บทที่ 24 มอบของ
ในบ้านหลังหนึ่งของตรอกเถาเย่ มีผู้เฒ่าหน้าตาใจดีคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายใต้ชานบ้าน ข้างกายมีสาวใช้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู นางสวมกระโปรงยาวลายสีเหลืองขนลูกไก่ ด้านนอกมีกระโปรงผ้าโปร่งสีเขียวอ่อนคลุมทับอีกชั้น กำลังยืนฟังผู้เฒ่าเล่านิทานพลางโบกพัดช้าๆ
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า “เถาหยา ลมล่ะ แอบงีบหลับอีกแล้วหรือ? ไม่ใช่ว่าข้าขู่เจ้าหรอกนะ แต่ถ้าไปอยู่ตระกูลใหญ่นอกเมืองแล้วแอบอู้งานแบบนี้ต้องโดนลงโทษแน่”
ไม่มีเสียงตอบรับ สำหรับผู้เฒ่าที่ใจกว้างมีเมตตาต่อข้ารับใช้มาโดยตลอดเตรียมจะพูดหยอกอีกสักสองสามคำ แต่แล้วหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนสี เงยหน้ามองไปยังทิศไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ที่แท้ในลานบ้านเล็กๆ แห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงสาวใช้ที่กำลังถือพัดคอยโบกลมให้เขาเท่านั้นที่ยืนนิ่งไม่ขยับ อันที่จริงแม้แต่ลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาตอนแรกก็หยุดนิ่งเช่นกัน
ผู้เฒ่ารีบกลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ ท่องคาถาอยู่ในใจแล้วเข้าฌานทันที เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องสูญเสียตบะที่บำเพ็ญมาไปเปล่าๆ ท่ามกลางการไหลย้อนกลับชั่วคราวของแม่น้ำแห่งกาลเวลาครั้งนี้ ผู้เฒ่าถอนหายใจเบาๆ ฉีจิ้งชุนที่เคารพในกฎเกณฑ์มากที่สุด สุดท้ายก็ยังแหกกฎลงมือ ดูท่ามรสุมครั้งใหญ่คงจะมาเยือนจริงๆ แล้ว
บริเวณบ่อโซ่เหล็ก เด็กหนุ่มต่างถิ่นผู้มีเรือนกายแข็งแกร่งกำยำนั่งยองๆ ห่างไปไม่ไกล สายตาจ้องไปยังล้อชักรอกเขม็ง แต่หางตากลับแอบเหลือบมองไปยังเรือนกายด้านข้างของสตรีผู้หนึ่งซึ่งมีเรือนกายอวบอิ่ม นางกำลังก้มตัวตักน้ำขึ้นมาจากในบ่อ
สะโพกที่โค้งงอนอย่างน่าตะลึง หน้าอกที่ห้อยลงดูหนักอึ้ง เส้นเว้าเส้นโค้งตลอดร่างน่าตื่นตาตื่นใจ เรือนกายเหมือนปลดปล่อยกลิ่นอายของสาวบ้านป่าดุจข้าวสาลีเม็ดอวบอิ่ม ทำให้สตรีที่แต่เดิมหน้าตาไม่โดดเด่นเผยเสน่ห์ที่แปลกตาออกไป เมื่อเด็กหนุ่มตระหนักได้ว่าบรรยากาศรอบด้านหยุดชะงักอย่างน่าประหลาด ตัวเขาเองนั้นไม่ได้ขยับ เพียงแค่ปลุกความกล้าใช้สายตาจ้องมองไปยังภาพหญิงสาวตักน้ำที่งดงามอย่างเต็มตา เด็กหนุ่มแอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะรีบขยับร่างเปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่
มิน่าเล่าอาจารย์ถึงเคยบอกว่าผู้หญิงด้านล่างภูเขาคือเสือที่ออกจากป่า พละกำลังจึงหดหายไปมาก ทว่าหากนำกลับขึ้นเขาเมื่อไหร่ก็จะกลายมาเป็นเสือภูเขาจอมเผด็จการที่กินคน ยามที่เหล้าเข้าปาก อาจารย์มักจะพูดว่าวีรบุรุษผู้เกรียงไกรใต้หล้านี้มักจะพ่ายแพ้ให้กับเสือที่กลับขึ้นเขาของตัวเอง ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าเสือที่ออกจากป่าก็ร้ายกาจมากพออยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ทั้งๆ ที่หน้าตาธรรมดา แต่กลับเย้ายวนจนใจเขาคันยิบๆ หากจู่ๆ นางพุ่งเข้ามาตบบ้องหูเขาอย่างไร้เหตุผล เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองคงไม่กล้าเอาคืน และไม่แน่ว่าถ้านางหันมายิ้มให้ เขาก็อาจจะยิ้มตามไปด้วย
พอเด็กหนุ่มคิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มเกิดความห่อเหี่ยว ก้มหน้าลงมองกางเกงตัวเองแล้วสบถด่าเสียงดัง “เจ้าเนื้อไร้กระดูก มิน่าเล่าถึงได้ไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเอาเสียเลย!”
