บทที่ 17 เมื่อได้รับความไม่เป็นธรรมจึงต้องร้องเรียน
เวลานี้ฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่ากำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับเด็กหนุ่มแซ่ซ่ง มือทั้งคู่ของเขาประคองกาน้ำชาขนาดเล็กที่สลักคำว่าซานเซียวไว้ตรงก้นกา สายตาคอยพินิจพิจารณารอยสลักนั้นอย่างละเอียดราวกับกำลังชื่นชมเรือนกายอรชรของโฉมสะคราญงามล่มเมืองคนหนึ่ง ต่อให้มองเป็นร้อยรอบก็ไม่เบื่อ เดี๋ยวก็เพ่งพินิจ เดี๋ยวก็ลูบคลำ เดี๋ยวก็พ่นลมเป่าใส่
ฝูหนันหัวทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาได้เกือบครึ่งชั่วยามแล้ว เรียกได้ว่าถูกใจจนวางไม่ลง คนบางคนหรือของบางอย่างมักจะทำให้ใครสักคนเกิดความรักความชื่นชอบตั้งแต่แรกพบได้เสมอ สำหรับฝูหนันหัวที่มีนิสัยช่างเลือกแล้ว กาน้ำชานี้ก็คือของที่ว่านี้
แม้ระหว่างคำว่าเก็บได้ของดีกับคำว่าถูกตบตาจะมีเพียงเส้นกั้นบางๆ แต่ฝูหนันหัวมั่นใจว่าคราวนี้ตนเป็นฝ่ายแรก อีกทั้งท่ามกลางบรรดาสำนักมากมายทางทิศใต้ของบุรพแจกันสมบัติทวีป นครมังกรเฒ่าที่เขาอยู่อาศัยก็ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับต้นๆ ดังนั้นฝูหนันหัวจึงเคยพบเจอลูกหลานตระกูลเซียนที่สูงศักดิ์อย่างแท้จริงมาแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้ไช่จินเจี่ยนยอมอ่อนข้อให้แก่เขา
ซ่งจี๋ซินหาวหวอด ขดตัวเปลี่ยนท่าที่สบายกว่าเดิมอยู่บนเก้าอี้นอน เอ่ยถามน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “พี่ฝู ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าของสิ่งนี้เป็นของจริงแท้แน่นอน พวกเราก็ควรจะคุยเรื่องราคากันได้แล้วหรือเปล่า?”
ฝูหนันหัวที่น้อยครั้งจะถูกคนเรียกขานว่าพี่ว่าน้องข่มกลั้นความรู้สึกไม่คุ้นชินที่เกิดขึ้นในใจลงไป ก่อนจะวางกาซานเซียวลงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ความจริงใจของข้ามีมากเท่าใด น้องซ่งย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ หาไม่แล้วข้าก็คงไม่พูดตรงไปตรงมา เพียงพบหน้าก็บอกให้รู้ถึงราคาที่แท้จริงของกาชิ้นนี้ แล้วก็ยิ่งไม่มีท่าทีอิดออด กลับกันคือเปิดเผยให้รู้อย่างชัดเจนว่าข้าต้องการครอบครองมัน ทุกอย่างนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเราทั้งสองฝ่ายต้องถกเถียงเรื่องราคาให้เสียเวลา ทั้งยังเสียความรู้สึกต่อกันด้วย
น้องซ่ง ข้าฝูหนันหัวมองเจ้าเป็นคนรู้ใจบนเส้นทางแห่งการฝึกตนในกาลภาคหน้าแล้ว ตอนนี้เราสามารถแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสบายใจ วันหน้าจะได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข หรือแม้แต่ร่วมเป็นร่วมตายกันหรือไม่นั้น ก็คงต้องดูว่าก้าวแรกที่พวกเราเดินในวันนี้มั่นคงพอหรือไม่แล้วล่ะ”
ซ่งจี๋ซินยื่นนิ้วชี้ไปยังคุณชายสวมกวานทรงสูงที่มีสีหน้าจริงใจพลางยิ้มตาหยี “พี่ฝู ข้ามันคนหยาบกระด้าง เห็นแก่เงิน แน่นอนว่ามิตรก็อยากมี เพียงแต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนต้องนั่งลงคุยกันเรื่องผลประโยชน์ หากมีคนมาพูดถึงความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับข้า ข้าก็อดถามตัวเองในใจไม่ได้ว่า วันหน้าหากต้องการพูดเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับคนแบบนี้ แท้จริงแล้วในใจของเขาจะกำลังคิดถึงผลประโยชน์อยู่หรือเปล่า?”
