Skip to content

Sword of Coming 40

บทที่ 40 คำนับกลับคืน

หลังจากแบกตะกร้าเดินขึ้นฝั่ง เฉินผิงอันก็เดินมุ่งหน้าไปทางหินหลังควาย ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ เด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าระดับน้ำในธารน้ำลดลงไปเล็กน้อย

เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้หินสีเขียวก็พลันหยุดชะงักฝีเท้า เพราะเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของทุกคนปรากฏเด่นชัดจนแทบจะมองเห็นถึงรูขุมขน ที่เป็นอย่างนี้หาใช่เพราะแสงดาวส่องสว่าง แต่เป็นเพราะบนหินหลังควายก้อนนั้นมีกวางสีขาวหิมะยืนอยู่ตัวหนึ่ง ตลอดทั้งร่างของมันโปร่งใสส่องประกายเส้นแสงสีขาวระเรื่อ ประหนึ่งพืชน้ำที่ล่องลอยส่ายไหวไปตามริ้วน้ำ

กวางขาวก้มหัวลง เด็กหญิงสวมชุดผ้าฝ้ายสีแดงสดคนหนึ่งกำลังพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อเอานิ้วลูบคลำเขาของมัน

นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มและหญิงสาวสวมชุดนักพรตเต๋ายืนอยู่อีกสองคน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นแสงสีขาวจากกวางขาวส่องสะท้อนหรือไม่ ผิวพรรณของชายหญิงทั้งสองจึงดูราวกับหิมะ โปร่งใสแวววาว หากจะบอกว่าชาวบ้านในเมืองคือรูปปั้นดิน ถ้าอย่างนั้นนักพรตเต๋าต่างถิ่นสองคนนี้ก็คือเครื่องเคลือบซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างแท้จริง

ลักษณะชุดเต๋าของชายหญิงมีส่วนคล้ายคลึงกับนักพรตลู่ที่ตั้งแผงดูดวงคนนั้น แต่ก็มีรายละเอียดหลายจุดที่แตกต่าง กวานที่สวมคือจุดที่ไม่เหมือนกันมากที่สุด ของนักพรตลู่เป็นกวานดอกบัว แต่กวานเหนือศีรษะสองคนนี้กลับเป็นรูปหางปลา

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนมองด้วยสายตาเหม่อลอย รู้สึกเพียงว่าชายหญิงที่ยืนอยู่ข้างกวางขาวเหมือนบุคคลที่เดินออกมาจากภาพวาดเทพเซียน ราวกับว่านาทีถัดมาพวกเขาก็จะบินขึ้นฟ้า เพียงเอื้อมมือคว้าก็เด็ดดาวเดือนลงมาได้

อีกสองคนยืนห่างไปเล็กน้อย คนหนึ่งเฉินผิงอันรู้จัก นางก็คือลูกสาวของอาจารย์หร่วนช่างทำกระบี่ คราวนี้เด็กสาวชุดเขียวไม่ได้พกห่อกระดาษที่บรรจุอาหารเต็มแน่นมาด้วย เพียงแต่ว่าบนมือข้างหนึ่งวางผ้าเช็ดหน้าปักลายผืนเล็กที่มีขนมก้อนกระจิ๋วหลิววางอยู่ไม่กี่ก้อน เด็กสาวก้มหน้าด้วยท่าทางลังเลใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มกินจากขนมชิ้นไหนก่อนดี คนที่ยืนอยู่ข้างกายนางอายุประมาณสามสิบปี ด้านหลังแบกกระบี่เล่มยาว ตรงเอวห้อยเครื่องประดับลักษณะประหลาดชิ้นหนึ่ง

ในขณะเดียวกันกับที่เฉินผิงอันเห็นพวกเขา แทบทุกคนก็สัมผัสได้ถึงการปรากฎตัวอย่างกะทันหันของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเช่นกัน แม่ชีสาวมีท่าทางตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงลูบศีรษะของเด็กหญิงที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีแดง ชี้นิ้วมาทางเฉินผิงอันพลางซุบซิบอะไรเบาๆ ไปด้วย เด็กหญิงเงี่ยหูตั้งใจฟังคำพูดของพี่สาวเทพเซียนคนนั้น นางพยายามเบิกตากว้างจ้องมองมา และพอเห็นเฉินผิงอันอย่างชัดเจนก็เริ่มขยับปากพูดรัวเร็ว ดูท่าแล้วน่าจะกำลังอธิบายประวัติความเป็นมาของเฉินผิงอันให้พี่สาวเจ้าของกวางขาวตัวนั้นฟัง

