Skip to content

Sword of Coming 18

บทที่ 18 ห้าธาตุปรากฎสาม

ตอนที่ฝูหนันหัวเดินออกมาจากในห้องก็พบว่าสาวใช้หน้าตางามพิสุทธิ์คนนั้นกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กกลางลานบ้าน ในมือกำเมล็ดข้าวโพด โดยมีแม่ไก่กับลูกเจี๊ยบขนสีเหลืองฝูงหนึ่งกำลังก้มหน้าจิกกิน

พอเห็นนาง ฝูหนันหัวก็ส่งยิ้มให้น้อยๆ ไม่รู้ว่าเด็กสาวมีนิสัยขี้อายหรือเย็นชามาตั้งแต่เกิด นางถึงทำเพียงแค่กระตุกยิ้มมุมปากตอบรับ

พอเปิดประตูบ้านออกไปก็พบว่าไช่จินเจี่ยนมารออยู่ในตรอกเล็กก่อนแล้ว ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่สบอารมณ์นัก เขาจึงหันกลับมาปิดประตู

ยามมองผ่านช่องประตูที่ค่อยๆ แคบลงไปเห็นดวงหน้าที่เงยมองสบมา ฝูหนันหัวพลันค้นพบว่าสาวใช้ที่เดิมทีควรเป็นเพียงเด็กสาวต่ำต้อยทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสาปโคลนผู้นี้กลับมีดวงตาคู่หนึ่งที่ไม่ธรรมดา ขับให้นางเป็นดั่งต้นกล้าสีเขียวอ่อนที่เริ่มแตกหน่อเมื่อยามต้นดูใบไม้ผลิมาถึง

ทว่าฝูหนันหัวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สำหรับคุณชายน้อยของนครมังกรเฒ่าอย่างเขาแล้ว สตรีที่หน้าตาโดดเด่น อวบอิ่มเย้ายวน ท่วงท่างามสง่าล้วนเป็นสิ่งที่เห็นมาจนเอียนแล้ว

ตอนที่เดินเคียงบ่าไปพร้อมกับไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัวเอ่ยถามว่า “ทำไม ไม่ราบรื่นรึ? เรื่องโชควาสนานี้ เดิมทีก็มาพร้อมกับความยากลำบากอยู่แล้ว ใช่ว่าจะสำเร็จได้ทุกครั้ง ไม่ต้องทอดอาลัยไปหรอก”

ไช่จินเจี่ยนเกิดมาก็มีหน้าตาอ่อนหวานงดงามอยู่แล้ว พอฝึกตนจึงได้ชำระล้างไขกระดูก ลำพังเพียงแค่เรือนกายก็บริสุทธิ์ดุจกระจกใสเหนือกว่าสตรีอื่นในโลก หญิงสาวที่อยู่ด้านล่างภูเขา ต่อให้มองไปแล้วจะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน แต่หากสืบสาวกันถึงแก่น สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพียงแค่หนังหุ้มที่เน่าเหม็นเท่านั้น

เวลานี้สีหน้าของเซียนสาวแห่งเขาเมฆาเรืองไม่ค่อยน่าดูนัก เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของนางย่ำแย่แค่ไหน หาไม่แล้วก็คงไม่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนขนาดนี้ ตอนที่รอในตรอกก่อนหน้านี้คงข่มกลั้นไฟโทสะมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว และหากไม่ระบายออก นางคงอัดอั้นตาย

“มีผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งชิงไปถึงล่วงหน้าก่อนแล้ว คือหนึ่งในพวกเผด็จการของทะเลสาบเจี่ยนซู สกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่า ไม่เหลือแม้แต่พื้นที่ให้ปรึกษาหารือ พอเห็นข้าก็ยกบุรพาจารย์เจ้าสำนักเขาเมฆาเรืองของข้าขึ้นมาข่ม ตั้งแต่ต้นจนจบข้าได้พูดแค่ไม่กี่คำก็ถูกเขาไล่ออกมาจากบ้านของกู้ช่านแล้ว”

ฝูหนันหัวทำท่าครุ่นคิด ก่อนเอ่ยเตือน “ออกไปจากตรอกหนีผิงก่อนค่อยว่ากัน”

ไช่จินเจี่ยนฉงนสนเท่ห์ “ไหนบอกว่าที่แห่งนี้ห้ามใช้เวทคาถาทุกอย่างไงล่ะ?”