—-
ในตรอกหนีผิง ซ่งจี๋ซินกำลังพลิกเปิดอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นเล่มเก่าหนาหนัก จากตำราเล่มนี้ ซ่งจี๋ซินพบเจอกฎเกณฑ์มากมาย ยกตัวอย่างเช่นทุกๆ หกสิบปีจะมีการเพิ่มเนื้อหาใหม่เข้าไปส่วนหนึ่ง ดังนั้นซ่งจี๋ซินจึงตั้งชื่อตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองว่า ‘อักขรานุกรมหกสิบปี’
และยังมีอีกอย่างก็คือหลังจากที่เด็กหนุ่มเด็กสาวในเมืองถูกญาติพาตัวออกไปจากเมืองแล้ว ก็แทบจะไม่มีใครได้กลับมาที่บ้านเกิดอีก ราวกับว่าไม่ชอบที่จะกลับสู่ถิ่นฐานเดิมอย่างมาก เป็นดั่งดอกไม้ที่ออกไปบานอยู่นอกกำแพง และหลายตระกูลก็ไปแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่นอกเมือง ซ้ำยังกลายไปเป็นต้นไม้ใหญ่เสียดฟ้าที่หยั่งรากลงลึกหลายต้น ดังนั้นซ่งจี๋ซินจึงตั้งชื่อเล่นให้มันว่า ‘ตำรานอกกำแพง’
เด็กหนุ่มกำลังพลิกเปิดมาที่หน้าประวัติของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งในหน้านี้บรรยายเรื่องราวในชีวิตของคนที่ชื่อเฉาซีเอาไว้ การเขียนบรรยายแบบประหยัดถ้อยคำถือเป็นเอกลักษณ์พิเศษอีกชนิดหนึ่งของอักขรานุกรมเล่มนี้
ซ่งจี๋ซินอ่านไปอ่านมาอย่างน้อยก็เจ็ดแปดรอบแล้ว จึงท่องจำเนื้อความในหนังสือเล่มนี้ได้ขึ้นใจมานานแล้ว และวันนี้เมื่อมีเวลาว่างเขาจึงเลือกเอาเรื่องราวของบุคคลที่แปลกประหลาดออกมาอ่าน โดยคิดเสียว่าเหมือนมีนักเล่านิทานมาเล่าตำนานต่างๆ ให้ฟัง
ความจริงเป็นเช่นไรไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ และซ่งจี๋ซินเองก็ไม่ใส่ใจ เขาแค่จำได้ว่าก่อนที่ชายสวมชุดขุนนางผู้นั้นจะลาออกจากตำแหน่งในเมืองกลับไปยังเมืองหลวง ได้แอบมาที่นี่กลางดึกเพียงลำพัง ชายผู้นั้นบอกกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทางจริงจังอย่างถึงที่สุดว่าต้องจำเรื่องหนึ่งให้ขึ้นใจ นั่นก็คือต้องท่องชื่อของทุกคนที่เคยปรากฏในหนังสือเล่มนี้ให้ได้ รวมไปถึงจำนวนคนนับร้อยนับพันกับการตั้งรกรากของบรรพบุรุษเบื้องหลังพวกเขาแต่ละคนในเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ของสี่แซ่สิบตระกูล
เวลานี้ซ่งจี๋ซินนั่งนิ่งไม่ขยับคล้ายพวกรูปปั้นองค์เทพทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองที่แตกพังซึ่งถูกทิ้งไว้ตามกอหญ้าตามดินโคลนอย่างไม่มีใครใส่ใจ ต่อให้ถูกลมฝนพัดกัดกร่อนก็ยังคงแน่นิ่งไม่ขยับ แสงอาทิตย์ที่สาดจากนอกหน้าต่างเข้ามาบนโต๊ะก็หยุดนิ่งอย่างผิดปกติ
ในบ้านหลังนี้สิ่งที่ขยับได้มีเพียงหนึ่งคนและหนึ่งสัตว์เท่านั้น นั่นก็คือสาวใช้จื้อกุยกับงูสี่ขาไม่สะดุดตาตัวนั้น นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกตินานแล้ว ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองก็คือต้องไปหาเด็กสาวหน้าตายที่บ้านข้างๆ แล้วด่าให้สาแก่ใจ แต่พอสาวใช้ตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของกระบี่เล่มนั้น นางก็ล้มเลิกความคิดนี้เสีย
นางมาที่ห้องของคุณชายตัวเองเป็นอันดับแรก สายตาเหลือบมองไปเห็นเนื้อความในหน้าหนังสือ พอเห็นคำว่า ‘เฉาซี’ สองตัวเด่นหราก็ให้หงุดหงิดนัก จึงช่วยคุณชายพลิกเปิดไปหน้าหลังๆ จนกระทั่งเห็นบทที่เกี่ยวกับ ‘เซี่ยสือ’ แล้วถึงได้ยิ้มอย่างอารมณ์ดี เพียงแต่ว่าไม่นานนางก็เริ่มหงุดหงิด แล้วจึงเปิดกลับไปหน้าเดิม หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเผยเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ จนเผยพิรุธให้กับตัวเอง
