Skip to content

Sword of Coming 22

บทที่ 22 หยุดเวลา

ในกระท่อมไม้ไร้ป้ายบอกชื่อหลังหนึ่งของโรงเรียน ฉีจิ้งชุนนักปราชญ์สำนักขงจื๊อกำลังนั่งศึกษาศิลปะในการเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง ไม่ได้เล่นตามรูปแบบการวางหมากที่มีชื่อเสียงซึ่งสืบทอดต่อกันมาเป็นพันปี แล้วก็ไม่ใช่การวางหมากซ้ำแบบเดิมเพื่อศึกษาเคล็ดลับของคู่แข่งอย่างในการประชันของแคว้น

เขากำลังจะวางหมากสีขาวตัวหนึ่งลงไปบนกระดาน แต่แล้วก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง หมากที่เดิมทีมีตำแหน่งการวางอยู่แล้วกลับถูกยกค้างไม่รู้จะวางตรงไหน หลังจากนักปราชญ์สำนักขงจื๊อหดมือกลับ ตัวหมากกลับยังคงลอยค้างอยู่กลางอากาศ ห่างจากกระดานประมาณชุ่นกว่า

ฉีจิ้งชุนยังคงนั่งนิ่งอย่างสำรวม ในฐานะที่เป็นเซิ่งเหรินผู้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์เมืองในรุ่นนี้ อดีตเจ้าสำนักศึกษาซานหยาหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของสำนักขงจื๊อที่ต่อให้จะถูกเนรเทศมาทำความดีลบล้างความผิดอยู่ที่นี่ ฉีจิ้งชุนก็ยังคงวางตัวสมกับเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ปราศจากมลทินอย่างสมเกียรติ

สำหรับชาวบ้านในเมืองแห่งนี้แล้ว ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตและแห้งเหี่ยว ช่วงเวลาหกสิบปีพริบตาเดียวก็ผ่านเลยไป อาจารย์สอนหนังสือถูกเปลี่ยนมาแล้วหลายคน หน้าตาไม่เหมือนกัน อายุไม่เท่ากัน มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนก็คือกลิ่นอายของบัณฑิตที่อธิบายได้ไม่ชัดเจน กลิ่นอายของความหัวโบราณ เข้มงวด เคร่งขรึม แต่สรุปแล้วก็จืดชืดไร้รสชาติเหมือนกันหมด

แล้วก็ไม่เคยมีใครคิดว่าอาจารย์ของโรงเรียนที่สลับสับเปลี่ยนกันไปๆ มาๆ เหล่านั้น แท้จริงแล้วคือคนคนเดียวกัน ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อไปอยู่ในฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลนอกเมือง ท่านฉีที่มักเก็บตัวอยู่กับบ้าน แท้จริงแล้วเคยได้ครอบครองตำแหน่งฐานะที่สูงส่ง ทั้งยังมีเวทอภินิหารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร

นาทีถัดมาดวงจิตของฉีจิ้งชุนก็หลุดออกจากร่าง ประหนึ่งเซียนผู้สวมอาภรณ์สีขาวหิมะที่ล่องลอยจากเรือนกายอันเป็นกรงขัง หลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ในเสี้ยววินาที แล้วจึงล่องลอยไปยังตรอกแห่งหนึ่งของเมือง

เพียงแค่ชั่วพริบตาฉีจิ้งชุนก็มาถึงตรอกแห่งนั้น เขาหันไปมองหญิงสาวที่นอนจมกองเลือดก่อนเป็นอันดับแรก ไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรือง บัดนี้สามจิตเจ็ดวิญญาณกำลังแกว่งไกวแหลกสลายดุจเปลวเทียนกลางลมพายุ (สามจิตเจ็ดวิญญาณ สามจิตมีทั้งหมดสามอย่างคือ 1 วิญญาณฟ้า 2 วิญญาณดิน และ 3 วิญญาณมนุษย์ ส่วนเจ็ดวิญญาณก็คือ ความรู้สึกหรืออารมณ์ทั้งเจ็ด อย่างชอบ เกลียด เศร้า สุข กลัว รัก ความอยากหรือความหวัง)

ฉีจิ้งชุนหยุดมองอยู่ชั่วครู่ แล้วในที่สุดเขาก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง

ร่างของนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าที่สวมกวานสูงเอนมาด้านหลังเล็กน้อย เบิกตากว้างอ้าปากค้าง บนใบหน้าหล่อเหลาที่ผิวพรรณขาวนวลดุจหยกนั้นมีสีหน้าซับซ้อนสลับกันอยู่ระหว่างความตื่นตะลึง คลางแคลงและสิ้นหวัง

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะค้างอยู่ในท่ากระโดดสูง กระโจนสังหารอย่างดุดัน มือซ้ายกำเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่คมกริบประดุจใบมีด ต่อให้เป็นช่วงเวลาคับขันที่ความเป็นความตายมีเพียงเส้นบางๆ กั้นขวาง เด็กหนุ่มที่ทะยานร่างอยู่กลางอากาศก็ยังคงมีสายตาเด็ดเดี่ยว สีหน้าสงบนิ่ง ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มโง่เขลาผู้ถือกำเนิดในตรอกเล็กทรุดโทรม เติบโตขึ้นมาท่ามกลางป่าเขาเลยแม้แต่น้อย

คงมีเพียงความจนใจที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาเท่านั้นที่ยังสอดคล้องกับความเป็นเด็กหนุ่มอยู่บ้าง สำหรับความจนใจเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับบัณฑิตผู้อยู่กับห้องหนังสือและโรงเรียนมานานหลายปีอีกแล้ว ก็เหมือนกับชาวนาที่ดำรงชีพอยู่ได้โดยการพึ่งพาธรรมชาติ นั่งอยู่บนผืนนาที่ดินแห้งขอดแตกระแหง เงยหน้ามองดวงอาทิตย์เจิดจ้า อารมณ์ของเขาในเวลานั้นย่อมไม่ใช่เคียดแค้นโกรธขึ้ง แต่มีเพียงความจนใจและความเลื่อนลอยอย่างลึกล้ำ

ในฐานะที่เป็นเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้ชั่วคราว ฉีจิ้งชุนย่อมรู้ความเป็นมาของครอบครัวเฉินผิงอันทั้งสามคนเป็นอย่างดี หรือแม้แต่ย้อนทวนไปเมื่อร้อยปีพันปีก่อน ต่อให้เขาจะไม่เคยเห็นบรรพบุรุษของเด็กหนุ่มกับตาตัวเอง แต่ก็พอจะอนุมานได้คร่าวๆ เหตุผลนั้นง่ายมาก ก็เหมือนผู้พิพากษามณฑลคนหนึ่งที่หากอยากรู้การสืบทอดทางชาติกำเนิดของชาวบ้านใต้การปกครองของตน แค่ไปตรวจสอบเอาจากฝ่ายครัวเรือนที่เก็บรักษาทะเบียนสำมะโนครัวก็รู้ทุกอย่างที่ต้องการได้แล้ว

เมืองเล็กแห่งนี้ผ่านการวิวัฒนาการและพัฒนามาสามพันกว่าปี ฝังรากหยั่งลึกรัดพันตัดสลับ แผ่กิ่งก้านสาขาขยายออกไปนอกเมือง เพราะทุกรุ่นล้วนมีบุคคลที่น่าครั่นคร้ามปรากฏอยู่หลายคน แม้จะไม่สามารถกลับคืนสู่บ้านเกิดได้อย่างสมเกียรติ แต่กลับอาศัยช่องทางลับมาเลี้ยงดูตระกูลของตัวเอง สุดท้ายจึงสร้างให้เกิดสี่แซ่สิบตระกูลที่รุ่งเรืองที่สุดของเมืองในทุกวันนี้

ตระกูลของเฉินผิงอันก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานเช่นกัน บรรพบุรุษของเขาก็เคยเจริญก้าวหน้า เคยใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยมาก่อน แต่หลังจากผ่านมรสุมการเปลี่ยนแปลงที่ลุ่มๆ ดอนๆ ถึงสองครั้งสองครา ในบุรพแจกันสมบัติทวีปที่มีแคว้นในอาณัตินับไม่ถ้วนและมีราชวงศ์ดารดาษแห่งนี้ ตระกูลของเขาจึงค่อยๆ เสื่อมถอยลง ปล่อยให้ตระกูลอื่นเข้ามาแทนที่ เหมือนดั่งสายน้ำไหลสู่ที่ต่ำเป็นเวลานับพันปี