ฝูหนันหัวยิ้มตอบ “คนที่เข้ามาตามหาโชควาสนาจากที่แห่งนี้ได้ ใครบ้างที่ไม่มีฝีมือ? คนหนุ่มสาวอย่างเจ้าและข้ายังถือว่าดีหน่อย เพราะตามกฎของเมือง ยิ่งเป็นคนที่ตบะสูงล้ำเท่าไหร่ พลังการถูกกำราบที่ได้รับก็ยิ่งมากเท่านั้น ตามหลักแล้วคนที่ระดับต่ำกว่าอริยะ ยิ่งขอบเขตขยับไปใกล้อริยะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอ่อนแอดุจทารกมากเท่านั้น ถูกไหม? แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากมียอดฝีมือบางคนที่ยอมให้ตบะของตนได้รับความเสียหาย แต่จะอย่างไรก็ต้องร่ายเวทอภินิหารให้ได้ล่ะ เขาจะเทียบเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราไม่ได้จริงๆ หรือ?”

ไช่จินเจี่ยนโต้กลับ “มีอริยะอยู่ที่นี่ สกัดคงคาเจินจวินอย่างเขาจะกล้าลงมือกับข้าเชียวหรือ?”

ฝูหนันหัวเอ่ยโน้มน้าว “พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อตามหาโชควาสนา ไม่ใช่มาเพื่อสร้างปมแค้น ต่อให้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่การขัดแย้งกับพวกผู้อาวุโสก็ไม่ใช่เรื่องดี”

ไช่จินเจี่ยนเองก็ไม่ใช่พวกดื้อดึงดันทุรัง จึงพยักหน้ารับ “พี่ฝูพูดถูกแล้ว เจ้ามีประสบการณ์โชกโชนจึงเยือกเย็นสุขุม”

นางหน้าจ๋อยจนดูน่าสงสาร “แต่ข้าไม่อยากยอมแพ้เลยจริงๆ อุตส่าห์ให้หินรากเมฆกับเจ้าไปตั้งสิบก้อนแล้ว หากต้องกลับไปมือเปล่า จะอธิบายให้เหล่าบุรพาจารย์ฟังอย่างไรเล่า?”

พอเดินออกมาจากตรอกหนีผิง สีหน้าของฝูหนันหัวและไช่จินเจี่ยนก็เผยความตกตะลึงแทบจะเวลาเดียวกัน ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่ายเพียงแค่เพราะเดินออกจากตรอกมืดมาพบแสงจ้าเท่านั้น คนทั้งสองจึงหันมามองหน้ากัน แต่ไม่นานก็ละสายตาออกจากกัน

ฝูหนันหัวที่เดิมทีอารมณ์เบิกบานลิงโลดพลันสงบสติลงได้มาก เขาใคร่ครวญถึงการเดินทางมายังตรอกเล็กแห่งนี้อย่างละเอียด เรื่องที่เขาผูกมิตรกับไช่จินเจี่ยนไม่น่าจะเผยพิรุธใดๆ และเรื่องที่เขาแลกเปลี่ยนกับเด็กหนุ่มซ่งจี๋ซินก็ไม่ควรจะมีช่องโหว่ใดๆ เช่นกัน เดิมทีนี่คือการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมและสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ อริยะผู้เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝนซึ่งพิทักษ์ที่แห่งนี้คงไม่มีเวลาว่างมายื่นมือเข้าแทรกหรอกกระมัง? แล้วความกดดันขุมนี้มาจากที่ใด? หรือว่ามาจากสกัดคงคาเจินจวินที่แม้แต่ชื่อเขาก็ยังไม่เคยได้ยินคนนั้น?

เมื่อเทียบกับความคิดที่ลึกล้ำและยาวไกลของฝูหนันหัวแล้ว ความคิดของไช่จินเจี่ยนกลับง่ายดายยิ่งกว่า นางนึกว่าสิ่งที่ฝูหนันหัวเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว นั่นคือสกัดคงคาเจินจวินได้ใช้เวทอภินิหารบางอย่างจับตามองตน นางพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางแค่บ่นเท่านั้น ไม่ได้ผรุสวาทหยาบคายอะไร

คนทั้งสองที่ต่างความคิดเดินอยู่บนถนนใหญ่ ยิ่งห่างไกลจากตรอกหนีผิงมากเท่าไหร่ ความรู้สึกกดดันหนักอึ้งในใจของคนทั้งสองก็ยิ่งเบาบางลงเท่านั้น ฝูหนันหัวรู้สึกว่าความหนักอึ้งนั้นมาจากโชควาสนาที่ได้รับ ส่วนไช่จินเจี่ยนกลับรู้สึกว่าความหนักอึ้งคือภาระของตระกูลที่ตนต้องแบกเอาไว้

เงยหน้ามองซุ้มประตูที่อยู่ห่างไปไกล ฝูหนันหัวเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “สกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยนซู? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้? ต่อให้นครมังกรเฒ่าของข้าจะตั้งอยู่ใต้สุดของทวีป แต่ผู้ที่มีตำแหน่งเจินจวินย่อมต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือ ต่อให้ข้ามีความรู้เท่าหางอึ่งก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้างสิ”