และตอนนี้เฉินผิงอันก็จำเด็กหญิงอายุประมาณแปดเก้าขวบคนนี้ได้แล้วเหมือนกัน ครั้งแรกที่เจอกัน นางคือเด็กหญิงมัดผมแกละคนหนึ่งที่เฉินผิงอันเคยเจอในตรอกหนีผิงก่อนหน้าที่เขาจะไปเป็นช่างปั้นที่เตาเผามังกร อายุของนางน้อยมาก แต่กลับวิ่งได้เร็วนัก ในมือของนางถือว่าวตัวหนึ่ง สองขาเล็กๆ ที่ผอมบางราวซี่ไม้ไผ่กลับวิ่งได้เร็วราวกับสายลม เฉินผิงอันจึงจำนางได้อย่างแม่นยำ ภายหลังก็ยังเคยได้เจอกันอีกหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งเด็กหญิงนอนคว่ำหน้าอยู่บนปากบ่อโซ่เหล็ก ชะโงกหน้าแอบโยนหินทิ้งลงไปในบ่อ เฉินผิงอันเห็นการกระทำที่เกเรของนางโดยบังเอิญ เด็กหญิงจึงตกใจจนรีบวิ่งหนีไป วิ่งออกไปได้หลายสิบก้าวแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมพุทราเชื่อมไว้บนปากบ่อ เมื่อทนความอยากกินไม่ไหวจึงวิ่งกลับมาที่บ่อโซ่เหล็กอีกครั้ง เพราะว่าวิ่งไปวิ่งกลับฉุกละหุกเกิน ผลกลับกลายเป็นว่าสะดุดขาตัวเองหน้าทิ่มลงไปกองกับพื้น พอลุกขึ้นได้ก็เอื้อมมือไปคว้าไม้พุทราเชื่อม จากนั้นพลันชะงักฝีเท้า อ้าปาก ยื่นมือไปดึงฟันซี่ที่โยกเยกใกล้หลุดเต็มทีออกแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ นางไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย ไม่พูดไม่จาก็วิ่งหนีไปอีกครั้ง

ภาพนี้ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่เหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กไปทั้งศีรษะ ครั้งสุดท้ายที่เจอนางก็คือในพุ่มหญ้ารกร้างอันเป็นสถานที่ทิ้งรูปเทพเจ้าที่ผุพัง ตอนนั้นเป็นยามสนธยาของวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันออกจากเตาเผามังกรกลับมาที่เมืองแล้วเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย ผลกลับกลายเป็นว่าเจอเข้ากับนางที่กำลังสาละวนอยู่กับการจับจิ้งหรีด นางกระโดด กลิ้งไถล พุ่งตะครุบไปทั่วพงหญ้า พอเห็นเฉินผิงอันก็เห็นได้ชัดว่าจำเขาได้จึงรีบเผ่นแผล็วจากไปอีกครั้ง

ภายหลังเฉินผิงอันได้ยินกู้ช่านเล่าให้ฟังว่า แม้มองภายนอกแม่นางน้อยที่เล่นสกปรกมอมแมมทั้งวันคนนี้จะเหมือนเด็กบ้านป่าที่ไร้คนดูแล แต่อันที่จริงนางกลับเป็นคนของตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ อีกทั้งยังไม่ใช่สาวใช้ตระกูลคนรวยด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงชอบหนีออกมาเที่ยวเล่นคนเดียว คนในบ้านก็ไม่สนใจ สุดท้ายตอนที่กู้ช่านพูดถึงนาง น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและดูแคลน อย่าเห็นว่านางวิ่งได้เร็ว เพราะเอาจริงๆ แล้วนางโง่มาก มีครั้งหนึ่ง พวกเขาสองคนไปจับปลาในธารน้ำตรงกันพอดี แต่ยัยเด็กโง่นั่นงมอยู่เป็นครึ่งๆ วันก็ยังจับได้แค่ปูตัวเดียว ปลาแผ่นหินสักตัวก็จับไม่ได้ อีกทั้งที่นางสามารถจับปูใหญ่ตัวนั้นได้ยังเป็นเพราะก้ามปูหนีบนิ้วมือของนางอย่างแรงอีกต่างหาก ตอนนั้นกู้ช่านเล่าให้เฉินผิงอันฟังอยู่ในบ้านของเขา อีกฝ่ายหัวเราะขำจนต้องเอามือกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงไม้เล็กๆ ของเฉินผิงอัน กู้ช่านบอกว่านางโง่จริงๆ ซ้ำยังจงใจชูมือขึ้นมาอวดเขาราวกับว่าจับปูตัวหนึ่งได้แล้วเก่งกาจอะไรนักหนา ประเด็นสำคัญคือเห็นได้ชัดว่านางถูกปูหนีบจนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ

นักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปรายตามองกวางขาวพลางพูดกับแม่ชีอายุน้อยคนนั้นว่า “ศิษย์พี่หญิงเฮ้อ เคยบอกแล้วว่าให้เจ้าระวัง อย่ารักและตามใจมันเกินไปนัก นี่ยังไม่ถึงสิบวัน ซ้ำยังใช้แค่เวทอำพรางตาเท่านั้น ไม่ถือว่ากักขังอิสระของมัน แต่เจ้ากลับไม่ฟัง ทีนี้เด็กมนุษย์เห็นมันเข้าแล้ว จะทำยังไงกันดี?”

