บทที่ 14 วันที่ 5 เดือน 5
นักพรตหนุ่มคิดหาข้ออ้างมากมายไว้รอเผชิญกับคำถามว่า ‘ใคร’ ของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเสียดิบดี เพียงแต่ที่เหนือการคาดการณ์ของเขาก็คือ ประตูบ้านกลับถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มผู้ยากจนข้ามผ่านขั้นตอนนั้นไปโดยตรง
ตรอกหนีผิงคือหนึ่งในตรอกที่คับแคบที่สุดของเมืองเล็กแห่งนี้ รถเข็นสองล้อของนักพรตเต๋าย่อมไม่มีทางจอดขวางถนนด้านนอกได้
ยังดีที่แม้เฉินผิงอันจะร่างผอมแห้งดั่งไม้ฟืน แต่อันที่จริงกลับมีเรี่ยวแรงไม่น้อย ช่วยนักพรตหนุ่มดันรถเข็นที่ค่อนข้างหนักเข้ามาในลานบ้านจึงไม่เปลืองแรงเขาเท่าไหร่ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรสักคำ
พอประตูบ้านถูกปิดลงแล้ว นักพรตหนุ่มถึงได้รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นี่แทบไม่ต่างจากคนหน้าด้านคนหนึ่งไปยืมเงินคนอื่นถึงบ้าน แล้วเจ้าบ้านต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี หากแขกยังมีความดีงามหลงเหลืออยู่ในใจบ้างย่อมลำบากใจที่จะเอ่ยปาก
ไหนๆ ก็ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาพูดแล้ว นักพรตหนุ่มคิดว่ารีบเข้าประเด็นให้เรื่องจบๆ ไปจะดีกว่า ดังนั้นจึงเลิกผ้าฝ้ายที่คลุมบนรถเข็นออก เผยให้เห็นเด็กสาวชุดดำที่นอนตะแคงข้างขดตัวอยู่ หมวกคลุมหน้าของนางเอียงกะเท่เร่ แต่ไม่ยักหล่นหาย ยังคงทำหน้าที่ปกปิดโฉมหน้าของเจ้านายมันเอาไว้
ไม่รู้ว่าทำไม พอผ้าห่มบางๆ ผืนนี้ถูกเลิกออกถึงมีกลิ่นคาวลอยโชยมาปะทะจมูก เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าชุดสีดำของนางมีเลือดซึมออกมา เฉินผิงอันไม่ทันคิดว่าทำไมผ้าห่มเล็กๆ ผืนหนึ่งถึงสามารถกลบกลิ่นคาวเข้มข้นขุมนี้ไว้ได้อย่างมิดชิด เด็กหนุ่มเพียงแค่เดินถอยหลังออกมาหลายก้าว ถามว่า “ท่านนักพรต ท่านคิดจะทำอะไร?”
นักพรตหนุ่มตอบ “ช่วยคน! นางได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีใครในเมืองนี้ยินดีช่วยนาง ก็ไม่แปลกที่พวกเขาไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่น ดังนั้นข้าคิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่อาจเป็นข้อยกเว้น”
คำพูดเขาเหมือนไปจี้ใจเฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงถามว่า “นางได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”
นักพรตเต๋าตอบหน้าตาเฉยว่า “เมื่อครู่นี้ตอนที่นักพรตผู้ต่ำต้อยเข็นรถผ่านซุ้มประตูเห็นว่าเด็กสาวต่างถิ่นคนนี้พูดว่าจะขึ้นไปคัดลอกลายจากกรอบป้ายคำว่า ‘ชี่ชงโต้วหนิว’ จากนั้นนางก็หอบหิ้วเอาพวกแปรง พวกถุงใส่อุปกรณ์ลอกลายปีนขึ้นไปบนเสาช้าๆ ส่วนอะไรคือการลอกลายน่ะหรือ จะพูดยังไงดีล่ะ ก็คือการคัดลอกภาพดั้งเดิม ส่วนใหญ่แล้วก็มีแต่พวกปัญญาชนว่างงานเท่านั้นที่มักจะทำกัน จะให้อธิบายข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้กระจ่าง
เอาเป็นว่าพอแม่นางน้อยคนนี้ปีนขึ้นไปแล้วก็ลอดตัวขึ้นไปนั่งบนคาน ทำเอานักพรตต่ำต้อยที่มองอยู่อกสั่นขวัญผวา จำต้องหยุดเดินแล้วเอ่ยเตือนให้นางระวัง ใครเลยจะคิดว่านางที่ตั้งใจมากเกินไปจู่ๆ จะร่วงตุ้บลงมากระแทกพื้นเข้าอย่างจัง เจ้าเองก็รู้ว่าพื้นตรงซุ้มประตูไม่เหมือนพื้นในตรอกหนีผิงของพวกเจ้า มันแข็งพอๆ กับแผ่นหินเขียวบนถนนฝูลวี่ คราวนี้ก็ดีนัก แรงกระแทกคงทำให้ตับไตไส้พุงของนางบาดเจ็บ ข้าคือบรรพชิต จำเป็นต้องมีจิตใจเมตตากรุณา จะให้นิ่งดูดายก็คงไม่ได้ ถูกไหม?
