บทที่ 21 อินทรีล่างู
ฝูหนันหัวคืนสติ กวาดตามองไปรอบด้าน แม้แต่หลังคาบ้านที่เรียงรายอยู่ในตรอกเล็กๆ ก็ไม่ปล่อยผ่าน เมื่อไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เขาก็รีบสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ทั้งไม่เดินไปข้างหน้า แล้วก็ไม่ได้ถอยหลัง
เขาคว้าจับไปที่หยกประทับซึ่งได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษชิ้นนั้นโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง พอคว้าเจอความว่างเปล่าก็รีบท่องคาถาของสำนักเต๋าที่ไม่ครบถ้วนท่อนหนึ่ง คาถานี้ไม่ใช่เวทลับอภินิหารอะไร แค่ช่วยให้ตนรวบรวมลมปราณสงบใจได้เท่านั้น หากจะบอกว่าสภาพจิตใจเป็นดั่งเรือลำน้อยกลางทะเลสาบที่มีคลื่นกระเพื่อมไหว ถ้าเช่นนั้นประสิทธิผลของคาถาบทนี้ก็เป็นเหมือนสมอเรือ
เขาเริ่มเบี่ยงตัวหันหลังให้กับกำแพง เดินหันข้างไปยังทางแยกของสองตรอกเล็กที่ตัดสลับกัน กล้ามเนื้อทั่วร่างขึงเกร็ง ตั้งท่าป้องกันอย่างไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย สายตาจับจ้องตรอกเล็กๆ นั่นเขม็ง
จึงเห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่อยู่ในสายตาของเขากำลังยืนอยู่ข้างร่างของไช่จินเจี่ยนที่นอนเลือดไหลนอง เด็กหนุ่มโค้งตัวลงน้อยๆ อยู่ในท่าพร้อมจู่โจมตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็จับจ้องฝูหนันหัวอย่างไม่ให้คลาดสายตา ทั้งสองฝ่ายเป็นดั่งพยัคฆ์กับหมาป่าที่กำลังคุมเชิงกัน ฝ่ายหนึ่งคลางแคลงไม่เข้าใจ อีกฝ่ายหนึ่งทำไปเพื่อเอาชีวิตรอด
เด็กหนุ่มที่ปรากฎตัวด้วยการทะยานร่างขึ้นกลางอากาศน่าจะมีเป้าหมายแค่ไช่จินเจี่ยนเพียงคนเดียว สำหรับการปรากฏตัวของฝูหนันหัว เด็กหนุ่มจากตรอกทรุดโทรมเพียงแค่แสดงท่าทางที่เกิดจากสัญชาตญาณ ซึ่งแฝงความหมายที่ว่าหากเจ้าไม่ยุ่งกับข้า ข้าก็ไม่ยุ่งกับเจ้า
ฝูหนันหัวถามด้วยประโยคที่เกินความจำเป็น “เจ้าฆ่านาง?”
เด็กหนุ่มเงียบงันไม่ตอบรับ มือยังคงกำอาวุธสังหารไว้แน่น นั่นคือเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่ง ส่วนที่เล็กกว่าฝ่ามือและโผล่พ้นจากหมัดของเขาคมกริบอย่างถึงที่สุด มือของเด็กหนุ่มโชกไปด้วยเลือด ไม่รู้ว่าเป็นเลือดของไช่จินเจี่ยนหรือผลจากการถูกเศษกระเบื้องบาดมือเอา และเลือดเหล่านั้นก็หยดลงบนพื้นดินของตรอกเล็กๆ
เมื่อแน่ใจว่ารอบด้านไร้ผู้คน ฝูหนันหัวก็ทั้งรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวก็โล่งใจ สุดท้ายเขากวาดสายตามองไปบนร่างของไช่จินเจี่ยน ต่อให้อยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ก็ยังไม่อาจทำลายความงามที่มีมาตั้งแต่เกิดจากเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นของนางได้ หน้าอกที่อวบอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ เลือดสีแดงฉานยังคงทะลักออกจากลำคอและปากของนางไม่หยุด พลังชีวิตของนางใกล้จะขาดลงเต็มที แต่เนื่องด้วยผ่านการหล่อหลอมเรือนกายให้แข็งแกร่งครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้นางสามารถทนรับความเจ็บปวดได้หนักและนานกว่าคนธรรมดาทั่วไป
