บทที่ 15 กำราบ
ในขณะที่เด็กหนุ่มเดินอยู่ในตรอกหนีผิงก็เจอเข้ากับจื้อกุยสาวใช้ของซ่งจี๋ซินพอดี หลังจากที่นางพาหญิงสาวร่างสูงไปส่งที่บ้านของกู้ช่านแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน แต่ออกจากซอยไปเดินเล่นดูร้านค้าเล็กๆ ที่อยู่ในตรอกซิ่งฮวา แม้ว่าจะไม่ได้ซื้ออะไร แต่อารมณ์ของนางก็ยังดีอยู่ไม่น้อย จึงกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงไปตลอดทาง
เด็กสาวที่เติบโตจากชนบทบ้านป่าซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นอายของต้นไม้ใบหญ้า เมื่อเทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่เก็บซ่อนตัวอยู่ในจวนหลังโตโอ่อ่าแล้วย่อมมีกิริยาที่แตกต่างกัน
พอนางเห็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาวางตัวสำรวมเหมือนเช่นที่เคยทำ แต่พอสาวเท้าเร็วๆ เบี่ยงตัวเดินผ่านเขาไปแล้วกลับหยุดชะงักฝีเท้า จ้องมองเพื่อนบ้านที่ไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนักคนนี้แล้วทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
เฉินผิงอันยิ้มให้นาง ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ผ่านนางไป จากนั้นเขาก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ
จื้อกุยที่ยืนอยู่ตรงปากทางเข้าตรอกหนีผิงหันมองตามเขาเงียบๆ เด็กหนุ่มยากจนข้นแค้นที่วิ่งตะบึงอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ดูคล้ายแมวป่าเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตตัวหนึ่งที่คอยวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วทิศ แม้หน้าตาจะไม่โดดเด่น แต่กลับแข็งแกร่ง ทรหดอดทน
เด็กสาวไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในเมืองแห่งนี้เท่าใดนักเพราะผลพวงมาจากนิสัยประหลาดของเด็กหนุ่มซ่งจี๋ซิน ไม่ว่าสาวใช้ที่ถูกตั้งชื่อว่าจื้อกุยจะไปตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็ก ไปซื้ออาหาร หรือไปซื้ออุปกรณ์ในห้องหนังสือมาเพิ่มให้แก่คุณชายของตัวเองก็มักจะให้ความรู้สึกแปลกแยก ไม่เข้ากับผู้คนเสมอ และนางเองก็ไม่มีเพื่อนวัยเดียวกัน บางครั้งที่เจอคนรู้จักก็ไม่ค่อยพูดค่อยจา สำหรับชาวบ้านของเมืองเล็กที่ชื่นชอบความสนุกสนานครึกครื้นแล้ว เด็กสาวที่เป็นเช่นนี้จึงยากที่จะให้ความสนิทสนมด้วยได้
ในด้านนี้แม้ว่าสภาพการณ์ของเฉินผิงอันจะคล้ายคลึงกับสาวใช้จื้อกุยอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ แม้ว่าเด็กหนุ่มเองก็ไม่ค่อยพูดเหมือนกัน ทว่าในความเป็นจริงแล้วนิสัยของเขาไม่เคยเป็นที่รังเกียจของผู้คน
กลับกันคือเด็กหนุ่มมีนิสัยอ่อนโยนและเป็นมิตร เขาไม่เคยทำตัวก้าวร้าวขัดหูขัดตาใคร เพียงแต่เป็นเพราะความยากจน ซ้ำยังเสียงานที่เตาเผามังกรไป จึงเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนบ้านไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันนัก แน่นอนว่าในบรรดากลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในตรอกหนีผิงเองก็มีข้อห้ามบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้อย่างแน่ชัดเกี่ยวกับวันเกิดของเด็กหนุ่มอยู่จริง