หลังจากฟังคำบอกเล่าจากเด็กหญิงจบ แม่ชีผู้มีโฉมสะคราญก็ยิ้มบางๆ ตอบว่า “ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ”

นักพรตหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง คราวนี้มองอย่างเพ่งพินิจอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ยังมองไม่ออกถึงกลิ่นอายที่พิเศษอะไรจากเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ สำนักที่พวกเขาอยู่ แม้ความสามารถในการมองโหงวเฮ้งและค้นหาฮวงจุ้ยจะไม่ได้ล้ำเลิศเป็นอันดับหนึ่งของทวีป แต่ก็ถือว่าค่อนข้างเชี่ยวชาญ ในเมื่อนักพรตหนุ่มคนนี้สามารถเป็นตัวแทนของสำนักมาทวงคืนวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะกลับคืน ทั้งยังเป็นผู้รับผิดชอบนำสมบัติพิทักษ์ขุนเขาชิ้นนั้นกลับไปอย่างปลอดภัย ในอนาคตยังต้องมอบมันให้แก่สำนัก แน่นอนว่าเขาย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นเมื่อเขามองไม่ออกถึงความอัศจรรย์ของเด็กหนุ่มจึงไม่มีความคิดที่จะรับตัวอีกฝ่ายกลับเข้าไปอยู่ในสำนักด้วยกัน นักพรตหนุ่มเชี่ยวชาญด้านการมองโหงวเฮ้งคนอื่น จึงไม่คิดว่าตัวเองจะมองผิด

สำนักของพวกเขาก็คือลัทธิเต๋าหนึ่งในสามลัทธิของแจกันสมบัติทวีปบูรพา ซ้ำอาจารย์ของคนทั้งสองยังเป็นผู้นำระบบลัทธิเต๋าแห่งทวีป จึงมีสถานะที่สูงศักดิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ครั้งนี้เขากับศิษย์พี่หญิงเฮ้อสองคนจับมือกันเดินทางออกจากขุนเขา เพื่อเป็นการตอบแทน ทั้งสองจึงมีสิทธิ์ที่จะรับรับศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริงซึ่งเป็นตำแหน่งอันล้ำค่าให้แก่สำนักคนละหนึ่งคน ขณะเดียวกันลูกศิษย์คนนี้ก็จะกลายมาเป็นศิษย์ของพวกเขาเองด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะเอามาใช้อย่างสิ้นเปลือง จำเป็นต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบและระมัดระวัง

คนทั้งสำนักต่างก็รู้เรื่องการให้ความสำคัญต่อใจในการฝึกตนของศิษย์พี่หญิงเฮ้อเป็นอย่างดี ดังนั้นประโยคเรียบง่ายที่ว่าให้เป็นไปตามธรรมชาติของนางนั้น อาจมีความเป็นไปได้มากว่านางเกิดความคิดที่จะรับคนเป็นศิษย์แล้ว

เขาและเฮ้อเสี่ยวเหลียงต่างก็ถูกขนานนามว่ากุมารทองและกุมารีหยกแห่งแจกันสมบัติทวีปบูรพา คือผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจของลัทธิเต๋าแห่งทวีป ต่อให้จักรพรรดิในโลกมนุษย์พบเจอพวกเขาก็ยังต้องปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาท ซ้ำพิธีการที่ใช้กับพวกเขายังไม่เป็นรองเจินจวินแห่งแคว้นเลยแม้แต่น้อย

เพราะพวกเขาคืออัจฉริยะในการฝึกตนที่มีความหวังว่าจะก้าวสู่ห้าขอบเขตบนมากที่สุดของทวีปนี้

เมื่อแม่ชีสาวจูงมือเด็กหญิงให้เดินลงมาจากหินหลังควายด้วยกัน กวางขาวที่รู้ใจนายก็เดินตามมาด้านหลังด้วย ไม่เพียงแต่นักพรตหนุ่มผู้เป็นศิษย์น้องร่วมสำนักเท่านั้นที่แปลกใจ แม้แต่บุคคลสำคัญของสำนักการทหารที่พกตราพยัคฆ์ ด้านหลังแบกกระบี่เล่มยาวคนนั้นก็ยังเผยสีหน้าตกตะลึง

