บทที่ 25 จากลา
นอกบ้านหลังหนึ่งของตรอกหนีผิง มีเด็กเกเรคนหนึ่งที่น้ำมูกไหลย้อยออกจากรูจมูกทั้งสองกำลังเตะประตูบ้านหลังนั้นอย่างแรง ปากก็ด่ากราดโฉงเฉงจนน้ำลายแตกฟอง “เฉินผิงอัน! หากยังไม่ไสหัวออกมา ข้าจะให้คนมาฟันหัวเจ้าให้แบะแล้วก็ทุบบ้านโทรมๆ ของเจ้าให้เละ! ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในบ้าน มัวทำอะไรอยู่ หรือว่ากำลังทำอะไรกับจื้อกุยเมียซ่งจี๋ซิน? กลางวันแสกๆ ทำไมไม่เห็นหัวซ่งจี๋ซินบ้าง? ได้ๆๆ ไม่ออกมาใช่ไหม ข้าไปแล้วนะ ข้าไปจริงๆ นะ? ข้าไปคราวนี้ เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้พบหน้าข้าอีกชั่วชีวิต ของรักของข้าพวกนั้น เดิมทีคิดจะมอบให้เจ้า เฉินผิงอัน! เจ้ารีบออกมาสิ!”
ไม่รู้ว่าทำไม พอด่ามาถึงช่วงท้ายๆ เสียงของเด็กชายถึงกลับกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ เขารีบสูดน้ำมูกสองเส้นกลับเข้าไปดังเดิม
กู้ช่านพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะจึงรีบหันหน้ากลับไปมอง พอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เด็กชายก็เริ่มแหกปากด่าอีกครั้ง “เฉินผิงอัน! บิดาเจ้า…”
สีหน้าของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะไม่ค่อยน่ามองนัก กู้ช่านจึงรีบเปลี่ยนประโยคเสียใหม่ “สุขภาพดีไหม?” คล่องแคล่วว่องไว ไหลรื่นดังใจปรารถนา ไม่มีสะดุดแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันที่ถือหม้อใบใหม่อยู่ในมือเคยชินกับนิสัยร้ายกาจของเจ้าลูกหมาตัวนี้แล้ว จึงตอบกลับเสียงสะบัด “ดีไม่ดี เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?”
กู้ช่านตระหนักได้ว่าตนยังมีธุระสำคัญรออยู่ จึงรีบดึงเฉินผิงอันมาที่หน้าประตู จากนั้นก็ยัดถุงผ้าปักลายงดงามสองถุงใส่มือเฉินผิงอัน แล้วถามเสียงเบาว่า “ยังจำปลาหนีชิวตัวนั้นที่ข้าขอจากเจ้าเมื่อปีก่อนได้ไหม?”
เฉินผิงอันไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในมือของเขาตอนนี้มีถุงหนักๆ ที่ไม่แปลกตา เพราะตอนที่เด็กหนุ่มชุดแพรบังคับซื้อปลาหลีสีทองตัวนั้นไป หลังจบเรื่องอีกฝ่ายก็ได้นำถุงเงินถุงหนึ่งมามอบให้ตน
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าสองหัวถนนของตรอกไม่มีคนเดิน จึงรีบเปิดประตูบ้านพากู้ช่านเข้ามาในลาน เอาหม้อวางไว้ข้างๆ จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “มีคนต่างถิ่นมาขอซื้อปลาหนีชิวตัวนั้นจากเจ้าใช่ไหม?! กู้ช่าน ข้าแนะนำว่าเจ้าห้ามขายเด็ดขาด! ต่อให้ถูกตีจนตายก็ห้ามขาย เจ้าไม่อยากให้แม่ของเจ้ามีชีวิตที่ดีหรอกหรือ เจ้าต้องเก็บปลาหนีชิวตัวนั้นเอาไว้ เข้าใจไหม?!”