ไช่จินเจี่ยนหัวเราะหยันเสียงแผ่วต่ำ

“เจินจวินอะไรกัน ก็แค่เจินเหริน (คำเรียกเต๋าหยินที่บรรลุมรรคผล) ตำแหน่งต้นๆ ของสำนักนอกรีตเท่านั้น แต่เก่งในเรื่องวางมาดให้ดูภูมิฐาน แล้วก็ไม่มีคุณสมบัติอะไรให้เรียกว่าเจินจวินด้วย ก็แค่คำยกยอปอปั้นของพวกที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้าน

จักรพรรดิหยวนอู่ทรงพระปรีชาถึงเพียงนั้น ย่อมไม่มีทางแต่งตั้งคนผู้นี้เป็นเจินจวินแน่ หัวไชเท้าหนึ่งหัวใส่ได้แค่หลุมหนึ่งหลุม (เปรียบเปรยว่าตำแหน่งหนึ่งมีได้แค่คนเดียวเท่านั้น ไม่มีที่เหลือ) หากมอบตำแหน่งเจินจวินให้ไป ก็หมายความว่าเวลาสองร้อยปีไม่อาจนำกลับคืนมาได้ บวกกับที่เหล่าบรรพบุรุษของจักรพรรดิหยวนอู่มือเติบ พอมาถึงเขาจึงเหลือตำแหน่งเจินจวินแค่สองตำแหน่งเท่านั้น นั่นก็ยิ่งไม่มีทางเอามายกให้กับพวกนอกรีตที่มีเพียงชื่อเสียงจอมปลอมแน่”

ฝูหนันหัวพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เจินจวินประจำราชสำนักทุกท่านล้วนสามารถช่วยให้จักรพรรดิผู้ครองแคว้นรวบรวม สยบและเพิ่มพูนชะตาแห่งแคว้นได้

ตำแหน่งเจินจวินของสำนักเต๋าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชสำนักของโลกมนุษย์ พลเอก (上柱国 ซ่างจู้กั๋ว แปลตามตัวคือคานสูงที่ค้ำยันประเทศ ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนพลระดับสูงของกองทัพนับแต่ยุคชุนชิว) แห่งสำนักการทหาร และมหาบัณฑิตของสำนักขงจื๊อก็ล้วนอยู่ในระดับเดียวกันนี้ด้วย

ไช่จินเจี่ยนถามชวนคุย “ซ่งจี๋ซินผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฝูหนันหัวเองก็ตอบอย่างไม่คิดมาก “เด็กหนุ่มคนนั้นน่ะหรือ มีใจทะเยอทะยาน เฉลียวฉลาดตั้งแต่เกิด มีที่พึ่งไม่ธรรมดา เพียงแต่วิสัยทัศน์…”

ไช่จินเจี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “ไม่กว้างไกล?”

ฝูหนันหัวหัวเราะร่า “พูดไม่ได้ว่าไม่กว้างไกล เพียงแต่ยังไม่กว้างไกลมากพอเท่านั้น”

คนทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ใต้ซุ้มประตู ฝูหนันหัวพึมพำกับตัวเองด้วยความฮึกเหิมว่า “ยามที่โชคมาเยือน แม้แต่สวรรค์ก็ยังให้ความช่วยเหลือ”

ไช่จินเจี่ยนเงยหน้ามองอักษรสี่คำว่า ‘โม่เซี่ยงว่ายฉิว’ (ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกาย) หัวใจพลันวูบโหวง รู้สึกถึงเพียงความหมดอาลัยตายอยาก ราวกับว่าสิ่งที่บรรลุมาในตรอกหนีผิงก่อนหน้านี้ล้วนต้องคืนให้กับเมืองเล็กแห่งนี้ไปทั้งหมด

นี่จึงทำให้นางหงุดหงิดงุ่นง่านผิดปกติ

—-

บ้านของซ่งจี๋ซินถือเป็นบ้านหลังใหญ่ในตรอกหนีผิง นอกจากจะมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่แขวนป้ายไว้ด้านหน้าแล้ว ยังมีห้องเล็กฝั่งซ้ายฝั่งขวาอีกสองห้อง

ตัวอักษรในกรอบป้ายหน้าห้องโถงเขียนว่า ‘เรือนไหวหย่วน’ (คิดถึงคนที่จากไปไกล) ซึ่งไม่ได้ลงนามผู้เขียนเอาไว้ ซ่งจี๋ซินจึงมักจะรู้สึกว่าหากดูเพียงตัวอักษรก็ไม่ถือว่าเป็นลายมือของคนมีชื่อเสียงอะไร

ตอนนี้นายบ่าวสองคนอยู่ในห้องนอนของซ่งจี๋ซิน เด็กหนุ่มกำลังรื้อค้นลังและชั้นวางของ ส่วนสาวใช้ยืนอยู่หน้าประตู ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชาย แลกเปลี่ยนไม่สำเร็จหรือ?”