หลายปีมานี้เด็กหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดแค่เกิดความใคร่รู้และสงสัยในชาติกำเนิดของนางเท่านั้น แต่ไม่เคยพบเจอหลักฐานที่จะมัดตัวนางได้อย่างแน่นหนา ในขณะที่เรื่องใหญ่กำลังจะสำเร็จลงด้วยดีนี้ นางก็ไม่หวังให้ทุกสิ่งที่ลงแรงมาเสียเปล่า
นางมักจะติดตามคุณชายไปที่โรงเรียนเป็นประจำ รู้สึกว่าคำพูดบางอย่างของบัณฑิตช่างเสแสร้งจอมปลอม ยกตัวอย่างเช่น ‘ต้องรักษาชีวิตเพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณธรรม’ แต่คำพูดบางอย่างก็ฟังดูไม่เลว ยกตัวอย่างเช่น ‘เดินหนึ่งร้อยลี้ เดินได้เก้าสิบลี้ถึงเรียกว่าเดินได้ครึ่งทาง’ (เปรียบเปรยว่าไม่ว่าจะทำอะไร ในขณะที่ใกล้จะทำสำเร็จก็ยิ่งต้องจริงจังตั้งใจ) ที่พูดได้ตรงหลักความจริงอย่างยิ่ง
งูสี่ขาสีเหลืองเหมือนดินตัวนั้นกำลังนอนคว่ำหน้าอาบแดดอยู่บนธรณีประตู เมื่อมันอยู่นิ่งๆ จึงกลับคืนสู่ ‘ร่างจริง’ อีกครั้ง ภายใต้เส้นแสงที่สาดลงมา เห็นเพียงว่าทั่วร่างมันมีประกายแสงแวววาวโปร่งใส ร่างทั้งร่างเหมือนกลายมาเป็นกระจกชิ้นหนึ่ง
ในห้องของบ้านที่อยู่ติดกัน หนิงเหยาเด็กสาวชุดดำกำลังเข้าสู่สภาวะไทซี (胎息คือวิชาการฝึกตนอย่างหนึ่งของลัทธิเต๋า ก็คือการที่ไม่ใช้ปากและจมูกหายใจ เหมือนทารกที่อยู่ในครรภ์) ที่ลี้ลับอย่างหนึ่ง นางไม่ใช้ปากและจมูกหายใจ ประหนึ่งเด็กทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา จิตกลับสู่ต้นกำเนิดจึงหยุดทุกความคิดลง
กระบี่บินที่อยู่ในฝักสีขาวหิมะเหมือนได้รับการอภัยโทษ หลังจากค่อยๆ ลอยออกมจากฝักแล้วมันก็บินตวัดไปรอบกายเจ้านายอย่างรวดเร็วแต่แผ่วเบาอ่อนโยนประหนึ่งนกน้อยที่ถูกเลี้ยง ซ้ำยังให้ความรู้สึกงดงามเหมือนยามที่กระโปรงดรุณีน้อยส่ายสะบัด มันไม่ได้บินไปเรื่อยเปื่อย แต่กำลังเขียนยันต์อย่างคล่องแคล่วเพื่อสร้างพื้นที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้เจ้านายได้รักษาอาการบาดเจ็บ
แล้วก็เป็นไปตามต้องการ ปราณรอบกายเด็กสาวที่ไม่มีวี่แววของลมหายใจพลันไหลกรูเข้าไปในร่างของนาง นางจึงเป็นเหมือนปลาวาฬที่สูบน้ำ ดูดซับเอาปราณวิญญาณต้นกำเนิดของฟ้าดินแห่งนี้ไปอย่างบ้าคลั่ง ความเงียบสงัดของเมืองในเวลานี้จึงแตกต่างไปจากภาพของความมีชีวิตชีวาในบ้านหลังนี้อย่างเห็นได้ชัด
ธารน้ำทางทิศใต้นอกเมือง
มีชายร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่งที่คิ้วหนา ตากลมใหญ่ ท่าทางดุดัน เปลือยท่อนบน ในมือถือค้อนเหล็กกำลังทุบตีเหล็กแผ่นหนึ่ง ทุกครั้งที่ทุบลงไปสะเก็ดไฟจะสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ ส่องสว่างให้กับทั้งห้อง
สะเก็ดไฟเหมือนดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายไปทั่วทุกมุมในห้องที่กว้างขวาง สร้างให้เกิดภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่งดงาม
เหวี่ยงค้อนหนึ่งครั้งก็สร้างภาพเช่นนี้ให้เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง
ตรงข้ามกับชายผู้นั้นมีเด็กสาวมัดผมหางม้าคนหนึ่งยืนอยู่ เรือนกายของนางเล็กบาง นางสวมผ้าคลุมหนังวัวสีเหลืองผืนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้สะเก็ดไฟกระเซ็นมาโดนร่างแล้วทำให้เสื้อผ้าที่ทำจากเนื้อฝ้ายไหม้จนเป็นรู
หลังจากที่เหวี่ยงค้อนลงมาในครั้งนี้ สะเก็ดไฟนับพันนับหมื่นก็พลันหยุดค้างอยู่ในห้อง
เด็กสาวผมหางม้าขมวดคิ้วถาม “ท่านพ่อ?”
ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงหนัก “เจ้ามาตีกระบี่แทนข้า จะได้ใช้โอกาสนี้ฝึกสมาธิของเจ้าไปด้วย”
เด็กสาววางกระบี่โบราณลงไป ปัดสะเก็ดไฟตรงหน้าให้แหวกไปอยู่สองข้างกาย สะเก็ดไฟที่ถูกนางใช้มือปัดอย่างไม่ใส่ใจเพียงแค่โดนแตะบางส่วนก็ลามไปทั่ว สะเก็ดไฟที่เดิมทีควรหยุดนิ่งอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลากลับพุ่งชนกันเอง ทุกครั้งที่พุ่งชนกันก็จะยิ่งทำให้เส้นแสงในห้องยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ
เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสอายุมากในเมืองที่เหมือนมังกรซ่อนตัวอยู่ในหุบเหว แต่ละคนกลั้นลมหายใจทำจิตใจให้สงบแล้ว การกระทำของเด็กสาวออกจะเผด็จการเอาแต่ใจมากไปสักหน่อย
โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนมาเป็นนางที่เหวี่ยงค้อน พละกำลังของนางเปี่ยมล้น เคลื่อนไหวว่องไว ซ้ำเมื่อเทียบกับชายวัยกลางคนที่มีประสบการณ์โชกโชนแล้ว นางกลับดูเหมือนม้าป่าจอมพยศยิ่งกว่า
สะเก็ดไฟที่กระเซ็นออกมาในทุกครั้งที่นางทุบตี เมื่อเวลาถูกหยุดไว้เช่นนี้ย่อมไม่สลายหายไปไหน ดังนั้นพอหลายครั้งติดต่อกัน สะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนจึงเป็นเหมือนดวงดาวดารดาษที่อัดแน่นอยู่กลางอากาศ
ห้องหลอมกระบี่มีสะเก็ดไฟนับล้านล้านล้านดวง
ชายวัยกลางคนจ้องมองไปยังกระบี่ที่กำลังขึ้นรูปสีแดงฉานเล่มนั้นเขม็งพลางเอ่ยสั่งความเสียงหนัก “ท่องบทเขย่ามังกรของ ‘คัมภีร์หลอมกระบี่’ ไปในใจด้วย!”
เด็กสาวพลันลดแรงลง เรียกเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ?”
ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างมีโทสะ “ทำไม?”
เด็กสาวลดพละกำลังของตัวเองลงอีกครั้ง กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ตอนเที่ยงกินข้าวน้อย หิวแล้ว ทุบไม่ไหวแล้ว”
ชายวัยกลางคนยิ่งโมโห หากไม่ได้กำลังหลอมกระบี่ เขาคงด่าสั่งสอนอีกฝ่ายไปแล้ว “แค่ให้ท่องตำรา เจ้ากลับทำเหมือนจะตาย ข้ออ้างอะไรของเจ้า…แม่งเอ๊ย ท้องอย่างเจ้า จะหิวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คงไม่ใช่ข้ออ้างหรอกนะ…”
เด็กสาวแอบยิ้ม ปากบอกว่าหิว แต่อันที่จริงมือกลับไม่ได้หยุดนิ่ง พริบตานั้นจิตพลันสื่อถึงอะไรบางอย่าง เด็กสาวร้องตะโกนดังหนึ่งครั้ง เหวี่ยงค้อนทุบลงไปเต็มแรง แล้วปากก็หลุดพูดประโยคหนึ่งเหมือนถูกผีอำ “ออกมา!”
