำพูดนี้หลุดออกมา เด็กหนุ่มก็อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อรู้สึกปวดหัวขึ้นมาครามครัน เขาไม่ได้โกรธ แต่เพราะสถานการณ์ในเวลานี้ค่อนข้างรับมือได้ยากจึงเอ่ยเสียงหนักว่า “จ้าวเหยา หันกลับไป!”

เด็กหนุ่มหันหลังกลับโดยทันที ตอนนี้เขาจึงหันหลังให้อาจารย์ตัวเอง

ใต้ซุ้มประตูหิน เด็กสาวหันหน้ากลับมาพร้อมปราณสังหารท่วมทะยานฟ้า

นางเอามือทั้งสองข้างที่กอดอกลงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นนิ้วหัวแม่มือของมือทั้งสองต่างก็กดลงไปบนด้ามจับของกระบี่และดาบ

แล้วนางก็เริ่มวิ่งเหยาะๆ ออกมา ประมาณสี่ห้าก้าว เท้าของนางเริ่มเพิ่มความเร็ว กระบี่ยาวสามฉื่อจากฝักสีขาวหิมะและดาบเหน็บแคบยาวฝักสีเขียวถูกดึงให้พ้น จากฝัก ขณะเดียวกันร่างของนางก็กระโดดผลุงขึ้น มือทั้งสองคว้าจับด้ามดาบและด้ามกระบี่อย่างรวดเร็ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตวัดกระบี่ฟันเข้าแสกหน้า!

ระหว่างเด็กสาวชุดดำกับสองอาจารย์และศิษย์ของเมืองเล็กถูกกั้นขวางไว้ด้วยแสงโค้งดุจพระจันทร์เสี้ยวสองเส้นที่สว่างพร่างพราวซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจาก แขนสองข้างที่ไม่หนาไม่ใหญ่

ไม่ใช่วิชาอภินิหาร ยิ่งไม่ใช่คาถาอาคมใดๆ แต่เป็นคำว่าเร็วเพียงคำเดียว!

สีหน้าของปัญญาชนสำนักขงจื๊อยังคงผ่อนคลาย ไม่มีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยงเลยสักนิด เขาเพียงแค่กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที ริ้วคลื่นระลอกหนึ่งกระเพื่อมออกไป

นาทีถัดมา ร่างของเด็กสาวก็เครียดเกร็ง ปราณสังหารเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม

ที่แท้หนึ่งกระบี่หนึ่งดาบที่พุ่งเข้ามาด้วยพลังอำนาจหวังบุกทลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง ไม่เพียงแต่หล่นสู่ความว่างเปล่า ไม่ถึงที่หมาย แม้แต่ร่างของนางเอง ก็ยังยืนอยู่จุดเดิมที่กระบี่และดาบถูกชักออกจากฝัก

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อกล่าวพร้อมอมยิ้มน้อยๆ “ถูกต้อง ขนาดสิงโตที่จะจับกระต่ายก็ยังต้องออกแรงเต็มที่ (เปรียบเปรยว่าแม้เพียงเรื่องเล็กน้อยก็ต้องรับมืออย่างจริงจังและเต็มกำลังความสามารถ) จะว่าไปแล้ว ลูกศิษย์ของข้าคนนี้อาจล่วงเกิน แม่นางก็จริง แต่กระนั้นโทษของเขาก็ไม่ควรถึงตายกระมัง?”

ดรุณีน้อยค่อยๆ เก็บกระบี่ลงฝัก ใช้มือข้างเดียวจับด้ามดาบเอาไว้ ชี้ปลายดาบไปที่ปราชญ์สำนักขงจื๊อ จงใจดัดเสียงให้ทุ้มต่ำเหมือนผู้ใหญ่ “เจ้าจะ ‘รู้สึก’ อย่างไร มันก็เรื่องของเจ้า ข้าไม่ยุ่ง”

เด็กสาวเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว “ข้าจะทำอย่างไร มันก็เรื่องของข้า แน่นอนว่า เจ้าจะลอง…ยุ่งดูก็ได้!”

แล้วนางก็กระโจนพรวดมาข้างหน้า พื้นดินที่เท้าทั้งสองของนางเหยียบพลัน ยุบยวบเป็นหลุมเล็กๆ สองหลุม

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางอยู่ตรงหน้าท้องของตัวเอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ต้องเร็วเท่านั้นถึงจะไม่เผยจุดอ่อน น่าเสียดายก็แต่ ต่อให้ฟ้าดินแห่งนี้ใกล้จะแหลกสลายเต็มที ทว่าขอแค่เป็นก่อนช่วงเวลานั้น ต่อให้เทพเซียนพสุธาสิบท่านร่วมมือกันทำลายค่ายกล ก็ยังไม่ต่างจาก มดตะนอยที่เขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ แล้วนับประสาอะไรกับเจ้า?”