วันที่ห้าเดือนห้า ตามประเพณีของเมืองแห่งนี้ถือเป็น ‘วันอัปมงคล’ ที่ห้าพิษปรากฏขึ้นพร้อมกัน[1] เด็กหนุ่มเกิดในวันนี้ บวกกับที่บิดามารดาของเขาต่างก็จากโลกนี้ไปแล้ว เฉินผิงอันกลายมาเป็นเพียงต้นกล้าโดดเดี่ยวต้นสุดท้ายของครอบครัว แน่นอนว่าย่อมทำให้คนรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ที่ชอบไปหาเรื่องสนุกทำใต้ต้นไหวโบราณที่ค่อนข้างจะวางตัวห่างเหินกับเด็กหนุ่ม อีกทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้เด็กๆ ในตระกูลของตนใกล้ชิดกับเฉินผิงอัน แต่ทุกครั้งที่เด็กๆ เหล่านั้นทำสีหน้าไม่เต็มใจ ซักไซ้ถามว่าเพราะเหตุใด เหล่าผู้เฒ่ากลับพูดไม่ออก
และเวลานี้เองที่ชายร่างสูงเพรียวผู้หนึ่งเดินออกจากตรอกเล็กมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเด็กสาว สาวใช้จื้อกุยหันหน้ากลับมามอง ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดจะเสวนาด้วยแม้แต่คำเดียว คนผู้นั้นจึงหมุนตัวเดินเคียงบ่านางกลับเข้าไปในตรอกหนีผิงอีกครั้ง เขาก็คือฉีจิ้งชุนอาจารย์แห่งสถานศึกษา บัณฑิตผู้เป็นลูกศิษย์สำนักขงจื๊ออย่างแท้จริงเพียงคนเดียวของเมืองเล็ก
เด็กสาวไม่หยุดฝีเท้า ยังคงก้าวต่อไปด้วยสีหน้าเย็นชา
“พวกเราสองคน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง (เปรียบเปรยว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกัน) ไม่ดีหรอกหรือ? อีกอย่างท่านก็อย่าลืมล่ะว่า ก่อนหน้านี้เป็นเพราะตัวท่านได้เปรียบมีสถานะสูงศักดิ์กว่า ข้าเป็นเพียงสาวใช้ชาติกำเนิดต่ำต้อย แน่นอนว่าย่อมได้แค่อดกลั้นฝืนทน แต่เมื่อช่วงไม่นานที่ผ่านมา ดูเหมือนสำนักที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างไกลกี่สิบล้านลี้ของท่านแห่งนั้นจะเกิดปัญหา ใช่ไหม? ตอนนี้ท่านจึงเป็นเพียงน้ำบ่อ ส่วนข้าคือน้ำคลอง!”
อาจารย์ฉี แขกผู้ไม่ได้รับเชิญของตรอกหนีผิงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หวังจู ช่างเถอะ ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จะเรียกเจ้าว่าจื้อกุยก็แล้วกัน จื้อกุย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า แม้เจ้าจะได้รับการดูแลจากฟ้าดินจึงถือกำเนิดขึ้นมาเพราะโชคชะตา แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่มีวิธีปราบความชั่วร้าย?
หรือเจ้ารู้สึกว่าเมื่อหลายพันปีก่อนที่อริยะสี่ท่านผู้เป็นดั่งเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง พร้อมใจกันจับมือเยื้องกรายมายังที่แห่งนี้แล้วตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นด้วยตัวเอง เป็นเพียงคำพูดปากเปล่าโดยที่ไม่ได้ทิ้งวิธีการรับมือไว้ภายหลัง? จะว่าไปแล้ว เจ้าก็เป็นแค่กบในกะลาตัวหนึ่งเท่านั้น ฟ้านั้นสูง แผ่นดินก็กว้างใหญ่เกินกว่าที่ทัศนียภาพในกะลาของเจ้าจะเทียบเทียมได้”
เด็กสาวขมวดคิ้ว “อาจารย์ฉี ท่านเองก็ไม่ต้องเอาคำพูดพวกนี้มาข่มขู่ข้า ข้าไม่ใช่ซ่งจี๋ซินนายน้อยของข้าที่สนใจในคำพูดเลิศหรูฟังดูสง่างามของท่าน แล้วก็ไม่เคยเชื่อ ไม่สู้ท่านพูดเข้าประเด็นจะดีกว่า จะเป็นจะตายก็ดี จะอยู่ร่วมกันหรือจะแยกย้ายก็ช่าง ข้าล้วนพร้อมน้อมรับ”