เมื่อเห็นแม่ชีสาวเดินเข้ามาหาช้าๆ เฉินผิงอันก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มไม่ต้องการจะทักทายกับเทพเซียนที่มาจากต่างถิ่นเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

เพราะเฉินผิงอันรู้ดีว่าเพียงแค่อารมณ์รักใคร่เกลียดชังง่ายๆ ของพวกเขาก็สามารถตัดสินความเป็นความตาย ความรุ่งโรจน์ ความอัปยศของชีวิตตนได้แล้ว

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันก็ไม่ถึงกับเผ่นหนีหัวซุกหัวซุนเพราะเหตุผลแค่นี้ กลับกันเขายังคงเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ สายตาคนอื่นที่มองมาจึงเห็นว่าเขาใช้ได้อยู่บ้าง

กวางขาวเพิ่มความเร็วฝีเท้าจนกลายเป็นวิ่งเหยาะเบาๆ มาถึง มันเดินวนรอบร่างของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะรอบหนึ่ง สุดท้ายก้มหัวลง เป็นฝ่ายเอาหัวดุนดันตัวเด็กหนุ่มผู้ยากจน

จากนั้นกวางขาวก็กลับไปยืนข้างกายเจ้านายของตัวเอง นางลูบแผ่นหลังของมันอย่างอ่อนโยน นาทีถัดมามันก็กลายร่างเป็นม้า

กวางกลายเป็นม้า

แม่ชีสาวมองเฉินผิงอัน ก่อนถอนหายใจน้อยๆ หลังจากพูดประโยคหนึ่งด้วยรอยยิ้ม นางก็ก้มหน้าลงมองเด็กหญิงสวมชุดผ้าฝ้ายสีแดงที่อยู่ข้างกาย

เด็กสาวจึงอธิบายด้วยภาษาถิ่นของเมืองด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “พี่หญิงเฮ้อบอกว่า ‘เจ้าคือคนที่รู้จักถนอมโชคของตัวเอง น่าเสียดายที่เจ้าและข้าไม่มีวาสนาต่อกัน จึงไม่อาจเป็นสหายกันได้’”

เด็กหนุ่มยืนบื้อใบ้ เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรถึงจะไม่เสียมารยาท

แบกตะกร้าไม้ไผ่ สวมรองเท้าแตะ ม้วนขากางเกงขึ้นสูง เห็นได้ชัดว่าสภาพของเด็กหนุ่มน่าขำขันมากเป็นพิเศษ

แม่ชีถามยิ้มๆ “เจ้าเองก็รู้ถึงประโยชน์ของหินพวกนี้ด้วยหรือ? เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น”

เด็กหญิงยังคงแปลภาษาให้อย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงดังกังวาน

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ “มีนักพรตเต๋าท่านหนึ่งเคยเตือนข้า บอกว่าให้ข้ามาเก็บหินจับปลาที่ธารน้ำบ่อยๆ”

ต่อให้เฉินผิงอันจะรู้สึกดีต่อหญิงสาวผู้นี้ แต่ด้วยความระมัดระวังตัว เขาจึงไม่แม้แต่จะเปิดเผยชื่อแซ่ของนักพรตคนนั้น อีกทั้งคนที่เปิดเผยความลับสวรรค์ เปิดโปงว่าราคาของหินดีงูไม่ธรรมดา ต้องเป็นหนิงเหยาถึงจะถูก

แม่ชียิ้มบางๆ “เจ้าเองก็รู้จักอาจารย์อาน้อยลู่ของพวกเราคนนั้นด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันตะลึงงัน

แม่ชียิ้มอย่างเข้าใจ อธิบายคร่าวๆ ว่า “หากจะว่ากันตามความหมายที่เข้มงวดแล้ว อาจารย์อาน้อยลู่ไม่ถือว่าเป็นคนร่วมสำนักของพวกเรา เพียงแต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนนักพรตลู่เคยมาเยือนสำนักของพวกเรา เขาเป็นสหายรุ่นเดียวกับอาจารย์อาท่านหนึ่งของพวกเรา ไปอยู่ที่สำนักหลายปี เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเขา แน่นอนว่าย่อมชินที่จะเรียกเขาว่า ‘อาจารย์อาน้อย’”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง ใจที่คิดหวาดระแวงสลายไปสิ้น

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะซาบซึ้งในบุญคุณของนักพรตลู่คนนั้น ไม่มีทางลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต

เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงย่อเข่าปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง แล้วจึงหยิบหินหนึ่งในก้อนที่ก่อนหน้านี้แค่เห็นก็ถูกใจออกมา ขนาดของมันใหญ่เท่าไข่ไก่ เป็นสีเขียวแวววาว ใสสว่างราวน้ำแข็ง แตกต่างจากหินดีงูก้อนอื่นๆ พอยื่นส่งให้แก่แม่ชีสาวท่าทางนุ่มนวลแล้วก็ถามว่า “ท่านนักพรต วันหน้าหากเจอกับนักพรตลู่ ช่วยมอบหินก้อนนี้ให้เขาแทนข้าได้หรือไม่?”

