บทที่ 23 เงาต้นไหว
พอพูดประโยคนี้จบ นักปราชญ์สำนักขงจื๊อก็หัวเราะเย้ยหยันตัวเอง ลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุนในเวลานี้มีราคาค่างวดอะไรเสียที่ไหน? เด็กนักเรียนชั้นประถมที่นั่งเรียนกันอยู่เต็มห้อง ค่าเรียนที่เก็บมาจากทุกคนก็เป็นเงินแค่ปีละสามร้อยอีแปะ เด็กบางคนที่ยากจนยังจ่ายค่าเรียนเป็นเนื้อตากแห้งสามชิ้นเท่านั้น
ฉีจิ้งชุนมองเด็กหนุ่มที่ยังยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยมือพลางถามว่า “อันที่จริงลึกๆ ในใจเจ้าไม่ต้องการฆ่าเขา แต่ปัญหาก็คือคนผู้นี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ดังนั้นเจ้าจึงจะฆ่าเขาให้สิ้นซาก เพื่อรักษาชีวิตของตนไว้ชั่วคราว วันพรุ่งนี้เป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้? หรือว่าหวังจะให้เรื่องเงียบหาย เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีเลย? ใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มที่มักจะแอบไปนั่งฟังพวกเด็กนักเรียนท่องตำราหลุดปากพูดออกมาว่า “ท่านสอนข้าได้หรือไม่?”
ฉีจิ้งชุนตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าลองปล่อยมือข้างขวาดูก่อนเถอะ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นกับข้าหรือไม่ เรื่องบางเรื่องยากที่ข้าจะเอ่ยได้ แต่จะอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายให้แก่เจ้าแน่”
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย พอคลายนิ้วทั้งห้าของมือขวาออกก็พบว่าฝูหนันหัวไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สายตา เส้นผม ลมหายใจล้วนหยุดนิ่ง
หลังจากที่ฉีจิ้งชุนโคจรค่ายกลใหญ่ เวลาของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ถูกหยุดไว้อีกครั้ง
ฉีจิ้งชุนเอ่ยเบาๆ ว่า “ตามรอยเท้าของข้ามา พยายามอย่าอยู่ห่างเกินสิบก้าว”
นักปราชญ์สำนักขงจื๊อวัยกลางคนที่อาภรณ์ปลิวไสว เรือนกายว่างเปล่าเดินนำไปที่ปลายทางของตรอก เฉินผิงอันเดินตามไปติดๆ ระหว่างนั้นก็ก้มหน้ามองฝ่ามือข้างซ้ายของตัวเองที่เปรอะไปด้วยเลือด บาดแผลลึกจนเห็นระดูก แต่ทว่าเลือดสดเหล่านั้นกลับไม่ไหลออกมาเพิ่มอีกแล้ว
ฉีจิ้งชุนเดินอยู่ข้างหน้า อมยิ้มน้อยๆ ถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าบนโลกใบนี้มีเทพเซียน มีภูตผีปีศาจ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เชื่อ ตอนเด็กๆ แม่ข้าเคยเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังเป็นประจำ นางบอกให้ข้าเชื่อว่าทำได้ย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ประโยคนี้ท่านแม่พูดบ่อยที่สุด ข้าจึงจำได้แม่น เรื่องอื่นๆ อย่างในธารน้ำมีผีพรายที่จะกระชากเด็กลงไป ศาลเจ้าทางทิศเหนือของเมืองมียมบาลที่จะขึ้นมาตรวจสอบคดีความยามค่ำคืน แถมยังบอกว่าพอถึงกลางดึก เทพทวารบาลที่แปะอยู่บนประตูบ้านของพวกเราจะมีชีวิตและคอยช่วยปกป้องบ้านให้กับพวกเรา เรื่องเหล่านี้ เมื่อก่อนข้าไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่า…ตอนนี้ ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นเรื่องจริง”
ฉีจิ้งชุนเอ่ยเบาๆ “เรื่องพวกนี้ที่นางพูด บางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็หลอก ส่วนคำบอกที่ว่าทำได้ย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วนั้น ยากที่จะสรุปได้ เพราะคำจัดความของคำว่าดีและชั่วของชาวบ้าน จักรพรรดิและตระกูลเซียนที่เป็นอมตะล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นต่างคนจึงต่างมีข้อสรุปเป็นของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน”
เฉินผิงอันซ่อนเศษกระเบื้องเอาไว้ สาวเท้าก้าวเร็วๆ ไปเดินเคียงบ่าอยู่กับนักปราชญ์สำนักขงจื๊อ เงยหน้าถามว่า “ท่านฉี ข้าขอถามคำถามหนึ่งได้ไหม?”