นาทีถัดมา อยู่ดีๆ เด็กสาวก็มาโผล่อยู่ห่างจากทางด้านซ้ายของปัญญาชนสำนักขงจื๊อประมาณสิบกว่าก้าวอีกครั้ง

นางหลับตาครุ่นคิด

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อส่ายหน้ายิ้มๆ “หาใช่อาคมพรางตาอย่างที่เจ้าเข้าใจไม่ ฟ้าดินแห่งนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับหนึ่งพันโลกธาตุขนาดเล็กของทางพระพุทธศาสนา เมื่ออยู่ที่นี่ ข้าก็คือ…”

“เอ๊ะ?”

เขาพลันร้องอุทานตกใจ ก่อนจะหยุดคำพูดที่เหลือเอาไว้ วินาทีถัดมาก็ขยับมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กสาว ใช้ปลายนิ้วทั้งสองแตะปลายดาบของนางเบาๆ เพื่อตรวจสอบให้รู้แน่ชัด

เขาเอ่ยถามว่า “ใครเป็นคนสอนวิชากระบี่และวิชาดาบให้กับเจ้า?”

เด็กสาวไม่ได้ลืมตา มือซ้ายกำด้ามกระบี่ที่เพิ่งใส่กลับฝักไปเมื่อครู่นี้ แสงเยียบเย็นเส้นหนึ่งตวัดผ่านช่วงเอวของปัญญาชนสำนักขงจื๊อไป หมายจะฟันเอวของเขาให้ขาด

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อที่ปลายนิ้วทั้งสองคีบปลายดาบเอาไว้ตวาดไม่ดังนัก “ถอย!”

เสียงสวบดังเบาๆ มาจากพื้นดินพร้อมฝุ่นที่ตลบคละคลุ้ง ครู่หนึ่งต่อมาก็เผยให้เห็นว่าเท้าทั้งสองของเด็กสาวที่สวมหมวกคลุมหน้ายังคงหยัดยืนอย่างมั่นคง ทว่าบัดนี้ใต้ฝ่าเท้าของนาง เบื้องหน้าปัญญาชนสำนักขงจื๊อกลับมีร่องลึกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นคล้ายเพิ่งถูกไถคราด

มือทั้งสองของเด็กสาวเปรอะไปด้วยเลือดสดๆ

ดาบออกจากฝักแล้ว กระบี่ก็ออกจากฝักแล้ว แต่นางกลับต้องมาเสียท่าให้กับ คนที่มีเพียงมือเปล่า และนางก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ศัตรูของนางนอกจากจะเข้าใจ ‘โครงสร้าง’ ของฟ้าดินแห่งนี้แล้ว อีกฝ่ายยังกดตบะและศักยภาพของตัวเองให้อยู่ในขอบเขตเดียวกับตนด้วย

นี่คือฝีมือที่เทียบไม่ได้ หาใช่ตบะไม่ถึง

นางรู้สึกราวกับว่าอารมณ์ร้ายของตัวเองใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที

เกรงว่าแม้แต่ตัวเด็กสาวเองก็คงตระหนักไม่ถึงว่าบริเวณรอบด้านที่มีนางเป็น จุดศูนย์กลาง ขนาดเส้นแสงก็ยังเกิดการบิดเบือน

สุดท้ายแล้วอาจารย์ในโรงเรียนท่านนี้ก็ยังคงเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด เขาจึงพูดโน้มน้าวอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “ทางที่ดีที่สุด ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งเอาตัวเองมาเปรียบกับข้าจะดีกว่า เพราะมันจะเป็นอุปสรรคต่อจิตใจในการฝึกวรยุทธ์ของเจ้า หากจะเดินไป สู่จุดสูงสุดของวิถีแห่งการต่อสู้ การค่อยๆ พัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

ท่าทางของเขาในเวลานี้ค่อนข้างจะประหลาดเล็กน้อย เพราะมือหนึ่งยกปลายกระบี่ อีกมือหนึ่งวางขวางจับตัวกระบี่

เขาคลี่ยิ้ม พูดเลียนแบบน้ำเสียง ‘คนแก่’ ของเด็กสาว “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า จะพูดหรือไม่พูดก็เป็นเรื่องของข้าเช่นกัน”