ปัญญาชนสำนักขงจื๊อวัยกลางคนพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า “ข้าขอแนะนำเจ้าว่าเมื่อออกไปจากกรงขังแห่งนี้แล้ว วันหน้าก็อย่าได้กลับเข้ามาอีก จับปลาในบ่อที่น้ำแห้งขอดล้วนไม่เป็นผลดีกับใคร โดยเฉพาะเมื่อเจ้าและเขาต่างก็เหยียบย่างลงบนมหามรรคาแห่งการฝึกตน ไม่ว่าจะได้เป็นคู่บำเพ็ญตนกันหรือไม่ ก็ควรจะเก็บความห้าวเหิมลงไป อย่าได้ทำตัวโอหัง วางอำนาจบาตรใหญ่ นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นถ้อยคำจากใจจริงก่อนที่ต้องจากกัน ถือว่าเป็นคำเตือนด้วยความหวังดีจากข้า”
ตามหลักแล้วสถานะของคนทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว ทว่าสาวใช้จื้อกุยกลับไม่มีท่าทางนอบน้อม ซ้ำยังเหมือนจะวางตัวข่มปัญญาชนสำนักขงจื๊ออยู่ด้วย
นางเอ่ยเย้ยหยัน “ความหวังดี? หลายพันปีที่ผ่านมา พวกผู้ฝึกตนที่เก่งกาจอย่างพวกท่านทำตัวสูงส่งเหนือผู้ใด กำหนดพื้นที่หนึ่งให้เป็นดั่งกรงขัง มองสถานที่แห่งนี้เป็นเทือกสวนไร่นา ปีนี้เก็บเกี่ยว ปีหน้าถอนดึง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา นับพันปีไม่เคยเปลี่ยน ทำไมพอมาตอนนี้ถึงเริ่มคิดจะ ‘ทำดี’ กับมารผจญอย่างข้าได้เล่า
ฮ่าๆ ข้าเคยได้ยินคุณชายพูดประโยคหนึ่งที่พวกเจ้าหลายคนนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน ประโยคที่บอกว่า เมื่อไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์เดียวกัน ย่อมมีใจแตกต่าง ใช่หรือไม่? ดังนั้นจะโทษอาจารย์ฉีก็ไม่ได้ เพราะอย่างไรซะ…”
ท่านฉีที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่องก้าวออกไปเบาๆ หนึ่งก้าว หันมาตอบครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง “อ้อ?”
เมื่อก้าวนั้นเหยียบลงพื้น สาวใช้จื้อกุยก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าคนทั้งสองมายืนอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ รอบด้านมืดสนิทจนมองไม่เห็นห้านิ้วของตัวเอง มีเพียงด้านบนเหนือศีรษะห่างไปไกลเท่านั้นที่มีเส้นแสงซึ่งแฝงเร้นไว้ด้วยปราณศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนสาดส่องลงมา
พวกเขาเหมือนตกอยู่ใต้บ่อน้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น และปากบ่อก็มีแสงอาทิตย์เหลืองอร่ามสาดทอ
อาภรณ์สีเขียวของปัญญาชนวัยกลางคนมีประกายแสงพลิ้วไหวเป็นระลอกไม่หยุดนิ่ง
พลังพิสุทธิ์ยิ่งใหญ่และซื่อตรงเปล่งประกายเจิดจ้า
เด็กสาวมีสีหน้าดุร้ายก่อนเป็นอันดับแรก แต่เพียงไม่นานก็กลับคืนสู่ท่าทางเฉยชาอีกครั้ง นางพึมพำว่า “เสียงแห่งพระธรรมเป็นดั่งฟ้าผ่าที่ดังข้างหูไม่หยุดพักตลอดหกสิบปี อักขระยันต์ของลัทธิเต๋าเป็นดั่งหนอนที่ชอนไชกัดแทะไปทั่วกระดูกตลอดหกสิบปี ปราณพิสุทธิ์ยิ่งใหญ่แผ่ปกคลุมดาวเดือน ไร้ที่ให้หลบหนีตลอดหกสิบปี ปราณกระบี่แห่งสำนักการทหารดุจแผ่นดินไหว ไม่มีที่ใดที่ฝุ่นไม่ฟุ้งตลบ ทุกๆ หกสิบปีก็คือหนึ่งวัฏจักรสังสาร
สามพันปีเต็มแล้ว ไม่เคยมีวันใดที่ได้อยู่อย่างสงบสุขสักวัน…ข้าอยากจะรู้นักว่ารากฐานแห่งมหามรรคาของพวกท่านอยู่แห่งหนใด ตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาวของท่าน หลักคำสอนยิ่งใหญ่ยามที่ท่านถ่ายทอดความรู้หรือไขข้อข้องใจ ข้าล้วนได้เห็นและได้ยิน แต่กลับหาไม่เจอ…”