ดูเหมือนฉีจิ้งชุนจะอ่านใจเด็กชายออกจึงพูดเรียบๆ ว่า “เมืองแห่งนี้คือสถานที่ฝังศพ ฝังกระดูกของมังกรเจินหลงตัวสุดท้ายบนโลก ในบรรดาที่พักพิงของมังกรมากมายใต้หล้า ที่นี่ก็ยังถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่มีโชควาสนาอุดมสมบูรณ์มากที่สุด และถูกกำหนดมาแล้วว่าสักวันหนึ่งจะต้องมี ‘มังกรปรากฏ’ อันที่จริงตลอดสามพันปีที่ผ่านมา การปรากฏตัวของมังกรกลับยังไม่เกิดขึ้นเสียที แต่กลับเป็นเด็กที่ถือกำเนิดในเมืองนี้ต่างหากที่ไม่ว่าจะเป็นฐานกระดูก นิสัยหรือวาสนาต่างก็เหนือกว่าเด็กรุ่นเดียวกันที่อยู่นอกเมืองไปไกลโข ทายาทซึ่งคู่เซียนที่มีชื่อเสียงมากมายของบุรพแจกันสมบัติทวีปให้กำเนิดก็ยังเทียบไม่ติด แน่นอนว่าก็ไม่ใช่เด็กทุกคนในเมืองที่จะมีพรสวรรค์เลิศล้ำไปเสียหมด”
ฉีจิ้งชุนคลี่ยิ้ม ไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ลงลึกไปอีก เพราะกลัวว่าจะไปทำร้ายจิตใจของเด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“ตอนนั้นพวกนักพรตอาวุโสที่เข้าร่วมการสังหารมังกรแทบจะไม่มีใครที่ไม่บาดเจ็บสาหัส หลายคนเลือกที่จะตั้งรกราก สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่าพร้อมที่จะตายทุกเมื่อ คู่บำเพ็ญเพียรบางคู่โชคดีรอดชีวิตมาได้ทั้งสองคน แต่บางคู่ก็เพิ่งจะผูกสมัครรักใคร่กันเพราะได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา เมื่อผ่านการพัฒนามาสามพันกว่าปี เมืองแห่งนี้จึงมีสภาพเช่นทุกวันนี้
เมื่ออยู่บนดินแดนของราชสำนักต้าหลี แรกเริ่มสุดสถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าต้าเจ๋อเซียง (ทะเลสาบใหญ่) ภายหลังเซิ่งเหรินท่านหนึ่งเสนอให้เปลี่ยนเป็นหลงยวน (เหวมังกร) และหลังจากนั้นมาอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปซ้ำกับชื่อคำว่ายวนของจักรพรรดิต้าหลีบางท่าน จึงเปลี่ยนมาเป็น…”
เด็กหนุ่มที่เก็บกลั้นคำพูดอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตัดบทคำพูดของฉีจิ้งชุนเบาๆ มือทั้งคู่ของเขากำเป็นหมัดแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังและรอคอย “ท่านฉี อันที่จริงคำถามที่ข้าอยากจะถามก็คือ พ่อแม่ของข้า…พวกเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่…”
ฉีจิ้งชุนจมดิ่งสู่ภวังค์การครุ่นคิด “ในเมื่อนักพรตพเนจรคนนั้นเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์กับเจ้าไปแล้ว ข้าก็คงสามารถบอกเล่าเรื่องบางเรื่องให้แก่เจ้าตามคำพูดที่เขาเคยเปิดประเด็นเอาไว้ได้ ในความทรงจำของข้า บิดาของเจ้าคือคนซื่อสัตย์อ่อนโยน พรสวรรค์ธรรมดา ไม่มีค่าพอให้ถูกคนพาออกไปจากเมือง แน่นอนว่าย่อมกลายไปเป็นซี่โครงไก่ (เปรียบเปรยถึงของที่ไม่มีค่า แต่จะทิ้งก็เสียดาย) ในสายตาของคนบางคน ถูกมองเป็นการค้าที่ขาดทุน