ตลอดทางที่เดินผ่านมา แต่ละบ้านต่างก็รังเกียจที่นางเลือดโซมกาย เพิ่งจะปีใหม่มาได้ไม่นาน อัปมงคลเกินไป มีหรือจะยอมรับนางเข้าไปในบ้าน ข้าเองก็เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แล้วก็เพราะอับจนหนทางจริงๆ ถึงได้มาหาเจ้า คำพูดอาจไม่น่าฟังสักหน่อย แต่ถ้าแม้แต่เจ้าก็ยังไม่ยินดีรับนางไว้ นักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าก็ไม่ใช่เทพเซียนที่สามารถดึงคนกลับออกมาจากประตูผีได้ ก็คงได้แต่รอให้ลมหายใจของแม่นางคนนี้หมดลง แล้วค่อยไปหาสถานที่สักแห่ง ขุดหลุม ตั้งป้าย แล้วก็จบเรื่องกันไป”
นักพรตเต๋าจงใจพูดรัวเร็ว บางคำก็ออกเสียงไม่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าคิดจะหลอกล่อให้เด็กหนุ่มมึนงง รอให้จบเรื่องไปได้ก่อนค่อยว่ากันอีกที การเริ่มต้นเป็นเรื่องยากเสมอ แต่เมื่อลองได้เริ่มแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องเดินไปคำนวณไป ฟ้ามีทางออกให้คนเราเสมอ เมื่อใบไม้ร่วง ดอกไม้ก็ย่อมต้องเบ่งบาน
สีหน้าของเฉินผิงอันซับซ้อน มองนักพรตหนุ่มที่สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง ก่อนจะเหลือบมองไปยังเด็กสาวชุดดำที่นอนหายใจรวยริน กลิ่นอายแห่งความตายแผ่คลุมไปทั่วร่าง หลังจากต่อสู้กับความคิดของตัวเองอยู่ในหัวพักใหญ่ถึงพยักหน้า “จะช่วยยังไง?”
นักพรตหนุ่มหน้าบานเป็นกระด้งทันใด “เยี่ยมเลย! มีประโยคนี้ของเจ้าเฉินผิงอันก็ถือว่าสำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง อย่าไปมองว่าอาการของนางดูน่ากลัวเหมือนพญายมขีดชื่อนางบนหนังสือเป็นตายแล้ว อันที่จริงนางไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิดหรอก…
แน่นอนว่าที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นความจริงทุกคำ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความลี้ลับหลายประการ ยกตัวอย่างเช่นความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่ของแม่นางคนนี้แรงกล้านัก นอกจากนี้บนร่างของนางก็คล้ายจะมีวิชาสืบทอดอะไรบางอย่างจากต้นตระกูล จึงสามารถรักษาหัวใจและอวัยวะภายในที่สำคัญของร่างกายนางเอาไว้ได้
อีกอย่างก็คือเมืองเล็กแห่งนี้ของพวกเราคือสถานที่ที่น่าสนใจมาก มักมีของประหลาดอยู่มากมาย หากได้กินหรือได้จับมาก็ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น”
นักพรตหนุ่มพลันคืนสติ ตระหนักได้ว่าตัวเองเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ออกมามากเกินไปจึงหัวเราะแห้งๆ “อย่างไรเสียเจ้าก็ฟังไม่เข้าใจ ใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มตอบจริงจัง “ฟังไม่เข้าใจ แต่จำไว้แล้ว”
นักพรตหนุ่มลองถามหยั่งเชิง “ดังนั้นตอนที่เจ้าอยู่ในบ้านแล้วได้ยินเสียงเคาะประตู จึงรู้ว่าเป็นนักพรตผู้ดูดวงอย่างข้า?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ใช่”
นักพรตหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง “ความทรงจำเจ้าดีมากหรือ? ดีมากแค่ไหน?”