นางเหม่อมองชายวัยกลางคนที่แผ่ปราณแห่งความเที่ยงธรรม ผู้ที่เป็นอาจารย์ไร้ชื่อเสียงแห่งเมืองกันดาร แล้วก็เป็นฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยาลัทธิขงจื๊อ ปัญญาชนคนหนึ่งที่แม้แต่ขันทีผู้กุมอำนาจของราชวงศ์ต้าสุยก็ยังต้องเรียกว่า ‘ท่าน’
เด็กสาวพลันคลี่ยิ้ม เอ่ยถามว่า “ท่านจะสอนข้า โน้มนำให้ข้ากระทำความดีอย่างไร? หากข้าจำไม่ผิด บรมครูผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักขงจื๊อและหนึ่งในบรรพาจารย์ลัทธิเต๋าต่างก็เคยกล่าวไว้ว่า ‘การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น’ ไม่ใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า “ต่อให้อธิบายคำสอนของอริยะกับเจ้าเป็นหมื่นคำก็ไร้ประโยชน์”
มองดูเหมือนเด็กสาวกำลังพูดคุยกับนักปราชญ์สำนักขงจื๊อผู้นี้อย่างผ่อนคลาย แต่อันที่จริงร่างทั้งร่างของนางกลับขึงเกร็งประหนึ่งคันธนูที่ถูกง้างสุดสาย หางตากวาดมองไปรอบด้านไม่หยุดหวังเสาะหาช่องโหว่ที่จะคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้า
ปัญญาชนสำนักขงจื๊อแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของนาง เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน “ข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีความโกรธแค้น ความอาฆาตพยาบาทและจิตสังหารที่เปี่ยมล้น ข้าไม่ใช่คนที่ไร้ปราณีต่อคนต่างเผ่า เพียงแต่เจ้าควรรู้ว่าการมีการุนยจิตและเมตตาปราณีที่เกินความจำเป็น หาใช่หลักคำสอนที่แท้จริงของสามลัทธิไม่”
“นายน้อยของข้ามักจะบ่นเป็นประจำว่า การโต้เถียงเรื่องหลักการกับพวกบัณฑิตเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด” เด็กสาวกระตุกยิ้มมุมปาก หรี่ดวงตาที่มีลูกตาดำเป็นสีทองทับซ้อนกันสองชั้นคู่นั้นลง “ที่แท้ท่านก็ใกล้จะตายแล้วจริงๆ แน่นอนว่าย่อมไม่มีสิ่งใดให้ยำเกรง จึงยิ่งไม่ควรมีเรื่องด้วย…”
เขายิ้มตอบ “คุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่ขอแค่ข้าฉีจิ้งชุนยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีสิทธิ์เฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้ มารผจญเนรคุณอย่างเจ้า ก็อย่าหวังว่าจะผยองได้!”
เด็กสาวชี้มาที่ตัวเอง ถามยิ้มๆ ว่า “ข้าน่ะหรือเนรคุณ?”
นักปราชญ์ขงจื๊อวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาล “ปีนั้นตอนที่เจ้าอ่อนแอที่สุดจนจำต้องก้มหัวเป็นฝ่ายยอมทำข้อตกลงกับมนุษย์ ใครที่ช่วยเหลือเจ้ากลางตรอกหนีผิงในวันที่หิมะตกหนัก?! แล้วใครที่ตลอดหลายปีมานี้คอยกลืนกินโชคชะตาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาไปทีละนิด?!”
เด็กสาวกล่าวกลั้วหัวเราะ “หิวก็ต้องหาอะไรกินให้ท้องอิ่ม นี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้วหรอกหรือ? อีกอย่าง เดิมทีเขาก็ไม่มีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อะไรอยู่แล้ว ตายเร็วก็ได้ไปเกิดเร็ว ไม่แน่ว่าชาติหน้าอาจพอมีหวังอยู่บ้าง หากปล่อยคนอย่างเขาที่ไม่ต่างจากจอกแหนไร้รากไว้ในเมืองเล็กแห่งนี้ หึ นั่นมันก็ช่าง…”
นักปราชญ์ขงจื๊อสะบัดแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ตวาดขึ้นว่า “หุบปาก!”