และบางทีอาจด้วยความโมโห บางทีอาจด้วยความยากแค้นในการใช้ชีวิต สรุปก็คือคนซื้อเครื่องปั้นนอกเมืองเล่นตุกติกกับ ‘เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต’ ของพ่อเจ้า หลังจากนั้นมา ไม่เพียงแต่ชีวิตของเขาเท่านั้นที่เจอแต่เรื่องเลวร้าย ยังพาให้เจ้ากับแม่เจ้าลำบากไปด้วย ภายหลังไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ไปรู้ความลับของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตเข้าโดยบังเอิญ รู้ว่าหากถูกคนเปิดเตาแล้วพาออกไปจากเมือง ก็จะต้องกลายเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยไปทั้งชีวิต เขาจึงแอบทุบเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่เป็นของเจ้าให้แตกออก หากข้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเครื่องปั้นที่ทับกระดาษชิ้นหนึ่ง”
ฉีจิ้งชุนเอ่ยเสียงหนัก “เจ้าต้องรู้ว่า เด็กทารกทุกคนที่เกิดในเมืองแห่งนี้ต่างก็ต้องมีรหัสสำหรับเก็บเป็นความลับ และในเมืองก็มีคนที่ใช้เวทลับเฉพาะมาดึงเอาเลือดหัวใจหยดหนึ่งไปหยดไว้ในเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่จะต้องถูกเผาในภายหลัง เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเด็กหญิงจะต้องถูกเผาติดต่อกันหกปี ส่วนเด็กชายจะนานยิ่งกว่า ไฟในเตาห้ามดับตลอดทั้งวัน ติดต่อกันไปเก้าปี พรสวรรค์ของเด็กจะเป็นอย่างไร ก็เหมือนกับรูปร่างของเครื่องปั้นธรรมดาที่ถูกเผาออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น แต่ตอนที่พ่อของเจ้าตัดสินใจทุบเครื่องปั้นที่ทับกระดาษชิ้นนั้นจนแหลกละเอียดอย่างเด็ดขาด คนซื้อเครื่องปั้นนอกเมืองจะแค้นเคืองแค่ไหน ไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ได้”
“ส่วนแม่ของเจ้า นางเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยอ่อนหวาน”
ฉีจิ้งชุนพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันหัวเราะ “ตอนที่แม่ของเจ้าแต่งกับพ่อเจ้า ดูเหมือนว่าคนรุ่นเดียวกันในเมืองจะหงุดหงิดกันไม่น้อย แต่บอกตามตรง หากจะให้ข้าพูดถึงรายละเอียดการใช้ชีวิตตอนที่พ่อแม่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็สร้างความลำบากใจให้ข้าแล้ว พอมาถึงที่นี่ นอกจากจะสอนหนังสือแล้ว ข้าก็ยังมีเรื่องอีกมากให้ต้องทำ”
เด็กหนุ่มส่งเสียงอืมรับหนึ่งคำ หันหน้ากลับมาเบาๆ ใช้มือปาดไปทั่วใบหน้าตัวเอง เด็กหนุ่มคงลืมไปแล้วว่าสภาพมือซ้ายของตนย่ำแย่แค่ไหน ตอนนี้ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่กระนั้นเขาก็ไม่อยากใช้แขนเสื้อเช็ดออกให้เสื้อผ้าต้องสกปรก
คนทั้งสองเดินผ่านซุ้มประตูสิบสองเสา ฉีจิ้งชุนไม่ได้มองเขา แต่ปากก็พูดกับเด็กหนุ่มไปตามตรงว่า
“ปีนั้นตอนที่มังกรเจินหลงตายอยู่ที่นี่ เซิ่งเหรินสี่ท่านเผยกายด้วยตัวเอง พวกเขาตั้งกฎให้กับที่นี่ โดยกำหนดให้ทุกๆ หกสิบปีจะต้องเปลี่ยนคนมาเฝ้าพิทักษ์ เพื่อช่วยดูแลปราณที่หลงเหลืออยู่หลังจากมังกรเจินหลงตายไป อันที่จริงก็ใช่ว่าตอนนั้นจะไม่มีการถกเถียงกันให้ถอนรากถอนโคนมันไปเลย…
แต่การบอกเล่าเจตนารมณ์สวรรค์ที่ไม่ควรบอกกล่าวแก่ผู้ใดเหล่านี้กับเจ้า ถือเป็นการทำร้ายเจ้าแล้ว โดยทั่วไป คนของสามสำนักอย่างขงจื๊อ พุทธและเต๋า บวกกับสำนักการทหารอีกหนึ่ง สี่ฝ่ายนี้คือผู้นำ เมธีร้อยสำนัก ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล ตระกูลเซียน ตระกูลใหญ่ ฯลฯ ที่อยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปล้วนมีส่วนแบ่งและโอกาสที่แน่นอนในการมาตักตวงผลประโยชน์ของที่แห่งนี้ พูดไปแล้วก็น่าขัน ในเวลาร้อยปีการมีหรือไม่มีรายชื่อ ‘คนซื้อเครื่องปั้น’ แทบจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการกำหนดว่าสำนักหรือตระกูลหนึ่งจะมีที่ยืนในสังคมต่อไปได้หรือไม่เลยทีเดียว”
เฉินผิงอันกล่าว “สิ่งที่ท่านฉีพูดมา ข้าไม่เข้าใจ แต่จำไว้หมดแล้ว และเมื่อวันนี้ได้รู้ว่าพ่อแม่ของข้าเป็นคนดี ข้าก็พอใจมากแล้ว”
ฉีจิ้งชุนยิ้ม “ข้าก็ไม่วาดหวังให้เจ้าฟังเข้าใจตั้งแต่ตอนนี้ เพียงแต่เป็นการปูพื้นฐานไว้ให้เท่านั้น หาไม่แล้วหากทำเพียงแค่เกลี้ยกล่อมไม่ให้เจ้าฆ่าฝูหนันหัว เจ้าก็คงไม่ฟัง ที่ห้ามไม่ให้เจ้าฆ่าคนอื่น หาใช่เป็นเพราะข้าฉีจิ้งชุนเห็นอกเห็นใจเหล่าสัตว์เดรัจฉานไม่ แล้วก็ยิ่งไม่ใช่เพราะข้าอยากมีบุญคุณต่อฝูหนันหัวและนครมังกรเฒ่า เพื่อวันหน้าจะได้รับผลประโยชน์จากพวกเขา ไม่ใช่อย่างนี้เลย
และในความเป็นจริงก็ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ลูกศิษย์สำนักขงจื๊ออย่างข้า นับตั้งแต่ที่ร่วมสำนักมาก็รังเกียจการทำตามอำเภอใจของคนที่ฝึกตนเหมือนกันที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างก็แก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้งมานานหลายปี หากตอนนี้ข้าฉีจิ้งชุนมีอายุเท่ากับตอนที่ไปสำนักศึกษาซานหยาเพื่อกราบไหว้อาจารย์ขอเป็นศิษย์แล้วล่ะก็ สกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่านั่นก็ดี ฝูหนันหัวนายน้อยนครมังกรเฒ่าก็ช่าง ตอนนี้มีหรือจะยังมีโอกาสรอดชีวิต ต้องถูกข้าตบจนร่างแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยฝ่ามือเดียวไปนานแล้ว”
เด็กหนุ่มค้นพบว่าท่านฉีในเวลานี้ แม้จะยังพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และท่วงท่าการก้าวเดิมก็ยังคงสง่างามดังเดิม แต่ความรู้สึกที่มอบให้คนราวกับเป็นคนละคน
ก็เหมือนเวลาที่ผู้เฒ่าเหยาดื่มเหล้าจนเมาแล้วพูดว่า เครื่องปั้นที่พวกเราเผาออกมาให้องค์จักรพรรดิใช้ ใครจะเทียบชั้นได้
ตอนที่ท่านฉีบอกว่าจะตบคนอื่นให้ร่างแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยฝ่ามือเดียว แม้น้ำเสียงจะไม่เหมือนผู้เฒ่าเหยาในเวลานั้น แต่สีหน้ากลับเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ฉีจิ้งชุนขมวดคิ้ว เงยหน้ามองไปทางตรอกหนีผิงคล้ายกำลังฟังใครพูดคุยกัน แม้จะไม่ได้เผยสีหน้ารังเกียจออกมา แต่ความไม่สบอารมณ์ทางสายตากลับปิดไม่มิด
สุดท้ายเขาจึงพูดเสียงเย็นว่า “รีบจากไปซะ!”
เฉินผิงอันหน้าตาเหลอหลา
ฉีจิ้งชุนจึงอธิบายให้ฟัง “ข้าหมายถึงนักเล่านิทานคนนั้น ชื่อเดิมของเขาคือหลิวจื้อเม่า สมญานามว่าสกัดคงคาเจินจวิน อันที่จริงเป็นเพียงแค่นักพรตของสำนักนอกรีต ตบะใช้ได้ แต่พฤติกรรมกลับต่ำช้า ความแค้นระหว่างเจ้ากับไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัว น่าจะเป็นเพราะเขาใช้เล่ห์กลอยู่ลับๆ สุดท้ายเขาฝังยันต์ของลัทธิมารอย่างหนึ่ง นั่นคืออักษรสี่คำว่า ‘ใจหวังความตาย’ ที่แอบสลักไว้ในใจของเจ้า วิธีการนี้อำมหิตยิ่งนัก”
เฉินผิงอันแอบจดจำชื่อของหลิวจื้อเม่าไว้ในใจ
ฉีจิ้งชุนถอนหายใจ ถามว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่า ทำไมข้าถึงไม่ลงมือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ฉีจิ้งชุนจึงพึมพำกับตัวเอง “ฟ้าดินแห่งนี้เป็นเหมือนเครื่องปั้นเก่าแก่ที่ตากลมตากฝนมานานสามพันปี จึงใกล้จะแหลกสลายเต็มที สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็เป็นเพียงคนนอก ซ้ำยังมีค่ายกลใหญ่คอยปกป้อง จะทำอย่างไรก็ได้ ขอแค่ไม่เกินกว่าเหตุ ก็ไม่มีทางเป็นเหตุให้เครื่องปั้นชิ้นนี้แหลกสลาย แต่ข้าคือคนที่ประคองเครื่องปั้นไว้ในมือ ไม่ว่าการกระทำใดๆ ของข้าก็อาจชักนำให้รอยร้าวบนเครื่องปั้นนี้แผ่ลามออกไปอีก และในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าข้าจะทำอะไร ก็มีแต่จะเพิ่มรอยร้าวให้มากขึ้นเท่านั้น หากมีแค่เครื่องปั้นที่แตกพังก็ยังพอทำเนา แต่นี่ชีวิตของคนในเมืองทั้งห้าหกพันคนล้วนอยู่ในมือข้าด้วย แล้วข้าจะประมาทเลินเล่อได้อย่างไร?”
เพียงแต่ว่าถ้อยคำที่เก็บกลั้นในใจมานานหลายปีเหล่านี้ ท่านฉีพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาเกินไป เฉินผิงอันเงี่ยหูฟังแล้วก็ยังไม่อาจได้ยินอย่างชัดเจน
ฉีจิ้งชุนมองเด็กหนุ่มที่คอยใช้มือเช็ดใบหน้าตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนทั้งสองเดินมาถึงข้างบ่อโซ่เหล็กของตรอกซิ่งฮวาแล้ว ตรงนั้นมีสตรีที่แต่งงานแล้วผู้หนึ่งกำลังก้มตัวตักน้ำ ฉีจิ้งชุนถามว่า “หากมีคนแปลกหน้าตกลงไปในบ่อน้ำ แล้วเจ้าไปช่วยเขา เจ้าต้องตาย เจ้าจะช่วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนถามกลับว่า “ข้าอยากรู้ว่า ข้าจะช่วยคนคนนั้นได้จริงหรือไม่?”
ฉีจิ้งชุนไม่ได้ตอบคำถามของเด็กหนุ่ม เพียงแค่พูดยิ้มๆ “จำไว้ว่า สุภาพชนไม่ช่วย”
เด็กหนุ่มอึ้งงัน ถามด้วยความไม่เข้าใจ “สุภาพชน?”
ฉีจิ้งชุนลังเลอยู่เล็กน้อย แต่แล้วก็ย่อตัวลงนั่งยองๆ ช่วยจัดอาภรณ์ให้กับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก่อน จากนั้นจึงใช้มือช่วยเช็ดคราบเลือดให้กับเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เวลาพบเจอเรื่องที่อันตราย ให้มีจิตใจเมตตาก่อน แต่สุภาพชนไม่ควรคร่ำครึจนเกินไป เขาจะไปช่วยคนที่ข้างบ่อน้ำก็ได้ แต่จะไม่มีทางพาตัวเองไปตายเด็ดขาด”
ดูเหมือนว่าคำถามข้อนี้จะไปสะกิดความคิดบางอย่างของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มจึงถามอย่างจริงจังว่า “ท่านฉี ตอนนี้ข้าจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่? หากได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?”
ฉีจิ้งชุนใคร่ครวญอย่างละเอียด แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หากเจ้าไม่กลัวอุปสรรคบนหนทางเบื้องหน้า ไม่กลัวว่าต้องลำบาก ย่อมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่นอน”
เด็กหนุ่มพลันยิ้มกว้างสดใส กล่าวตอบจริงจัง “ข้าไม่กลัวความลำบากหรอก!”
ฉีจิ้งชุนมองเห็นความสุขุมเยือกเย็นของเด็กหนุ่มตลอดทางที่เดินมาด้วยกัน เขาก็พลันวางใจลงได้ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่หนึ่ง แม้ว่าข้าฉีจิ้งชุนจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ แค่ให้เจ้าข้ามผ่านเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ ก็ไม่ถือว่าทำลายกฎ อันที่จริงข้าควรจะชดเชยโชควาสนาให้กับเจ้าสักส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ”
เด็กหนุ่มมึนงงไม่เข้าใจ
คนทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นไหวเก่าแก่ ไม่รู้ว่าทำไมทั้งในและนอกเมืองถึงได้เงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง มีเพียงต้นไหวเก่าแก่ต้นนี้เท่านั้นที่คล้ายจะเป็นข้อยกเว้น ใบของมันแกว่งไกว ส่ายสะบัดอย่างมีชีวิตชีวา
พอหยุดเดินแล้ว ฉีจิ้งฉุนก็หันไปประสานมือคารวะ เงยหน้าขึ้นถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ฉีจิ้งชุนขอใบไหวจากพวกเจ้าใบหนึ่งมาให้เด็กหนุ่มคนนี้มีชีวิตอย่างสงบสุขจนกว่าจะได้ออกไปจากเมือง อย่างน้อยภายในเวลาสามปีก็ไม่โดนวิบากกรรมถาโถมเข้าใส่ได้หรือไม่?”
ต้นไหวเก่าแก่ที่มีอายุนับพันปีเงียบกริบ
ฉีจิ้งชุนจึงถามอีกครั้ง “ฉีจิ้งชุนเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้มาห้าสิบเก้าปี ไม่มีความชอบ แต่ก็ตั้งใจทำหน้าที่ แค่ใบไหวสักใบก็ไม่อาจขอได้อย่างนั้นหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นคนในเมืองของพวกเจ้า ท่านเมธีทั้งหลาย เหตุใดถึงขี้เหนียวกันนัก?”
ต้นไหวเก่าแก่ยังคงไม่ตอบรับกลับมา
ความเงียบสงัดในเวลานี้เป็นดั่งคำเย้ยหยันที่ไร้เสียง
เจ้าฉีจิ้งชุนมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่อยู่ในฟ้าดินแถบนี้ ทั้งยังเป็นคนน่าสงสารที่ต้องคอยควบคุมค่ายกลใหญ่ พวกเราไม่เต็มใจจะให้ทานอย่างเสียเปล่า แล้วเจ้าจะทำอะไรพวกเราได้?