พอมาถึงรุ่นของบิดาเด็กหนุ่ม สายสกุลเฉินของเมืองแห่งนี้จึงแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสกุลที่ตกต่ำที่สุดของตลอดทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ในดินแดนของราชสำนักต้าหลี พวกเขาจึงเหมือนตระกูลที่จักรพรรดิออกพระราชโองการว่า ‘ห้ามคนในตระกูลเข้ารับราชการทุกรุ่นทุกสมัย’ จึงไม่มีทางที่จะฟื้นฟูตระกูลให้กลับมารุ่งเรืองได้อีก

หลังจากที่ฉีจิ้งชุนมาเป็นผู้ควบคุมการโคจรของค่ายกลที่นี่ เวลาหกสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขายึดมั่นในคำสอนของอาจารย์ที่บอกว่า ‘สงบสุขเที่ยงธรรม’ ไว้เสมอ ไม่เคยใช้ความชื่นชอบหรือความรังเกียจของตัวเองมาเปลี่ยนแปลงวงโคจรชะตาชีวิตของชาวบ้านในเมืองตามใจชอบ

หาไม่แล้วในสายตาของบัณฑิตผู้เคยมองความชั่วร้ายเป็นศัตรูคู่แค้นคนนี้ย่อมต้องเห็นว่าในตระกูลใหญ่มีความสกปรกโสมมอยู่มากมาย และในตระกูลเล็กของตรอกเก่าโทรมก็มีความลำบากยากแค้นอยู่มากมายเช่นกัน

แต่เมื่อฉีจิ้งชุนเลือกจะนิ่งดูดายกับสิ่งเหล่านี้ เขาจึงมองเห็นว่าในตระกูลใหญ่ก็มีความจนใจเป็นของตัวเอง และในตระกูลเล็กก็มีความชั่วร้ายอยู่เช่นกัน นานวันเข้า ฉีจิ้งชุนก็เป็นเหมือนรูปปั้นเทพเจ้าที่ถูกยกขึ้นหิ้งบูชา ทั้งไม่แยแสควันธูปของผู้คนที่มากราบไหว้ แล้วก็ไม่รับน้ำใจจากผู้ใด ทำเพียงแค่วางเฉย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในโลก

ฉีจิ้งชุนตะลึงเล็กน้อย เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว เพ่งสายตามองไปก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ที่แท้แม้ภายนอกจะมองดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผู้ยากจนที่พุ่งกระโจนเข้ามาสังหารด้วยท่วงท่าเหี้ยมหาญ หวังจะให้ฝูหนันหัวตายสถานเดียว แต่ในความเป็นจริงหากดูจากท่าทางของเขาในเวลานี้ สุดท้ายแล้วมือข้างนั้นของเด็กหนุ่มคงกระแทกลงบนลำคอของฝูหนันหัวอย่างแรง

ทว่าเมื่อเทียบกับจุดจบของไช่จินเจี่ยนแล้ว สิ่งที่ฝูหนันหัวกำลังเผชิญนับว่าดีกว่ากันมาก ร่างทั้งร่างของฝูหนันหัวจะต้องปลิวไปกระแทกกับกำแพง จากนั้นก็ต้องถูกเด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งกุมลำคอเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างจี้เศษกระเบื้องไว้ตรงหน้าอก

ฉีจิ้งชุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงไม่ลงมือฆ่าให้อีกฝ่ายตายไปซะ นี่ถือเป็นโอกาสอันดีแล้ว หากปล่อยไป อีกฝ่ายอาจกลายมาเป็นภัยร้ายไม่รู้จบสิ้นในภายหลัง

ฉีจิ้งชุนคือนักปราชญ์ผู้รักษาระเบียบและมารยาทอย่างเคร่งครัดก็จริง แต่กลับไม่ได้เคร่งในกฎตายตัวเหมือนนักปราชญ์คร่ำครึที่ดีแต่โคลงศีรษะแล้วเอาแต่พลิกค้นตำราเท่านั้น

สำหรับคนอย่างฝูหนันหัว ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ฐานกระดูกหรือนิสัยใจคอ เขาล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ต่อให้วันนี้ยามอยู่ในตรอกอีกฝ่ายจะยอมวางความแค้นลงชั่วคราวเพราะถูกเด็กหนุ่มข่มขู่ แต่เรื่องนี้จะต้องกลายมาเป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นได้น้อยครั้งตลอดชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้ จะบอกว่าเป็นมารในใจที่ขัดขวางการฝึกตนของเขาก็ยังไม่เกินไป เมื่อถึงเวลานั้นคนที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กหนุ่มอาจไม่ใช่ตัวของฝูหนันหัวเอง แต่จะเป็นคนทั้งนครมังกรเฒ่านายแห่งทะเลทักษิณแทน