สีหน้าของฝูหนันหัวเย็นชาลง เอนตัวพิงผนักเก้าอี้ด้านหลัง นิ้วข้างหนึ่งเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างอ่อนโยนจึงไม่มีเสียงดังเกิดขึ้น
ซ่งจี๋ซินทำเหมือนไม่รับรู้ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปของฝูหนันหัว “ที่เรียกเจ้าว่าพี่ฝู ทั้งยังเอากาชิ้นนี้ออกมาให้เจ้าได้เห็น ถือเป็นความจริงใจของข้าแล้ว ในเมื่อทุกคนต่างก็อยากให้การแลกเปลี่ยนสำเร็จผล ถ้าอย่างนั้นก็ควรตรงไปตรงมาสักหน่อย พี่ฝูเสนอราคามา ข้าจะบอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ข้าจะให้โอกาสเจ้าเสนอราคาสองครั้ง หากครบสองครั้งแล้วก็เท่ากับว่าเมื่อผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว (เปรียบเปรยว่าโอกาสหายาก ควรรีบคว้าโอกาสตรงหน้า ไม่ควรหวังน้ำบ่อหน้า) ต่อให้เจ้าจะเอาภูเขาเงินภูเขาทองมากองตรงหน้า แต่ขอโทษทีพี่น้อง ข้าไม่ขายแล้ว”
“หยกประดับชิ้นก่อนหน้านี้ถือเป็นของขวัญพบหน้าจากข้า มันมีชื่อว่า ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมของตระกูลเซียนที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่อะไร แค่สามารถคลายร้อน ทำให้ใจสงบและขจัดสิ่งสกปรกชั่วร้ายได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าฌานนั่งสมาธิจะมีประโยชน์มากเป็นพิเศษ หากมีคาถาลับที่สืบทอดกันมาของลัทธิเต๋าสักบทหนึ่งมาช่วยเสริมก็จะยิ่งเปลืองแรงน้อย แต่ได้ผลมาก”
รอยยิ้มของฝูหนันหัวจริงใจ เขาที่สีหน้าไร้ร่องรอยของความเย่อหยิ่งหยิบถุงผ้าแพรถุงหนึ่งขึ้นมาวางลงบนโต๊ะแล้วใช้ฝ่ามือผลักไปให้ซ่งจี๋ซิน กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหรียญทองแดงถุงนี้เรียกว่าเงินก้งหย่าง คือหนึ่งในบรรดาเงินค่าธูปเทียนมากมายในโลก โดยทั่วไปแล้วจะนำไปถวายให้กับรูปปั้นทวยเทพในวัดเทพอภิบาลเมืองหรือไม่ก็ในหอเหวินชาง บ้างก็ไว้ในปาก ซ่อนไว้ในท้อง หรือวางไว้บนฝ่ามือ อีกทั้งยังมีสรรพคุณและความพิถีพิถันที่แตกต่างกันไป
แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญอย่างแท้จริงอยู่ที่ เหรียญทองแดงที่มองดูเหมือนทองคำเหล่านี้ทำมาจาก ‘แก่นทอง’ ที่มีราคาแพงเกินกว่าทองคำทั่วไปจะเทียบได้ เคยมีเซียนกล่าวไว้ว่า ‘มรกตอาจขุดหาได้พบ แต่แก่นแห่งทองนั้นลี้ลับเกินจะกล่าว’ ซึ่งก็หมายถึงของสิ่งนี้นั่นเอง เงินก้งหย่างที่ทำจากแก่นทองถุงนี้ถือเป็นเงินซื้อกาน้ำชา อาจพูดไม่ได้ว่ามากมายเหลือแหล่ แต่ก็ถือว่าคือราคาที่เป็นธรรม หากรวมกับหยกมังกรเฒ่าเข้าไป ข้าฝูหนันหัวก็กล้าพูดว่าน้องซ่งมีแต่ได้กับได้”
หลังจากพูด ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ เหล่านี้จบ ฝูหนันหัวก็รอคำตอบเงียบๆ
ซ่งจี๋ซินนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ กะพริบตาปริบๆ ถามว่า “จบแล้ว?”
ฝูหนันหัวยิ้มเฝื่อน “พูดจบแล้ว”
เด็กหนุ่มพลันชักสีหน้า ตบโต๊ะดังสนั่น “เจ้าคนแซ่ฝู ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า! เจ้านึกว่านายท่านอย่างข้าคือเด็กสามขวบหลอกง่ายหรือ?! ก่อนหน้าที่พวกเจ้าจะเข้ามาในเมืองแห่งนี้ต่างก็มีถุงเงินทั้งหมดสามถุง นอกจากถุงที่ต้องจ่ายเป็นค่าเดินทางแล้ว ทุกครั้งที่ได้สมบัติมาชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ต้องจ่ายเงินหนึ่งถุง เหรียญทองแดงที่อยู่ในถุงมีมากสุดคือสามสิบเหรียญ น้อยสุดคือยี่สิบเหรียญ ทว่าถุงเงินแฟบๆ ถุงนี้ของเจ้ามีถึงสิบสองเหรียญหรือไม่?! จะทำการค้า ทว่าแค่ความซื่อสัตย์ก็ยังไม่มี เจ้ายังกล้าคิดมาแลกเปลี่ยนวาสนาไปจากมือนายท่านอย่างข้าอีกหรือไร?”
ฝูหนันหัวเพิ่มแรงบนนิ้วมือมากขึ้น เปลี่ยนจากเคาะเนิบช้าเป็นรัวเร็วครั้งแล้วครั้งเล่า
ซ่งจี๋ซินใจสั่นวาบ จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจยากลำบาก ใบหน้าแดงก่ำ กรอบตามีเส้นเลือดฝอยปรากฏ เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นกดตรงหน้าอกที่หัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรงดังตึกตักๆๆ ราวกับจะกระดอนออกมาจากหน้าอก
ฝูหนันหัวชะลอความเร็วของนิ้วมือที่เคาะโต๊ะลงช้าๆ สีหน้าของเด็กหนุ่มถึงได้ดีขึ้น ฝูหนันหัวจึงถามพร้อมยิ้มตาหยี “ในเมื่อเสนอราคาครั้งแรกไม่ผ่าน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเสนอราคาอีกครั้ง เงินก้งหย่างแก่นทองยี่สิบสี่เหรียญ เจ้าจะขายกาน้ำชาซานเซียวนี่หรือไม่?”