สีหน้าของฉีจิ้งชุนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ ก้มหน้าลง ในใจเต็มไปด้วยความละอายและรู้สึกผิด
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง กลับเป็นฝ่ายที่ปลอบใจเขาเสียเอง “นักพรตลู่บอกว่าขอแค่ข้าไปทางทิศใต้ของเมือง ตามหาช่างตีเหล็กแซ่หร่วน แล้วขอเป็นลูกศิษย์เขา ก็มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ท่านฉี ไม่มี…ใบไหวนี่ ข้าเชื่อว่าก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก!”
ฉีจิ้งชุนถามยิ้มๆ “พูดจากใจจริงรึ?”
เด็กหนุ่มเกาหัว ตอบอย่างขัดเขิน “เปล่า”
ฉีจิ้งชุนยิ้มอย่างเข้าใจ
แล้วทันใดนั้น ใบไหวสีเขียวสดดั่งจะหลั่งเป็นหยดน้ำก็พลันปลิวร่วงลงมาจากยอดมงกุฎต้นไม้ที่สูงที่สุด
เด็กหนุ่มเพียงแค่ยื่นมือออกไปรับ ใบไม้นั้นก็ร่วงลงมากลางฝ่ามือของเขาเอง
บนใบไม้มีตัวอักษรสีทองตัวหนึ่งเปล่งวาบผ่านไป
ฉีจิ้งชุนตกตะลึงเล็กน้อย ครู่หนึ่งต่อมาถึงกล่าวเสียงหนักว่า “ตัวอักษรนี้คือคำว่าเหยา เฉินผิงอัน เจ้ายินดีตอบแทนพระคุณของตระกูลเหยา ไม่ว่าเป็นหรือตายหรือไม่?! บอกตามตรง ต่อให้ไม่มีใบไม้ใบนี้ ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตเสียเลย ข้อนี้ข้าสามารถยืนยันกับเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าต้องคิดให้ดีเสียก่อน!”
เด็กหนุ่มถาม “เหยา อักษรเดียวกับอาจารย์เหยาน่ะหรือ?”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
เด็กหนุ่มสอดใบไหวไว้กลางฝ่ามือเบาๆ ยกสิบนิ้วขึ้นพนม ก่อนเงยหน้าพูดเสียงดัง “ขอแค่ข้ามีชีวิตอยู่ ขอแค่เป็นคนแซ่เหยาที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าก็จะทำเหมือนที่ท่านฉีพูดไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือต่อให้เขาตกลงไปในบ่อน้ำ ต่อให้ช่วยคนแล้วต้องตาย แต่ข้าเฉินผิงอันก็จะช่วยเขาให้จงได้!”
รอบด้านเงียบกริบไร้สรรพสำเนียง
ฉีจิ้งชุนกล่าวยิ้มๆ “ไปกันเถอะ”
ตอนที่พาเด็กหนุ่มเดินจากมา ฉีจิ้งชุนแอบหันหน้ากลับไปมองจุดที่สูงที่สุดของต้นไหว สีหน้าเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน
ใบไหว ‘แซ่เฉิน’ ใช่ว่าจะไม่มี และอันที่จริงก็ไม่ได้มีแค่ใบสองใบเท่านั้น ทว่าเมื่อถึงท้ายที่สุด ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้กำลังจะพังภินท์ กลับเลือกที่จะหาที่พักพิงใหม่ ต่อให้ไม่ใช่แซ่เฉินก็ไม่เป็นไร จะอย่างไรก็ไม่ยอมอำนวยพรให้ ไม่ยอมเห็นดีกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะของตรอกหนีผิง
ฉีจิ้งชุนหันกลับมาลูบหัวเด็กหนุ่มพลางเอ่ยหยอกล้อ “หากพวกซ่งจี๋ซิน จ้าวเหยา กู้ช่านมีปณิธานยิ่งใหญ่เหมือนที่เจ้ามีก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะชักนำให้ฟ้าดินเกิดความรู้สึกร่วมไปด้วยก็เป็นได้”
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มดุจแสงตะวัน “เรื่องนั้นข้าก็ช่วยไม่ได้ ข้าทำได้แค่ทำเรื่องของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น”
ฉีจิ้งชุนถามอีกครั้ง “คราวนี้พูดจากใจจริงไหม?”
เด็กหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่!”