บนใบหน้าของฝูหนันหัวมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นน้อยๆ แต่ลึกๆ ในใจกลับเยียบเย็นอำมหิต
เขาเอ่ยถามว่า “ทำไมถึงต้องฆ่านาง? เจ้ากับพี่สาวคนนี้ไม่มีความแค้นต่อกัน หรือเป็นเพราะนางล้อเจ้าเล่นตอนอยู่ในตรอกหนีผิง เจ้าถึงคิดฆ่านาง? เมืองแห่งนี้ไร้ขื่อไร้แปแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้ารู้หรือไม่ว่าติดเงินต้องใช้เงิน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด”
เด็กหนุ่มไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียวเหมือนคนเป็นใบ้ ฝูหนันหัวไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเริ่มก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ฝีเท้ามั่นคงยิ่ง
เขารู้ว่าไช่จินเจี่ยนต้องตายแน่แล้ว ที่นี่ไม่ใช่เขาเมฆาเรือง ถ้ำสวรรค์ของเทพเซียนที่มีปราณเซียนล้อมวน สถานที่แห่งนี้คือคุกธรรมชาติที่ห้ามใช้เวทอาคมทุกชนิด เว้นเสียแต่ว่ามีเทพเซียนพสุธาตบะค้ำฟ้าหรืออรหันต์ร่างทองเผยกาย และต้องยอมใช้ตบะเกินครึ่งของตัวเองมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตนางเท่านั้น ถึงจะสามารถสยบดวงวิญญาณของนางเอาไว้ ช่วยให้นางฟื้นคืนชีพจากความตายได้
น่าเสียดายที่ไช่จินเจี่ยนไม่มีทางมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น เซิ่งเหรินของเมืองแห่งนี้มีภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ต้องรับผิดชอบ เขาทำเพียงแค่หลุบตาลงมองสรรพชีวิต ไม่มีทางลำเอียงช่วยแค่บางคน มีแต่จะปล่อยเลยตามเลยเท่านั้น
บนเส้นทางของการฝึกตน คนที่ตายไปก่อนวัยอันควรบนเส้นทางที่สะดวกสบาย หรือตายไปเพราะช่วงชิงโชควาสนาบนเส้นทางที่ยากลำบาก ล้วนมีหมด แม้จะไม่มากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ยาก
หากเพื่อบรรลุสู่ความเป็นอมตะแล้ว ทุกคนสามารถทำทุกเรื่องได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน ระมัดระวังทุกฝีก้าว ไร้อุปสรรคไร้เภทภัย ดื่มด่ำกับความสุขสบายโดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง ถ้าเช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าเซียนผู้ไร้ทุกข์ในสายตาของชาวบ้านร้านตลาดจะไม่ค่อยมีค่าสักเท่าไหร่
ดังนั้นสำหรับการเดินทางมาในเมืองเล็กๆ ครั้งนี้ ฝูหนันหัวถึงขั้นเตรียมใจสำหรับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดอย่างการเข่นฆ่ากันเองไว้แล้ว
แต่การได้มาเห็นพันธมิตรชั่วคราวที่เดินเคียงบ่ามากับตนถูกคนสังหารด้วยวิธีการที่รวดเร็วฉับไวไปต่อหน้าต่อตา ภายใต้สายตาของเซิ่งเหรินผู้พิทักษ์เมืองแห่งนี้ นับเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตของนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าเลยทีเดียว
ไม่มีการโจมตีจากอาวุธอาคมที่ทำให้หูตาพร่าลาย ไม่มีอาคมของตระกูลเซียนที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน แต่กลับมาถูกเด็กบ้านป่าที่ต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งฆ่าทิ้งทั้งอย่างนี้?
