Skip to content

Sword of Coming 20

บทที่ 20 ปัญหาแทรกซ้อน

ฝูหนันหัวเห็นว่าไช่จินเจี่ยนค่อนข้างเศร้าซึมจึงพานางเดินเล่นไปทั่ว คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไปเรื่อยๆ ถือเป็นการเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ ระหว่างนั้นฝูหนันหัวยังคอยเล่าเรื่องพิสดารเกี่ยวกับบุรพแจกันสมบัติทวีปที่เคยได้ยินมาให้นางฟังอยู่เป็นระยะ ไช่จินเจี่ยนยิ้มรับอย่างแกนๆ แต่เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งออกมาจากตรอกหนีผิงใหม่ๆ ก็ถือว่าอารมณ์ของนางดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ภาพลักษณ์ของคุณชายสูงศักดิ์นครมังกรเฒ่าที่อยู่ในใจนางจึงเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ต้องรู้ว่าถึงแม้นครมังกรเฒ่าจะมีรากฐานลึกล้ำ มีผู้มากพรสวรรค์มากมาย และอยู่ห่างจากการเป็นสำนักชั้นสูงเพียงแค่เส้นกั้นบางๆ

ตามหลักแล้วเมื่อเทียบกับเขาเมฆาเรืองที่เป็นเพียงสำนักลำดับท้ายๆ ก็ย่อมมีฐานะที่สูงกว่ามาก แต่ตระกูลเซียนดั้งเดิมที่มีการสืบทอดเป็นระบบระเบียบอย่างเขาเมฆาเรืองกลับรู้สึกว่าตัวเองมีข้อได้เปรียบกว่านครมังกรเฒ่าซึ่งตั้งอยู่ในแดนกันดารห่างไกลทางทิศใต้อยู่มาก หากเป็นการพบหน้ากันในอดีต แค่ไม่เรียกอีกฝ่ายลับหลังว่าเป็นพวกชาวใต้ป่าเถื่อนก็ถือว่าได้รับการสั่งสอนมาดีมากแล้ว

ไช่จินเจี่ยนยิ้มเจื่อน “พี่ฝู ถึงแม้ว่าหินรากเมฆจะเป็นหลักประกันแห่งชีวิตของเขาเมฆาเรืองเรา แต่ในเมื่อก่อนจะเกิดเรื่องได้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าก็ไม่มีทางคืนคำแน่ ต่อให้ตระกูลล่มสลายก็จะต้องชดเชยคืนให้กับพี่ฝูให้ได้”

ฝูหนันหัวเอ่ยปลอบใจ “โชควาสนาของตระกูลกู้ช่านเป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้วจริงหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้”

ไช่จินเจี่ยนที่สีหน้าหม่นหมองส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “สกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่ามีชื่อเสียงด้านความร้ายกาจเป็นที่เลื่องลือ และฝีมือของเขาก็ไม่อ่อนด้อย หาไม่แล้วคงไม่สามารถมีที่ยืนในทะเลสาบเจี่ยนซูได้ โชควาสนาครั้งนี้ข้าคงไม่มีหวังแล้ว หากไปทำให้หลิวจื้อเม่าขุ่นเคือง ข้าจะแบกรับอานุภาพจากเจินเหรินสำนักนอกรีตผู้นี้ได้อย่างไร กลัวก็แต่ว่าจะถูกหลิวจื้อเม่าแค้นหมายหัว พอออกไปจากเมืองแห่งนี้เมื่อไหร่ เมื่อไม่มีการพิทักษ์จากอริยะและพันธนาการจากกฎระเบียบ ไม่แน่ว่าหลิวจื้อเม่าอาจลงมือกระทำเรื่องร้ายแรงอะไรก็ได้ ตอนอยู่ชายแดน พี่ฝูเองก็คงพอจะเห็นเบาะแสบางอย่างบ้างแล้ว ฝีมือของข้ารับใช้ที่ติดตามข้ามาหาสมบัติในครั้งนี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย”

ฝูหนันหัวกล่าวยิ้มๆ “วางใจเถอะ ต่อให้จะเพียงแค่เพื่อหินรากเมฆสิบก้อน นครมังกรเฒ่าของข้าก็ต้องคุ้มครองเจ้ากลับไปยังเขาเมฆาเรืองอย่างปลอดภัยให้จงได้”

ไช่จินเจี่ยนหันมายิ้มสดใสให้แก่เขา ดวงตาที่เป็นประกายแวววาวคล้ายจะแฝงเร้นอารมณ์บางอย่าง