ซ่งจี๋ซินวางกระพรวนพวงหนึ่งลง นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ที่มีเพียงตัวเดียวในห้อง มือทั้งคู่ประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกขาขึ้นไขว่ห้าง

“ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นั้นไม่ใช่คนโง่เลย เขาไม่ได้มองข้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญผู้ไม่เคยเห็นโลกกว้างตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ได้ฉลาดสักเท่าไหร่ คิดจะใช้เล่ห์กลมาผูกมิตรกับข้า น่าตลกจริงๆ ตอนหลังพอถูกข้าตบตาเข้าหน่อย หางจิ้งจอกของเขาก็โผล่เสียแล้ว นึกว่าแค่แสร้งใช้วิธีอำมหิตมาข่มขู่แล้วจะสำแดงบารมีให้นายท่านอย่างข้าตกใจกลัวได้ เมื่อเทียบกับท่านฉีที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้แล้ว ยังห่างไกลกันถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้”

สาวใช้จื้อกุยเอ่ยว่า “หนึ่งแสนแปดพันลี้ คุณชาย คำพูดของท่านออกจะเกินจริงไปหน่อยไหม”

ซ่งจี๋ซินแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ “งั้นก็ห่างเท่าตรอกหนีผิงสิบตรอก!”

เด็กหนุ่มโยนถุงใบหนึ่งให้สาวใช้ของตัวเอง “ดูสิ นี่ก็คือเหรียญทองแดงที่ในจดหมายลับฉบับนั้นพูดถึง ก่อนหน้านี้เจ้าคนแซ่เฉินบ้านข้างๆ ก็ได้ไปถุงหนึ่ง ตอนนั้นข้าก็เดาได้แล้วว่าการที่โชคครั้งใหญ่มาเยือนเขาอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป แล้วก็จริงดังคาด เขาถึงได้ไปมีเรื่องกับชายหญิงสุนัขคู่นั้นอย่างไรล่ะ ข้าว่าเดี๋ยวเจ้าคนแซ่เฉินต้องลำบากแน่

ใช่แล้วจื้อกุย ข้าจะบอกเจ้าให้ คนที่มาบ้านเรา เจ้าคนที่เรียกตัวเองว่านายน้อยนครมังกรเฒ่านั่น ฟังจากน้ำเสียง แล้วก็ดูจากท่าทางของเขาแล้ว คงไม่ได้มีดีแต่เปลือก ยังมีหยกประดับชิ้นนี้อีก เขาบอกว่ามันคือ ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ อะไรสักอย่าง ต้องแพงมากแน่นอน!”

ซ่งจี๋ซินตบหยกประดับสีเขียวงามจับตาที่เขาเอาไปห้อยเอวตัวเองไว้เรียบร้อยชิ้นนั้น ลึกๆ ในใจเด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองขยับเข้าไปใกล้บัณฑิตอย่างท่านฉีได้ก้าวใหญ่แล้ว

จื้อกุยเปิดถุงที่ปักลวดลายงดงามออกพลางถามเบาๆ “คุณชาย ไปหา ‘เหรียญทองแดง’ แบบนี้มาเพิ่มอีกได้หรือไม่?”

ซ่งจี๋ซินถามยิ้มๆ “เจ้าชอบรึ?”

จื้อกุยใช้สองนิ้วคีบเหรียญสีทองเหรียญหนึ่งขึ้นมาโบกเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีว่า “สีทองวิบวับแบบนี้ มองแล้วเป็นมงคลมากเลย”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะขัน “แบบนี้ก็ได้หรือ? ก็ได้ ในเมื่อเจ้าชอบ ข้าก็จะไปหามาเพิ่มอีกหลายๆ ถุง เงินพวกนี้เมื่ออยู่ข้างนอกจะแบ่งออกเป็นเงินยาเซิ่งที่วางไว้บนเสาเอก เงินอิ๋งชุนที่อยู่บนยันต์ไม้ท้อ และเงินก้งหย่างที่วางอยู่ตรงท้องหรือบนมือของพระพุทธรูป แต่ว่าชาวบ้านมีหลักปฏิบัติของชาวบ้าน ตระกูลเซียนก็มีหลักปฏิบัติของตระกูลเซียน”

นางยิ้มตาหยี ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงเหมือนพระจันทร์เสี้ยว “แล้วถุงของเฉินผิงอันล่ะ?”

ซ่งจี๋ซินขมวดคิ้ว “เขา?”

สาวใช้จับอารมณ์ที่ผิดปกติของคุณชายตัวเองได้จึงเก็บเหรียทองแดงลงไปอย่างระมัดระวัง รัดปากถุงจนแน่นแล้วถามเสียงเบา “ทำไมหรือ?”