นอกจากความตื่นตะลึงแล้ว ฝูหนันหัวยังรู้สึกรับไม่ได้กับเรื่องเหลวไหลครั้งนี้ หากไม่ได้อยู่ที่นี่ บุคคลต่ำต้อยอย่างเด็กหนุ่มที่ชีวิตไร้ค่าไม่ต่างจากต้นหญ้าในป่าผู้นี้ ต่อให้แค่อยากเห็นหน้าของไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองไกลๆ ก็ยังถือเป็นความปรารถนาเกินตัวที่ห่างไกลจนเอื้อมไม่ถึงแล้ว
ฝูหนันหัวสีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยเสียงหนัก “แม้ข้าจะช่วยเทพธิดาไช่ไม่ทัน แล้วก็ไม่สามารถสังหารเจ้าเพื่อแก้แค้นให้กับเทพธิดาไช่ได้ แต่ในเมื่อข้าเห็นเจ้าลงมือกับตาตัวเอง ถ้าไม่ทำอะไรเลย แล้วเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงที่นครมังกรเฒ่าสั่งสมมาคงพังพินาศเป็นแน่ ดังนั้นตามเหตุตามผลแล้ว ข้าควรจะสั่งสอนเจ้าสักหน่อย ส่วนหลังจากนี้เขาเมฆาเรืองจะจัดการอย่างไร จะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่เทพธิดาไช่อย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้ว”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความสง่างามมีเกียรติเหล่านี้ของนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่า พูดเพื่อให้เซิ่งเหรินของที่แห่งนี้ฟัง ถือเป็นคำพูดตามมารยาท หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเสียภาพพจน์ จนอาจส่งผลให้เซิ่งเหรินผู้นั้นเกิดความอคติ
และในอนาคตคำพูดเหล่านี้ของเขาอาจไปดังเข้าหูของพวกบุรพาจารย์เขาเมฆาเรือง ฝูหนันหัวเอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อแสดงให้รู้อย่างชัดเจนว่าตัวเขาเองทำดีที่สุดแล้ว หาไม่แล้วฝูหนันหัวที่มีใจคิดสังหารไช่จินเจี่ยนมาตั้งแต่แรกก็อยากจะตบรางวัลงามๆ ขอบคุณเด็กหนุ่มตรงหน้าที่จับผัดจับผลู ลงมืออย่างบุ่มบ่าม แต่ประหยัดแรงให้เขาไปได้เยอะ สมควรจะยกให้เป็นรองแม่ทัพของตนอย่างแท้จริง
ฝูหนันหัวเดินไปข้างหน้าพลางพูดไปด้วยว่า “ดูจากวิธีฆ่าคนของเจ้าเมื่อครู่นี้ แสดงว่าการระเบิดพลังในเสี้ยววินาทีของเรือนกายเจ้ามีแต่จะมากกว่า ไม่มีน้อยกว่าชายหนุ่มที่แข็งแกร่งทั่วไป อันที่จริงนี่ถือว่าหาได้ยากยิ่ง หากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงในวันนี้ ขอแค่เจ้ามีโอกาสได้เข้าร่วมกองทัพ กล้าฆ่ากล้าสู้ แล้วหากมีโชคช่วย จนได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโสสำนักการทหารหรือขุนพลตระกูลนักรบ มอบคาถาฝึกฝนกายใจของสำนักการทหารให้เจ้าสักบท ขัดเกลาร่างกายไปช้าๆ ยี่สิบสามสิบปีให้หลัง ก็ไม่แน่ว่าเจ้าอาจได้ครอบครองฟ้าดินแห่งใหม่”
ขณะที่ฝูหนันหัวเดินไปข้างหน้า เด็กหนุ่มก็เริ่มถอยหลังช้าๆ พร้อมหันมาเผชิญหน้ากับนายน้อยนครมังกรเฒ่าที่สวมกวานทรงสูง สวมเสื้อแขนกว้าง
ฝูหนันหัวที่เรือนกายสูงโปร่ง พอมาเดินอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งนี้ก็ช่างสง่างาม มีราศีดุจสวรรค์สรรสร้าง
ฝูหนันหัวยื่นมือข้างหนึ่งออกมา คว่ำฝ่ามือลงวางไว้ตรงช่วงเอวพลางกล่าวยิ้มๆ “น่าเสียดาย ชะตาชีวิตเจ้าไม่ค่อยดี หาไม่แล้ว ตามคำบอกของข้า เจ้าก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงถึงเท่านี้ ซึ่ง…มันเป็นไปไม่ได้”