ฝูหนันหัวค่อนข้างลำพองใจในตัวเองจึงเอื้อมมือไปลูบหยกประดับชิ้นนั้นตามความเคยชิน แต่พอจับโดนความว่างเปล่าถึงนึกขึ้นได้ว่าตนได้มอบหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณของตัวเองให้เด็กหนุ่มที่ชื่อซ่งจี๋ซินไปแล้ว

ไช่จินเจี่ยนถอนหายใจโล่งอก ตอนที่เดินไปข้างหน้า ฝีเท้าของนางเบี่ยงมาทางซ้ายเล็กน้อย ดังนั้นไหล่ของนางจึงสัมผัสโดนตัวของฝูหนันหัวเบาๆ

การเดินทางไปที่ตรอกหนีผิง ไช่จินเจี่ยนได้ลงเดิมพันนอกเหนือจากแผนการเดิมไปครั้งหนึ่ง ถือเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นกะทันหัน แต่กระนั้นก็ผ่านการชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังมาแล้ว เพียงแต่เรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นว่านางแพ้พนัน ราคาที่ต้องจ่ายก็คือหินรากเมฆสิบก้อนที่มีมูลค่าควรเมือง นี่จึงทำให้นางที่รู้สึกร้อนใจสำหรับการเดินทางในอันดับต่อไปเกิดความรู้สึกพึ่งพาฝูหนันหัวโดยไม่รู้ตัว หรือบางทีควรพูดว่าเกิดใจอยากจะเดิมพัน เพราะจะเดิมพันด้วยหินรากเมฆสิบก้อนหรือห้าสิบก้อนก็ถือเป็นการเดิมพันเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

หากชนะก็จะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ

หากแพ้…ไช่จินเจี่ยนรู้สึกว่าตัวเองต้องไม่แพ้ ไม่มีทางแพ้แน่นอน นางคือไช่จินเจี่ยนผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนเป็นอันดับหนึ่งของเขาเมฆาเรืองเชียวนะ! บนเส้นทางการฝึกตน นางผ่านมาได้อย่างราบรื่น ขอบเขตรุดไปข้างหน้าต่อเนื่องดุจผ่าลำไม้ไผ่ ไช่จินเจี่ยนไม่เชื่อว่าเรือของตนจะมาคว่ำในแม่น้ำเหม็นโฉ่สายนี้ (เปรียบเปรยว่าแผนการที่วางไว้ไม่สำเร็จ ล้มเหลว)

ในขณะที่ไช่จินเจี่ยนอารมณ์ดีขึ้น ฝูหนันหัวที่รู้สึกว่าสถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้วก็มีอารมณ์ชื่นชมหน้าตาและเรือนกายของเทพธิดาไช่เหมือนกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่านางคือสตรีที่เกิดมาพร้อมรูปโฉมงดงาม หากได้เป็นคู่บำเพ็ญตนกับหญิงสาวประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกตนหรือยามร่วมเตียงก็ล้วนดีงามทั้งสิ้น

ไช่จินเจี่ยนเคยถูกผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเอ่ยชมกับปากตัวเองว่า ‘ดุจนางฟ้าที่โบยบินท่ามกลางหมู่เมฆเหนือยอดเขา’

ในความเป็นจริงแล้วความหมายของคำพูดประโยคนี้ส่งผลให้นางหาคู่บำเพ็ญตนได้ยากยิ่ง เหล่าบุรพาจารย์ของเขาเมฆาเรืองอยู่กับภูเขา หากินกับภูเขา จึงเคยชินกับการทำการค้า การที่พวกเขาปลูกฝังอบรมไช่จินเจี่ยนอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทนตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา หากจะบอกว่าพวกเขาไม่หวังขายนางให้ได้ราคางามก็คงจะไม่ถูกต้องนัก

การจับคู่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซียนนั้นมีความระมัดระวัง ให้ความสำคัญและมองการณ์ไกลยิ่งกว่าการแต่งงานระหว่างตระกูลใหญ่กับเชื้อพระวงศ์ในโลกมนุษย์มากนัก

เพียงแต่ว่าฝูหนันหัวไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดให้กับเขาเมฆาเรือง การฝากชะตาชีวิตของสำนักไว้บนบ่าผู้หญิงอย่างไช่จินเจี่ยนเพียงคนเดียวช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฝูหนันหัวรู้สึกอคติต่อเขาเมฆาเรือง

ฝูหนันหัวกล่าวเตือนว่า “หากเด็กหนุ่มที่อยู่บ้านข้างๆ ซ่งจี๋ซินเป็นคนที่กองกำลังบางแห่งด้านนอกเลือกเอาไว้ และยังมีเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นการลงมือครั้งนี้ของเจ้าอาจนำปัญหามาสู่ตัว ง่ายที่จะถูกคนสืบเบาะแสมาพบว่าเป็นฝีมือของเจ้าและเขาเมฆาเรือง อีกอย่างนายบ่าวซ่งจี๋ซินและสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าก็อาจจะตรวจสอบจนพบเรื่องนี้ด้วย”