ซ่งจี๋ซินเบ้ปาก เลื่อนมือทั้งคู่มากุมลำคอแล้วบิดเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ไม่มีอะไร แค่นึกถึงเรื่องเฮงซวยบางเรื่องเท่านั้น ทางฝ่ายของเจ้าคนแซ่เฉิน ยังไม่ต้องรีบร้อน จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว กลับเป็นเจ้าหนอนหนังสือจ้าวเหยานั่นต่างหากที่น่าจะได้เหรียญทองแดงพวกนี้เหมือนกัน เขาหลอกง่าย คุณชายอย่างข้ารับรองว่าจะเอากลับมาให้เจ้าอีกถุงหนึ่ง”

พอเห็นท่าทางสงสัยใคร่รู้ของสาวใช้ ซ่งจี๋ซินก็ไม่ได้อธิบายต่อ และเมื่อเห็นว่าคุณชายของตัวเองไม่มีอารมณ์จะพูดต่อ เด็กสาวจึงไม่คิดจะซักไซ้

จื้อกุยเดินออกจากในห้องมาที่ลานบ้าน นางมองเห็นงูสี่ขาที่ขัดหูขัดตาตัวนั้นกำลังนอนพังพาบอาบแดดอยู่บนพื้น บางครั้งยังกลิ้งตัวไปมา ท่าทางมีความสุขมาก

เด็กสาวที่กำลังอารมณ์ไม่ดีก้าวเดินเร็วๆ ไปถึงก็กระทืบลงบนหัวของงูสี่ขา แล้วใช้ปลายเท้าขยี้แรงๆ

เจ้าตัวน้อยที่น่าสงสารร้องครวญครางไม่หยุด

พอนางยกเท้าขึ้น งูสี่ขาตัวนั้นก็วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงพุ่งชนกำแพงลานบ้านไปทั่ว

งูสี่ขามีสีเหมือนดินในบ้านตัวเอง

ปลาหลีสีทองที่ตะกละพลัดเข้าไปในข้องจับปลา

ปลาหนีชิวสีดำที่กู้ช่านเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำ

ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ห้าธาตุ ตอนนี้ปรากฏสามธาตุแล้ว

มองงูสี่ขาที่ศีรษะมีเขางอกขึ้นมา เด็กสาวก็แสยะยิ้มด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “เจ้าโง่!”

ในลานบ้านของเด็กกู้ช่าน ผู้เฒ่าและหญิงวัยกลางคนยังคงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ฝ่ายแรกยื่นฝ่ามือออกมามองเส้นลายมือที่ตัดสลับซับซ้อนด้วยอารมณ์ที่ไม่ผ่อนคลายนัก

ผู้เฒ่าหุบมือ เงยหน้าขึ้นถาม “กู้ซื่อ ผู้หญิงในเมืองนี้ที่แต่งงานกับชายต่างถิ่นอย่างเจ้ามีเยอะหรือไม่?”

หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า “น่าจะมีไม่มาก จะอย่างไรซะในตรอกหนีผิงกับตรอกซิ่งฮวาก็มีแค่ข้าคนเดียว”

ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเปิดเผยความลับสวรรค์ให้นางฟัง “ช่วงอายุหกขวบและสิบสองขวบของเด็กหญิง ช่วงอายุเก้าขวบและสิบแปดปีของเด็กชาย ต่างก็เป็นธรณีประตูใหญ่สองแห่ง แห่งแรกจำเป็นต้องข้ามผ่านไปเอง ส่วนแห่งหลังสามารถอาศัยพลังจากภายนอกผลักให้เข้าไปได้ เรื่องราวหลังจากนี้ก็จะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น ยิ่งเป็นคนตระกูลร่ำรวยก็ยิ่งได้เปรียบ เปิดประตู ก้าวเข้าโถง เดินเข้าห้องเรียนสามเรื่องนี้ สองอย่างแรกดูแค่โชควาสนาและชะตาชีวิตอย่างแท้จริง โดยเฉพาะก้าวแรกที่จะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าสวรรค์จะเห็นใจหรือไม่”

ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แค่ถูกใจท่านเซียนที่มองเพียงปราดเดียว ก็ถือว่ากู้ช่านของข้าเดินผ่านก้าวแรกไปได้แล้วใช่ไหม?”