เด็กหนุ่มเหลือบมองเด็กสาวชุดดำที่หายใจแผ่ว นักพรตหนุ่มจึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้นางอยู่ในสภาวะที่ลี้ลับเกินจะหยั่ง ยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายร่างกายได้ตามใจชอบ ทางที่ดีที่สุดควรจะรอสักครู่”
เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “สิ่งใดที่ข้าได้เห็น มักจะจดจำได้ง่ายกว่าฟังจากคนอื่นพูด”
นักพรตหนุ่มซักต่อ “ยกตัวอย่างเช่น?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “ยกตัวอย่างเช่นเคล็ดลับ ‘ยก-มีด’ ของอาจารย์เหยาผู้คุมเตาเผามังกรที่ถือเป็นเคล็ดวิชาร้ายกาจที่สุดในบรรดาช่างปั้นเครื่องดินเผาทั้งหมดในเมืองของเรา อันที่จริงข้าดูแค่รอบเดียวก็จดจำรายละเอียดทั้งหมดได้แล้ว แต่ว่า…”
นักพรตหนุ่มรับคำยิ้มๆ “แต่มือไม้ของเจ้ากลับไม่เคยตามทัน ใช่หรือไม่?”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย พยักหน้ารับแรงๆ
นักพรตหนุ่มยิ้มอย่างเข้าใจ “แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความร้ายกาจที่แท้จริงของเคล็ดลับตาเฒ่าเหยาอยู่ที่ไหน?”
สีหน้าของเฉินผิงอันหม่นลง “ก่อนหน้านี้ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ภายหลังหลิวเสี้ยนหยางบอกกับข้าว่า ผู้เฒ่าเหยาบอกว่าเคล็ดลับยก-มีดนี้ หากคิดจะทำให้ได้ดีที่สุดต้องมีใจที่มั่นคง ไม่ใช่แค่มือที่มั่นคงอย่างเดียว พอข้าได้ยินประโยคเหล่านี้ก็เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อก่อนข้าใจร้อนเกินไป ยิ่งใจร้อนเท่าไหร่ มือก็ยิ่งสั่น ยิ่งสั่นก็ยิ่งทำผิดพลาดได้ง่าย พอทำพลาด ข้าก็เห็นได้อย่างชัดเจน รู้ได้เลยว่าตัวเองทำไม่เหมือนผู้เฒ่าเหยาตรงไหน แต่พอทำต่อก็ยิ่งร้อนใจ ดังนั้นการขึ้นรูปของข้าจึงย่ำแย่ที่สุดในบรรดาคนที่ทำงานอยู่ในเตาเผามังกร”
นักพรตหนุ่มกล่าวเรียบๆ ว่า “คำโบราณบอกไว้ว่า ครูชี้นำทาง บ่มสร้างอยู่ที่ตน แต่เขาที่เป็นอาจารย์กลับไม่เคยคิดชี้นำแนวทางให้แก่เจ้า แล้วเจ้าจะบ่มสร้างตัวเองได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเงอะงะซุ่มซ่าม ไม่ต้องเปรียบเทียบกับหลิวเสี้ยนหยาง เอาแค่นักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ข้าก็ยังเทียบไม่ได้ ผู้เฒ่าเหยาไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาก็ไม่แปลก”
นักพรตหนุ่มพลันหัวเราะ “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่า ‘ใจมั่นคง’ นี้ บรรลุได้ยากแค่ไหน? มันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำความเข้าใจได้ เจ้าไม่ควรดูถูกตัวเองเกินไปนัก”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ก็เหมือนการจับปลาในลำธารเล็ก ข้ายืนอยู่ตรงจุดที่น้ำลึกไม่ถึงเข่า ก้มตัวลงไปจับปลาก็คือจับ แต่บางคนที่ว่ายน้ำเก่งดำลงไปตรงน้ำลึก กลั้นหายใจอยู่นานจนจับปลาได้ ก็คือจับเหมือนกัน แม้จะเป็นการจับปลาเหมือนกัน แต่ท่านนักพรตคงเข้าใจกระมังว่าสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน?”