ปัญญาชนตะคอกอย่างฉุนเฉียว “ความลี้ลับแห่งมหามรรคา หลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ที่ประจักษ์ชัดแจ้ง มีหรือที่คำพูดคำเดียวของคนอย่างเจ้าจะตัดสินได้?! ชีวิตของแต่ละคนมีโชควาสนาแตกต่างกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปเลือกแทนคนอื่น?!”
เหนือศีรษะของเด็กสาวพลันมีมือยักษ์สีทองส่องแสงสุกสกาวโผล่พรวดออกมา พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามดุจฝ่ามือของพระศากยมุนีที่กดลงมาปราบมาร ทั้งเหมือนฝ่ามือสยบความชั่วร้ายของบรรพจารย์แห่งเต๋าที่กดทับลงบนศีรษะของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว บีบให้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนางลงไปนั่งคุกเข่า หน้าผากโขกพื้นอย่างแรง
เสียงโขกศีรษะดังตึงอึงอล
มือทั้งคู่ของเด็กสาวที่ก้มหน้ายันอยู่กับพื้น พยายามจะลุกขึ้น นางที่บัดนี้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าส่งเสียงหัวเราะชวนขนหัวลุก “พวกเจ้าบังคับให้ข้าก้มหัวได้ แต่ข้าไม่มีทางยอมรับผิดเด็ดขาด!”
มือใหญ่สีทองที่พลังอำนาจเปี่ยมไพศาลกดศีรษะของนางไว้ ก่อนจะดึงขึ้นแล้วกดลงไป ให้นางโขกศีรษะอีกครั้ง
คราวนี้เสียงดังสนั่นดุจเสียงฟ้าผ่ายามวสันตฤดู
ปัญญาชนสำนักขงจื๊อตวาดเสียงหนัก “อย่าลืมล่ะ! ชีวิตครั้งนี้ อริยะผู้เฒ่าเป็นผู้มอบให้เจ้า หาใช่เจ้าช่วงชิงมาเองไม่! หาไม่แล้วอย่าว่าแต่สยบเจ้าสามพันปีเลย ต่อให้สามหมื่นปี จะไปยากอะไร?!”
เด็กสาวที่ถูกกดศีรษะไว้ตลอดเวลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “วิถีสุนัขของพวกเจ้า ให้ตายข้าก็ไม่เดิน!”
ปราชญ์สำนักขงจื๊อยกมือขึ้นสูงแล้วตบลงไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างแรง “บังอาจ! จงสยบให้ข้า!”
ท่ามกลางเส้นแสงสีทองอร่ามที่สาดส่องลงมาจากปากบ่อพลันมีตราประทับหยกขาวสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวจั้งกว่าชิ้นหนึ่งโผล่ขึ้นมา ตราประทับสลักอักษรเก่าแก่สีแดงสดแสบตาไว้แปดตัว สายฟ้าสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนแลบปลาบล้อมวนอยู่รอบตราประทับคอยส่งเสียงดังลั่นเปรี้ยงๆ
เมื่อฉีจิ้งชุนออกคำสั่ง ก็เรียกได้ว่าเพียงเปล่งถ้อยคำเวทคาถาก็ตามมาดั่งที่เล่าลือกันอย่างแท้จริง ตราประทับขนาดใหญ่ยักษ์จึงดิ่งฮวบจากด้านบน กระแทกลงใส่กระดูกสันหลังของเด็กสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ตราประทับขนาดใหญ่ยักษ์ที่แฝงเร้นไว้ด้วยพลานุภาพกดดันจากหลักเกณฑ์แห่งสวรรค์ชิ้นนี้เหมือนไม่ใช่วัตถุที่จับต้องได้ จึงไม่ได้กดทับให้เด็กสาวนอนหมอบลงไปกับพื้น แต่หอบหุ้มสายฟ้าและพายุกระโชกแรงให้ฝังเลื่อมลงไปในพื้นดินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่ามีเพียงอานุภาพน่าครั่นคร้ามแต่ภายนอก ทว่าพลังแท้จริงกลับอ่อนด้อย
แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ร่างทั้งร่างของเด็กสาวก็เหมือนถูกอะไรหนักๆ กระแทกให้กระดูกทั่วร่างแตกหัก จึงนอนพังพาบลงไปบนพื้น สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
ต่อให้เป็นเช่นนี้ นิ้วทั้งห้าของเด็กสาวก็ยังหงิกงอเป็นตะขอ พยายามเต็มที่ที่จะใช้เล็บทั้งห้าขีดเขียนตัวอักษรลงบนพื้น
ฉีจิ้งชุนสีหน้าไร้อารมณ์ กล่าวเสียงเย็น “โขกหัวสามครั้ง คือให้เจ้าเคารพต่อฟ้าดิน! สรรพชีวิต! มหามรรคา!”