หลังจากฟังคำอธิบายจากเด็กหญิงจบ นางก็ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย รับหินก้อนนั้นมาแล้วพูดช้าๆ ว่า “ก่อนหน้าจะมาที่นี่ ข้าได้เจอกับอาจารย์อาน้อยที่เพิ่งออกจากเมืองพอดี เขาบอกว่าจะไปงานพิธีสำคัญของสำนักระบบเต๋าซึ่งจัดขึ้นที่แคว้นหนันเจี้ยน คราวหน้าจะเจอเขาเมื่อไหร่ ไม่อาจบอกได้จริงๆ แต่ขอแค่ได้เจอกับอาจารย์อาน้อยลู่ ข้าจะต้องช่วยเจ้ามอบมันให้กับเขาแน่นอน”

เฉินผิงอันฟังที่เด็กหญิงพูดจบ รอยยิ้มก็ยิ่งเจิดจ้า หันไปโค้งตัวคำนับขอบคุณแม่ชีสาวที่หน้าตาดีมากคนนี้

สำหรับความดีความเลวของคนแปลกหน้า เด็กหนุ่มเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตัวเองมาโดยคลอด

ก็เหมือนกับที่เขารู้สึกต่อฝูหนันหัวและไช่จินเจี่ยน แล้วก็เหมือนกับที่เขารู้สึกต่อนักพรตลู่และแม่นางหนิง

เฉินผิงอันหยิบหินดีงูอีกก้อนออกมาส่งให้แก่นางอีกครั้ง

แม่ชีลัทธิเต๋าที่ถูกขนานนามว่า “โชควาสนาอันดับหนึ่ง” ในบรรดากลุ่มคนหนุ่มสาวของแจกันสมบัติทวีปบูรพาผู้นี้ก็ไม่ปฏิเสธ นางรับเอาไปพร้อมยิ้มตาหยี ไม่ลืมที่จะขอบคุณอีกฝ่าย

มือทั้งคู่ของเด็กหญิงชุดผ้าฝ้ายสีแดงบิดชายกระโปรง พูดเบาๆ ว่า “ข้าก็อยากได้ก้อนหนึ่ง”

เฉินผิงอันยิ้มแล้วหมุนตัวกลับไปเลือกก้อนหินในตะกร้าให้กับเด็กหญิง

เด็กหญิงวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเขา ถามอย่างระมัดระวังว่า “ข้าอยากได้ก้อนใหญ่สักหน่อย ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ขอแค่เจ้าแบกไปไหว ข้าก็จะมอบก้อนใหญ่ที่สุดให้แก่เจ้า แต่ว่าจากตรงนี้ไปถึงในเมือง แล้วก็ไปถึงบ้านเจ้าไม่ใช่ใกล้ๆ แถมข้ายังรู้สึกว่าหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในตะกร้านี้สู้ก้อนเล็กๆ ไม่ได้”

นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ใช้สองมือจับบนปากตะกร้า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเลือกก้อนเล็กๆ ที่สวยๆ หน่อย”

เฉินผิงอันจึงเลือกหินก้อนเล็กสีชมพูรากบัวมีประกายน้ำแวววาวดูน่ารักให้แก่นาง เด็กหญิงกำไว้ในมืออย่างพึงพอใจ

จู่ๆ นางก็เอียงศีรษะ ยิ้มกว้าง พอชี้ไปที่ฟันของตัวเองก็หัวเราะหึหึให้เฉินผิงอัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

คาดว่านางคงกำลังอวดว่าฝันของตัวเองขึ้นครบอีกครั้งแล้ว

เฉินผิงอันกล่าวอย่างอารมณ์ดี “คราวหน้าพวกเราไปจับจิ้งหรีดด้วยกัน”

ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกายวาบ แต่ไม่นานก็หม่นแสงลงอีกครั้ง พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มฝืนๆ

เฉินผิงอันแบกตะกร้าขึ้นหลัง บอกลากับแม่ชีสาว หันมาโบกมือให้เด็กหญิงแล้ววิ่งเหยาะๆ กลับไปทางเมืองเล็กเพียงลำพัง

เป็นเทพธิดาเหมือนกัน แก่นแท้อันดีงามของแม่ชีสาวผู้นี้กลับไม่ใช่สิ่งที่ไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองจะเทียบเคียงได้ ความดีงามของนางเป็นดั่งแก่นแท้แห่งทองคำในโลกของตระกูลเซียน