นักพรตหนุ่มหัวเราะร่า ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แล้วจู่ๆ พลันพูดว่า “พวกเรามาเริ่มช่วยคนกันได้แล้ว”
เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ที่เดิม นักพรตหนุ่มจึงอึ้งตามไปด้วย “ยืนเหม่อทำไม อุ้มแม่นางคนนี้เข้าไปวางบนเตียงในบ้านสิ!”
เฉินผิงอันยังคงไม่ขยับเขยื้อน “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
นักพรตเต๋ากล่าวด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยหลักการแห่งฟ้าดิน “แน่นอนว่าต้องช่วยแม่นางเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสะอาด แล้วก็ไปร้านยาหาซื้อยาบำรุงมาให้นาง จากนั้นก็ได้เวลาที่นักพรตผู้ต่ำต้อยต้องออกโรงแสดงฝีมือแล้ว”
เฉินผิงอันถามหน้าดำ “พอแม่นางตื่นขึ้นมา ข้าจะถูกนางตบจนตายหรือไม่?”
นักพรตหนุ่มตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง! เจ้าคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนาง บนโลกใบนี้จะมีคนที่เนรคุณคนแบบนั้นได้ยังไง?!”
เฉินผิงอันไม่กล่าวโต้ตอบ
นักพรตเต๋ากระแอมหนึ่งที ท่าทีพลันอ่อนลง “คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ถามหยั่งเชิงไปว่า “บ้านข้างๆ มีแม่นางคนหนึ่งชื่อจื้อกุย ให้นางมาทำเรื่องพวกนี้ดีไหม?”
นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ไม่ได้ นี่แหละที่เป็นปัญหาสำคัญ”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดึงดันต่อ เพียงนั่งยองลงไป เอามือสองข้างเกาหัว
นักพรตหนุ่มถามขึ้นกะทันหัน “เจ้ามีอะไรอยากจะถามไหม? นักพรตผู้ต่ำต้อยอาจจะไม่สามารถไขข้อกังขาทั้งหมดของเจ้าได้ก็จริง แต่จะพยายามเลือกตอบในเรื่องที่ตอบได้ ดีไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน “ช่วยนางก่อน”
นักพรตหนุ่มค่อยๆ คลี่ยิ้ม “ประเสริฐ!”
เขาแอบสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ เพื่อสยบกระบี่บินที่ทำท่าจะบินออกมาให้อยู่ในฝักตามเดิม
เฉินผิงอันแบกเด็กสาวขึ้นหลังแล้วเดินเข้าไปในห้อง วางนางลงบนเตียงไม้ที่มีผ้าห่มปูทับเบาๆ เตียงไม้ที่ก่อนหน้านี้ถูกหลิวเสี้ยนหยางนั่งทับจนหักเพิ่งจะได้รับการซ่อมแซมเมื่อไม่นาน ใต้เตียงรองม้านั่งตัวยาวเอาไว้
นักพรตหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูตามเข้ามา กวาดสายตามองไปรอบด้าน ที่เรียกว่าบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านก็คงเป็นอย่างนี้นี่เอง (บ้านมีแต่ผนังสี่ด้านเปรียบเปรยถึงคนที่ยากจนข้นแค้น)
นักพรตหนุ่มตบหัวตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปหยิบพู่กันและกระดาษเตรียมเขียนเทียบยาให้เด็กหนุ่มไปหาซื้อตัวยา
พอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง นักพรตหนุ่มก็ส่ายหน้า จงใจมองข้ามเตียงไม้นั่นไป ในใจคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงต้องรับผลกรรมครั้งนี้แล้วอย่างแน่นอน