ซ่งจี๋ซินที่เหงื่อโซมกายลังเลไม่อาจตัดสินใจ พอเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มก็เตรียมจะพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียด ทว่านายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าที่ถูกประคบประหงมราวเดือนที่ห้อมล้อมด้วยดวงดาวมาจนเคยชินกลับเพิ่มความเร็วในการเคาะโต๊ะอีกครั้งประหนึ่งฝนที่จู่ๆ ก็เทลงมาในหน้าร้อน
ซ่งจี๋ซินยกมือทั้งคู่กุมหน้าอก ใบหน้าที่หล่อเหลาบัดนี้บิดเบี้ยวไปนานแล้ว ทว่าท่ามกลางสีหน้าเหยเกของเขากลับมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมแฝงให้เห็น
ฝูหนันหัวเกือบจะข่มใจไม่ไหวเคาะให้เจ้าลูกหมานี่ตายๆ ไปซะ แต่พอถึงท้ายที่สุดแล้ว ความล่อใจด้วยการได้เดินขึ้นสู่สวรรค์ การได้พิสูจน์เส้นทางของความเป็นอมตะกลับช่วยสะกดกลั้นจิตใจที่ชั่วร้ายของเขาลงไปได้ ดังนั้นเขาจึงหยุดเคาะนิ้ว เลือกที่จะปล่อยเจ้าเด็กนี่ไปสักครั้ง
ซ่งจี๋ซินหอบหายใจฮักๆ สายตาฉายประกายร้อนแรง หัวเราะเสียงพร่า
ฝูหนันหัวไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย ในสายตาของเด็กหนุ่มเหมือนจะไม่มีความโกรธแค้นใดๆ แต่ฝูหนันหัวก็ไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจตรงไหน เพราะบนเส้นทางของการฝึกตน เรื่องราวและคนประหลาดมีให้เห็นอยู่มากมาย เพียงแต่ถามด้วยความคลางแคลงใจว่า “เจ้าหัวเราะอะไร?”
ลมหายใจของซ่งจี๋ซินเริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ เขาเอนตัวนอนพิงผนักเก้าอี้ ปาดเหงื่อตรงหน้าผากของตัวเองทิ้ง ก่อนตอบด้วยดวงตาที่เป็นประกายเจิดจ้า “พอคิดถึงว่าในอนาคตอีกไม่นาน ตัวข้าเองก็จะมีความสามารถเช่นเดียวกับเจ้า เพียงแค่ดีดนิ้วก็ฆ่าคนได้ ก็ให้รู้สึกดีใจสุดประมาณ”
ฝูหนันหัวยิ้มตอบ ไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งทำให้ตนรู้สึกว่าเดินบนเส้นทางเดียวกัน
หากฐานะของเจ้าดีกว่าอีกฝ่าย ทางที่ดีที่สุดก็ควรคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้เอาไว้ แต่หากปล่อยให้เขาปีนขึ้นไปอยู่เหนือหัวเจ้าได้ก็ไม่ควรข้องเกี่ยวด้วยมากที่สุด
ทว่านายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่ากลับไม่คิดว่าหลังจากที่ช่วงชิงวาสนาจากที่แห่งนี้ไปได้สำเร็จแล้ว ตนจะสู้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ก่อนอายุเก้าขวบก็ยังไม่เคยถูกคนพาออกนอกเมืองเล็กแห่งนี้ไม่ได้
ซ่งจี๋ซินมองกาน้ำชาขนาดเล็กและเหรียญทองแดงครึ่งถุงที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนเงยหน้ากล่าวว่า “ฝูหนันหัว ข้ามีเงื่อนไขสองข้อ ขอแค่เจ้ารับปาก นอกจากข้าจะขายกาซานเซียวชิ้นนี้ให้เจ้าแล้ว ยังจะนำของเก่าอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่ามันออกมาให้เจ้าด้วย”
ฝูหนันหัวข่มกลั้นความปิติยินดีในใจเอาไว้ พยายามพูดให้น้ำเสียงสงบนิ่งมากที่สุด “ลองว่ามาสิ”
ซ่งจี๋ซินก็ไม่มัวยึกยักเล่นท่า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราวกับพูดเรื่องคอขาดบาดตาย “ข้อแรก ข้าต้องการเหรียญแก่นทองทั้งสามถุงของเจ้า ไม่ใช่แค่สองถุง!”
ฝูหนันหัวตอบรับอย่างไม่ลังเล “ได้!”
ซ่งจี๋ซินจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง
ฝูหนันหัวจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า ขณะเดียวกันก่อนที่ข้าจะเดินทางกลับวันนี้ เจ้าต้องนำของสองชิ้นที่คู่ควรแก่แก่นทองทั้งสองถุงมาให้ข้าดูและสัมผัสกับตัวเอง”
ซ่งจี๋ซินเองก็พยักหน้ารับ “แน่นอน!”