จู่ๆ กู้ช่านก็ร้องไห้โฮ มือทั้งคู่คว้าชายเสื้อของเฉินผิงอัน พูดสะอึกสะอื้น “ข้าอยากเอาปลาหนีชิวตัวนั้นคืนให้เจ้า แต่ท่านแม่ไม่ยอม แถมยังตีข้าด้วย ท่านแม่ไม่เคยตีข้ามาก่อน แล้วยังมีนักเล่านิทานคนนั้นอีก ไม่รู้ว่าเขาเป็นเทพเซียนหรือเป็นภูตผีกันแน่ น่ากลัวยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เขาพาข้าเข้าไปในถ้วยขาว จากนั้นจู่ๆ ปลาหนีชิวตัวนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นตัวใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าอ่างน้ำที่บ้านข้าหลายเท่าเลย…”
เฉินผิงอันเอามืออุดปากเด็กชาย ถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ปลาหนีชิวให้เจ้าไปแล้ว มันก็เป็นของเจ้า! กู้ช่าน เจ้ายังอยากให้แม่ของเจ้ามีชีวิตที่ดีอยู่หรือไม่? อยากให้นางได้กินเนื้อทุกวัน ได้แต่งหน้าผัดแป้ง ได้สวมใส่อาภรณ์ผ้าไหมระยิบระยับหรือไม่?”
กู้ช่านสูดน้ำมูก พยักหน้ารับแรงๆ
เฉินผิงอันปล่อยมือ ย่อตัวลงนั่งยองๆ พลางถามว่า “เงินสองถุงนี่เป็นมายังไง เจ้าขโมยมันออกมาใช่ไหม?”
ลูกตาของกู้ช่านกลิ้งกลอกไปมา เตรียมจะคิดหาคำโป้ปด แต่เฉินผิงอันรู้จักนิสัยเขาดียิ่งนัก แค่เจ้าลูกเต่าน้อยนี่เลิกก้นขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะถ่ายออกมาเป็นอะไร จึงตวาดใส่กู้ช่านเสียงเอาเรื่อง “เอากลับไป!”
นิสัยเอาแต่ใจของกู้ช่านเริ่มปรากฏขึ้นบ้างแล้ว “ไม่เสียอย่าง!”
เฉินผิงอันโมโหจนหน้าเขียว ยกมือขึ้นเตรียมจะสั่งสอนอีกฝ่ายจริงจัง แต่พอเห็นสีหน้าจะเป็นจะตายของเด็กชาย เฉินผิงอันก็ใจอ่อน คิดอยู่ชั่วครู่ก็ถามด้วยน้ำเสียงที่คลายความเกรี้ยวกราดลง “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ ไหนลองเล่าให้ข้าฟังสิ”
กู้ช่านเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีตกหล่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาปกติแม้เด็กคนนี้จะทำให้คนขุ่นเคืองจนต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่กลับเฉลียวฉลาดเกินวัยยิ่งนัก เรื่องราวมหัศจรรย์ทั้งหมดที่พบเจอตั้งแต่ต้นไหวเก่าแก่ไปจนถึงบ่อโซ่เหล็ก แล้วก็มาถึงบ้านของตัวเองในตรอกหนีผิงหลังจากที่นักเล่านิทานคนนั้นบอกว่าจะรับเขาเป็นศิษย์ เขาล้วนเล่าให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด
เฉินผิงอันเริ่มจะเข้าใจเรื่องราวได้บ้างแล้ว กู้ช่านคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับใบไหวที่เป็นมรดกของบรรพบุรุษในเมืองแห่งนี้มาด้วยใบหนึ่ง ไม่ว่าจะได้ดิบได้ดีด้วยตัวเองก็ดี หรือจะเป็นเพราะมีโชคช่วยอย่างที่ท่านฉีและนักพรตลู่บอกก็ช่าง กู้ช่านก็น่าจะถูกนักเล่านิทานพาออกไปจากเมือง
แต่พอนึกถึงสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าผู้นั้น หัวใจของเฉินผิงอันก็บีบรัดตัวอย่างแรง ตามคำบอกของท่านฉี พฤติกรรมของคนผู้นี้ต่ำช้าอย่างยิ่ง ซ้ำอีกฝ่ายยังคิดจะกำจัดตนให้สิ้นซาก ยอมใช้เวทอภินิหารของตระกูลเซียนมาทำลายตนกับไช่จินเจี่ยนอย่างไม่เสียดาย กู้ช่านกราบคนผู้นี้เป็นอาจารย์จะเป็นเรื่องดีจริงๆ หรือ?
แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง คนผู้นี้ยอมรับกู้ช่านเป็นศิษย์ ไม่ได้หลอกลวงหรือบังคับฝืนใจ ก็เท่ากับว่าตอนนี้กู้ช่านยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตใช่หรือไม่?
ลูกตาของเด็กชายผู้ฉลาดเฉลียวกลิ้งกลอกอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันกำลังครุ่นคิดคว้าถุงเงินสองถุงในมือของเฉินผิงอันโยนเข้าไปในห้อง แล้วหมุนตัววิ่งหนี
ผลกลับถูกเฉินผิงอันคว้าคอเสื้อด้านหลัง ลากกลับมาที่เดิม
กู้ช่านเอาสองมือกุมหัว ท่าทางน่าสงสารนัก
แม้เฉินผิงอันจะกระชากเด็กชายกลับมา แต่จะจัดการอีกฝ่ายอย่างไร เขากลับยังตัดสินใจไม่ได้ เพราะนี่เกี่ยวพันกับเรื่องที่ใหญ่เกินไป เฉินผิงอันกลัวว่าหากเลือกผิดจะกลับกลายเป็นว่าทำให้กู้ช่านและแม่ของเขาต้องเดือดร้อน
หากนี่เป็นเพียงแค่เรื่องของตน เด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้ไร้ที่พึ่งคนนี้คงตัดสินใจได้ง่ายดายและรวดเร็วกว่านี้มากนัก
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เด็กสาวชุดดำลงจากเตียงมายืนอยู่หลังประตู “แม่ของข้าเคยบอกว่า ทุกคนมีโชคชะตาต่างกัน เด็กคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นประเภทคนชั่วอายุยืนเป็นพันปี วันหน้าย่อมต้องมีโชคดีพุ่งมาหาไม่ขาด”
ดวงตากู้ช่านเป็นประกาย รีบเช็ดน้ำมูกสองสายทิ้ง ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันหลอ กล่าวด้วยสีหน้าประจบเอาใจ “พี่สาวหน้าตางดงามจริงๆ หน้าเหมือนพี่สาวคนรองของบ้านข้าเลย! ที่นี่คับแคบ ไปนั่งเล่นที่บ้านข้าด้วยกันไหม?”
เฉินผิงอันระอาใจ “แม่เจ้าไปแต่งงานใหม่กับพ่อเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เด็กชายที่ถูกแฉกลอกตาทันที ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงจุ๊ปากพูดกับเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน ใช้ได้นี่นา เก่งใหญ่แล้ว ไปหลอกสาวกลับมาบ้านได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? จะเข้าหอหรือยัง? น่าเสียดายที่ข้าอยู่ไม่ทัน หาไม่แล้วจะต้องมานั่งหลบมุมฟังพวกเจ้าทำสงครามกันบนเตียงแน่ๆ…”
เฉินผิงอันตบหัวกู้ช่านป้าบใหญ่ ก่อนหันไปพูดกับเด็กสาวชุดดำ “เขาก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าถือสาเลย”
เด็กสาวปรายตามองเด็กชายแวบหนึ่ง “เด็กผี!”
กู้ช่านเตรียมจะแสดงความสามารถที่ได้รับสืบทอดมาจากต้นตระกูล แต่กลับรู้สึกได้ว่าฝ่ามือที่วางอยู่บนศีรษะตัวเองเริ่มลงน้ำหนักมากขึ้น จึงรีบทำท่าหมดอาลัยตายอยาก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “พี่สาว เจ้าหน้าตาหมดจดงดงามขนาดนี้ พูดอะไรก็ถูกทั้งนั้นแหละ”
เด็กสาวชุดดำไม่ได้สนใจเด็กชาย เพียงหันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอันด้วยประโยคที่แฝงความหมายลึกล้ำ “ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรเก็บเงินสองถุงนั้นเอาไว้ วันหน้ามิตรจะได้ไม่กลายมาเป็นศัตรู อีกอย่างหากในอนาคตเด็กคนนี้ฝึกบำเพ็ญตนได้สำเร็จ ถ้าวันนี้เจ้าไม่ช่วยทำให้เขารู้สึกผิดน้อยลง ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะทำให้จิตของเขาไม่มั่นคงจนความคิดชั่วร้ายฉวยโอกาสแทรกซึมเข้ามา”
ประโยคนี้ถูกใจกู้ช่านอย่างมาก เขาจึงยกนิ้วโป้งให้กับพี่สาวคนนั้น “ผมยาว หัวคิดก็ยาวไกลด้วย พึ่งพาได้ยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนที่อยู่บ้านข้างๆ เสียอีก!”