ที่แท้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ขอบเตียงได้ถอดหมวกของเด็กสาวชุดดำออก เผยให้เห็นใบหน้าซีดขาวที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของนางแล้ว
คำว่าเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดก็น่าจะเป็นภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มในเวลานี้
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบม้านั่งตัวหนึ่งมาวางข้างเตียงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเดินเร็วๆ ไปยังมุมหนึ่งของห้อง ตรงนั้นวางชั้นไม้ขนาดเล็กที่จัดวางถ้วยชามอย่างเป็นระเบียบไว้ชั้นหนึ่ง ข้างชั้นไม้มีอ่างน้ำเล็กๆ ที่มีฝาไม้ครอบทับเอาไว้เพื่อกันแมลงวัน ในอ่างน้ำบรรจุน้ำที่ไปตักมาจากบ่อโซ่เหล็กของตรอกซิ่งฮวา
เด็กหนุ่มหยิบถ้วยไม้และกระบวยขึ้นมา นั่งยองลงข้างอ่างน้ำ ใช้กระบวยตักน้ำสะอาดเทลงไปในถ้วยไม้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเอาผ้าฝ้ายสะอาดผืนหนึ่งวางบนขอบถ้วย ยกมาวางไว้บนม้านั่งข้างเตียง แล้วจึงเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือดให้กับเด็กสาวที่ถูกถอดหมวกออก
นักพรตหนุ่มหันมองตามพลางยกกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือขึ้นมา “บนถนนฝูลวี่มีร้านยาเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง เจ้าเอาเทียบยานี้ไปซื้อยาที่ร้านนั้น”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสงสัย “ไหนก่อนหน้านี้ท่านนักพรตบอกว่า…”
นักพรตหนุ่มทำหน้าตาใสซื่อ กะพริบตาปริบๆ “ใช่สิ นักพรตผู้ต่ำต้อยบอกว่าตอนที่เจ้าไปซื้อยาต้องระวังให้มาก อย่าให้เป็นที่สังเกตมากเกินไป จะได้ไม่เป็นที่ครหาจนแม่นางคนนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง”
เฉินผิงอันร้องอ้อรับหนึ่งคำ เขาใช้ผ้าฝ้ายเช็ดทำความสะอาดพลางถามไปด้วย “ท่านนักพรตมีเงินซื้อยาหรือไม่?”
นักพรตหนุ่มเครียดขึ้นมาทันที “เจ้าไม่มีรึ?”
เฉินผิงอันวางถ้วยไม้ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบเหรียญทองแดงสีทองเหรียญหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ “ท่านนักพรต ข้าเอาของสิ่งนี้แลกกับเงินธรรมดาของท่าน ส่วนจะแลกอย่างไร ท่านนักพรตกำหนดมาได้เลย”
นักพรตหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เหรียญทองแดงเหรียญนี้มากพอจะซื้อของที่อยู่ในเทียบยาได้แล้ว ข้าจะไปนำเงินมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
ไม่นานนักพรตเต๋าก็กลับมาพร้อมกับเหรียญทองแดงทั่วไปหนึ่งถุงและเศษเงินเม็ดเล็กอีกหลายเม็ด แล้วมอบให้เฉินผิงอันพร้อมกัน
เฉินผิงอันเอ่ยกำชับว่า “น้ำถ้วยนี้ข้าจะกลับมาเทเอง ท่านนักพรตไม่ต้องช่วย ซ่งจี๋ซินที่อยู่บ้านข้างๆ เป็นคนชอบเรื่องแปลกใหม่ หากเขาเห็นเข้าจะไม่ดี”
นักพรตหนุ่มถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินผิงอัน เจ้าไม่มีคำถามที่อยากจะถามเลยหรือ?”