ฝูหนันหัวขบขันไปกับคำพูดตลกของตัวเอง รอยยิ้มจึงยิ่งกว้างขึ้น ตอนที่เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เท้าข้างนั้นของเขาพลันค้างอยู่กลางอากาศเหนือจากพื้นมาครึ่งฉื่อ “ขอโทษที ต้องสูงเท่านี้ถึงจะถูก”
ยากนักที่ฝูหนันหัวจะไม่อารมณ์ดี
หลังจากที่เข้ามาในเมือง ก่อนหน้านี้ที่ได้แลกเปลี่ยนกับซ่งจี๋ซินเด็กหนุ่มในตรอกหนีผิง ผลเก็บเกี่ยวที่เขาได้รับนั้นมากมหาศาลเหนือการคาดการณ์ไปไกล
จากนั้นไช่จินเจี่ยนที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายมาเป็นอุปสรรคบนวิถียิ่งใหญ่ของตนก็มาตายอยู่ตรงหน้า ตนไม่เพียงแต่มือสะอาดไม่เปื้อนเลือด ยังจะได้เหรียญทองแดงแก่นทองจากบนร่างของนางมาอีกสองถุง และไม่แน่ว่าอาจจะค้นเจอสมบัติล้ำของเขาเมฆาเรืองสักชิ้นสองชิ้น ต่อให้จะไม่ใช่สมบัติพิทักษ์ขุนเขา แต่ก็ต้องไม่แย่กว่ากันสักเท่าไหร่
เขาไม่เชื่อว่าไช่จินเจี่ยนจะไม่มียันต์คุ้มกันกายเลย เพราะขนาดตัวเขาฝูหนันหัวที่นอกจากจะพกหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณซึ่งเป็นเพียงของตบตาแล้ว ยังพกของเล็กๆ น้อยๆ อีกสองชิ้นที่คุณภาพดีเยี่ยม ระดับขั้นสูงล้ำจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติใต้กรุของนครมังกรเฒ่ามาด้วย
นี่ก็คงเป็นสาเหตุที่พวกนักพรตสำนักนอกรีตมีคติพจน์ที่ได้รับความนิยมชมชอบกันทั่วไปว่า ‘ช่วยเก็บศพให้คนอื่น ย่อมต้องได้ดี’
ตอนที่เดินผ่านศพของไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัวไม่แม้แต่จะชายตามองนาง กลับกลายเป็นว่ากลิ่นคาวเลือดจางๆ ยิ่งทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก
คนหนึ่งรุก คนหนึ่งถอย ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองเหลือแค่สิบกว่าก้าวเท่านั้น
ฝูหนันหัวแค่ต้องแน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะหนีออกไปจากตรอกไม่ได้ เพราะเมื่อถึงเวลา หากเขาคิดจะจับตัวเด็กหนุ่มที่เติบโตอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตอีกครั้ง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแทบไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้านหลังเขายังมีศพคนงามตัวอุ่นเป็นบทเรียนให้เห็นก่อนแล้วว่า หากมอบโอกาสให้เด็กหนุ่มได้ตั้งตัว ‘เรื่องน่าประหลาดใจ’ อาจหล่นลงมากระแทกใส่หัวเขาเองก็เป็นได้
มองภายนอกฝูหนันหัวเหมือนแมวที่กำลังจะตะปบหนู แต่แท้จริงแล้วเขากำลังปรับจังหวะร่างกายของตัวเอง เพราะอย่างไรซะหลังจากที่เขาเหยียบลงบนเส้นทางการฝึกตนอย่างเป็นทางการตั้งแต่อายุเก้าขวบ ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ร่างกายมาตัดสินแพ้ชนะอีกเลย
แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะฆ่าเด็กหนุ่มให้ตาย เพราะทำเช่นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย หากรวมกับของไช่จินเจี่ยนก็เท่ากับเขามีโชควาสนาสองส่วนที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ถึง แต่เขาก็จำเป็นต้องทำให้เด็กหนุ่มที่อยู่เหนือความคาดหมายผู้นี้นอนแบ็บอยู่กับเตียง แม้แต่แรงตบยุงก็ยังไม่มีสักระยะหนึ่ง
แล้วทันใดนั้นฝูหนันหัวก็ถามกลั้วหัวเราะว่า “ใช่แล้ว เจ้าชื่ออะไรนะ?”