สายตาของเด็กสาวเหม่อลอย ไม่ได้ตอบกลับ
ฉีจิ้งชุนสะบัดแขนเสื้อเบาๆ สลายอานุภาพยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนหายใจไม่ออกทิ้งไป “ข้าฉีจิ้งชุนเป็นเพียงนักปราชญ์ใต้สังกัดของท่านอริยะที่เอาตัวไม่รอดเท่านั้น แต่ก็ยังกำราบให้เจ้าโขกศีรษะได้สามครั้ง เมื่อเจ้าออกไป หากยังทำตัวตามอำเภอใจ ไม่กลัวจริงๆ หรือว่าจะเจอกับบุคคลที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าเจ้า ซึ่งเพียงแค่เขาชี้นิ้วครั้งเดียวก็บดขยี้เจ้าให้เป็นจุลได้แล้ว?”
ฉีจิ้งชุนถอนหายใจ “เจ้าอยู่ที่นี่ ถูกคุมขังควบคุม ไม่มีอิสระก็จริง แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า บนโลกใบนี้จะมีคำว่าอิสระที่แท้จริงได้อย่างไร บรมครูของสำนักขงจื๊อข้าตั้งระเบียบมารยาทมากมาย ก็ไม่ใช่เพราะหวังแสวงหาอิสระอีกอย่างหนึ่งให้แก่อาณาประชาราษฎร์หรอกหรือ? ขอแค่เจ้าไม่ล้ำเส้น ไม่ละเมิดกฎ เพียงแค่เคารพในมารยาทประเพณี สักวันหนึ่ง ฟ้าดินกว้างใหญ่ จะมีที่ใดที่เจ้าไปเยือนไม่ได้?”
เด็กสาวเงยหน้าจ้องนักปราชญ์สำนักขงจื๊อเขม็ง
ฉีจิ้งชุนเดินออกมาหนึ่งก้าว
ฟ้าดินกลับคืนเป็นปกติ เขาและสาวใช้จื้อกุยกลับมาที่ตรอกหนีผิงอีกครั้ง แสงอาทิตย์อบอุ่น ลมแห่งฤดูใบไม้ผลิโชยพลิ้ว
เด็กสาวลุกขึ้นยืนโซซัดโซเซ ใบหน้าซีดเซียว คลี่ยิ้มน้อยๆ เผยให้เห็นฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบ “คำสั่งสอนของท่านในวันนี้ บ่าวจำขึ้นใจแล้ว”
ฉีจิ้งชุนหมุนกายจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
นางพลันถามขึ้นว่า “ต่อให้ข้าเนรคุณต่อเฉินผิงอันจริง แต่ท่านที่เป็นลูกศิษย์ผู้โดดเด่นของอริยะเล่า เหตุใดถึงนิ่งดูดาย? เหตุใดถึงโปรดปรานแค่ลูกศิษย์อย่างจ้าวเหยาและคุณชายของข้า แต่กับเฉิงผิงอันที่ชาติกำเนิดธรรมดา ท่านกลับเฉยชาใส่? นี่ต่างจากพ่อค้าที่หากมีสินค้าพิเศษก็เก็บไว้เก็งราคาอย่างทะนุถนอม แต่ถ้าเป็นสินค้าชั้นเลวกลับปฏิบัติด้วยอย่างไม่แยแส จะขายได้ราคาดีหรือไม่ก็ไม่สนใจตรงไหน?”