นางพาเด็กหญิงและกวางขาวย้อนกลับมาที่หินหลังควาย นักพรตหนุ่มดึงเส้นสายตากลับจากแผ่นหลังของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ พูดสรุปตอกปิดฝาโลงว่า “ไม่มีวาสนาแสดงว่าบุญน้อย ย่อมไม่อาจนำมาใช้ประโยชน์ในงานใหญ่ได้”

สำนักของลัทธิเต๋าในแจกันสมบัติทวีปบูรพามีมากดุจขนวัว ทุกๆ สามสิบปีจะต้องเลือกคู่ “กุมารทองกุมารีหยก” มาคู่หนึ่ง เขาและศิษย์พี่หญิงเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็คือคู่บำเพ็ญตนที่เกิดมาคู่กันของรุ่นนี้ เพียงแต่ว่าเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงกลับเกิดขึ้น พรสวรรค์ของกุมารทองไม่เป็นรองคนรุ่นก่อนๆ ทว่าความยอดเยี่ยมของโชควาสนากุมารีหยกกลับดีจนทำให้คนขนหัวลุก ตอนที่นางลืมตาดูโลกก็มีกวางขาวหนึ่งในสัตว์มงคลเป็นฝ่ายเดินออกจากป่าลึกมาเลือกนางเป็นนายด้วยตัวเอง หลังจากนางก้าวเดินอยู่บนวิถีแห่งการฝึกตนก็เหมือนจะไม่เคยเจออุปสรรคใดๆ ราบรื่นไปได้ตลอดทาง ทั้งยังมีคนทำนายว่าต้องรอให้นางก้าวไปถึงห้าขอบเขตบนเท่านั้นถึงจะเจออุปสรรคแรก

สำหรับความดูแคลนที่ศิษย์น้องมีต่อเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ นางไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงยิ้มตอบเท่านั้น

และในเวลานี้เอง เด็กหนุ่มร่างเตี้ยคนหนึ่งได้เดินจากธารน้ำบริเวณใกล้เคียงกับบ่อน้ำลึกใต้สะพานมาจนถึงหลุมน้ำใต้หินหลังควาย ในมือเขาถือหินดีงูไว้ก้อนหนึ่ง เวลานี้มันกำลังส่องประกายแสงเจิดจ้าท่ามกลางม่านราตรีไม่ต่างจากกวางขาวก่อนหน้านี้

เด็กหนุ่มท่าทางทึ่มทื่อถือก้อนหินไว้ในมือ เขาที่ยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่งซึ่งโผล่พ้นผิวน้ำประดุจเซียนค้ำฟ้าที่ในมือถือดวงจันทร์เต็มดวงขนาดเล็กเอาไว้

ปลาใหญ่สีแดงและสีเขียวสองตัวที่นักพรตหนุ่มเลี้ยงเอาไว้ไม่ได้ลงไปในน้ำ เพียงแค่ว่ายวนอยู่เหนือผิวน้ำของลำธารเล็กเท่านั้น

หากเฉินผิงอันมองเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็จะรู้ว่า เขาก็คือหลานของแม่เฒ่าหม่าตรอกซิ่งฮวา

เด็กหนุ่มเป็นมีท่าทางทึ่มทื่อมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่จึงรังเกียจ แม่เฒ่าหม่าเลยเป็นคนเลี้ยงดูหลานด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มแตกต่างจากคนทั่วไป เขามักจะปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อนั่งมองก้อนเมฆเป็นประจำ

ตั้งแต่เล็กจนโต เด็กหนุ่มแซ่หม่าที่อยู่กับแม่เฒ่าหม่าถูกคนรังแกจนถึงขั้นที่ว่า หากคนเหยียบเท้าเขาก็ยังต้องรู้สึกว่ารองเท้าสกปรก ดูเหมือนว่าเด็กที่น่าสงสารคนนี้จะเคยยิ้มให้กับจื้อกุยสาวใช้ตรอกหนีผิงเพียงคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นแม่เฒ่าหม่าจึงเคียดแค้นสาวใช้ผู้นั้นมากเป็นพิเศษ คิดว่านางคือนังจิ้งจอกไร้ยางอาย ต้องเป็นนางแน่นอนที่เป็นฝ่ายล่อลวงหลานชายที่รักของตน

แม่ชีสาวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มที่แบกกระบี่ยาวไว้ด้านหลัง ถามว่า “หม่าขู่เสวียนผู้นี้ ไม่เหลือที่ให้ปรึกษากันแล้วจริงๆ หรือ?”