คราวนี้สะเก็ดไฟที่สาดกระเซ็นมีจำนวนมากมหาศาล เจิดจ้าสะดุดตาเป็นพิเศษ
ชายวัยกลางคนสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับพูดในใจตัวเองว่า ‘สำเร็จแล้ว’
ลานบ้านของกู้ช่าน หญิงวัยกลางคนค่อยๆ ฟื้นคืนสติ นางรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด พอลูกชายประคองกลับมานั่งบนม้านั่งตัวยาวแล้วจึงเห็นว่าสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่ากำลังหลับตาทำสมาธิ นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่อยู่ในชายแขนเสื้อแตะกันไปมาช้าๆ
หญิงสกุลกู้กดร่างลูกชายให้นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเองแล้วถามเสียงเบา “ท่านเซียน เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ผู้เฒ่าไม่ได้ลืมตา “ข้าผู้อาวุโสรับลูกศิษย์ที่ดี เจ้ามีลูกชายที่ดี กู้ซื่อ เจ้าจงวางใจรอได้ดิบได้ดีเพราะลูกชายเถอะ”
หญิงวัยกลางคนได้ยินก็ให้ดีใจเป็นล้นพ้น น้ำตาเอ่อคลอเต็มสองตา หันไปกอดลูกชายของตัวเองไว้พลางพึมพำเบาๆ ว่า “พ่อเจ้าหนู เจ้าได้ยินหรือไม่ กู้ช่านของเราต้องมีอนาคตที่งดงามแน่…”
จู่ๆ หลิวจื้อเม่าก็ร้องเอ๊ะอย่างตกตะลึง ก่อนลืมตาก้มหน้ามองเส้นลายมือที่เหมือนจะมีเส้นใหม่แยกออกไป เอ่ยกับตัวเอง “นี่เป็นเพราะอะไร? ไม่ควรเป็นอย่างนี้นี่นา เด็กหนุ่มไม่ตาย กลับเป็นลูกหลานตระกูลเซียนผู้นั้นที่ตายแทน?”
ผู้เฒ่าจำต้องลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินเนิบช้าอยู่ในลานบ้าน นิ้วมือก็แตะสลับกันไปมารวดเร็ว “สวะ! ตายด้วยน้ำมือของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ชื่อเสียงที่เขาเมฆาเรืองสะสมมาอย่างยากลำบากนับพันปีป่นปี้หมดก็คราวนี้”
หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ท่านเซียนผู้เฒ่า ในเมื่อช่านเอ๋อร์ของข้ากราบท่านเป็นอาจารย์แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเฉินผิงอันไปเถอะนะ?”
ผู้เฒ่าตวาดกร้าว “ใจอ่อนสมกับเป็นสตรี! หากเจ้ามีจิตใจเมตตาจริงๆ ตอนที่พบกับข้าตอนแรกก็ไม่ควรมีจิตสังหาร มาแสร้งทำตัวเป็นแม่พระกับข้าผู้อาวุโสเอาตอนนี้ เจ้ามียางอายบ้างหรือไม่?”
หญิงวัยกลางคนถูกด่าจนหน้าซีดขาว รีบพูดว่า “ไม่กล้า” อย่างขลาดกลัว
ผู้เฒ่ายังไม่หายโมโห ชี้หน้าด่าหญิงวัยกลางคนเสียงดัง “หญิงบ้านนอกคอกนา ความรู้ตื้นเขิน! วันหน้าหากกู้ช่านกลับไปที่ทะเลสาบเจี่ยนซูกับข้าแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกห้ามพบกันบ่อยเกินไปเด็ดขาด จะได้ไม่เป็นอุปสรรคในการฝึกตนของเขา มีปัญหาหรือไม่?”
หญิงวัยกลางคนโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่กล้า”
สีหน้าผู้เฒ่าดำทะมึนน่าสะพรึงกลัว
หญิงวัยกลางคนอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็คืนสติ สีหน้าห่อเหี่ยว พูดน่าสงสารว่า “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเด็ดขาด!”
ผู้เฒ่าสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างแรง แค่นเสียงเย็น “น่าโมโหจริงๆ!”
ก่อนหน้านี้เห็นว่าหญิงวัยกลางคนยังพอมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์อยู่บ้าง จึงมีความคิดว่าจะรับนางเป็นสาวใช้ประจำกาย แต่นางกลับแสดงออกถึงความไม่ได้เรื่องจนเกินจะทนรับเช่นนี้ ก็สมควรแล้วที่ต้องพลาดโอกาสที่จะได้เดินข้ามธรณีประตูของการฝึกตนไป
ผู้เฒ่าพลันกวาดตามองไปรอบด้านเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แล้วก็จริงดังคาด ฟ้าดินแห่งนี้ถูกคน ‘หยุดเวลา’ เอาไว้แล้ว
หยุดเวลาก็คือการสร้างถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กชนิดหนึ่งในบรรดาถ้ำสวรรค์มากมายขึ้นมา เทพเซียนพสุธาหรือแม้แต่อรหันต์ร่างทองก็อย่าหวังว่าจะบุกฝ่าออกมาได้
วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นการบรรลุขั้นสูงสุด แม้ในความเป็นจริงแล้วจะต้องยกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้กับค่ายกลหลังนั้น แต่ก็ยังทำให้คนหวาดกลัวยำเกรงได้อยู่ดี
ลองจินตนาการดูว่า ขอแค่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเทพเซียนหรือภูตผีปีศาจ เมื่อมาอยู่ที่นี่ก็ต้องโขกหัวกราบกรานข้า นั่นจะเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน?