ฉีจิ้งชุนคลี่ยิ้ม “วิถีฟ้าดำเนินไปอย่างแข็งขัน บัณฑิตเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง”
เด็กสาวงงงัน
เงาร่างของปัญญาชนสำนักขงจื๊อหายไปตรงสุดปลายทางของตรอกขนาดเล็ก สีหน้าของเด็กสาวพลันเต็มไปด้วยความดูหมิ่น ก่อนจะทำเสียงถุยแรงๆ ไล่หลังอีกฝ่าย
นางเดินกะเผลกกลับบ้านตัวเอง ตอนที่ผ่านบ้านของเฉินผิงอัน นางพลันสูดจมูก ขมวดคิ้วอย่างฉงนสนเท่ห์ เพียงแต่เนื่องจากการฝึกตนของปราชญ์สมควรตายผู้นั้นพังทลาย ความลับแห่งสวรรค์ที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ล้วนถูกเปิดเผย จึงเหมือนเรือลำน้อยที่มีรูรั่วทั่วลำเรือ นางทั้งเอาตัวเองไม่รอด ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องวางแผนอย่างละเอียดสำหรับอนาคต จึงคร้านที่จะสนใจ
เมื่อนางผลักประตูบ้านให้เปิดออก งูสี่ขาตัวหนึ่งที่มองปราดๆ ไม่สะดุดตานักซึ่งไม่รู้ว่าออกมาจากหลืบมุมใดได้วิ่งมาหยุดอยู่ข้างเท้านางอย่างรวดเร็ว จึงโดนนางเตะกระเด็นด้วยความโมโห
—-
ในห้องของเฉินผิงอัน นักพรตหนุ่มนั่งอยู่ข้างเตียง เขาก้มหน้าก้มตาด้วยความขัดเขิน
เด็กสาวชุดดำที่ก่อนหน้านี้ไม่นานยังเหมือนคนใกล้ตาย ตอนนี้กลับสามารถลุกขึ้นนั่งได้ด้วยตัวเองแล้ว นางกำลังนั่งขัดสมาธิ ไม่ได้สวมหมวก จึงเผยให้เห็นดวงหน้าที่สร้างความทรงจำอย่างลึกล้ำให้แก่คนมอง
แม้เด็กสาวจะเป็นโฉมงามล่มบ้านล่มเมืองคนหนึ่ง แต่ว่าความทระนงองอาจ ความมีชีวิตชีวาของนางที่มากเหลือล้นกลับทำให้คนส่วนใหญ่มองข้ามความงดงามของใบหน้านางไป
คิ้วทั้งคู่ของเด็กสาวไม่เหมือนกิ่งหลิว แต่เหมือนดาบเรียวยาว
เมื่อนางใช้สายตาที่เต็มไปด้วยแววของการตรวจสอบพินิจพิเคราะห์จ้องมองนักพรตหนุ่ม ฝ่ายหลังจึงกระวนกระวาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย แต่กลับร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ
นักพรตหนุ่มกระแอมหนึ่งที ก่อนจะรีบออกตัว “แม่นาง นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ข้านักพรตผู้ต่ำต้อยเป็นคนช่วยชีวิต ส่วนคนที่แบกเจ้าเข้ามาในห้อง ปลดหมวกคลุมหน้า แล้วก็ล้างหน้าล้างตาให้เจ้าอะไรพวกนั้นคือคนอื่น
เขาชื่อเฉินผิงอัน คือเจ้าของบ้านเก่าโทรมหลังนี้ คือเด็กหนุ่มที่ยากจนดุจถ่านดำ พ่อแม่ตายไปแล้วทั้งคู่ เคยเป็นช่างปั้นที่เตาเผามังกร แล้วก็เคยมาขอให้ข้าช่วยเขียนยันต์ให้แผ่นหนึ่ง คร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละ หากแม่นางยังมีอะไรอยากจะถาม ข้านักพรตผู้ต่ำต้อยรู้เรื่องใดย่อมต้องบอกเจ้าหมดแน่นอน”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงถูกเขาขายจนหมดตัวเช่นนี้
เด็กสาวพยักหน้ารับ ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธ เพียงแค่กล่าวประโยคที่เต็มไปด้วยความจริงใจอย่างคนใจกว้างว่า “ขอบคุณท่านนักพรตที่ช่วยชีวิต”
นักพรตหนุ่มที่หัวใจเต้นกระหน่ำรัวแรงยิ่งกว่าเดิมหัวเราะแห้งๆ “ไม่เป็นไรๆ เรื่องเล็กน้อย แม่นางปลอดภัยก็ดีแล้ว”
เด็กสาวชุดดำถามว่า “ท่านนักพรตไม่ใช่คนของบุรพแจกันสมบัติทวีป?”