ไช่จินเจี่ยนกล่าวกลั้วหัวเราะ “พี่ฝูอาจจะมุ่งมั่นอยู่กับเบาะแสของโชควาสนามากเกินไป จึงไม่เคยสนใจกฎระเบียบบางอย่างที่ไม่ได้เขียนระบุไว้ของที่แห่งนี้ ใครก็ตามที่เกิดในเมืองเล็ก หากเป็นเด็กชาย ตอนที่อายุเก้าขวบ ถ้ายังไม่ถูก ‘คนซื้อเครื่องปั้น’ ที่รอมาเกือบสิบปีหาโอกาสพาออกไปนอกเมือง ก็หมายความว่าพรสวรรค์และฐานกระดูกไม่ดีมาตั้งแต่เกิด จึงไม่มีราคามากพอ ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งถูกลงเท่านั้น และแทนที่สำนักกับพรรคต่างๆ จะจ่าย ‘เงินค่ารับเลี้ยง’ ก้อนโตให้เสียเปล่า ก็ไม่สู้นำเงินตรงนี้ไปปลูกฝังอบรมลูกศิษย์ผู้สืบทอดในสำนักของตัวเองยังจะมั่นคงเสียกว่า”

พอพูดถึงเด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนนั้น ในใจไช่จินเจี่ยนก็พลันเต็มไปด้วยความรังเกียจ “มนุษย์ธรรมดาก็ควรจะมีความตระหนักรู้ของมนุษย์ธรรมดา!”

ฝูหนันหัวพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายโดยพยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง “ตามหลักแล้วเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่เด็กหนุ่มคนนั้นความรู้ตื้นเขิน จะรู้ถึงความสูงศักดิ์ของเทพธิดาไช่แห่งเขาเมฆาเรืองอย่างเจ้าได้อย่างไร ต่อให้ล่วงเกินไปบ้าง แค่สั่งสอนสักครั้งก็พอแล้ว เหตุใดต้องลงมือถึงสองครั้ง”

ฝูหนันหัวรู้สึกว่าการลงมืออย่างเหี้ยมโหดของไช่จินเจี่ยนผิดปกติ ไม่แน่ว่าอาจมีความลี้ลับอะไรที่เกี่ยวข้องกับโชควาสนาซ่อนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาจึงหวังว่าเมื่อพูดประโยคนี้ออกมาอาจจะทำให้พบเบาะแสอะไรสักอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นรออยู่ด้านหลัง ตนมองนางเป็นจั๊กจั่น แต่แท้จริงแล้วนางต่างหากที่เป็นนกขมิ้น

นครมังกรเฒ่าผ่านประสบการณ์อันยากลำบากมานับพันนับหมื่นปี บวกกับที่ต้องจ่ายราคาสูงเกินจริงยิ่งกว่าเขาตะวันเที่ยงและเขาเมฆาเรือง กว่าจะได้ข้อมูลลับแบบบกระจัดกระจายมาบางส่วนไม่ใช่เรื่องง่าย นี่จึงทำให้ฝูหนันหัวรู้ว่าตลอดสามพันปีที่ผ่านมาหลังจากสงครามโหดร้ายสะท้านใจอันเป็นที่กล่าวขานนานนับพันปีครั้งนั้น คำว่าโชควาสนาของเมืองแห่งนี้ นอกจากจะหมายถึงเด็กๆ ที่เติบโตในเมืองซึ่งมีพรสวรรค์โดดเด่นแล้ว ก็มีเพียงแค่สมบัติและอาวุธอาคมที่เหล่าบุรพาจารย์ทิ้งไว้ในที่แห่งนี้เท่านั้น

ทว่าในขณะที่พื้นที่มงคลแห่งนี้กำลังเผชิญหน้ากับการล่มสลายอย่างสมบูรณ์แบบ เหตุการณ์จึงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด

ปลายยุคสมัยของราชสำนัก แผ่นดินถล่มทลาย ย่อมต้องมีอาวุธเทพที่สำคัญเผยตัวขึ้นบนโลก เพื่อต้อนรับราชสำนักใหม่ ยุคสมัยใหม่

ไช่จินเจี่ยนรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก “อย่าไปพูดถึงเขาเลย คิดแล้วก็โมโห”