ที่ฉีจิ้งชุนมาขัดขวางไม่ให้เด็กหนุ่มฆ่าคนติดต่อกันย่อมเป็นเพราะมีใจที่เห็นแก่ตัว แต่ที่มากกว่านั้นคือใจที่เห็นแก่ความยุติธรรม ตอนนี้ตลอดทั้งเมืองเป็นเหมือนเครื่องปั้นชิ้นหนึ่งที่มีรอยร้าวลามไปทั่ว สักวันย่อมต้องระเบิดแตก ฉีจิ้งชุนจำเป็นต้องชะลอช่วงเวลาที่ไม่อาจแก้ไขนี้เอาไว้ เพื่อที่จะจัดการปูทางถอยให้กับคนจำนวนมากขึ้น

ทางที่ดีที่สุดคือสามารถส่งมอบไปให้กับมือของ ‘อาจารย์หร่วน’ ช่างตีเหล็กผู้นั้นอย่างมั่นคง ประคับประคองช่วงเวลาหกสิบปีสุดท้ายไว้ให้ได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาถึงพอจะทำให้ผู้คนแช่มชื่นกันถ้วนหน้าได้บ้าง คนบนเขาได้รับโชควาสนา คนล่างเขาได้มีชีวิตที่ปลอดภัย

ต้องรู้ว่าด้วยความเคยชินของคนส่วนใหญ่ในอดีต ทุกครั้งที่เส้นทางพังทลาย ใหม่เข้ามาแทนที่เก่า วาสนาผุดขึ้นรอบทิศ ช่วงเวลาแห่งการช่วงชิงความเป็นอมตะเช่นนี้ ความเป็นความตายของมดตัวเล็กนับร้อยนับพันตรงตีนเขาไม่อาจนับเป็นอะไรได้เลย!

ความโหดเหี้ยมไร้ปราณีของตระกูลเชื้อพระวงศ์ในโลกมนุษย์ เมื่อเปรียบเทียบกับการเสียสละของวิถียิ่งใหญ่ที่นักพรตหลายคนเลื่อมใสศรัทธาแล้วกลับไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลยแม้แต่น้อย

ฉีจิ้งชุนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะอำพรางกายไว้อย่างเงียบเชียบ

ฟ้าดินกลับมาเคลื่อนโคจร ราบรื่นไร้อุปสรรคอีกครั้ง

ภาพเหตุการณ์ที่เวลาหยุดนิ่งก่อนหน้านี้พลันแตกออกอย่างไร้สำเนียง

ในที่สุดมือของเด็กหนุ่มก็กระแทกลงบนลำคอของฝูหนันหัวอย่างแรง ฝ่ายหลังศีรษะส่ายโอนเอน ถูกพละกำลังมหาศาลผลักให้เซไปกระแทกกับผนังของตรอก เด็กหนุ่มที่เท้าเหยียบพื้นดินอีกครั้งพุ่งเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะศอกใส่หน้าท้องของฝูหนันหัว

ฝูหนันหัวยังไม่ทันยืนได้มั่นคง ศอกของเด็กหนุ่มก็แทบจะทำให้เขาสำลักน้ำดีที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอ ต้องงอตัวลงตามสัญชาตญาณ

มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มบีบคอฝูหนันหัว อีกข้างหนึ่งถือเศษกระเบื้องจี้ไว้ตรงหน้าท้องของคุณชายสวมกวานสูงผู้นี้

ฝูหนันหัวจินตนาการไม่ออกเลยว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผอมแห้งที่เตี้ยกว่าตนหนึ่งช่วงศีรษะถึงมีพละกำลังมหาศาลเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแหลมคมและเยียบเย็นของเศษกระเบื้องตรงหน้าท้องที่ทำให้นายน้อยนครมังกรเฒ่าสัมผัสได้ถึงความตายที่คืบคลานเข้ามาใกล้อีกครั้ง เพียงแค่ช่องว่างเล็กๆ ก็อาจพาเขาไปอยู่ห่างอีกโลกหนึ่ง

ฝูหนันหัวย่อมไม่รู้ว่า พลังแฝงไร้ที่สิ้นสุดซึ่งปะทุออกมาจากเด็กชายคนหนึ่งที่ต้องขึ้นเขาเข้าป่าลึกตามหาสมุนไพรตั้งแต่เล็ก เพราะความยึดมั่นถือมั่นในบางอย่างที่รุนแรงยิ่งกว่าความหวังให้ตัวเองมีชีวิตรอดนั้นน่าตะลึงมากแค่ไหน

เมื่อเด็กชายกินสมุนไพรผิดแล้วล้มลงกลางตรอก ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ทำให้ร่างของเขาดิ้นทุรนทุรายไปมา เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นแท้ๆ ที่ทำให้เด็กชายซึ่งเดิมทีควรเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนพยายามพาตัวเองกลับบ้าน แม้จะต้องคลานไปก็ต้องเอาสมุนไพรช่วยชีวิตตะกร้านั้นกลับไปถึงบ้านให้จงได้

ภายหลังไม่ว่าจะเป็นการตัดฟืน เผาถ่าน เผาเครื่องปั้น ขึ้นรูปเครื่องปั้น ขุดดิน ชิมโคลน ฯลฯ ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ทดสอบพละกำลังกายและความอดทนของเด็กหนุ่ม

หากอยู่นอกเมือง ฝูหนันหัวแค่ร่ายเวทลับของตระกูลเซียนเล็กน้อยก็สามารถบดขยี้เด็กหนุ่มได้ร้อยคนพันคน แต่เมื่อต้องมาช่วงชิงความเป็นความตายอยู่ในเมืองแห่งนี้ เขาก็แทบไม่ต่างจากคนที่โชคดีสิ้นสุดจนเตะแผ่นเหล็กเข้าเต็มเท้า

ฝูหนันหัวถูกความเจ็บปวดและความอัปยศจู่โจมเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน เขาที่เลือดขึ้นหน้าจึงเอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน “เจ้าฆ่าข้า เจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน! เจ้าไม่ฆ่าข้า ก็ยังหนีไม่พ้นความตายอยู่ดี! เจ้าเด็กสวะ คราวนี้เจ้าตายแน่!”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นน้อยๆ สายตาจับจ้องชายหนุ่มที่สีหน้าบ้าคลั่ง “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่อยากฆ่าเจ้า ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เพียงแต่เจ้าคิดจะทำร้ายข้า ข้าจึงต้องเอาคืนเท่านั้น”

ฝูหนันหัวแสยะยิ้มดุร้าย “เจ้าเด็กสวะ คนอย่างเจ้าคู่ควรจะยกเหตุผลมาพูดกับข้าฝูหนันหัวงั้นหรือ?!”

เขาแผดเสียงตะเบ็ง “เจ้าคู่ควรงั้นหรือ?!”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “เจ้าจะต้องฆ่าข้าให้ได้เลยใช่ไหม?”

เมื่อฝูหนันหัวมองดวงตาทั้งคู่ของเด็กหนุ่มผิวดำเกรียม เขาก็พลันสงบสติอารมณ์ลงได้

ฝูหนันหัวถูกบีบคอจนหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเขียว แล้วก็กลายเป็นม่วง อันที่จริงเด็กหนุ่มยังไม่ได้เพิ่มน้ำหนักลงไปที่นิ้วทั้งห้าเลยด้วยซ้ำ แต่แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มแข็งแรงคนหนึ่งหายใจไม่ออกตายแล้ว

ฝูหนันหัวกล่าวอย่างยากลำบาก “ถ้าข้าบอกว่าจะไม่ฆ่าเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” เขาดิ้นรนอย่างรุนแรง

แต่แทบจะเวลาเดียวกันนั้น เด็กหนุ่มพลันเพิ่มแรงกดที่มือ ทำให้มือข้างหนึ่งของฝูหนันหัวที่นิ้วทั้งห้าขยับเบาๆ ตกลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ฝูหนันหัวยิ่งหูตาพร่าลาย แม้ใจปรารถนาจะตบศีรษะของเจ้าเด็กสวะผู้นี้ให้ระเบิดตายไป แต่กลับพยายามวางสีหน้าให้ดูเป็นมิตรมากที่สุด แล้วเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “หากข้าสาบานต่อฟ้าล่ะ? คนอย่างพวกเราไม่สามารถเอ่ยคำสาบานได้พล่อยๆ หรอกนะ”