แม้แต่ในยามฝันสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าก็ยังหวังว่าตัวเองจะบรรลุวิชาระดับสูงนี้ได้
เวทอาคมชั้นสูงเอามาทำอะไร? ถามโง่ๆ! หลิวจื้อเม่าปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อตนมีถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแบบนี้แล้ว จะลากเอาลูกศิษย์รุ่นที่สามของพระโพธิสัตว์ บุรพาจารย์เต๋า และเจ้าสำนักขงจื๊อเข้ามาอยู่ข้างในกันให้หมด แม้ไม่กล้าพูดว่าจะให้พวกเขาก้มหัวนอบน้อมแก่ตน แต่อย่างน้อยทุกคนก็สามารถนั่งอยู่ในระดับเดียวกัน เรียกขานตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันได้
แต่แล้วจู่ๆ หลิวจื้อเม่าก็กระอักเลือดอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ฝ่ามือก็มีเลือดสดสาดกระจายคล้ายถูกคนใช้อาวุธแหลมคมกรีดจนเป็นร่อง
บนมืออีกข้างหนึ่งก็มีถ้วยขาวใบนั้นโผล่ออกมาอย่างที่เขาไม่อาจควบคุม ริ้วคลื่นบนผิวน้ำซัดกระเพื่อมวุ่นวาย เส้นสีดำพุ่งชนผนังสี่ด้านเพ่นพ่าน
ผู้เฒ่ารีบใช้ฝ่ามือวางทับบนหลังมืออย่างไม่มีลังเล เป็นคนของสำนักเต๋านอกรีต แต่กลับทำท่าคารวะโค้งตัวลงต่ำที่สุดเพื่อแสดงถึงความจริงใจสูงสุดตามพิธีของสำนักขงจื๊อ พลางกล่าวเสียงสั่น “หลิวจื้อเม่าเจ้าเกาะชิงเสียแห่งทะเลสาบเจี่ยนซู ขอท่านฉีโปรดเห็นแก่จิตใจที่ซื่อสัตย์สุจริตของผู้น้อย หากมีจุดใดล่วงเกินไป หวังว่าใต้เท้าฉี…เซิ่งเหรินจะให้อภัย!”
เนิ่นนานหลังจากนั้น
“รีบจากไปซะ!”
สี่คำประดุจฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิดังขึ้นข้างหูของเจินจวินผู้นี้ หลิวจื้อเม่าปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง “ขอท่านโปรดวางใจ ผู้น้อยจะนำพาแม่ลูกสกุลกู้ออกจากเมืองเดี๋ยวนี้”
ผู้เฒ่าที่เรียกตัวเองว่าผู้น้อยมาโดยตลอดเหมือนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ขอถามท่านฉี เหรียญเงินแก่นทองสองถุงของผู้น้อย ควรจะจัดการอย่างไร?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยบารมีดังขึ้นอีกครั้ง “หนึ่งคนหนึ่งของ โชควาสนาสองส่วนพอดี ทิ้งไว้ในลานบ้านนั่นก็พอ ภายในสามสิบปี เจ้าห้ามออกจากทะเลสาบเจี่ยนซูแม้แต่ครึ่งก้าว”
หลิวจื้อเม่ารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก คราวนี้เขาไม่ได้จงใจคำนับด้วยวิธีการของสำนักขงจื๊อเพราะหวังจะประจบสอพลออีกแล้ว แต่ก้มลงกราบตามธรรมเนียมของสำนักเต๋าอย่างเคร่งขรึม “ผู้ใหญ่ให้ของไม่ควรปฏิเสธ พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านฉี ข้าผู้น้อยจดจำขึ้นใจ ไม่กล้าลืมเลือน!”
หลังจากนั้นเสียงของฉีจิ้งชุนก็ไม่ดังขึ้นอีก และเวลาที่หยุดนิ่งก็หายไปอย่างรวดเร็ว หลิวจื้อเม่าไม่มัวเสียเวลา รีบบอกให้กู้ซื่อพากู้ช่านออกจากเมืองไปพร้อมตน กู้ซื่อเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกหลิวจื้อเม่าตวัดสายตาอำมหิตมองมา ทำเอานางตกใจจนตัวสั่นเหมือนจั๊กจั่นในหน้าหนาว
หลิวจื้อเม่าควักถุงสองถุงออกมา แม้ในใจจะยังเสียดายอยู่บ้าง แต่นักพรตนอกรีตที่สมควรได้รับตำแหน่งเจินจวินผู้นี้ก็ยังวางมันลงบนม้านั่งตัวยาวอย่างไม่ลังเล เพียงแต่ว่าตอนที่กำลังจะเดินออกจากลานบ้าน หลิวจื้อเม่าพลันถามขึ้นว่า “ในบ้านของพวกเจ้ามีของเก่าอะไรเก็บไว้บ้างหรือเปล่า?”