ฝูหนันหัวเอ่ยถาม “แล้วเงื่อนไขข้อที่สองคือ?”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยเนิบช้า “ช่วยฆ่าคนคนหนึ่งให้ข้า”
ฝูหนันหัวส่ายหน้า “ในเมื่อเจ้ารู้ถึงขั้นที่ว่าในถุงมีเงินอยู่กี่เหรียญ ก็น่าจะรู้ว่า ‘คนต่างถิ่น’ อย่างพวกข้า ไม่สามารถสังหารคนในที่แห่งนี้ได้ตามใจชอบ หาไม่แล้วจะต้องถูกขับออกจากเมืองนี้ทันที หรืออาจจะต้องถูกเลาะฐานกระดูกส่วนหนึ่ง จากนั้นอริยะก็อาจจะใช้วิธีการของตระกูลเซียนมาลบโชควาสนาที่เกี่ยวข้องทิ้งไป นี่เป็นเรื่องที่เหี้ยมโหดทารุณ ซ้ำอาจจะพาให้คนทั้งตระกูลเดือดร้อนสูญเสียโชควาสนาทั้งหมดของที่แห่งนี้ไปเลย”
ซ่งจี๋ซินกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธสิ ลองดูสถานการณ์ไปก่อน ตกลงไหม?”
ฝูหนันหัวถามยิ้มๆ “ข้าอยากรู้ซะจริงว่าเจ้าอยากฆ่าใคร?”
ซ่งจี๋ซินกล่าวน้ำเสียงเสแสร้ง “ข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกัน”
ฝูหนันหัวหยิบกาน้ำเล็กๆ ชิ้นนั้นขึ้นมา สัมผัสกับเนื้อที่เนียนละเอียดของมันอีกครั้ง ปากก็พูดไปด้วยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอดูก็แล้วกัน”
ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบลำคอของตนโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเขาย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
—-
ก่อนหน้านี้ตอนที่จื้อกุยพาไช่จินเจี่ยนไปส่งหน้าประตูบ้านตระกูลกู้เสร็จแล้ว สาวใช้ของซ่งจี๋ซินก็แยกตัวไปเดินเล่นเพียงลำพัง ส่วนไช่จินเจี่ยนที่พอผลักประตูเข้าไปก็ต้องยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมเหมือนถูกสายฟ้าฟาด สายตาของนางจ้องมองไปยังผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ถามเสียงสั่น “ผู้อาวุโสใช่สกัดคงคาเจินจวินที่ฝึกตนอยู่ทะเลสาบเจี่ยนซู (จดหมาย) หรือไม่?”
ผู้เฒ่าถาม “เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร?”
ไช่จินเจี่ยนตอบอย่างนอบน้อม “ข้าผู้น้อยคือไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรือง เมื่อสิบปีก่อนเคยติดตามบิดาเดินทางไปยังทะเลสาบเจี่ยนซู ได้เห็นภาพอัศจรรย์ที่เต่าเฒ่าแบกศิลาทะยานขึ้นพ้นน้ำ แล้วก็โชคดีได้เห็นท่านผู้อาวุโสจากที่ไกลๆ เหตุการณ์ในวันนั้นข้ายังคงจำได้แม่นราวกับเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นาน จนถึงวันนี้ก็ยังยากจะลืมเลือน”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
ไช่จินเจี่ยนหนักใจเล็กน้อย “เจินจวิน ข้าผู้น้อยอยากจะ…”
‘นักเล่านิทาน’ ที่ถูกเรียกว่า ‘สกัดคงคาเจินจวิน’ เหลือบตามองนาง เอ่ยเรียบเรื่อย “เห็นแก่หน้าบุรพาจารย์ซงเสีย ข้าผู้อาวุโสจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่เจ้าพาตัวเองเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ คราวหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก ออกไปแล้วปิดประตูด้วย”
ไช่จินเจี่ยนเงียบไปเพียงครู่เดียวก็พยักหน้ารับ “ข้าผู้น้อยลาก่อน” นางจากไปจริงๆ อีกทั้งยังไม่ลืมปิดประตูลงเบาๆ ตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ในลานบ้าน สตรีแต่งงานแล้วเหลือบมองไปที่ประตูพลางกล่าวอย่างเป็นกังวล “ท่านเซียน ดูเหมือนว่านางจะไม่ยอมรามือง่ายๆ จะมีปัญหาหรือไม่?”
ผู้เฒ่าที่มีคำเรียกขานว่า ‘เจินจวิน’ หลุดหัวเราะพรืด “เข้ามาในเมืองแห่งนี้ ไม่ว่าจะหายใจหรือผายลมก็อาจมีปัญหาได้ทั้งนั้น แล้วจะยอมทิ้งโชควาสนาเพียงเพราะเรื่องแค่นี้น่ะหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วเงียบงันเป็นคำตอบ
ผู้เฒ่าจึงหัวเราะ “ข้าถามเจ้าหน่อย กู้ซื่อ (ซื่อหมายถึงแซ่สกุล ใช้เรียกหญิงที่แต่งงานแล้วโดยใช้แซ่เดิมนำหน้าคำว่าซื่อ) หากเจ้าเลือกได้ เจ้าต้องการให้กู้ช่านไปฝึกตนที่เขาเมฆาเรือง หรือติดตามข้าไปที่ทะเลสาบเจี่ยนซูล่ะ?”