ดวงตาคู่งามวาวประกายของนางเผยความอำมหิตอย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่เพราะไม่อยากทำลายภาพลักษณ์เทพธิดาของตัวเองในใจฝูหนันหัว นางจึงไม่ได้ระบายสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา

หากในอนาคตพบเจอกับเจ้าเด็กต่ำช้าคนนั้นนอกเมือง นางจะต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ตายจนกว่าจะสาแก่ใจ ไม่ใช่แค่ทำให้อีกฝ่ายป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ได้อีกสิบปียี่สิบปีแบบนี้

และสิ่งที่สตรีร่างสูงโปร่งเกลียดที่สุดก็คือดวงตาคู่นั้นของเด็กหนุ่ม ลึกๆ ในใจของนางเกิดทิฐิบางอย่างที่ตัวเองไม่เคยครุ่นคิดให้ลึกซึ้งมาก่อน

ดวงตาที่ใสบริสุทธิ์เช่นนั้น นางฝึกตนอยู่ในเขาเมฆาเรืองที่มีชื่อเสียงว่า ‘สะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ’ มานานหลายปีขนาดนี้ ยังเคยเห็นดวงตาแบบนั้นแค่ไม่กี่ครั้ง เด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตขึ้นมาในตรอกโกโรโกโสมีสิทธิ์อะไรถึงได้ครอบครองความดีงามเช่นนี้มาตลอดเวลา?

ไช่จินเจี่ยนเอียงศีรษะนวดคลึงเปลือกตาของตัวเอง ท่าทางเช่นนี้ทำให้คิ้วดกดำเรียวยาวดุจเทือกเขาของนางยิ่งทอดยาวออกไปอีก

ฝูหนันหัวที่สอดส่ายสายตามองทิวทัศน์รอบด้านอยู่ตลอดเวลาเอ่ยเย้าอย่างไม่คิดอะไรมาก “พวกชาวบ้านที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าของข้ามีคำพูดหนึ่งที่แพร่หลายอย่างมาก บอกว่าถ้าตากระตุก ขวาร้ายซ้ายดี ตาของเจ้าข้างซ้ายหรือขวาล่ะที่กระตุกน่ะ?”

นิ้วของไช่จินเจี่ยนหดกลับไปอย่างรวดเร็วราวถูกน้ำร้อนลวก หันมาถลึงตาใส่เขา เพราะเห็นได้ชัดว่าเปลือกตาข้างขวาของนางกำลังกระตุก

ฝูหนันหัวที่หาเรื่องใส่ตัวรีบพูดแก้ไขกลั้วยิ้ม “ก็แค่คำพูดเรื่อยเปื่อยของมนุษย์ธรรมดา คิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้หรอก”

ไช่จินเจี่ยนกระตุกยิ้ม เบี่ยงตัวกลับมาจ้องมองซีกหน้าด้านข้างของฝูหนันหัวพลางเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “โดนข้าอำแล้วล่ะสิ?”

ฝูหนันหัวอึ้งงัน เห็นไช่จินเจี่ยนทำท่าขี้เล่นราวกับสาวน้อย จู่ๆ หัวใจเขาก็เต้นรัวอย่างไร้สาเหตุ

เขาพลันเกิดความลังเลใจ จิตที่คิดสังหารนางเริ่มโอนเอน หากได้เป็นคู่ตุนาหงันกับนางจะมีประโยชน์ต่อแผนการเคลื่อนกำลังพลขึ้นเหนือของนครมังกรเฒ่ายิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า?

หากไช่จินเจี่ยนคว้าโชควาสนาของที่แห่งนี้ไปได้สำเร็จแล้วกลับไปที่สำนัก ตำแหน่งฐานะของนางย่อมต้องขยับสูงตามไปด้วย อีกทั้งไม่ใช่ว่านางจะไม่มีโอกาสกลายเป็นเจ้าสำนักหญิงของเขาเมฆาเรือง เพราะในลำดับวงศ์ตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของเขาเมฆาเรืองก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้หญิงเป็นผู้นำมาก่อน

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่ามีกระดานพาดให้นครมังกรเฒ่าได้ก้าวเดินแทรกซึมไปสู่พื้นที่ใจกลางบุรพแจกันสมบัติทวีปอย่างถูกต้องชอบธรรม นับแต่นั้นมาเหนือใต้จะเชื่อมโยงถึงกัน ได้ทั้งรุกได้ทั้งรับ เป็นเหตุให้นครมังกรเฒ่าหลุดพ้นจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่แม้จะมีอำนาจอยู่ในมือ แต่กลับได้แค่อยู่อาศัยในมุมกันดารห่างไกล หลุดพ้นจากความขมขื่นที่ต้องถูกขับไล่ไสส่งมานานหลายร้อยปี

ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวคือทางสี่แยกที่เส้นแนวขวางและแนวตั้งของสองตรอกตัดสลับกัน

พอฝูหนันหัวมองเห็นทางแยกนั้นเขาก็พลันคืนสติ คล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตาจึงกลับมาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นดังเดิมอีกครั้ง

ฝูหนันหัวที่สวมกวานสูงไว้บนศีรษะมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาตรงหน้าผาก คนที่ทำให้ใจข้าวุ่นวาย ต้องสังหาร เพื่อรักษาหลักการณ์ที่ยึดมั่น!