เด็กสาวชุดดำยักคิ้ว รับคำชมอย่างเต็มใจ
ห่างไปไกลในตรอกหนีผิงมีเสียงคำรามเดือดดาลดังขึ้นมา “กู้ช่าน!”
เด็กชายหน้าซีดเล็กน้อย “ไปแล้วๆ เฉินผิงอัน ข้าจะไปแล้วนะ!”
ปากบอกว่าจะไปแล้ว แต่อันที่จริงแม้แต่ตัวเด็กชายเองก็ยังตระหนักไม่ได้ว่านิ้วทั้งห้าที่จับเฉินผิงอันเอาไว้ยิ่งกำแน่นมากขึ้น
บางทีในจิตใต้สำนึก กู้ช่านได้มองเฉินผิงอันเป็นญาติเพียงคนเดียวเว้นจากมารดาของตนแล้ว
เฉินผิงอันพาเด็กชายเดินออกมานอกลานบ้าน ย่อตัวลงนั่ง พูดเบาๆ ว่า “กู้ช่าน จำไว้ว่าจงระวังอาจารย์ของเจ้าให้ดี อีกอย่างต้องดูแลแม่ของเจ้าให้ดีด้วย เจ้าเป็นลูกผู้ชาย วันหน้าแม่เจ้าก็ได้แต่พึ่งพาเจ้าเท่านั้น อย่าทำให้นางต้องเป็นกังวล”
กู้ช่านอืมรับหนึ่งคำ
เฉินผิงอันจึงกล่าวอีกว่า “เมื่อไปอยู่ข้างนอก ลงมือทำให้มาก พูดให้น้อย ระวังปากของตัวเองไว้ให้ดี หากเสียเปรียบบ้างเล็กน้อยก็ปล่อยไป อย่าเอาแต่คิดจะใช้ปากเถียงเอาชนะ คนนอกเมืองไม่เหมือนพวกเรา พวกเขาเจ้าคิดเจ้าแค้นมากนัก”
เด็กชายตาแดงก่ำ แสร้งพูดขัด “คนในเมืองเราก็เจ้าคิดเจ้าแค้นมากเหมือนกัน มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ไม่เหมือนคนอื่น”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อีกฝ่ายทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
แล้วจู่ๆ เขาก็พลันคืนสติ จึงเอ่ยเสียงเข้มงวด “กู้ช่าน เจ้าได้ใบไหวมาใบหนึ่งหรือเปล่า?”