นักพรตหนุ่มถามกลับ “แม่นางก็ไม่ใช่ ใช่ไหม?”
นาง “อืม” รับหนึ่งคำ
นักพรตเต๋าจึง “อืม” รับตามไปด้วย
นักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้านักพรตผู้ต่ำต้อยแซ่ลู่ นามเฉิน ไม่มีฉายาเต๋า เรียกว่านักพรตลู่ก็พอ”
เด็กสาวพยักหน้ารับเบาๆ สายตาเหลือบมองกวานที่ครอบศีรษะของอีกฝ่าย
นักพรตหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะปลุกความกล้าให้ตัวเอง กล่าวว่า “แม้ว่าบางเรื่องเด็กหนุ่มคนนั้นอาจทำอะไรขัดต่อขนบธรรมเนียมไปบ้าง แต่ด้วยสถานการณ์คับขัน บวกกับที่นักพรตผู้ต่ำต้อยไม่คิดว่าแม่นางจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ ดังนั้นหากมีจุดใดที่ล่วงเกินไป หวังว่าแม่นางจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”
เด็กสาวยิ้มตอบ “นักพรตลู่ ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล”
นักพรตหนุ่มหัวเราะร่า “อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นก็ดี”
เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มของนักพรตหนุ่มจึงแข็งค้าง
นางกวาดตามองไปรอบด้านด้วยสายตาสงบ แล้วจึงเอ่ยเหมือนชวนคุยว่า “ข้าได้ยินมาว่า ‘อาจารย์หร่วน’ มือหลอมกระบี่อันดับหนึ่งของทวีปแห่งนี้จะมาเปิดเตาหลอมกระบี่ที่นี่ ข้าเดินทางมาก็เพราะหวังว่าเขาจะช่วยหลอมกระบี่เล่มหนึ่งให้แก่ข้า”
นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “หากเป็นเขาจริงๆ ล่ะก็ คิดจะให้เขาหลอมกระบี่ให้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”
เด็กสาวชุดดำมีท่าทางงุ่นง่านอย่างเห็นได้ชัด “ใช่แล้ว ยากมาก”
และเวลานี้เอง เด็กหนุ่มที่มือซ้ายหิ้วห่อยาสมุนไพรหลายห่อ มือขวาหิ้วห่อกระดาษเล็กๆ อีกห่อหนึ่งก็เคาะประตูตามมารยาทก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นถึงก้าวเร็วๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา เอาห่อยาวางไว้บนโต๊ะพลางพูดเบาๆ ว่า “ท่านนักพรต ลองดูว่ามีอะไรผิดหรือไม่ ถ้าผิด ข้าจะได้เอาไปเปลี่ยนเสียเดี๋ยวนี้”
ในที่สุดเด็กหนุ่มที่มือขวายังถือห่อกระดาษก็หันหน้ากลับมาทางเด็กสาว และนาทีนั้นเด็กสาวชุดดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงก็ได้ประสานสายตากับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ
เด็กสาวชุดดำกล่าวเรียบๆ ว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก บิดาข้าแซ่หนิง มารดาข้าแซ่เหยา เพราะฉะนั้นข้าจึงชื่อหนิงเหยา”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะตอบกลับโดยพลัน “ยินดีที่ได้รู้จัก บิดาข้าแซ่เฉิน มารดาข้าก็แซ่เฉิน เพราะฉะนั้น…”
สีหน้าของเด็กหนุ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานเขาก็คลี่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าชื่อเฉินผิงอัน!”
—-
[1] เนื่องจากวันที่ 5 เดือน 5 เป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศจีน ชาวจีนเชื่อว่าฤดูร้อนมักจะมีโรคภัยไข้เจ็บและสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น โดยเฉพาะสัตว์มีพิษ และห้าพิษในที่นี้หมายถึงสัตว์มีพิษที่ประกอบด้วยแมงป่อง งู ตะขาบ คางคกและตุ๊กแก