เด็กหนุ่มที่เลือดสดยังคงหลั่งรินเต็มมือตอบไม่ตรงคำถาม บนใบหน้าที่ดำเกรียมเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวทระนงดุจต้นหญ้าที่แข็งแกร่งในป่า “เจ้าและนางอาจไม่รู้ว่าสายตาข้าดีมาก ดังนั้นตอนที่นางพูดคุยกับข้าอยู่ในตรอกหนีผิง สายตาที่เจ้ามองนาง แท้จริงแล้วไม่ต่างจากที่เจ้ามองข้าในเวลานี้”
ฝูหนันหัวตะลึงไปเล็กน้อย เขาต้องมองเด็กหนุ่มคนนี้ใหม่ซะแล้ว อีกฝ่ายทำให้เขาต้องจุ๊ปากเอ่ยชม “น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”
คำพูดและการกระทำของฝูหนันหัวอาจมองดูเหมือนสบายๆ แต่แท้จริงแล้วเขากลับคอยสังเกตมือซ้ายของเด็กหนุ่มที่ยังคงหลั่งเลือดอยู่ตลอดเวลา
นี่หมายความว่าเด็กหนุ่มไม่เคยคลายแรงมือลง หากเป็นคนทั่วไปก็เกรงว่าคงไม่อาจทนรับความเจ็บปวดที่บาดลึกถึงกระดูกได้นานขนาดนี้
มาจนถึงตอนนี้ฝูหนันหัวถึงจะเพิ่งรู้สึกว่า คำว่า ‘น่าเสียดาย’ ที่ก่อนหน้านี้ตนพูดวิจารณ์อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ กลับกลายมาเป็นคำพูดที่ตรงใจจริงๆ เสียแล้ว
ฝูหนันหัวรู้สึกว่าได้เวลาพอสมควรแล้ว จึงถามคำถามที่ตัวเองสนใจเป็นประโยคสุดท้าย
“เจ้าฆ่านางด้วยวิธีเด็ดขาดถึงเพียงนี้ แสดงว่าต้องมีคนแจ้งข่าวกับเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้สนใจว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่ที่ข้าคิดไม่ตกก็คือ เด็กที่เติบโตในเมืองแห่งนี้อย่างเจ้า เหตุใดถึงสามารถข้ามผ่านอุปสรรคในใจของตัวเองมาได้เร็วขนาดนี้ แล้วก็ฆ่าคนได้ด้วย…จิตใจที่สงบนิ่งขนาดนี้ ข้าพูดแบบนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?
ต้องรู้ว่า ต่อให้เป็นข้า ตอนที่ฆ่าคนครั้งแรก รอจนความฮึกเหิมหมดไป ร่างทั้งร่างก็ยังเริ่มสั่นสะท้าน ต้องท่องคาถาสงบใจอยู่นานกว่าจะดีขึ้นได้ ไม่เหมือนเจ้าที่ยังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าการฆ่าคนไม่ต่างจากการกินข้าวดื่มน้ำ นี่ไม่สมเหตุสมผล…”
เด็กหนุ่มที่สีหน้าไร้อารมณ์มาตลอดเวลา จู่ๆ กลับเผยสีหน้าตะลึงพรึงเพริดและแววตาหวาดผวา สายตาจ้องเป๋งไปยังด้านหลังของฝูหนันหัว ราวกับว่าสตรีสูงโปร่งที่ตายไปคนนั้นฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ฝูหนันหัวผู้ละเอียดรอบคอบหันไปมองข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ลำคอหันไปได้ครึ่งหนึ่ง หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
รอจนหันกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากเรือนกายที่สูงเป็นพิเศษ สายตาของฝูหนันหัวที่มองตรงไปเบื้องหน้าค่อนมาทางด้านล่างกลับไม่เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่ม!
วิกฤตอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ที่แท้ หลังจากที่ทำสีหน้าและแววตาเช่นนั้น เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็เริ่มระเบิดการจู่โจมอย่างไม่ลังเล เมื่อวิ่งออกมาได้สามก้าว เท้าซ้ายก็พลันออกแรงดีด ร่างทั้งร่างกระโดดสูงขึ้นกลางอากาศ เท้าขวาแตะลงบนผนังของตรอกที่อยู่ข้างๆ แล้วพอดีดปลายเท้าพลิกตัวกลับมา เด็กหนุ่มก็เงื้อมือซ้ายเข้าใส่ชายผู้สวมกวานสูง
บัดนี้เด็กหนุ่มเหมือนกลายมาเป็นอินทรีล่างูตัวหนึ่งอย่างแท้จริง