หากไม่ได้ เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกว่ากู้ช่านได้รับโชควาสนาจากตระกูลเซียน ไม่แน่ว่าการมาถึงของนักเล่านิทานคนนั้นอาจเป็นยันต์เร่งตายสำหรับกู้ช่านเสียมากกว่า
พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ เด็กชายก็อารมณ์ขึ้น เขายื่นมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วคว้าใบไม้ออกมากำใหญ่ ปากก็สบถด่าด้วยความเคยชิน “ไม่รู้ว่าเจ้าสารเลวสมควรโดนแทงพันครั้งคนไหนแอบเอาใบไม้เฮงซวยพวกนี้มายัดไว้ในกระเป๋าข้าตั้งมากมาย ข้าก็เพิ่งเห็นเมื่อครู่ตอนที่เอาถุงเงินสองถุงมาซ่อนไว้ในกระเป๋าตอนจะแอบหนีออกมา ไม่รู้ว่าเป็นใบไม้ของเจ้าอ้วนจ้าวหรือหลิวเหมยนั่น! ถ้าแม่ของข้าซักผ้าแล้วเห็นเข้า ต้องด่าข้าจนหูชาแน่! โชคดีที่ข้าจะไปจากเมืองแล้ว ไม่งั้นข้าจะต้องแอบเอาหินไปขว้างกระท่อมของพวกเขาให้เละเลย…”
เด็กชายยิ่งด่าก็ยิ่งใส่อารมณ์ เฉินผิงอันอ้าปากค้างไปก่อน แต่จากนั้นก็โล่งใจ พอเห็นว่าไอ้หมอนี่เตรียมจะขว้างใบไม้พวกนั้นทิ้ง เขาก็รีบห้าม ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังอย่างถึงที่สุด “กู้ช่าน เก็บรักษาพวกมันเอาไว้ให้ดี! ต้องเก็บไว้ให้ดี! หากเป็นไปได้ ทางที่ดีที่สุด แม้แต่แม่ของเจ้าก็ห้ามให้นางเห็นใบไหวพวกนี้ เพราะนี่อาจจะดีกับนางมากกว่า”
เด็กชายไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับ “ตกลง”
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที พึมพำกับตัวเองเบาๆ “คราวนี้ข้าก็วางใจได้จริงๆ แล้ว”
จู่ๆ กู้ช่านก็เอนตัวมาข้างหน้า ใช้หน้าผากของตัวเองโขกกับหน้าผากของเฉินผิงอันแรงๆ พลางพูดงึมงำ “ขอโทษนะ!”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาพลางด่ายิ้มๆ “เด็กโง่!”
แล้วทันใดนั้นกู่ช่านก็กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขา
เฉินผิงอันนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม
เด็กชายหมุนตัววิ่งจากไป วิ่งพลางหันกลับมาโบกมือให้เฉินผิงอันไปด้วย “ได้ยินตาแก่นั่นบอกว่าจะพาข้าและท่านแม่ไปที่เกาะชิงเสียของทะเลสาบเจี่ยนซู วันหน้าหากแม้แต่เมียเจ้ายังหาไม่ได้ก็ไปหาข้า ข้าไม่ได้โม้นะ แต่ผู้หญิงขี้เหร่อย่างจื้อกุยข้างบ้านเจ้า ข้าก็หาให้เจ้าได้เก้าคนสิบคน!”
เฉินผิงอันยืนพยักหน้ารับอยู่ที่เดิม
เขารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย จะอย่างไรซะกู้ช่านก็เหมือนน้องชายของเขา ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร เฉินผิงอันก็มักจะยอมลงให้กู้ช่านเสมอ
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนเหม่อมองเงาร่างของเด็กชายที่ค่อยๆ ห่างไปไกล
ชีวิตของเขามักเป็นแบบนี้ ใครก็ตามที่เขาห่วงใยอย่างแท้จริง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มักจะรั้งไว้ไม่ได้เสมอ
เด็กหนุ่มในตรอกหนีผิงยิ้มกว้าง
สวรรค์ช่างขี้เหนียวยิ่งนัก
ประตูบ้านข้างๆ เปิดออกเบาๆ สาวใช้จื้อกุยเดินออกมา ร่างสะโอดสะองของนางดุจดอกบัวที่ชูช่ออยู่ในสระน้ำ
เฉินผิงอันถาม “เจ้าได้ยินคำพูดที่กู้ช่านว่าเจ้าหมดเลยหรือ?”
นางกะพริบตาคู่ที่เป็นประกายแววใส “ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยิน อย่างไรซะข้าก็ทะเลาะชนะพวกเขาแม่ลูกไม่ได้อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ได้แต่ช่วยเจ้าลูกหมากู้ช่านนั่นแก้ตัวให้บรรยากาศดีขึ้น “อันที่จริงนิสัยเขาไม่ได้เลวร้าย แค่พูดจาไม่น่าฟังไปสักหน่อย”
จื้อกุยกระตุกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “กู้ช่านนิสัยดีหรือเลว ข้าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ข้าแน่ใจว่าหญิงหม้ายแม่ของเขาไม่ธรรมดา”
เฉินผิงอันไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงได้แต่เลียนแบบนางโดยการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
แล้วจู่ๆ นางก็ถามคำถามประหลาด “เฉินผิงอัน เจ้าจะไม่เสียใจภายหลังจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันตะลึง “อะไร?”