“ไม่ต้องรีบตอบ” ผู้เฒ่าโบกมือบอกให้นางไม่ต้องรีบร้อนแสดงท่าที ส่วนตัวเขาก็เอ่ยเนิบช้าต่อไปว่า
“เขาเมฆาเรืองคือสำนักบนเขาลำดับล่างๆ ของบุรพแจกันสมบัติทวีปเรา แต่หากเจ้ารู้สึกว่าเขาเมฆาเรืองไม่มีค่าพอให้พูดถึงก็ผิดมหันต์ หินรากเมฆของเขาเมฆาเรืองคือวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินอย่างแท้จริง อย่าว่าแต่บุรพแจกันสมบัติทวีปเลย ต่อให้เป็นตลอดทั้งใต้หล้า ก็ยังมีแค่ที่นี่ที่เดียว นี่จึงเป็นสาเหตุให้ฐานะของเขาเมฆาเรืองสูงส่ง ทุกคนต่างก็เต็มใจจะให้ความเคารพพวกเขาสามส่วน
โดยเฉพาะสำนักเต๋าอย่างพรรคกระถางโอสถที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาเมฆาเรืองมานานนับพันปี แต่ข้าผู้อาวุโสเป็นเพียงแค่หนึ่งในนักพรตของทะเลสาบเจี่ยนซู ได้ครอบครองแค่เกาะกลางทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีลูกศิษย์น้อยจนนับนิ้วได้ และข้าทาสบริวารก็มีไม่ถึงร้อยคน”
กู้ซื่อคลี่ยิ้มหวาน แม้จะล่วงเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่ความงดงามของนางก็ยังคงอยู่ “ความต่างระหว่างข้ากับหญิงสาวจากเขาเมฆาเรืองผู้นั้น ก็คือความต่างระหว่างนางกับท่านเซียน ข้าจะเลือกไม่ให้กู้ช่านไปอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล แต่ให้ติดตามหญิงสาวคนนั้นไปขุดหาของกินจากในไร่นาได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าหัวเราะชอบใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกล่าวเสียงหนัก “ชาติกำเนิดของเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นอย่างไร? กู้ซื่อ เจ้าลองเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดสิ จะได้ป้องกันถูก”
สตรีวัยกลางคนอึ้งงันไปเล็กน้อย ทัดเส้นผมที่ระอยู่ข้างจอนหูไปด้านหลังแล้วถึงกล่าวเบาๆ ว่า
“เด็กที่น่าสงสารคนนั้นชื่อเฉินผิงอัน พ่อแม่เขาล้วนเติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งนี้ ข้ากับแม่ของเขาสนิทกันมาก รูปร่างหน้าตานางธรรมดา แต่นิสัยดีมากจริงๆ ดูเหมือนข้าจะไม่เคยเห็นนางทะเลาะกับใครมาก่อนเลย สามีของนางหน้าตาไม่โดดเด่น เรียกว่าไม่คู่ควรกับนางด้วยซ้ำ แต่ฝีมือการเผาเครื่องปั้นกลับไม่เลว หากไม่รีบด่วนจากไป ไม่แน่ว่าทนผ่านไปได้อีกสักยี่สิบปีก็อาจได้กลายเป็นหัวหน้าคุมเตาเผามังกรแห่งนั้นก็เป็นได้
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาตายอย่างไร มีคนบอกว่าคืนนั้นเป็นคืนที่พายุฝนพัดกระหน่ำ ด้วยกลัวว่าไฟในเตาจะมอดดับ เขาจึงรีบเดินทางไป แต่ไม่ทันระวังเลยพลัดตกลงไปในแม่น้ำ แล้วก็มีคนบอกว่าเขาไปตัดฟืนมาเผาถ่าน ด้วยความละโมบจึงบุกเข้าไปในภูเขาอันเป็นพื้นที่ต้องห้ามของราชสำนัก เลยถูกสัตว์ป่าคาบหายเข้าไปในป่า แต่สรุปก็คือไม่มีใครพบศพเขา ผู้ชายคนนั้นนิสัยนิ่งขรึมยากจะเดาอารมณ์ แต่กลับดีต่อลูกของตัวเองอย่างมาก ทุกครั้งที่กลับเมืองจะต้องเอาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ กลับมาฝาก กลองเล็ก น้ำตาลปั้นพระโพธิสัตว์ เศษกระเบื้องเก่า พูดได้ว่าตอนที่ชายคนนั้นยังไม่ตาย ครอบครัวนี้ก็ถือว่ามีชีวิตที่มั่นคงและสงบสุขไม่น้อย