ผู้เฒ่าตอบครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง “ขอแค่เป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งนี้ก็หมายความว่า แท้จริงแล้วฐานกระดูกไม่โดดเด่นนัก แม้ว่ากู้ช่านบุตรเจ้าจะยังอายุไม่ถึงเก้าขวบ แต่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

สีหน้าของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนมาเป็นย่ำแย่สุดขีด

ผู้เฒ่ายกเท้ากระทืบลงบนพื้นเบาๆ พลางยิ้มบางๆ “วางใจเถอะ ฐานกระดูกดีหรือเลวเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่กลับไม่ได้สำคัญเป็นอันดับแรก สวรรค์ถูกชะตา ต่อให้เป็นหมาข้างทางตัวหนึ่งหรือต้นหญ้าในป่าต้นหนึ่งก็ยังสามารถค่อยๆ ฝึกบำเพ็ญตนบนมหามรรคและเดินขึ้นฟ้าไปได้ในท้ายที่สุด

คราวนี้เมืองเล็กแหกกฎอนุญาตให้คนนอกมากมายเข้ามาก็ถือเป็นการกระทำด้วยความจำใจ ไร่นาผืนหนึ่ง ต่อให้ดินและน้ำจะดีแค่ไหน เมื่อผ่านการบุกเบิกถากถาง ปลูกพืชผลและเก็บเกี่ยวติดต่อกันนานหลายพันปี บวกกับที่ระหว่างนี้ยังมีเหตุการณ์อันตรายล่อแหลมที่ประเมินราคาไม่ได้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ก็ย่อมต้องมีวันเสื่อมโทรมแห้งแล้ง สิ้นความอุดมสมบูรณ์ และในที่สุดก็ถึงปีสุดท้ายของสถานที่แห่งนี้แล้ว

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะตาย พลังชีวิตจึงกลับคืนมาเฮือกสุดท้าย เวลานั้นจิงชี่เสินของทุกคนจะทรงพลังมากเป็นพิเศษ กู้ช่านของเจ้าคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ความยิ่งใหญ่ของโชควาสนาเขาเหนือเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ถึง จึงเป็นเหตุให้เขาได้เปรียบเหนือเด็กในเมืองที่มีพรสวรรค์เหล่านั้น”

ริมฝีปากของหญิงวัยกลางคนสั่นระริก พยายามข่มกลั้นความตะลึงระคนดีใจของตัวเองสุดกำลัง ดวงตาทั้งคู่มีน้ำตาเอ่อคลอ เผยให้เห็นความงดงามเย้ายวนใจคนอยู่หลายส่วน

ผู้เฒ่าเหลือบตามองนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าเจ้าเองก็อย่าได้โลภมากนัก คนที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่ในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงลูกชายของเจ้าคนเดียว คำพูดอาจไม่น่าฟัง แต่คนที่มีสิทธิ์ได้ครอบครองโชคครั้งนี้เพียงลำพังในบุรพแจกันสมบัติทวีปที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ต่อให้มี ก็ต้องยังไม่เกิดแน่นอน”

มือทั้งคู่ของหญิงวัยกลางคนกุมอยู่ตรงหัวใจตัวเอง นางพึมพำแผ่วเบา “เพียงพอแล้ว เพียงพอแล้ว”

ผู้เฒ่านึกถึงเด็กสาวรุ่นเล็กจากเขาเมฆาเรืองคนนั้นขึ้นมาจึงพูดเสียงหยัน “กุลีกุจอ ทุ่มเทแรงกายและใจจนหมดสิ้น คิดแต่จะแสวงหาวัตถุนอกกาย เก็บเมล็ดงา ทิ้งแตงโม (ละโมบในผลประโยชน์เล็กน้อย จึงต้องเสียผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ไป) ช่างโง่เขลาซะจริง”

แต่แล้วผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้ม “ก็จริงนะ แต่ไหนแต่ไรมา ตาเฒ่าของเขาเมฆาเรืองพวกนั้นก็ไม่เคยมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอยู่แล้ว หาไม่แล้วก็คงไม่ปล่อยให้ข้าผู้อาวุโสชิงคว้าโอกาสตัดหน้ามาได้ มีภูเขาสมบัติที่แทบจะไม่มีทางขุดหาสมบัติได้หมดอยู่ลูกหนึ่ง เดิมทีก็ควรร่ำรวยอู้ฟู่ เจริญรุ่งเรือง แต่กลับตกต่ำถึงขั้นที่ต้องอาศัยให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานออกหน้าให้”

ในห้อง เด็กชายที่เตะต่อยประตูห้องอยู่นาน บัดนี้ยืนอยู่บนม้านั่ง คว่ำหน้าฟุบอยู่ตรงหน้าต่าง ร้องวิงวอนหน้าตาน่าสงสาร “ท่านแม่ ปล่อยข้าออกไปเถอะนะ ข้ารับปากว่าจะเชื่อฟังท่าน!”

หญิงวัยกลางคนเหลือบมองเซียนเฒ่า ฝ่ายหลังพยักหน้าให้เบาๆ นางถึงได้เดินไปเปิดประตู จูงมือลูกชายมาหยุดอยู่ในลานบ้านแล้วเอ่ยเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เสี่ยวช่าน ห้ามทำตัวเหลวไหลเด็ดขาด เข้าใจไหม?! แม่ไม่เคยตีเจ้ามาก่อน แต่ถ้าเจ้ากล้าไม่เชื่อฟัง แม่จะตีเจ้าอีกครั้งจริงๆ ด้วย”

เด็กชายร้อง “อืม” รับหนึ่งที ไหล่ลู่คอตก ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก

กู้ช่านไปยกม้านั่งตัวเล็กมาให้ตัวเอง เขากับมารดาและผู้เฒ่าจึงนั่งเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม เด็กชายเอามือทั้งคู่เท้าคาง “ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ท่านคุยอะไรกับนักเล่านิทานหรือ ข้าอยู่ในห้องได้ยินไม่ถนัด พวกท่านพูดกันอีกรอบได้หรือไม่?”

ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะเบาๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็สะบัดข้อมือ ถ้วยสีขาวใบใหญ่จึงมาโผล่กลางฝ่ามืออีกครั้ง เขาก้มหน้าเพ่งมองไป สายตาหม่นมัวเดาไม่ถูกว่าคิดอะไรอยู่ เห็นเพียงว่าผิวน้ำในถ้วยขาวกระเพื่อมเป็นริ้วๆ บางครั้งก็มีน้ำเป็นฝอยกระเด็นขึ้นมา เส้นสีดำเส้นหนึ่งแหวกว่ายอยู่ในถ้วยขาวอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็พุ่งชนผนังถ้วย ผู้เฒ่าพึมพำกับตัวเองว่า “เอาเถอะๆ ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”

เพื่อรับลูกศิษย์คนนี้ ก่อนหน้านั้นผู้เฒ่าต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ ยอมให้ตบะที่สั่งสมมาหลายสิบปีของตนถูกลดทอนลง ถึงจะเล่นเล่ห์ในตรอกหนีผิงได้สำเร็จสามครั้ง

ครั้งแรกคือให้หญิงสาวผู้นั้นเหยียบขี้หมา

ครั้งสุดท้ายคือใช้เวทลับทำให้หญิงสาวผู้นั้นมั่นใจว่าตัวเองบรรลุหลักธรรม หากอยู่นอกเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นเจินจวินลัทธิเต๋าที่แท้จริงคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงยังไม่กล้าทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อมาอยู่ในเมืองเล็ก ไช่จินเจี่ยนก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อผู้เฒ่ายอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล จึงคว้าโอกาสเอาไว้ได้

ครั้งที่สองนั้นเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุด แม้แต่ตัวผู้เฒ่าเองก็ยังรู้สึกเหมือนมีเทพมาช่วยนิรมิต นั่นคือทำให้หญิงสาวเข้าใจผิดคิดว่าคำเตือนด้วยความหวังดีของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะคือการเอาคืนของคนเจ้าเล่ห์ ตอนนั้นผู้เฒ่าทำให้เสียงของเด็กหนุ่มที่ดังออกมาช้ากว่าปกติไปเล็กน้อย ทั้งยังทำให้หญิงสาวผู้นั้นจับรายละเอียดจุดนี้ได้อย่างพอดิบพอดี

พูดไม่ได้ว่าไม่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบ

บนเส้นทางแห่งการฝึกตน บุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางสายเดียวกัน มีเพียงเส้นกั้นบางๆ เท่านั้น

เวลานี้หัวใจของกู้ซื่อเหมือนแขวนเติ่งอยู่กลางอากาศ นางกลัวว่าเซียนเฒ่าจะพูดข่าวร้ายอะไรออกมา

ผู้เฒ่ากระตุกยิ้มมุมปาก หางตาเหลือบไปเห็นเด็กชายที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็วิ่งเผ่นแผล็วไปยังประตูบ้าน

หญิงวัยกลางคนกรีดร้องเสียงแหลม

ผู้เฒ่าที่ประคองถ้วยขาวไว้กลางฝ่ามือกลับลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน “ลูกศิษย์ อาจารย์จะให้เจ้าดูก่อนว่าฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน เจ้าจะได้ไม่ทำลายงานใหญ่ของเราสองเพราะความไม่รู้หนักเบา!”

เบื้องหน้าของหญิงวัยกลางคนพลันมืดดำ เป็นลมหมดสติลงไปกองอยู่กับพื้น

ผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง

นาทีถัดมา เด็กชายที่เกือบจะแตะโดนสลักประตูกลับสะดุดหัวทิ่มล้มลงบนพื้น รอจนเขาค้นพบถึงความผิดปกติก็กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความมึนงง สุดท้ายจึงเงยหน้ามองนักเล่านิทานที่ยืนอยู่ข้างกายตน “ที่นี่คือที่ไหน?”

ผู้เฒ่าเอามือสองข้างไพล่หลัง กล่าวเรียบๆ “ในถ้วย”

เด็กชายยิ่งงงงันเข้าไปอีก แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินผู้เฒ่าตวาดเสียงดัง “ลุกขึ้น!”

เด็กชายจึงลุกขึ้นยืนตามสัญชาตญาณ แล้วก็ยืนนิ่งไม่ขยับ กู้ช่านค้นพบว่าตนเองยืนอยู่ริมหน้าผา ห่างไปไกลเบื้องหน้าคือทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาล

จากนั้นเด็กชายก็เบิกตาถลน เห็นเพียงว่าท่ามกลางเมฆหมอกสีขาวโพลนมีเรือนกายใหญ่มหึมาเรือนกายหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าจนเมฆที่อยู่รอบด้านถูกแหวกออก

แต่เป็นเพราะว่าร่างของมันใหญ่โตเกินไปจึงไม่อาจเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์แบบได้

เด็กชายตกใจเตรียมจะถอยหลัง แต่กลับถูกผู้เฒ่าใช้ฝ่ามือกดไว้ที่ศีรษะพร้อมเอ่ยเสียงเฉียบขาด “หากถอยก้าวนี้ วันหน้าการก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตนของเจ้าจะลำบากทุกย่างก้าว! จงยืนให้มั่น!”

กู้ช่านตกใจน้ำตาไหลพรูออกมาจากดวงตา เด็กชายที่แต่ไหนแต่ไรมาดื้อรั้นไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม บัดนี้แค่ร้องไห้ก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงดัง

เด็กชายไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้เลย ขาทั้งคู่ของเขาสั่นพั่บๆ ริมฝีปากก็สั่นระริก

ทะเลเมฆที่ห่างไปไกลพลันเดือดพล่าน

ดูเหมือนว่าเมฆขาวที่ลอยฟุ้งอบอวลจะค่อยๆ เบาบางลงไป

สีดำที่ปรากฏเพิ่มเติมอยู่กลางท้องฟ้านั้นใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุด คล้ายกับ…ปลาหนีชิวตัวน้อยที่เลี้ยงไว้ในอ่างน้ำบ้านตัวเองซึ่งเติบโตเต็มวัยแล้ว?

จู่ๆ ในสมองของเด็กชายก็มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

นาทีนั้นกู้ช่านที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่อาจควบคุม เขายื่นแขนที่เล็กบางของตัวเองไปยังท้องฟ้า

ศีรษะมหึมาดุจขุนเขาค่อยๆ โผล่ออกมาจากในทะเลเมฆช้าๆ

ดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ ซ้ำยังกวักมือหยอยๆ พลางตะโกนไปด้วย “มานี่เร็ว มานี่เร็ว! ที่แท้เจ้าก็โตขนาดนี้แล้วหรือ มิน่าเล่าข้าถึงรู้สึกว่าพอใส่ปลา กุ้ง ปูลงไปในอ่างเมื่อไหร่ วันต่อมาเจ้าพวกนั้นมักจะหายไปเสมอ”

สกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยนซูที่ยืนอยู่ด้านหลังกู้ช่านเต็มไปด้วยความคิดซับซ้อนวุ่นว่าย ทั้งผิดหวังและริษยาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็เกิดความเลื่อมใสจากใจจริงด้วย

แม้เขาจะแน่ใจว่าตนไม่อาจได้ครอบครองโชควาสนาค้ำฟ้าครั้งนี้แล้ว แต่การที่ได้ลูกศิษย์คนนี้มาก็ถือเป็นเรื่องดี การเดินทางครั้งนี้ย่อมไม่เปลืองแรงเปล่าแน่!

ผู้เฒ่าที่เห็นกับตาตัวเองว่าศีรษะมหึมานั้นขยับเข้ามาใกล้ก็อดพึมพำเบาๆ ไม่ได้ว่า “ช่างเป็นภาพที่อัศจรรย์ยิ่งนัก”

—-

จู่ๆ เฉินผิงอันก็บอกกับเด็กสาวชุดดำว่าจะเข้าไปในห้อง แล้วสุดท้ายเขาก็ไปนั่งยองหันหลังให้นางอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะหยิบของชิ้นหนึ่งซ่อนไว้กลางฝ่ามือ

พอเดินออกไปก็บอกว่าจะไปซื้อหม้อต้มยามาให้นาง เพราะในบ้านไม่มีของสิ่งนี้

เมื่อเด็กสาวเห็นว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก้าวเดินเร็วๆ จากไป นางก็เหลือบตามองไปยังมุมมืดของห้องซึ่งมีไหเก่าๆ ใบหนึ่งตั้งวางอยู่

ในความเป็นจริงแล้วความสามารถในการฟังของเด็กสาวนั้นดีมาก นางจึงรู้ว่าของที่อยู่กลางฝ่ามือเขาคือเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่แหลมคมอย่างถึงที่สุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version