เด็กสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงต่ำทุ้มหนัก “รับคำชี้แนะ!”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่เด็กสาวที่ดีแต่เย่อหยิ่งโอหัง นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก เขาโยนดาบกลับไปให้เด็กสาวเบาๆ พลางกล่าวว่า “คืนดาบให้เจ้า”

เขาก้มหน้าลงมองกระบี่ยาวที่ปลายนิ้วของตัวเองคีบไว้ซึ่งกำลังสั่นเบาๆ

เสียงร้องของลูกหงส์ย่อมกังวานน่าฟังกว่าเสียงของหงส์แก่

บัณฑิตสำนักขงจื๊อกล่าวอย่างเสียดายว่า “เนื้อของกระบี่เล่มนี้ไม่ธรรมดา แต่ยังอยู่ห่างจากสุดยอดกระบี่อีกไกลนัก อย่างมากที่สุดแค่แบกรับน้ำหนักของสองตัวอักษรก็เต็มกลืนแล้ว หาไม่แล้วด้วยฐานกระดูกและพรสวรรค์ของเจ้า อาจจะเอาไปไม่ได้ทั้งสี่คำ แต่ถ้าสามคำก็มากพอจนแทบใช้ไม่หมด…”

ขณะที่ทอดถอนใจ เขาก็ยกมือขึ้นพลางตวาดว่า “จงมา!”

แสงเจิดจ้าบาดตาสองกลุ่มบินทะยานออกมาจากกรอบป้ายคำว่า ‘ชี่ชงโต้วหนิว’

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อสะบัดปลายแขนเสื้อสองครั้งติดกัน กลุ่มแสงทั้งสองก็ ผสานรวมเข้าไปในกระบี่เล่มยาว

บนกรอบป้าย คำว่า ‘ชี่’ และคำว่า ‘หนิว’ ยังคงเด่นหราอยู่ดังเดิม

แต่คำว่า ‘ชง’ และคำว่า ‘โต้ว’ กลับเหมือนคนแก่นอนป่วยติดเตียง ที่ก่อนตาย หลังจากมีสีหน้าสดใสครู่หนึ่ง จิงชี่เสินทั้งหมดก็สลายไปสิ้น (จิง ชี่และเสินคือ สามขุมทรัพย์ในร่างกายมนุษย์ จิงคือแก่นสารของพลังชีวิต ชี่คือปราณและเสินคือ จิตวิญญาณ)

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อสะบัดข้อมือตัวเองเบาๆ อย่างไม่อนาทรร้อนใจ พริบตาเดียวกระบี่ยาวเล่มนั้นก็กลับคืนสู่ฝักของเจ้าของ เพราะกลับเข้าฝักไปแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีใครเห็นว่าบนตัวกระบี่มีปราณสองขุมกำลังว่ายวนประหนึ่งมังกรคะนองน้ำ

และภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ทำให้ฉีจิ้งชุนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายรู้สึกสะท้านสะเทือนด้วยความตกตะลึง

ดรุณีน้อยค่อยๆ ปลดฝักกระบี่ลงแล้วขว้างทิ้ง ฝักกระบี่ปักเอียงลงบนพื้นดิน สายตาเบื้องหลังผ้าคลุมผืนบางที่ทิ้งตัวลงมาจากหมวกเด็ดเดี่ยว “นี่ไม่ใช่วิถีแห่งกระบี่ที่ข้าแสวงหา”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อเหลือบตามองกระบี่ที่เด็กสาวสละทิ้ง ในใจเกิดความรู้สึกหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน จำต้องถามคำถามที่ทำให้ตัวเองเสียหน้าออกไป “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

เด็กสาวพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ข้าได้ยินมาว่าทุกๆ ระยะหกสิบปี ที่นี่จะเปลี่ยนตัวอริยะของหนึ่งในสามลัทธิให้มาควบคุมการโคจรของค่ายกลใหญ่ เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่บางครั้งคนซึ่งออกไปจากที่นี่ หากไม่มีสมบัติแปลกๆ ติดกาย ตบะก็ต้องก้าวหน้าอย่างพรวดพราด ดังนั้นข้าจึงอยากมาดูให้เห็นเองกับตา ตอนที่เห็นท่าน ข้าก็รู้ถึงตัวตนของท่านทันที หาไม่แล้วข้าก็คงไม่ลงมือเด็ดขาด ขนาดนั้น”

ฉีจิ้งชุนถามอีกครั้งว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อครู่นี้ตัวเองเพิ่งทิ้งอะไรไป?”