ฝูหนันหัวออกอุบาย การตั้งปณิธานของศาสนาพุทธ และการสาบานในใจของนักพรตเต๋ามีพลังการพันธนาการที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แต่เห็นได้ชัดว่าฝูหนันหัวพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ต่อให้เขาสาบาน แต่ก็เป็นเพียงคำสาบานปากเปล่า หาใช่คำสาบานในใจที่รุนแรงตามคำบอกว่า ‘ไม่เขียนตัวอักษร แต่กลับสลักตรึงอยู่ในใจ’ ดังนั้นหลังจบเรื่องเขาจะทำตามหรือไม่ก็ดูที่อารมณ์ของเขาอย่างเดียวเท่านั้น

อีกอย่างการสาบานในใจของคนที่ฝึกตน ใช่ว่าจะไม่มีวิธีคลายคำสาบานเสียเลย เพียงแต่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อยเท่านั้น ส่วนค่าตอบแทนจะมีราคาเท่าไหร่ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับขอบเขตของนักพรตว่าสูงหรือต่ำ เกี่ยวข้องกับใจความที่สาบานว่าหนักหรือเบา

แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะกลับยังคงส่ายหน้า

ฝูหนันหัวที่เริ่มหายใจยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะต่อรองเสียแล้ว จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอย

จะต้องตายแล้วหรือ?

ตายด้วยน้ำมือของสวะชั้นต่ำคนหนึ่งไม่ต่างจากไช่จินเจี่ยนที่น่าสงสารผู้นั้น?

ถ้าอย่างนั้นหากข่าวร้ายนี้แพร่ไปถึงนครมังกรเฒ่า เขาจะกลายมาเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหรือเปล่า?

เขายังถึงขั้นไม่มีโอกาสยื่นมือออกไปแตะกลไกลลับบนเข็มขัดหยกตรงเอวด้วยซ้ำ เข็มขัดหยกขาวที่รัดไว้ตรงเอวเขา แท้จริงแล้วสร้างมาจากแก่นดวงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของมังกรดินตัวหนึ่ง

“พอได้แล้ว”

น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของคนทั้งสอง สำหรับฝูหนันหัวแล้วเสียงนี้ดุจเสียงจากสรวงสวรรค์ เพียงแต่ว่าเขาหมดสติไปพอดี จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปเองหรือไม่

ส่วนเฉินผิงอันนั้นหันหน้ากลับไปด้านหลังด้วยความตะลึงงัน ผลกลับกลายเป็นว่าเขาเห็นท่านฉีที่ทั้งร่างเรืองแสงหิมะขาวโพลน ดุจภาพมายาล่องลอย

ฝ่ายหลังเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด

สายตาของเฉินผิงอันกลับคืนสู่ความเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าของมือขวายังคงไม่คลายออกจากลำคอของอีกฝ่าย

ฉีจิ้งชุนไม่มีโทสะกับความหวังดีที่ถูกปฏิเสธ แล้วก็ไม่มีความชื่นชมเมื่อเห็นคนที่มีความสามารถน่านำไปใช้งาน เขาเพียงแค่โบกชายแขนเสื้อไปทางเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเบาๆ คล้าย ‘หยิบ’ ของชิ้นหนึ่งมาไว้ในมือ

พอเซิ่งเหรินสำนักขงจื๊อผู้นี้แบมือออกดูก็พลันหลุดหัวเราะ

ไอสกปรกกลุ่มหนึ่งที่เป็นสีดำดั่งน้ำหมึก

ที่แท้ใครบางคนได้ปลูกฝังเจตนารมณ์ลงบนร่างของเด็กหนุ่ม แต่บัดนี้มันหม่นหมองไร้แสง เห็นได้ชัดว่าตายไปนานแล้ว

เมื่อเงยหน้ามองเด็กหนุ่มเฉินผิงอันอีกครั้ง ฉีจิ้งชุนก็ทอดถอนใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย “มิน่าเล่าท่านอาจารย์ถึงบอกว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ ความสามารถที่โดดเด่นเป็นเพียงเรื่องรอง ปณิธานที่เด็ดเดี่ยวไม่คลอนแคลนต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เฉินผิงอัน เจ้าได้สอนบทเรียนอีกบทหนึ่งให้ข้าแทนท่านอาจารย์ เสียดายก็แต่ ข้าฉีจิ้งชุนในเวลานี้ไม่อาจมีโอกาสได้รับลูกศิษย์คนสุดท้ายอีกแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version