พอพ่อของเฉินผิงอันตายไป แม่ของเขาก็ตรอมใจ เพียงไม่นานจิงชี่เสิน (จิง ชี่และเสินคือสามขุมทรัพย์ในร่างกายมนุษย์ จิงคือแก่นสารของพลังชีวิต ชี่คือปราณและเสินคือจิตวิญญาณ) ก็ไม่อาจประคองกายได้ไหว ร่างกายที่เดิมทีก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว นึกจะทรุดก็ทรุด ไม่ถึงหนึ่งปีนางก็ล้มป่วย ร่างกายผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทำเอาเพื่อนบ้านอย่างพวกเราที่ได้เห็นถึงกับตกใจ จำไม่ได้เลยว่านั่นคือสตรีที่ในอดีตเคยสาว เคยมีชีวิตชีวา ตอนนั้นเฉินผิงอันเป็นคนดูแลนาง เด็กตัวเล็กเพียงแค่นั้นกลับต้องซื้อยา ต้มยา ทำกับข้าว ทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวเองหมด ตอนนั้นเขายังตัวเตี้ยเกินไป เวลาจะทำกับข้าวต้องขึ้นไปยืนบนม้านั่ง อีกอย่างเพื่อเก็บเงินไว้หาซื้อยาให้แม่ของเขา ถ้าเป็นสมุนไพรชนิดไหนที่หาได้ง่ายหน่อย เขาก็จะขึ้นเขาเข้าป่าไปหา พอได้มาก็เอาไปขายให้ร้านขายยา
มีครั้งหนึ่งเหมือนว่าเขาจะกินสมุนไพรแสลงเข้าไป ตอนแบกตะกร้ากลับมาถึงตรอกหนีผิง จู่ๆ เด็กนั่นก็ล้มลงไปกองกับพื้น อ้วกเอาฟองขาวๆ ออกมาเปรอะเปื้อนเต็มพื้น ทำเอาพวกเราตกใจนึกว่าครอบครัวสามคนนี้จะตายกันหมดทั้งอย่างนี้ ตอนนั้นแม่สามีของข้ายังมีชีวิตอยู่ นางบอกว่าถ้าครอบครัวนี้ตายไปได้ถึงจะดี อยู่ไปก็ลำบากคนอื่นเปล่าๆ ถ้าตายกันหมดก็ยังได้ไปเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่ยมโลก
ภายหลังไม่รู้ว่าทำไมเด็กนั่นถึงหายดีขึ้นมาได้เอง เขารอดจากอาการป่วยครั้งนั้นมาได้ เพียงแต่ว่าแม่ของเด็กอยู่ได้ไม่พ้นหน้าหนาวปีนั้น อ้อ ใช่แล้ว ท่านเซียน เด็กเฉินผิงอันคนนี้เกิดวันที่ห้าเดือนห้า พวกผู้เฒ่าในตรอกของเราต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่เป็นวันที่อัปมงคลที่สุดในหนึ่งปี ง่ายที่จะเรียกให้สิ่งสกปรกมาหา ทั้งยังนำพาความเดือดร้อนมาให้คนในครอบครัวด้วย ดังนั้นพอพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายไป ในบ้านจึงไม่เหลือเงินสักเหรียญเดียว แม้แต่ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ยังเอาไปแลกอาหารจากเด็กคนอื่นๆ ในเมืองที่รุ่นราวคราวเดียวกัน…”
สตรีวัยกลางคนพูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดผู้เฒ่าก็เปิดปากขึ้นบ้าง “วันที่ห้าเดือนห้า? น่าสนใจ ขอข้าลองคำนวณดูหน่อย”
นิ้วทั้งห้าแตะกันไปมา แปรเปลี่ยนเป็นเวทลับมากมายนับไม่ถ้วน พอเห็นสตรีวัยกลางคนนั่งเหม่อ ผู้เฒ่าก็ส่งยิ้มให้ “เจ้าพูดต่อได้เลย”
สตรีวัยกลางคนร้อง “อ้อ” รับหนึ่งที ก่อนพูดว่า
“เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี แม้ว่าพวกเราที่อยู่ในตรอกหนีผิงจะไม่ค่อยกล้าพาเฉินผิงอันเข้ามาในบ้านตัวเอง แต่ก็คอยช่วยเหลือเขาเป็นระยะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเอาข้าวเอากับข้าวไปให้ก็ไม่ได้ละเลย หัวใจคนก็แค่เนื้อก้อนหนึ่ง บอกตามตรง หากไม่เป็นเพราะวันเกิดของเด็กนั่นน่ากลัวเกินไป ไม่แน่ว่าอาจมีใครยอมใจอ่อนสงสารเด็กที่รู้ประสาคนนี้ก็ได้
แน่นอนว่าในซอยก็มีพวกไร้คุณธรรม เห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้ ชอบกลั่นแกล้งรังแกเด็กคนนั้น ทำให้สุดท้ายแล้วเขาจำต้องไปเป็นลูกจ้างที่เตาเผามังกร ต้องรู้ว่าก่อนที่แม่เขาจะตายได้ขอให้เด็กรับปากนางว่า วันหน้าต่อให้ต้องเป็นขอทานก็ห้ามไปทำงานที่เตาเผามังกรเด็ดขาด การที่ทำให้เด็กกตัญญูอย่างเขายอมละเมิดคำสาบานได้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “เจ้ารู้ชื่อแซ่ วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของพ่อแม่เด็กหนุ่มนั่นไหม?”
สตรีวัยกลางคนบอกว่านางรู้แค่ชื่อ แต่วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของทั้งสองกลับไม่มีใครรู้ ผู้เฒ่าบอกไม่เป็นไร หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะเสียงเย็น “อุบายต่ำช้าของพวกไร้ฝีมือ!”