เด็กสาวเงียบงันไม่ยอมตอบ

กระบี่ยาวที่อยู่ในฝักยังคงสั่นกระเทือนไม่หยุด ประหนึ่งสาวงามล่มเมืองกำลังร้องสะอึกสะอื้นวิงวอนขอร้องให้คนรักเปลี่ยนใจ

บัณฑิตหนุ่มแอบหันหน้ากลับมามองเด็กสาวคนนั้นอย่างระมัดระวังอยู่ไกลๆ นานแล้ว

ปราชญ์สำนักขงจื๊อหาใช่คนไร้วิชาความรู้ เขาพยายามเค้นสมองครุ่นคิด กระนั้นยังไม่อาจเข้าใจในการกระทำของนาง แต่จะอย่างไรซะก็คงยัดเยียดกระบี่ เล่มยาวที่แฝงเร้นชะตายิ่งใหญ่ให้กับสาวน้อยไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่เอ่ยเตือนว่า “แม่นาง ทางที่ดีที่สุดจงเก็บกระบี่เล่มนี้ไปเถอะ หลังจากนี้เมืองแห่งนี้จะไม่…สงบสุขเท่าไหร่ มีของป้องกันกายเพิ่มมาอีกชิ้นหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องดี”

เด็กสาวเพียงหมุนกายจากไปโดยไม่พูดอะไร

นางยังคงไม่ยอมเอากระบี่เล่มนั้นกลับไปด้วย

ฉีจิ้งชุนรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาสะบัดแขนเสื้อตวัดกระบี่เล่มนั้นให้ฝังตรึงลงไปยังจุดสูงบนเสาหินต้นหนึ่งของซุ้มประตู หากมีคนคิดจะดึงมันออกมาย่อมต้องกระเทือนมาถึงตนที่เฝ้าบัญชาอยู่จุดศูนย์กลาง

ก็เหมือนกับการลงมือทั้งทางลับและทางแจ้งของ ‘นักเล่านิทาน’ ก่อนหน้านี้ที่ต่างก็หนีไม่พ้นการจับตามองของอาจารย์ในโรงเรียนท่านนี้

หลังจากที่พาจ้าวเหยาออกจากโรงเรียนมาส่งถึงบ้านตระกูลจ้าวบนถนนฝูลวี่ ปัญญาชนสำนักขงจื๊อวัยกลางคนก็เดินไปข้างหน้าช้าๆ และทุกก้าวที่เขาก้าวออกไป ในมุมลับตาบางแห่งของบ้านเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฝากถนนก็จะต้องมีลำแสงที่ยากจะสัมผัสได้ถึงเปล่งวาบผ่านไป

ฉีจิ้งชุนพึมพำกับตัวเองเบาๆ “แปลกจริง แม่หนูนั่นมาจากไหนกัน? หรือว่าเป็นลูกหลานตระกูลเซียนนอกทวีปแห่งนี้?”

หลังจากกลับมาถึงโรงเรียน เขาก็มานั่งอยู่หน้าโต๊ะ บนโต๊ะวางกุยหยก[5] ยาวสามฉื่อสองชุ่น ตรงมุมทั้งสี่สลักภูเขาใหญ่สี่ลูก แทนความหมายให้สี่ทิศสงบสุข ด้านหน้าสลักตัวอักษรเสี่ยวจ้วนแน่นขนัดไม่ต่ำกว่าร้อยตัว

ตามหลักพิธีการของลัทธิขงจื๊อแล้ว มีเพียงโอรสสวรรค์ของแคว้นเท่านั้นที่สามารถครอบครองกุยหยกนี้ได้

นี่จึงมากพอจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมืองเล็กแห่งนี้มีความหมายสำคัญอย่างยิ่ง

เมื่อพลิกมันกลับมา ด้านหลังของกุยหยกสลักตัวอักษรไว้เพียงแค่สองตัวเท่านั้น ลักษณะตัวอักษรที่ใช้แกะสลักเข้มงวดเคร่งขรึม แต่ก็เต็มไปด้วยความมีเอกลักษณ์ รูปแบบทรงพลัง ความหมายลึกล้ำ

บนโต๊ะหนังสือยังมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับที่เพิ่งถูกนำมาส่งได้ไม่นานวางอยู่

กรอบดวงตาของปัญญาชนสำนักขงจื๊อผู้มีจอนผมสีขาวโพลนเห่อแดง “อาจารย์ ศิษย์ไร้ความสามารถ ถึงต้องทนมองดูท่านได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้…”