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ชั่งน้ำหนักของเหรียญทองแดงและเงินเม็ดอยู่ชั่วครู่จนมีคำตอบในใจตัวเองคร่าวๆ แล้วจึงเก็บลงไปอย่างระมัดระวัง ส่งสายตาเป็นนัยให้ออกไปคุยกันข้างนอก
หลังจากคนทั้งสองเดินข้ามธรณีประตูออกมาแล้ว เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็เงยหน้าขึ้น เอ่ยเนิบช้า “ข้ารู้ว่าพวกท่านต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วตอนผู้เฒ่าเหยาเมาสุราเคยพูดว่า เมืองเล็กของพวกเราไม่เหมือนกับเมืองอื่น ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่เรื่องประหลาด ผู้คนก็แปลกประหลาด แต่จะให้บอกว่าแปลกตรงไหน ผู้เฒ่าเหยาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน คราวนี้กู้ช่านบอกข้าว่าถ้วยขาวธรรมดาๆ ของนักเล่านิทานสามารถเทน้ำที่มีปริมาณเท่าน้ำในอ่างน้ำขนาดใหญ่ออกมาได้ แม้ว่ากู้ช่านจะเป็นเด็กน่ารำคาญ แต่ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้โกหก ก็เหมือนกับที่…”
เด็กหนุ่มหยุดชะงักไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยต่อว่า “ก็เหมือนกับที่วันนี้ตอนอยู่ในตรอกมีสตรีร่างสูงคนหนึ่งใช้นิ้วชี้ดีดหน้าผากข้าหนึ่งครั้ง และใช้ฝ่ามือตบมาที่หัวใจของข้าหนึ่งที สุดท้ายนางบอกว่าอีกไม่นานข้าต้องตาย ข้ารู้ว่าที่นางพูดคือเรื่องจริง”
สีหน้าของนักพรตหนุ่มเครียดขรึม
สุดท้ายเฉินผิงอันกล่าวว่า “ท่านนักพรตบอกว่าหากเผายันต์ที่ท่านเขียนให้ จะนำพาความโชคดีไปสู่พ่อแม่ของข้า อันที่จริงข้าก็เชื่อท่านนักพรต ดังนั้นตอนที่ท่านนักพรตมาถึงแล้วบอกให้ช่วยคน ข้าถึงไม่ได้พูดอะไร แต่ข้าหวังว่าท่านนักพรตจะช่วยรับปากข้าสักเรื่องหนึ่ง หากท่านรับปาก หลังจากนี้จะให้ข้าทำอะไรก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น หากท่านนักพรตไม่รับปาก เมื่อไปซื้อยากลับมาแล้วช่วยท่านนักพรตต้มเสร็จ ข้าก็คงต้องไล่ท่านไปแล้ว”
นักพรตเต๋าถาม “มีเงื่อนไขอะไร ไหนเจ้าลองพูดมาสิ”
เด็กหนุ่มที่สุขุมมั่นคงเกินวัยพลันมีท่าทางลำบากใจ “พ่อแม่ข้าด่วนจากไปเร็วนัก ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องมากมายตอนเด็ก ข้าถึงจำได้หมด แต่มีเพียงหน้าตาของพ่อแม่เท่านั้นที่เลือนรางเหลือเกิน ภายหลังข้ามีชีวิตรอดมาได้เพราะอาศัยข้าวและน้ำที่เพื่อนบ้านหยิบยื่นให้ มีครั้งหนึ่งข้าบังเอิญได้ยินคนพูดว่า ข้าเกิดวันที่ห้าเดือนห้า ฟังจากน้ำเสียงของพวกเขา วันนั้นคงจะไม่ใช่วันมงคลสักเท่าไหร่ และเพื่อนบ้านบางคนก็พูดตรงยิ่งกว่านั้น…”
เด็กหนุ่มพูดอ้อมไปไกล หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ก้มหน้า เอ่ยเสียงแผ่วต่ำตรงเข้าประเด็น “ข้าหวังว่าหลังจากที่ท่านนักพรตช่วยคนแล้ว ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหาก ถ้าหากมีวันหนึ่งจู่ๆ ข้าตายไป ท่านนักพรตช่วยให้ชาติหน้าข้าได้ไปเกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่ข้าอีกครั้งได้หรือไม่?”
นักพรตหนุ่มเงียบงัน
เฉินผิงอันยิ้มแหย ยกมือเกาหัว “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อันที่จริงใต้หล้ามีเรื่องแบบนี้เสียที่ไหน ข้าทำให้ท่านนักพรตต้องลำบากใจแล้ว”
นักพรตเต๋ายิ้มเจื่อน “แล้วแม่นางคนนั้นล่ะ จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันพลันหันหลังให้นักพรตเต๋า ยกหมัดขึ้นโบกไปมา พูดล้อเล่นอย่างที่ไม่ทำมาก่อน “นางสวยขนาดนั้น ข้าไม่ช่วยก็โง่น่ะสิ!”
นักพรตหนุ่มมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่แสร้งทำเป็นผ่อนคลายผลักประตูเดินจากไป
เด็กหนุ่มที่เดินอยู่ในตรอกหนีผิงเหมือนจะนึกถึงใครขึ้นมา น้ำตาจึงไหลนองเต็มใบหน้า