จื้อกุยเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนแกล้งโง่ก็ถอนหายใจ หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน ปิดประตูไม้ลง
เฉินผิงอันที่สายตาดีมากยังคงยืนอยู่ในตรอก และในที่สุดเขาก็เห็นประตูบ้านของกู้ช่านที่ห่างไปไกลถูกเปิดออก คนสามคนเดินออกมา แม่ลูกสองคนนั้น คนหนึ่งแบกสัมภาระห่อใหญ่ คนหนึ่งแบกห่อเล็กกำลังเดินช้าๆ ไปยังสุดปลายอีกฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิง
เฉินผิงอันยังถึงขั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านักเล่านิทานคนนั้นหันกลับมามองตนแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
หลังจากที่เงาร่างของคนทั้งสามหายไปจากปลายทางอีกฝั่งหนึ่งของตรอกเล็ก เฉินผิงอันก็กลับเข้าบ้านตัวเอง จึงเห็นว่าเด็กสาวชุดดำพาตัวเองมานั่งอยู่บนธรณีประตูบ้านได้แล้ว
ร่างกายของนางทำมาจากเหล็กหรืออย่างไร?
เฉินผิงอันนำปิ่นหยกที่ท่านฉีมอบให้และถุงเงินสองถุงที่กู้ช่านเอามาให้ไปวางไว้บนโต๊ะก่อน จากนั้นก็เริ่มต้มน้ำ หยิบยามาต้มด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ไม่เหมือนคนที่เป็นช่างปั้น แต่กลับเหมือนเด็กในร้านขายยาที่ทำงานมานานหลายปีเสียมากกว่า
เด็กสาวชุดดำรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยปากถาม นางที่รู้สึกเบื่อหน่ายลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็หยิบเอาถุงเงินอีกถุงหนึ่งที่เฉินผิงอันซ่อนไว้ในแจกันใบหนึ่งออกมา
พอนางนั่งลง บนโต๊ะก็มีถุงเงินวางไว้สามถุงกับปิ่นหยกอีกหนึ่งชิ้น แน่นอนว่ายังมีกระบี่ยาวเฉลียวฉลาดที่เป็น ‘เต่าหดหัวในกระดอง’ อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องด้วย
เฉินผิงอันไม่ได้ห้ามปรามที่นางหยิบเงินออกมา แต่หันหน้ามาเอ่ยสั่งว่า “ปิ่นหยกชิ้นนี้ท่านฉีมอบให้ข้า แม่นางหนิงโปรดระวังสักหน่อย”
คงเป็นเพราะกลัวว่าเด็กสาวจะไม่ระมัดระวัง เฉินผิงอันจึงเตือนอีกครั้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ต้องระวังจริงๆ นะ”
เด็กสาวเหลือกตาใส่ทันที
เหรียญเงินแก่นทองสามถุง เงินอิ๋งชุน เงินก้งหย่าง เงินยาเซิ่ง รวมได้ครบอย่างพอดิบพอดี
เด็กสาวเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง มือข้างหนึ่งหยิบเอาเหรียญสามเหรียญออกมาแล้วถามง่ายๆ ว่า “ธุระของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมหน้าต่าง ตาจ้องมองเปลวไฟอย่างระวัง บางครั้งก็คอยเหลือบมามองเทียบยาสามแผ่น พอได้ยินคำถามจึงตอบว่า “เหมาะที่จะพูดหรือ?”