กู้ซื่อมึนงง แต่กู้ช่านที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กลับเอ่ยเตือนทันทีว่า “ท่านพ่อเก็บสมบัติไว้หลายชิ้นไม่ใช่เหรอ ที่วางไว้ใต้เตียงจนฝุ่นเกาะนั่นไง”
หลิวจื้อเม่าดวงตาเป็นประกาย บอกให้หญิงวัยกลางคนนำทางไปดูทันที
ในเมื่อเซิ่งเหรินท่านนั้นยอมรับว่าตัวของกู้ช่านเองคือโชควาสนาอย่างหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าเด็กคนนี้สามารถนำโชควาสนาที่เป็นของตัวเขาเองออกไปด้วยได้
ส่วนข้อที่ว่าโชควาสนาเหล่านี้จะตกเป็นของใครในท้ายที่สุด หากอยู่ในเมือง ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้มาเองก็คงยังต้องเชื่อฟังฉีจิ้งชุน แต่เมื่อไปถึงทะเลสาบเจี่ยนซู ก็ไม่มีใครบอกได้แล้ว
รอจนคนทั้งสองหายเข้าไปในห้อง กู้ช่านที่ในที่สุดก็ไม่มีใครสนใจรีบคว้าถุงทั้งสองมาไว้ในมือ ดึงสลักประตูออกเบาๆ แล้ววิ่งแผล็วไปยังอีกฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิง
ในห้อง หญิงกู้ซื่อกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ยื่นหน้าเข้าไปยกลังที่อยู่ใต้เตียง ลังนี้ไม่ใหญ่แต่กลับหนักมาก ลากออกมาค่อนข้างเปลืองแรงจนนางถึงกับหอบฮัก
ผลกลับกลายเป็นว่าสะโพกอวบอิ่มของนางถูกสกัดคงคาเจินจวินเตะเข้าอย่างแรง ผู้เฒ่าเอ่ยหยอกล้อว่า “กู้ซื่อ เสียดายที่เจ้าดูแลตัวเองมาเสียดิบดี แต่ว่าอาศัยแค่ข้อนี้ ไปอยู่ที่เกาะชิงเสีย หากให้เป็นสาวใช้ลำดับสองอาจจะถูไถไปหน่อย แต่ถ้าเป็นสาวใช้ลำดับสามย่อมเหลือแหล่ ข้าผู้อาวุโสไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตา แต่บนเกาะชิงเสียกลับมีแขกมาพักอยู่หลายคน ไม่แน่ว่าอาจถูกใจเจ้า เมื่อถึงเวลาเจ้าจงตั้งใจช่วงชิงโอกาสให้กับตัวเอง อย่ามัวแต่เขินอายจนพลาดโชควาสนาดีๆ ไป”
ร่างของหญิงวัยกลางคนแข็งทื่อเล็กน้อย เวลานี้เกินครึ่งร่างของนางยังอยู่ใต้เตียง จึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ชัดเจน
—-
ฉีจิ้งชุนซึ่งเดินอยู่ในตรอกหนึ่งหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า
“ไช่จินเจี่ยนกับฝูหนันหัวให้ข้าเป็นคนจัดการเอง ตอนนี้เจ้ามีใบไหวที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ใบหนึ่งแล้ว ก็ยิ่งไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท การมีชีวิตอยู่อย่างดี ถึงจะถือว่าเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อแม่เจ้าที่ดีที่สุด
ส่วนหลังจากนี้ ข้าไม่กล้าพูดว่าสามกองกำลังอย่างเขาเมฆาเรือง นครมังกรเฒ่าและสกัดคงคาเจินจวินจะไม่มาหาเรื่องเจ้าอีกตลอดกาล แต่อย่างน้อยภายในสิบปีพวกเขาย่อมไม่มีทางมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าแน่นอน ถ้าโชคดี เจ้าก็อาจได้เป็นชาวบ้านธรรมดาในเมืองนี้ และคงมีชีวิตอย่างสงบสุขไปได้ถึงสามสิบปี”
ฉีจิ้งชุนกล่าวยิ้มๆ “แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงเมืองแห่งนี้มากนัก วันหน้า…อีกไม่นานเท่าไหร่ คงจะไม่มีแผนการเหล่านั้นหลงเหลืออยู่แล้ว หากเจ้าอยากจะมีชีวิตที่มั่นคงสงบสุขไปสักยี่สิบสามสิบปีก็อาจจะแต่งงานกับหญิงสาวสักคน ก่อร่างสร้างตัวไปด้วยกัน
หากอยากจะออกไปนอกเมืองเพื่อไปเห็นภาพฟ้าดินที่แท้จริง นั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ อ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ คือสิ่งที่บัณฑิตอย่างพวกเราจำเป็นต้องทำ ในภายภาคหน้าเจ้าจะค้นพบว่าอยู่ในเมืองแห่งนี้ซื้อหนังสือได้ยาก เดินทางได้ง่าย แต่พอไปอยู่ข้างนอก ผู้คนที่เล่าเรียนทั้งหลายล้วนหาซื้อหนังสือ อ่านหนังสือ สะสมหนังสือกันได้ง่ายมาก แต่พวกเขากลับไม่ชอบเดินทางไกลเพราะกลัวลำบาก คำว่าแบกตำราเร่ร่อนแสวงหาความรู้ แท้จริงแล้วก็เป็นแค่การนั่งรถออกไปเที่ยวชานเมืองเท่านั้น”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างตกตะลึง “ท่านฉี เดินทางก็ถือว่าลำบากด้วยหรือ?”