ปัญญาชนสำนักขงจื๊อทอดสายตามองออกไปนอกหน้าตา สีหน้าของเขาไม่ได้ทุกข์โศกหรือดีใจมากนัก มีเพียงความอ้างว้างเงียบเหงาเท่านั้น “ฉีจิ้งชุนผิดต่ออาจารย์ผู้มีพระคุณ มีชีวิตอยู่มาได้ร้อยปี เหลือเพียงชดใช้ด้วยความตายเท่านั้น”

เมื่อซ่งจี๋ซินหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ ไม่ว่าฝูหนันหัวจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจปกปิดสีหน้าปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งของตัวเองได้

กาน้ำเล็กๆ ไม่สะดุดตาอันหนึ่ง ตรงก้นกาเขียนอักษรคำว่า ‘ซานเซียว’ เอาไว้

ซ่งจี๋ซินวางมือสองข้างทับซ้อนกันบนโต๊ะ โน้มตัวไปข้างหน้า ถามยิ้มตาหยี “กาอันนี้ราคาเท่าไหร่?”

กว่านายน้อยของนครมังกรเฒ่าจะดึงสายตากลับมาจากกาน้ำอันนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอได้ยินคำถามก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หากเอาไปขายให้กับราชสำนักของโลกมนุษย์ ย่อมไม่มีค่าแม้แต่เหรียญเดียว แต่หากให้ข้าเป็นคนเอาไปขาย เมืองทั้งเมืองก็ยังซื้อมาได้”

ซ่งจี๋ซินถาม “กี่หมื่นคน?”

ฝูหนันหัวชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว

ซ่งจี๋ซินร้องอ๋อในลำคอ ก่อนจะเบ้ปากพูด “ที่แท้ก็สามแสน”

ฝูหนันหัวตะลึงไปชั่วครู่ ครั้นแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เดิมทีเขานึกว่าซ่งจี๋ซินจะพูดว่าสามหมื่นคนเสียอีก

ทางฝ่ายของตรอกซิ่งฮวา มีชายหนุ่มท่าทางเงียบขรึมคนหนึ่งกำลังนั่งยองอยู่ข้างบ่อโซ่เหล็ก จ้องเขม็งไปยังโซ่เหล็กที่ถูกมัดเป็นเงื่อนตายติดกับด้านใต้ของรอกชักน้ำ

คล้ายกำลังคิดไม่ตกว่าควรจะย้ายมันไปด้วยวิธีใด

ดรุณีน้อยชุดดำสวมหมวกปิดบังใบหน้า บุคลิกเย็นชาหยิ่งทระนงเดินไปทั่วเมืองเล็กอย่างไม่มีจุดหมาย ตอนนี้ตรงเอวของนางมีเพียงดาบแคบฝักสีเขียวห้อยไว้ และมือทั้งคู่ก็แค่ใช้ผ้าพันแผลพันไว้ลวกๆ เท่านั้น

นางเพิ่งจะเดินเข้ามาในตรอกที่ไม่รู้ชื่อ

เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง วัตถุบางอย่างก็แหวกอากาศมาถึงแล้วมาหยุดอยู่ด้านหลังเด็กสาวอย่างว่าง่ายพลางทำเสียงวึงๆ ไม่หยุด

เด็กสาวขมวดคิ้ว เค้นคำคำหนึ่งออกจากไรฟันโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง “ไสหัวไป!”

เสียงสวบดังขึ้นอีกครั้ง

‘กระบี่บิน’ ที่ดึงตัวเองออกจากฝักทะยานมาถึงที่แห่งนี้ตกใจจนหดกลับเข้าไปอยู่ในฝักอีกครั้งจริงๆ

ดรุณีน้อยผู้หยิ่งทระนง

และกระบี่บินที่ว่านอนสอนง่าย

………………..

[1] วันกู่อวี่ (谷雨) แปลว่าฝนธัญชาติ คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญชาติที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19, 20 หรือ 21 เมษายน

[2] วันฉงหยาง (重阳) สองเก้า หมายถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน

[3] อักษรข่ายซู (楷书) อักษรบรรจง เป็นอักษรจีนมาตรฐานที่ใช้กัน อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

[4] ตัวอักษรสิงข่าย (行楷) ตัวอักษรที่อยู่ระหว่างอักษรสิงซูกับอักษรข่ายซู การตวัดพู่กันมีอิสระกว่าตัวอักษรข่ายซู แต่เป็นระเบียบกว่าตัวอักษรสิงซู)

[5] กุย 圭 เป็นเครื่องหยกที่จักรพรรดิหรือบรรดาเจ้าครองนครรัฐต่างๆ ใช้ในการประกอบพิธีสำคัญยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ ส่วนบนจะแหลม ส่วนล่างเป็น ฐานเหลี่ยม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version