ชายหนุ่มตอบเสียงเย็นชา “หากอาจารย์อาน้อยคนนั้นของพวกเจ้าอยากจะรับเด็กนี้เป็นลูกศิษย์เปิดภูเขาจริงๆ ทำไมถึงไม่มาทำเอง? ต่อให้ชื่อเสียงเขาโด่งดังแล้วจะอย่างไร? ไม่เคยสู้กับข้าเสียหน่อย แล้วทำไมข้าต้องยกให้เขาด้วย? หากเขาไม่ยอมแพ้ก็ให้เขาไปหาข้าที่เขาเจินอู่ หากชนะก็ให้เขาเอาตัวเด็กคนนี้ไป”

นักพรตหนุ่มยิ้มบางๆ “ทำอย่างนั้นก็มีแต่จะให้อาจารย์อาน้อยของพวกเราไปเสียเที่ยว แล้วจะต้องลำบากลำบนทำไม?”

ประโยคนี้ไม่ต่างจากสำลีซ่อนเข็ม

ชายหนุ่มแบกกระบี่ห้อยตราพยัคฆ์หรี่ตา “หืม?”

แม่ชีสาวมองศิษย์น้องร่วมสำนักด้วยความอึดอัดเล็กน้อย ทว่านักพรตหนุ่มเพียงแค่หัวเราะร่า ไม่คิดต่อปากต่อคำกับคนผู้นั้นอีก เพียงเงยหน้าพูดกับตัวเองว่า “คืนนี้พระจันทร์สวยจริงๆ”

นางละเหี่ยใจไม่น้อย

ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาจารย์อาน้อยของสำนักตนผู้นั้น อย่าว่าแต่นางและศิษย์น้องเลย ต่อให้เป็นนักพรตหนุ่มสาวทั่วทวีปก็คงรู้สึกมีเกียรติเพราะเขาไปด้วย

ตรงสะพาน ด้านล่างขั้นบันได มีหลวงจีนเปลือยเท้าคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของเขาเป็นสี่เหลี่ยม สีหน้าทระนงเด็ดเดี่ยว

หลวงจีนที่บำเพ็ญทุกรกิริยาผู้นี้ไม่ได้เงยหน้ามองกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง แต่มองพื้นดินที่ก่อนหน้านี้ซ่งจี๋ซินปักธูปลงไป เขายกนิ้วทั้งสิบขึ้นพนม ก้มหน้ากล่าวอย่างอาลัย “อามิตตาพุทธ”

เด็กหนุ่มร่างเตี้ยเดินขึ้นฝั่งมาที่หินหลังควาย มองนักพรตหนุ่มสาวสองคนที่ประดุจเซียนล่องลอย ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มสะพายกระบี่ผู้เงียบขรึม สุดท้ายจ้องเขม็งไปยังตราพยัคฆ์ของอีกฝ่ายแล้วพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าไม่อยากเรียนวิถีแห่งความเป็นอมตะที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่เจ้าช่วยสอนข้าฆ่าคนได้หรือไม่?!”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “การฝึกกระบี่ของสำนักการทหารของข้า นับแต่อดีตมาก็มีพลังการทำลายล้างเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”

นักพรตหนุ่มกล่าวยิ้มๆ เลียนแบบคำพูดอีกฝ่าย “หืม?”

แม่ชีสาวส่ายหน้า รู้ดีว่าสถานการณ์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว จึงอดละอายใจต่ออาจารย์อาน้อยที่ไหว้วานตนมาไม่ได้

แล้วทันใดนั้นปราณกระบี่ก็พุ่งทะยานอยู่บนหลังหินควาย บรรยากาศพลันเคร่งเครียด

เด็กสาวชุดแดงตระกูลหลี่รีบเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังพี่สาวเทพเซียน

เด็กสาวชุดเขียวเพิ่งจะกินขนมชิ้นสุดท้ายเสร็จ กำลังอารมณ์ไม่ดี จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พวกเจ้าแน่จริงก็ไปตีกับพ่อข้าโน่น!”

ชายหนุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับนางและบิดาของนางไม่ตีหน้าเคร่งอีกต่อไป หันมายิ้มเอาใจ “จะตีอย่างไรเล่า?”

นักพรตหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “หร่วนซิ่ว แบบนี้รังแกกันไปหน่อยละมั้ง พ่อเจ้าคือเซิ่งเหรินคนถัดไปที่รับตำแหน่งแทนท่านฉี ก็แทบไม่ต่างอะไรกับเป็นเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้”

เด็กสาวชุดเขียวเบ้ปาก ไม่พูดอะไร

หลวงจีนค่อยๆ เดินขึ้นมาบนหินหลังควาย

แม่ชีสาวจึงกล่าวว่า “เจดีย์เซวี่ยอินของสำนักพุทธพวกเจ้า ตราเทียนซือของลัทธิเต๋าพวกเรา บวกกับเนินกระบี่เล็กแห่งหนึ่งของสำนักการทหาร แน่นอนว่ายังต้องมีเครื่องหยกซานชิวของสำนักขงจื๊ออีกอันหนึ่ง วัตถุคว้าชัยสี่ชิ้นที่เซิ่งเหรินสี่ท่านทิ้งไว้ในอดีต ไม่พูดถึงว่าฝ่ายในของสำนักขงจื๊อพวกเขาแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไร เอาแค่พวกเราสามฝ่าย ครั้งนี้ต่างคนต่างเอาของของตัวเองกลับไป แม้ว่าจะถูกต้องสมเหตุสมผล แต่ถ้าหากไม่ไปทักทายท่านฉีสักคำจะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?”

หลวงจีนรูปนั้นไม่เอ่ยคำใด

นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ก็ดูไม่มีมารยาทจริงๆ นั่นแหละ แต่โองการเหนือหัวยากจะละเมิด ศิษย์พี่หญิงก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”

คนของสำนักการทหารเอ่ยแขวะ “ข้าไม่ได้มาเพื่อแสดงมารยาทกับใครสักหน่อย”

—-

ในเมืองเล็ก เฉินผิงอันกลับมาถึงตรอกที่ตั้งของบ้านหลิวเสี้ยนหยาง กลับพบว่าท่านฉีมายืนรออยู่ที่หน้าประตู

เด็กหนุ่มวิ่งเร็วๆ เข้าไปหา ไม่รอให้เขาเอ่ยถาม ฉีจิ้งชุนก็มอบตราประทับส่วนตัวสองชิ้นให้แก่เขาพลางยิ้มบางๆ “เฉินผิงอัน ไม่ได้ให้เจ้าเปล่าๆ แต่เป็นเพราะข้ามีเรื่องจะขอร้อง วันหน้าหากสำนักศึกษาซานหยามีเรื่องเดือดร้อน หวังว่าเจ้าจะยื่นมือช่วยเหลือถ้ามีความสามารถ แน่นอนว่าเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องคอยสืบข่าวของสำนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา”

เด็กหนุ่มพูดคำเดียวว่า “ได้!”

ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “จงจำคำว่า ‘สุภาพชนไม่ช่วย’ ที่ข้าเคยบอกกับเจ้าก่อนหน้านี้ไว้ให้ดี นั่นคือคำพูดจากใจจริงของข้า หาใช่พูดเพื่อหยั่งเชิงใจใคร”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “ท่านฉี ข้อนี้ข้าไม่กล้ารับรองหรอก”

ฉีจิ้งชุนขยับปากเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูด ทำท่าจะจากไป

เดิมทีเขาอยากพูดว่า วันหน้าหากสำนักศึกษาซานเหยาเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันรู้สึกเสียใจ ก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจ ถือซะว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็พอ ไม่จำเป็นต้องจงใจสืบหา

แต่ไม่รู้ว่าทำไม ลึกๆ ในใจของฉีจิ้งชุนถึงมีความหวังอยู่เสี้ยวหนึ่ง ซึ่งแม้แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

คิดไปคิดมา เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาคนนี้ก็ได้คำตอบหนึ่ง นั่นก็เพราะว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ชื่อเฉินผิงอันคนนี้ เขาไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเท่าใดนัก

เรื่องที่เจ้าไหว้วานเขาเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือแสน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายแล้วต่อให้พยายามอย่างสุดความสามารถ เด็กหนุ่มก็ทำไม่ได้ แต่เจ้ากลับมั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นคือขอแค่เขารับปาก เขาก็จะต้องทำให้ได้ หากออกแรงสิบส่วนแล้วยังทำไม่ได้ เขาก็ยินดีกัดฟันออกแรงเพิ่มเป็นสิบสองส่วน

นี่คือสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ

เดิมทีนี่คือเรื่องที่ฉีจิ้งชุนแสวงหาอย่างยากลำบากมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้รับ บัณฑิตที่เป็นฝ่ายเรียกร้องให้เนรเทศตัวเองมาไว้ที่นี่ ก็เพียงแค่เพราะรู้สึกว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ล้วนไม่ใช่บ้านของตน

ในขณะที่ฉีจิ้งชุนหมุนตัวเตรียมจะจากไป เด็กหนุ่มที่ยังแบกตะกร้ารีบร้อนยกมือขึ้นคารวะอย่างเปลืองแรง

ในตรอกมืดมิด เซิ่งเหรินสำนักขงจื๊อคำนับกลับเด็กหนุ่มอย่างเคร่งครัด ตั้งใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version