บัดนี้เมื่อฝูหนันหัวหันกลับไปมองไช่จินเจี่ยน สายตา ท่าทางและสภาพจิตใจของเขาล้วนกลับคืนมาเป็นตัวเองดั่งก่อนหน้านี้อีกครั้ง มองอีกฝ่ายเหมือนชื่นชมภาพวาดทิวทัศน์สวยงามที่สบายตาเท่านั้น ตอนนี้หากมองได้ก็มองให้นานหน่อย เพราะอย่างไรซะเมื่อนางออกไปจากเมืองแห่งนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องตายด้วยน้ำมือตน

ฆ่าคนวางเพลิง สวมเข็มขัดทอง ซ่อมทางสร้างสะพาน ศพไร้ที่ฝัง (คำเปรียบเปรยหมายถึงคนทำดีไม่ได้ดี แต่คนทำชั่วกลับได้ดี เป็นการระบายความโกรธแค้นที่มีต่อสังคมอยุติธรรม)

ฟังดูสิ ประโยคโด่งดังที่ผู้มีชื่อเสียงสรุปไว้ประโยคนี้ ไม่ว่าจะนำไปใช้ที่ใดก็ล้วนถูกต้องแม่นยำทั้งสิ้น จิตใจของฝูหนันหัวพลันปลอดโปร่ง

ไช่จินเจี่ยนเบี่ยงตัวมาถามยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หนันหัว คิดถึงอะไรอยู่หรือ ถึงได้อารมณ์ดีขนาดนี้?” นางแอบเปลี่ยนคำเรียกขานให้ฟังดูสนิทสนมมากยิ่งขึ้น

ฝูหนันหัวส่ายหน้าอมยิ้ม กำลังจะอ้าปากพูด แต่หางตากลับเหลือบเห็นเงาดำเงาหนึ่งเข้าเสียก่อน

ดูเหมือนว่าเพียงแค่ก้าวเดียว เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งคนหนึ่งก็สามารถข้ามจากตรอกเส้นที่ทอดตัวอยู่ในแนวขวางมาโผล่ตรงหน้าไช่จินเจี่ยนได้แล้ว มือซ้ายของเขายกขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมือขวาที่กำเป็นหมัดก็ต่อยเข้าที่หน้าท้องของเทพธิดาแห่งเขาเมฆาเรือง แรงที่ปล่อยออกมาหนักหน่วง ซ้ำยังเกิดขึ้นในระยะประชิดจนเหมือนจะมีเสียงลมพัดวูบดังแว่วมา บีบให้หญิงสาวจำต้องงอตัวก้มหน้า

แม้กำลังมือขวาของเด็กหนุ่มจะเหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่อันที่จริงเด็กหนุ่มเป็นคนถนัดมือซ้าย ดังนั้นอาวุธที่กำอยู่ในมือซ้ายของเด็กหนุ่มจึงไม่ได้ปาดเข้าที่ลำคอของไช่จินเจี่ยน แต่แทงตรงเข้าที่หน้าอก

เด็กหนุ่มยังไม่ยอมเลิกรา มือขวากำหมัดต่อยเข้าที่หน้าอกของหญิงสาว และมือซ้ายก็ยกตวัดขึ้นสูงอีกครั้ง เพื่อรับประกันว่าการลอบโจมตีครั้งนี้จะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

นาทีนั้น เลือดสดพลันสาดทะลักออกมาจากลำคอที่เดิมทีเรียวยาวขาวนวลของหญิงสาว

อันดับต่อมา เด็กหนุ่มทิ้งแรงไปที่เอวและนิ้วเท้า เสยไหล่กระแทกหน้าอกหญิงสาวร่างสูงโปร่ง จนร่างทั้งร่างของนางกระเด็นไปหล่นกลางตรอกเล็กอย่างรุนแรง

เท้าทั้งคู่ของฝูหนันหัวปักตรึงอยู่กับพื้น เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

บัดนี้หัวสมองของนายน้อยนครมังกรเฒ่า ว่างเปล่าขาวโพลน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version