สตรีวัยกลางคนงงงัน
ผู้เฒ่าอธิบายว่า “ชายคนนั้นไม่ได้ตายเพราะชะตาถึงฆาต แต่น่าจะเป็นเพราะไปล่วงรู้ความลับของเมืองแห่งนี้เข้าโดยบังเอิญ น่าเสียดายที่โชคชะตาของพวกเขาไม่ดีเท่าครอบครัวเจ้า และบารมีที่บรรพบุรุษสั่งสมมาก็ไม่มากเท่าตระกูลเจ้า สุดท้ายเพื่อความปลอดภัยของบุตรชายตัวเอง ชายผู้นั้นจึงแอบทุบเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของบุตรชายให้แตก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้สำนักบางแห่งที่อยู่นอกเมืองหลุดออกจากโผ นี่คือการลงทุนก้อนใหญ่ ช่างปั้นเล็กๆ คนหนึ่งจะชดใช้ไหวได้อย่างไร จึงต้องเอาชีวิตมาแลก หนึ่งชีวิตยังไม่พอ เลยเพิ่มชีวิตภรรยาของเขาไปด้วย พูดแล้วก็น่าขัน อาจเป็นเพราะการตายของช่างปั้นคนนั้นเป็นเรื่องง่ายเกินไปสำหรับใครบางคน ด้วยคร้านจะเปลืองแรง เวทอำพรางตาที่ร่ายถึงได้เรียบง่ายขนาดนี้ ช่างไม่ให้ความสำคัญเอาเสียเลย”
สีหน้าของสตรีวัยกลางคนหมองลง
ผู้เฒ่ามองปราดเดียวก็รู้ถึงความคิดของนาง จึงถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม ละอายใจ รู้สึกผิดแล้วหรือ?”
สตรีวัยกลางคนยิ้มจืดๆ “ย่อมต้องละอายใจอยู่แล้ว อย่างไรซะข้าก็เห็นเขาเติบโตมา แต่หากจะบอกว่ารู้สึกผิด ย่อมไม่มีแน่!”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ข้ามองออกแล้ว”
สตรีวัยกลางคนพึมพำกับตัวเองว่า “หากแม่ของเฉินผิงอันต้องมาอยู่จุดเดียวกับข้า เชื่อว่านางก็ต้องทำแบบนี้”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่แน่เสมอไปหรอก”
จู่ๆ สตรีผู้นั้นก็ตะเบ็งขึ้นมาเสียงดัง “นางต้องทำแน่!”
ผู้เฒ่าไม่ได้โกรธในความไร้มารยาทของนาง เพียงแค่กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “คนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนล้วนรักและหวังดีต่อบุตรธิดา”
—-
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะนั่งอยู่บนธรณีประตู “แม่นางหนิง ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้หรือไม่?”
เด็กสาวชุดดำนั่งขัดสมาธิ เอนหลังพิงผนัง ดาบแคบฝักสีเขียววางพาดอยู่หน้าหัวเข่า “แน่นอน แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับความลับและเรื่องส่วนตัว ข้าไม่ตอบ”
เฉินผิงอันถาม “พวกเจ้าที่มาที่นี่ โดยทั่วไปแล้วต้องอยู่นานเท่าไหร่ถึงจะกลับ?”
เด็กสาวขมวดคิ้ว “ไม่แน่นอน บางคนที่โชคดีก็สามารถกลับวันที่มาได้เลย บางคนโชคร้ายหน่อยก็ต้องอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต ถ้าจะให้ข้าวิเคราะห์ก็ได้ แต่อาจจะไม่แม่นยำนัก เจ้าลองตรองดูเอาเอง
ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มของพวกเรามีกันทั้งหมดแปดคน สองกลุ่มถือเป็นพวกตระกูลใหญ่ เป็นพวกคนโง่แต่มีเงินเยอะ แค่มองก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถเดินทางอย่างเร่งรีบได้ จะอย่างไรก็ต้องอยู่ในเมืองแห่งนี้หลายวันหน่อย คุณชายที่สวมกวานสูงห้อยหยกประดับคนนั้นน่าจะค่อนข้างราบรื่น แล้วก็มีคนโง่คนหนึ่งที่ใจคิดแต่จะจัดการกับบ่อน้ำบ่อนั้น จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูที่ว่าสวรรค์จะประทานข้าวถ้วยนี้มาให้เขากินหรือไม่”
เฉินผิงอันซักถามต่อ “แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”
“ใคร?”
“ก็คนที่ตัวสูงๆ ผู้หญิงที่อายุไม่มากเท่าไหร่คนนั้น”
“เจ้าชอบนางรึ?”
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่หน้าประตูยิ้มให้ ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง
เด็กสาวชุดดำคงรู้สึกว่าคำพูดหยอกล้อของตนไม่น่าขำเท่าไหร่ สีหน้าจึงเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “อันที่จริงข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าคุยกับนักพรตลู่แล้ว เจ้ากับนางมีความแค้นต่อกัน เพราะฉะนั้นเจ้าก็เลยคิดจะ…แก้แค้น?”
นางถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ
“ข้าขอแนะนำเจ้าสักคำ ในสายตาของพวกที่อยู่บนยอดเขา อันที่จริงคนที่อยู่กึ่งกลางภูเขาอย่างพวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากพวกที่อยู่ล่างเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาหัวสูง ไม่เห็นหัวใคร แต่เป็นเพราะพวกเขามีคุณสมบัติที่จะมองพวกเจ้าต่ำอย่างแท้จริง
หลังจากมาถึง ‘สถานที่ที่ไม่สามารถใช้เวทคาถา’ แห่งนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวจากเขาเมฆาเรืองคนนั้น เอาแค่เด็กผู้ชายที่สวมชุดสีแดงสดนั่น เขาแค่ต่อยหน้าอกเจ้าหมัดเดียวก็สามารถทำให้เจ้ากระอักเลือดชามโตได้แล้ว แต่หากเจ้าออกแรงต่อยเขาเต็มเหนี่ยว เขาอาจจะไม่ได้แค่เจ็บๆ คันๆ แต่มากสุดก็แค่ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่คล่องเท่านั้น ไม่มีทางสร้างบาดแผลให้กับอวัยวะภายในของเขาได้เลย ส่วนสาเหตุนั้นยากจะอธิบายได้อย่างชัดเจน เพราะข้าไม่ถนัดในการอธิบายเรื่องพวกนี้”
เฉินผิงอันนั่งหันหลังให้ห้อง มองไปทางประตูบ้าน “ข้าอยากรู้ว่า ทำไมนางถึงต้องฆ่าข้า ทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก”
เด็กสาวครุ่นคิดหาคำพูดอยู่นานกว่าจะเปิดปาก “นางอาจไม่ใช่พวกที่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อก็ได้ จะพูดยังไงดีล่ะ บนเส้นทางของการฝึกตน ข้ามขุนเขาข้ามแม่น้ำ มีทั้งทางกว้างและทางแคบ มีทั้งทางที่เดินสะดวก มีทั้งทางที่เดินได้ยากลำบาก เดินเร็วไป ไม่ทันระวังเหยียบมดตาย พอหิวก็จับปลาในแม่น้ำมากิน พอฝึกเวทคาถาได้สำเร็จขั้นต้นแล้วลองร่ายใช้ กลับพลาดไปฆ่านก งู หรือหนูตาย ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ข้าอธิบายไม่เก่ง แต่เจ้าคงเข้าใจความหมายของข้า ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ยรับ “อืม” ก่อนกล่าวว่า “พอจะเข้าใจแล้ว” จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปมองทางประตูหน้าบ้านด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย
อันที่จริงเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงได้มองข้ามชีวิตของคนอื่นขนาดนี้ เนิ่นนานหลังจากนั้น เฉินผิงอันถึงหันหน้ากลับมาพูดยิ้มๆ “หากแม่นางไม่รังเกียจก็อยู่ที่นี่เถอะ ต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้ารู้จักคนคนหนึ่ง สองวันนี้จะไปอยู่กับเขา เจ้าไม่ต้องกังวล เขาชื่อหลิวเสี้ยนหยาง เป็น…เพื่อน เพื่อนรักของข้า!”
เด็กสาวมองแผ่นหลังผอมแห้งที่นั่งอยู่บนธรณีประตู ยิ้มตอบกลับไป “ขอบคุณ!”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ยกมือเกาหัว ไม่ตอบปฏิเสธตามมารยาทอะไร เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เรียกความกล้าให้ตัวเองแล้วหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
“แม่นางหนิง หากวันหนึ่งข้าไม่ได้กลับมาแล้ว เจ้าจงมอบเหรียญสีทองถุงนั้นของข้าให้กับหลิวเสี้ยนหยาง ให้เขาช่วยดูแลบ้านหลังนี้แทนข้า ไม่ต้องปัดกวาด แค่มาซ่อมแซม เปลี่ยนกระเบื้องใหม่บ้าง อย่าให้ฝนรั่วลงมาก็พอ แล้วก็อย่าให้ผนังพังลงมา ประตูบ้านก็อย่าให้ผุพังนัก หากถึงวันปีใหม่แล้วติดรูปเทพทวารบาลหรือกลอนคู่หน้าประตูได้ย่อมดีที่สุด! ถ้ารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ยุ่งยากเกินไป จะไม่ทำก็ไม่เป็นไร”
เด็กสาวเห็นว่าตอนที่เฉินผิงอันพูดถึงรูปเทพทวารบาลและกลอนคู่ ดวงตาของอีกฝ่ายมีประกายสดใสวาบผ่าน
เห็นได้ชัดว่าเด็กกำพร้าแห่งตรอกหนีผิงผู้นี้คาดหวังว่าเมื่อวันปีใหม่มาถึง ประตูบ้านของตัวเองจะได้ติดภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่บนประตูมานานมากเหลือเกินแล้ว
พ่อแม่ของเขาตายไปนานเท่าไหร่ เขาก็คิดมานานเท่านั้น
ดังนั้นยามที่เด็กหนุ่มผู้ซึ่งไร้คนข้างหลังให้ห่วงใย ไร้ปมในใจพ่นลมขุ่นมัวเบาๆ ออกมา ปัดเข่าตัวเองแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ
กระบี่บินที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องจึงส่งเสียงร้องเบาๆ