ฉีจิ้งชุนหัวเราะถูกใจ “ไม่ต้องพูดถึงนอกเมือง เอาแค่คนข้างกายเจ้าแล้วกัน เจ้าเคยเห็นคนรุ่นเดียวกันที่อยู่อาศัยในตรอกฝูลวี่ ตรอกเถาเย่วิ่งไปทั่วป่าเขาแบบเจ้าบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”
ฉีจิ้งชุนครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปดึงปิ่นปักผมหยกชิ้นหนึ่งออกจากมวยผมของตัวเองแล้วโน้มตัวยื่นส่งให้กับเด็กหนุ่มผู้ยากไร้
“ถือว่าเป็นของขวัญก่อนจากลาแล้วกัน ไม่ใช่ของมีค่าอะไร ยิ่งไม่ใช่วัตถุของตระกูลเซียน จงสบายใจที่จะรับไว้ อันที่จริงข้าเองก็เหมือนกับเจ้าที่เคยเป็นเด็กยากจนมาก่อน แต่เพราะตั้งใจเล่าเรียน ผ่านความยากลำบาก ผ่านอุปสรรคมามากมายนับไม่ถ้วน แต่แน่นอนว่าก็เจอโอกาสหลายครั้งอยู่เหมือนกัน ถึงได้เข้าไปที่สำนักศึกษาซานหยา ได้กราบอาจารย์ขอเป็นศิษย์
ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่ข้าฉีจิ้งชุนมีความสุขที่สุดในชีวิต ภายหลังท่านอาจารย์ออกจากเขา จึงมอบปิ่นชิ้นนี้ให้ข้า ถือเป็นการฝากความหวังและคำสั่งเสียให้แก่ข้า น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้มาย้อนนึกดู ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยทำได้ดีเลย เชื่อว่าหากท่านอาจารย์ยังอยู่บนโลกใบนี้ต้องผิดหวังยิ่งนัก”
เด็กหนุ่มจะกล้ารับของขวัญชิ้นนี้ได้อย่างไร ปิ่นหยกชิ้นนี้เหมือนจะซุกซ่อนความผูกพันระหว่างท่านฉีกับอาจารย์ของเขา ไม่เพียงแต่ต้องมีความหมายยิ่งใหญ่ ราคาค่างวดของมันก็ต้องไม่ใช่น้อยๆ
ต่อให้เด็กหนุ่มจะความรู้ตื้นเขินแค่ไหนก็ยังเป็นคนที่คลุกคลีอยู่กับเครื่องปั้น จึงมีความสามารถในการวิเคราะห์ว่าของชิ้นหนึ่งดีหรือไม่ดี
ฉีจิ้งชุนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อยู่กับข้า สักวันหนึ่งมรดกของอาจารย์ผู้มีพระคุณก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้าด้วย ไม่สู้มอบให้เจ้าเสียดีกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ใช่ว่าเจ้าจะได้ค่าตอบแทนโดยไม่ต้องเปลืองแรง
เกือบหกสิบปีที่ข้าอยู่ในเมืองแห่งนี้ เคยมีปมเล็กๆ ในใจที่คลายไม่ออกมาโดยตลอด น่าเสียดายที่ท่านอาจารย์จากโลกนี้ไปแล้ว เดิมทีนึกว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางได้คำตอบ แต่เป็นเจ้าที่ช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าโดยบังเอิญ ดังนั้นข้ามอบหยกชิ้นนี้ให้เจ้า จะดูตามเหตุหรือดูตามผลก็ล้วนเหมาะสม เฉินผิงอัน ข้าทำได้แค่ขอใบไหวมาให้เจ้าเพียงใบเดียว ไม่อาจมอบโชควาสนาให้เจ้าได้มากกว่านี้อีกแล้ว”
เด็กหนุ่มยื่นมือทั้งคู่ไปรับปิ่นหยกที่วัสดุธรรมดาชิ้นนั้นมา เงยหน้าพูดอย่างจริงใจ “ท่านฉีทำมามากพอแล้ว”
ฉีจิ้งชุนยิ้มตอบ เมื่อเห็นว่าตนพูดโน้มน้าวให้เด็กหนุ่มรับปิ่นไปได้ ปมในใจก็หายไปปมหนึ่ง ปิ่นชิ้นนี้เป็นเพียงปิ่นธรรมดาก็จริง แต่จะอย่างไรซะก็คือมรดกที่ท่านอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาทิ้งไว้ให้ ได้นำมามอบให้กับเด็กหนุ่มที่ไม่หมิ่นเกียรติปิ่นหยกชิ้นนี้ นับว่าดีมาก
ดังนั้นสุดท้ายฉีจิ้งชุนจึงเอ่ยสั่งความว่า “เฉินผิงอัน จำไว้ว่าวันหน้าไม่ว่าพบเจอกับอะไร เจ้าจงอย่าหมดหวังกับโลกใบนี้”