เด็กสาวขมวดคิ้ว “ชีวิตเจ้าอเนจอนาถถึงขนาดนี้แล้ว ยังกังวลว่าพอข้ารู้ความลับแล้วจะถูกใครฆ่าปิดปากอีกงั้นหรือ? เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้อยากจะว่าเจ้าหรอกนะ แต่ถ้าเจ้ายังเป็นคนดีเกินเหตุแบบนี้ ข้าว่าเจ้าก็อย่าออกจากเมืองไปตลอดชีวิตจะดีกว่า หาไม่แล้วอาจตายโดยไม่ทันรู้ตัวก็ได้”
เด็กสาวรู้สึกเศร้าใจกับความโชคร้ายที่เด็กหนุ่มต้องเผชิญ แต่ขณะเดียวกันก็โมโหที่อีกฝ่ายไม่เอาถ่าน
เด็กหนุ่มที่มีนิสัยหัวโบราณคนนี้ ต่อให้เป็นทั้งอรหันต์ร่างทองและเป็นทั้งเซียนกระบี่ผู้แข็งแกร่ง ขอแค่ไปอยู่ที่บ้านเกิดของนาง ย่อมต้องตายภายในเวลาปีเดียว ซ้ำยังตายแบบไม่เหลือซากด้วย
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยังอารมณ์ดี “งั้นข้าจะเล่าให้เจ้าฟังแล้วกันนะ?”
เด็กสาวใช้สามนิ้วกดลงบนเหรียญเงินสามเหรียญแล้วถูไปมาอยู่บนโต๊ะ “ตามใจเจ้าสิ”
เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนท่านฉีจะปรากฏตัวให้นางฟังหนึ่งรอบ ส่วนเรื่องหลังจากนั้นเขาแค่เลือกจะเล่าบางท่อนบางตอนเท่านั้น
เด็กสาวฟังจบก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “เห็นได้ชัดว่าสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าผู้นั้นคือตัวการชั่วร้าย แต่ไช่จินเจี่ยนกับฝูหนันหัวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ หากไม่เป็นเพราะท่านฉีออกหน้ามาจัดการ วันหน้าต่อให้เจ้าหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็หนีไม่พ้นการล้อมสังหารจากสามกองกำลังนี้ คำพูดอาจไม่น่าฟังสักหน่อย แต่ฆ่าเจ้าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หากไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ อย่าว่าแต่หลิวจื้อเม่าเลย ต่อให้เป็นผู้หญิงจากเขาเมฆาเรืองคนนั้นก็ยังสามารถบดขยี้วิญญาณเจ้าให้แหลกสลายได้เพียงนิ้วเดียว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ารู้”
เด็กสาวตอกกลับอย่างโมโห “เจ้ารู้กะผีน่ะสิ!”
เฉินผิงอันไม่ได้โต้ตอบ เพียงต้มยาของตัวเองต่อไป
นางจึงถามต่อ “ที่เจ้าเจอหายนะครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะปลาหนีชิวตัวนั้น ทำไมถึงไม่บอกความจริงกับเด็กนั่น?”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้เงียบ แล้วก็ไม่ได้หันหน้ากลับมา เขานั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ก้มหน้ามองเปลวเพลิงสีแดงอมเขียวตรงหน้าพลางเอ่ยเบาๆ “ทำแบบนั้นไม่ถูก”
เด็กสาวทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเมื่อมองแผ่นหลังผอมบางนั้น นางก็ได้แต่ทอดถอนใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากหมัดของเจ้าไม่แข็งมากพอ ก็ไม่มีใครสนหรอกว่าเจ้าจะถูกหรือผิด”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ว่าคนอื่นจะฟังหรือไม่ เหตุผลก็คือเหตุผลอยู่วันยังค่ำ” ดูเหมือนว่าเขาจะไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ จึงหันหน้ามาถามยิ้มๆ “ถูกไหม?”
เด็กสาวตอบกลับด้วยสายตาเดือดดาล “ถูกกะผีน่ะสิ!”
เด็กหนุ่มจึงหันหน้ากลับไปต้มยาต่ออย่างไม่สบอารมณ์นัก
เด็กสาวชุดดำจากต่างถิ่นที่ชื่อว่าหนิงเหยาหยิบปิ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นมาเพ่งดู จึงพบว่าบนตัวปิ่นสลักอักษรเล็กๆ ไว้บรรทัดหนึ่ง
นางเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน
บนปิ่นหยกสลักตัวอักษรแปดตัว ต่อให้เป็นเด็กสาวที่รู้ตัวอักษรแค่เพียงคร่าวๆ ก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นประโยคที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
‘หวนคำนึงถึงสุภาพบุรุษ ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก’