บทที่ 19 วิถียิ่งใหญ่
ตอนที่เฉินผิงอันกำลังจะวิ่งออกไปจากลานบ้าน เด็กสาวชุดดำพลันตะโกนขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้า”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ขณะที่กำลังจะเปิดประตู เด็กสาวกลับเพิ่มระดับน้ำเสียงขึ้นอีก “เฉินผิงอัน!”
เฉินผิงอันจึงทำได้เพียงหมุนตัววิ่งกลับมาหยุดอยู่หน้าธรณีประตู สีหน้าของเด็กสาวดูมีเลือดฝาดกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน เพียงแต่น้ำเสียงยังคงแหบพร่า
นางกล่าวว่า “ข้อแรก หลังจากที่คนต่างถิ่นอย่างพวกเราเข้ามาในเมือง แม้ก่อนหน้านี้จะบอกกับเจ้าไปว่า ร่างกายของพวกเราแข็งแรงกว่าคนทั่วไป ทว่านอกจากนี้แล้วกลับไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกเจ้า
ข้อสอง คนนอกไม่สามารถฆ่าคนในนี้ได้ หากละเมิดกฎ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็จะต้องถูกขับออก และจะไม่มีทางได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ ไปจากที่นี่ ราคานี้สูงมาก สูงเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ถึง
ข้อสาม เจ้าเองก็ต้องคิดให้กระจ่าง ยามที่คนนอกอย่างพวกเราเจอกับช่วงเวลาอันตรายคับขัน ต่อให้มีแค่สองมือเปล่าก็ต้องลงมือแน่นอน เพราะอย่างไรซะการมีชีวิตรอดต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ก่อนถามว่า “เจ้าจะบอกว่า เวลาทำอะไรต้องลงมืออย่างรวดเร็วใช่ไหม?”
หญิงสาวชุดดำยิ้มกว้าง สีหน้าที่สดใส ดวงตาที่เป็นประกายของนางเหมือนทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสว นางตบไปที่ดาบฝักสีเขียวซึ่งวางพาดอยู่หน้าเข่าของตัวเอง พยักหน้ารับ “ใช่! ลงมือต้องเร็ว เร็วมากหรือเร็วที่สุด! ยกตัวอย่างเช่นข้าที่พกทั้งดาบทั้งกระบี่ ไม่ว่าข้าจะชักดาบหรือดึงกระบี่ก็ต้องเป็นคนที่ลงมือได้รวดเร็วที่สุดในใต้หล้านี้!”
นางหยุดชะงักไปครู่ แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนจากท่าทางของจอมยุทธ์หญิงผู้ห้าวหาญมาเป็นสาวน้อยข้างบ้านที่อยากจะโอ้อวดตัวเอง จึงยิ้มตาหยีถามว่า “นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้หล้านี้มีทั้งหมดกี่ทวีป?”
เฉินผิงอันสีหน้าเหลอหลา
ดูเหมือนเด็กสาวจะมองออกว่าเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจใคร่รู้สักเท่าไหร่ นางหมดสนุก เลยโบกมือไล่อีกฝ่าย “ทางที่ดีที่สุดควรซื้อหม้อกลับมาให้ได้ ข้ารอกินยาอยู่นะ”
คราวนี้ฝีเท้าที่ก้าวออกจากลานบ้านของเฉินผิงอันช้าลง และมั่นคงกว่าเดิมเยอะมาก
พอเขาออกจากตรอกหนีผิงได้ไม่นานเท่าไหร่ ประตูบ้านที่ไม่เคยลงกลอนบานนั้นก็ถูกคนผลักเข้ามาเบาๆ หญิงสาวชุดดำในห้องลืมตาขึ้น เมื่อครู่นางเพิ่งจะนั่งเข้าฌานด้วยวิธีการแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง พอเห็นประตูถูกผลักจึงจ้องมองไปทางนั้น ตั้งท่าราวกับกำลังเผชิญศัตรูตัวฉกาจ
กระบี่บินในฝักกระบี่สีหิมะที่วางไว้บนโต๊ะพลันเงียบเสียงลง แต่กลับแผ่ปราณสังหารไร้รูปลักษณ์ขุมหนึ่งออกมา ทำให้บรรยากาศรอบด้านหนาวเย็นดุจอากาศหนาวพิเศษหลังเข้าฤดูใบไม้ผลิ เยียบเย็นจนกระดูกของคนเกาะตัวเป็นน้ำแข็งได้
สาวใช้จื้อกุยเดินเอื่อยๆ มาถึงหน้าประตูห้องเหมือนเพื่อนบ้านทั่วไปที่เดินเข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้อย่างคุ้นเคย นางไม่ได้ข้ามธรณีประตูเข้ามา เพียงยื่นหน้าเข้ามาในห้องแล้วกวาดตามองไปรอบด้าน แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเด็กสาวชุดดำที่นั่งทนโท่อยู่บนเตียงหลังเล็กโดยมีดาบวางพาดอยู่ด้านหน้า
จื้อกุยมองประเมินอยู่นาน สุดท้ายถึงทำเป็นเพิ่งมองเห็นคนตัวเป็นๆ ในห้อง กล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “พี่สาวท่านนี้ เจ้าเป็นใครหรือ? ทำไมถึงมาอยู่บนเตียงของเฉินผิงอันได้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเขามีญาติด้วย”
หนิงเหยามองเด็กสาวที่ไม่ได้รับเชิญแวบหนึ่งแล้วหลับตาลง ไม่คิดจะเสวนาด้วย
จื้อกุยเห็นว่านางแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดก็ไม่โกรธ เพียงโคลงศีรษะเบาๆ เบ้ปากด้วยสีหน้ารังเกียจ
นางมองกระบี่เล่มยาวฝักสีหิมะที่วางอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง จุดลึกในดวงตาซ่อนความเคียดแค้นและหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ แล้วก็เหมือนจะมีเส้นสีทองพุ่งผ่านลูกตาดำของนางไปอย่างรวดเร็ว สาวใช้ผู้นี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น เตรียมจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา แต่จู่ๆ กลับวางเท้าลง กระแอมหนึ่งที แสร้งพูดว่า
“ข้าจะเข้าไปล่ะนะ ถ้าไม่พูดก็ถือว่าไม่ปฏิเสธ ใช่ไหม? ใช่สิ นี่คือบ้านของเฉินผิงอันนี่นา ข้ารู้จักกับเขามาตั้งหลายปี…คงไม่ใช่ว่าเจ้าฟังที่ข้าพูดไม่รู้เรื่องหรอกนะ? ไม่เป็นไร จะอย่างไรซะพวกเราก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว ข้าก็แค่แวะมาดูว่าที่นี่ขาดเหลืออะไรบ้าง เพราะอีกไม่นานพวกเราก็จะย้ายออกไปแล้ว ของหลายอย่างสามารถทิ้งไว้ให้เฉินผิงอันใช้ได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ชีวิตเขายากลำบากไม่น้อยเลย”
เสียงพูดเจื้อยแจ้วเหมือนรำลึกถึงความหลัง ทำให้นางกับเฉินผิงอันดูเป็นคู่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย
พอสาวใช้จื้อกุยเข้ามาในห้องแล้ว นางก็เดินดิ่งมานั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะเล็กอย่างไม่กระโตกกระตาก หางตาคอยเหลือบมองกระบี่เล่มนั้นอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันนั้น เด็กสาวชุดดำก็หยิบเอากระดาษสามแผ่นที่นักพรตหนุ่มมอบให้เฉินผิงอันออกมาอ่านอย่างตั้งใจ คล้ายพยายามจะไขความลี้ลับสักอย่างให้ออก น่าเสียดายก็แต่อ่านพลิกไปพลิกมาอย่างละเอียดอยู่ถึงสองรอบก็ยังไม่เห็นความผิดปกติใด จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “ตัวอักษรพวกนี้ช่าง…จืดชืดซะจริง”
นางยังจำได้อย่างชัดเจนว่า บนกำแพงที่ทอดตัวยาวเหยียดของบ้านเกิดนางมีตัวอักษรสลักติดต่อกันทั้งหมดสิบแปดตัว ล้วนเป็นอักษรที่คนใช้กระบี่สลักไว้ทั้งสิ้น ตัวอักษรทุกตัวต่างก็แฝงเร้นพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่สามารถสยบหมื่นปีศาจได้
ตอนที่นางยังเด็ก งานอดิเรกที่ชอบทำมากที่สุดก็คือไปยืนอยู่ท่ามกลางตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่งในบรรดานั้นแล้วทอดสายตามองไปยังทิศไกล
นั่นจึงเป็นเหตุให้เด็กสาวไม่เห็นอักษรสี่คำว่า ‘ชี่ชงโต้วหนิว’ (พลังอำนาจสะท้านฟ้า) บนซุ้มประตูของเมืองอยู่ในสายตา
สาวใช้จื้อกุยหันตัวกลับมา ยืดหลังตรง มือทั้งคู่วางทับซ้อนกันอยู่บนเข่า พยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่มากที่สุด นางนั่งเผชิญหน้ากับเด็กสาวชุดดำ ยิ้มตาหยี เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฮ้อ แม่นางช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย”
ในที่สุดหนิงเหยาก็อดถามไม่ไหว “เจ้าเป็นใคร?”
จื้อกุยร้องอั๊ยหยาหนึ่งที ยกมือทาบอกตัวเองเหมือนตกใจเสียเต็มประดา “แม่นางพูดภาษาถิ่นของพวกเราได้ด้วยหรือนี่”
หนิงเหยาถามอีก “เจ้ามีธุระอะไร?”
จื้อกุยชื้อไปยังกระบี่ยาวที่อยู่บนโต๊ะ “ของเจ้ารึ?”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว ไม่ตอบคำถาม
เมื่อเด็กสาวชุดดำไม่ตอบ จื้อกุยก็ไม่ได้ถือสา นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดตรงมุมห้อง มองขวดและไหที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นไม้ เครื่องใช้ในบ้านที่ไม่มีราคาค่างวดกลับถูกสาวใช้มองพินิจอย่างละเอียด
ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของช่างปั้น เฉินผิงอันเคยเดินเท้าเปล่าไปทั่วภูเขาและแม่น้ำรอบเมือง ขึ้นเขาไปขุดดินตัดฟืนอยู่คนเดียว จะขึ้นหรือจะลงเขาก็เดินได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่เป็นสิ่งที่คนอื่นยอมสอน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ตื้นเขินหรือลึกซึ้งจนยากจะทำความเข้าใจ เฉินผิงอันก็จะต้องมานะทำอย่างเต็มกำลัง ส่วนสุดท้ายแล้วจะทำได้ถึงระดับไหนนั้น เฉินผิงอันไม่เคยสนใจ แน่นอนว่าต่อให้อยากสนก็จนปัญญา
ก็เหมือนกับเคล็ดลับการเผาเครื่องปั้นของผู้เฒ่าเหยาที่อีกฝ่ายมักจะหวงความรู้ ไม่เคยเต็มใจนำสุดยอดวิชาใต้กรุออกมาเปิดเผยอย่างแท้จริง แต่ขอแค่เป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าเหยาเคยเปิดปากพูดหรือเคยลงมือทำ เฉินผิงอันจะต้องทำตามอย่างจริงจังมากเป็นพิเศษ ภายหลังหลิวเสี้ยนหยางสอนเขาทำธนูไม้ ทำคันเบ็ดตกปลา ฯลฯ เฉินผิงอันก็มุ่งมั่นตั้งใจอย่างมาก
ซ่งจี๋ซินที่อยู่บ้านข้างๆ เป็นคนที่พูดจาไม่เห็นหัวใครมาโดยตลอด เขาบอกว่านิสัยอย่างเฉินผิงอัน หากดูตามที่เขียนไว้ในตำรา เรียกว่าความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า
เสียดายก็แต่เฉินผิงอันมีชะตาชีวิตที่ไม่ดีเอาเสียเลย ในเมื่อทำถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่สำเร็จ ก็ไม่สู้อยู่อย่างไร้เป้าหมาย รอความตายไปวันๆ เมื่อหม้อแตกไปแล้วก็ทุบให้แหลกไปเสียเลยยังจะดีซะกว่า (เปรียบเปรยว่าเมื่อทำพังแล้วก็ปล่อยให้พังไป ไม่ต้องสนใจอีก)
จื้อกุยโบกมือ ยิ้มสดใส “ไปล่ะๆ แม่นางรักษาตัวดีๆ เถิด ต้องการอะไรก็เรียกได้ ข้าชื่อจื้อกุย อยู่บ้านข้างๆ”
หนิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์
พอสาวใช้เดินออกจากห้องมาถึงลานบ้าน นางก็พึมพำกับตัวเองด้วยระดับน้ำเสียงที่เด็กสาวชุดดำในห้องได้ยินพอดีว่า “ก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย”
หนิงเหยาเองก็พูดเบาๆ ด้วยประโยคที่เหมือนไม่ตั้งใจแต่ก็เหมือนตั้งใจ “ชื่อนี้บ้านนอกจริงๆ”
ตอนที่จื้อกุยปิดประตูบ้าน นางใส่แรงลงไปไม่น้อย เสียงปังจึงดังสนั่น
หนิงเหยาหลับตาพักผ่อนอีกครั้ง
การมาเยือนของเด็กสาวท่าทางประหลาดไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆ ในหัวใจของหนิงเหยา
แต่นางไม่ชอบเมืองเล็กแห่งนี้เอาเสียเลย แล้วก็ยิ่งไม่ชอบพวกผู้ฝึกตนที่มาตามหาโชควาสนาจากที่นี่ด้วย พวกเขาต่างก็ปัดแข้งปัดขากันเอง เพื่อผลประโยชน์แล้วยอมซอกซอนเจาะเข้ารังโน้นรังนี้ไปทั่วไม่ต่างจากแมลงวัน ปากก็บอกว่าตนคือเซียนผู้สูงส่ง แต่ก็สูงแค่เพราะอาศัยอยู่บนยอดเขาเท่านั้น หาใช่สูงเพราะการกระทำของตัวเองไม่
ในใจของหนิงเหยาคิดว่า มหามรรคาที่ยิ่งใหญ่ไม่ควรจะเล็กแคบเพียงเท่านี้
—-
หลังเดินพ้นออกมาจากตรอกหนีผิง แสงอาทิตย์ค่อนข้างจะแสบตา เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงยกมือขวาขึ้นบังแสงจ้าเหนือหน้าผากของตัวเอง ก่อนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง
แล้วจากนั้นเขาก็เริ่มวิ่งช้าๆ ด้วยฝีเท้าที่เบาแต่คล่องแคล่ว ต่อให้จะเดินผ่านตรอกซอกซอยมาหลายตรอกแล้ว แต่ก็ไร้วี่แววว่าจะเหน็ดเหนื่อย เพราะอย่างไรซะสำหรับเด็กหนุ่มที่ขึ้นเขาลงห้วยจนเคยชิน ระยะทางสั้นๆ เพียงเท่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย
เรื่องที่เรียกว่าลำบากยากเข็ญอย่างแท้จริงนั้น ก็คือการขึ้นเขาไปเผาฝืน ทุกๆ ปีเตาเผามังกรแห่งหนึ่งจะต้องใช้ถ่านมากถึงสองสามหมื่นจิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ต้องขึ้นไปอยู่บนเขาเพื่อตัดฟืนมาเผาถ่าน นั่นแหละที่เรียกว่าเลวร้ายอย่างแท้จริง เด็กหนุ่มเคยเกือบตายอยู่ในโรงเผาถ่านที่พังถล่มลงมาตอนกำลังก่อสร้าง หลายปีมานี้สิ่งที่เด็กหนุ่มทำล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้แรงกายแทบทั้งสิ้น จึงต้องรู้เคล็ดลับบางอย่าง และพอเชี่ยวชาญแล้วจึงอาศัยพละกำลังมาเลี้ยงปากท้องของตัวเอง
ดังนั้นแม้ภายนอกเด็กหนุ่มจะดูผอมแห้งอ่อนแอ แต่นั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์หลอกตาเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วเขามีความแข็งแกร่งทรหดซึ่งผ่านการหล่อหลอมขัดเกลามานับร้อยนับพันครั้ง
เฉินผิงอันหยุดเดินอยู่ตรงทางสี่แยกแห่งหนึ่ง เขาเอาหลังพิงกำแพง นั่งยองลงไป มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดอยู่ตลอดเวลา ส่วนมืออีกข้างรัดเชือกรองเท้าสานของตัวเองให้แน่น
บัดนี้ใจของเด็กหนุ่มนิ่งสนิทดุจผิวน้ำ แค่คิดถึงเพื่อนเพียงคนเดียวของตนในเมืองนี้เท่านั้น
ไอ้หมอนั่นเคยโอ้อวดกับเฉินผิงอันด้วยท่าทางลึกลับว่า ปู่ของเขาเคยเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง บอกว่าตอนที่ปู่เขายังเด็กเคยเห็นกับตาตัวเองว่ามีคนยืนอยู่ริมธารน้ำ และเพียงแค่คนผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ ไม่กี่ก้าวก็สามารถกระโดดข้ามธารน้ำสายเล็กทั้งสายไปได้เพียงก้าวเดียว
ภายหลังหลิวเสี้ยนหยางและเฉินผิงอันทดลองทำด้วยตัวเอง พวกเขาเลือกช่วงที่แคบที่สุดของธารน้ำ คนทั้งสองถอยหลังแล้วออกตัววิ่งพร้อมกัน กระโดดพร้อมกัน ผลก็คือหลิวเสี้ยนหยางที่แก่กว่าเฉินผิงอันอยู่หลายปีกระโดดออกไปได้เพียงไม่นานก็หมดกำลังร่วงลงน้ำ จากนั้นก็พบว่ามีเงาดำเงาหนึ่งพุ่งสวบผ่านเหนือศีรษะของเขาไปข้างหน้า สุดท้ายไปตกอยู่ห่างจากเขาไกลมาก
นับแต่นั้นมาหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เคยพูดถึงเทพเซียนที่สามารถข้ามธารน้ำด้วยก้าวเดียวอีกเลย
และหลังจากนั้นมา หลิวเสี้ยนหยางก็รู้ว่าเฉินผิงอันมักจะไปที่ริมธารน้ำคนเดียวเป็นประจำ ออกตัววิ่งกระโดด ทะยานกลางอากาศ โบยบินแล้วร่วงลงมา แต่ละครั้งที่ทำ เด็กหนุ่มจะต้องขยับเข้าไปใกล้ชายฝั่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยกับการทำเช่นนี้
มีครั้งหนึ่งที่หลิวเสี้ยนหยางอดใจไม่ไหวจึงไปแอบมองอยู่ไกลๆ เมื่อได้เห็นภาพที่เขย่าคลอนใจคนภาพนั้น เขาก็พลันรู้สึกว่าในช่วงเวลานั้น เด็กหนุ่มตัวดำผอมแห้งเหมือนจะแตกต่างไปจากเจ้าโง่ในความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง
ยามที่เด็กหนุ่มบินทะยานข้ามธารน้ำ เขาเหมือนอินทรีล่างูที่มักจะบินร่อนอยู่กลางท้องฟ้าของเมืองเป็นประจำ