บทที่ 26 พูดง่าย
การต้มยาคืองานที่ละเอียดอ่อนเหมือนการร้อยด้ายเข้ารูเข็ม แต่เฉินผิงอันกลับทำได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นขั้นเป็นตอน อีกทั้งในขณะที่จมจ่อมอยู่กับมัน บนร่างของเด็กหนุ่มก็คล้ายจะมีกลิ่นอายความสุขแผ่ซ่านออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
แต่เด็กสาวชุดดำไม่ใช่คนที่มีความอดทนสักเท่าไหร่นัก และในความเป็นจริงแล้วนอกจากฝึกดาบฝึกกระบี่ เด็กสาวก็ไม่ค่อยมีความสนใจในเรื่องอื่นมากนัก นางต้องจากถิ่นฐานบ้านเกิด พเนจรไปทั่วทิศ ใช้ชีวิตแบบหยาบๆ มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อมาอยู่ในบ้านหลังเล็กที่เรียกได้ว่ามีแค่ผนังสี่ด้านของเด็กหนุ่ม นางจึงไม่รู้สึกถึงความไม่สบายตัวใดๆ เพราะนางเองก็นอนกลางดินกินกลางทราย ผ่านลมผ่านฝนมานานหลายปี ต่อให้เป็นคนที่เดิมทีละเอียดลออมากแค่ไหนก็กลายเป็นคนหยาบกระด้างได้เช่นกัน
เด็กสาวเอ่ยถาม “มือซ้ายเจ้าไม่เป็นไรหรือ?”
เฉินผิงอันที่ใช้ผ้าฝ้ายพันมือข้างซ้ายกำลังใช้มือทั้งคู่ยกยาถ้วยหนึ่งมาให้ พอเด็กสาวรับไปแล้ว เขาถึงตอบยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ก่อนจะกลับมาบ้าน ข้าไปหาสมุนไพรบางชนิดมาขยี้ให้แหลกแล้วโปะไว้บนแผลเรียบร้อยแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เป็นช่างปั้นก็ได้แผลเป็นประจำ ทุกครั้งก็ใช้ยานี้ นี่คือตำรับยาลับที่ผู้เฒ่าคนหนึ่งในร้านตระกูลหยางเคยบอกกับข้าเมื่อนานมาแล้ว รักษาได้สารพัดโรค แต่ตอนนั้นข้ารับปากผู้เฒ่าไปว่าจะไม่แพร่งพรายให้คนอื่นรู้ หาไม่แล้วก็อาจมีประโยชน์กับแม่นางหนิงที่เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าจะไปขอผู้เฒ่าร้านตระกูลหยางให้ก็ได้ เพียงแต่ว่าวันนี้ตอนไปที่ร้านยาค่อนข้างรีบ แล้วก็ไม่เห็นผู้เฒ่าคนนั้นด้วย หวังแค่ว่าช่วงนี้เขาจะยังอยู่ในเมือง”
ตอนที่เด็กสาวดื่มยา คิ้วยาวที่ไม่เหมือนกิ่งหลิวแต่เหมือนดาบแคบของนางขมวดเข้าหากันน้อยๆ แต่ก็ยังคงทำหน้าเฉยดื่มยาจนหมด พอส่งถ้วยเปล่าให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ยืนรออยู่ข้างๆ แล้วก็พึมพำขึ้นว่า “เป็นคนดีเกินเหตุ มิน่าเล่าถึงได้ยากจนข้นแค้น สมแล้วที่ถูกคนรังแก”
ไม่รอให้เด็กหนุ่มตั้งตัวทัน เด็กสาวก็พูดเสริมไปอีกประโยคว่า “อย่าถือสา ข้าก็เป็นคนพูดตรงๆ แบบนี้แหละ”
บางทีเด็กสาวคงไม่รู้ว่าประโยคหลังของนางยิ่งทำร้ายจิตใจคนได้มากกว่า
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่ก็ไม่พูด
เด็กสาวชุดดำใช้นิ้วโป้งปาดคราบยาที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก ยืดตัวนั่งหลังตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนี้เซิ่งเหรินที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ ซึ่งก็คืออาจารย์ในโรงเรียนที่เจ้าพูดถึงผู้นั้น แม้ว่าเขาจะมีใจอยากช่วยเจ้าเก็บกวาดปัญหา เพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อชีวิตเจ้าหลังจากนี้ แต่เจ้าต้องรู้ด้วยว่า คนเราก็มีช่วงเวลาที่พลังสิ้นสุดเหมือนกัน ต่อให้เป็นเซิ่งเหรินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แล้วนับประสาอะไรกับที่สภาพการณ์ของท่านฉีผู้นั้นยังไม่ค่อยดีนัก ไม่ต่างจากรูปปั้นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ เอาตัวเองไม่รอด กลัวก็แต่ว่าหลังจากนี้คงมาดูแลว่าเจ้าจะเป็นหรือตายไม่ได้อีกแล้ว ข้าหนิงเหยาเป็นคนที่หากได้รับบุญคุณหนึ่งหยด ต้องตอบแทนด้วยน้ำพุ ถลึงตามองข้าหนึ่งที ข้าก็จะต้องชำระแค้นให้จงได้!”
ช่วงเวลาที่พลังสิ้นสุด ตอบแทนด้วยน้ำพุ ชำระแค้น รูปปั้นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ…
ในใจของเด็กสาวเวลานี้เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ฟังเข้าสิ ประโยคเหล่านี้ที่ข้าพูดมาเหมือนคนมีความรู้มากเลยใช่หรือไม่?
เสียดายก็แต่ข้างบ้านเฉินผิงอันมีบัณฑิตความรู้ไม่ตื้นเขินอยู่คนหนึ่ง ซึ่งแทบทุกเช้าและเย็น เพื่อนบ้านเขาจะต้องท่องตำราของปราชญ์เพื่อแสดงปณิธานที่แน่วแน่ของตน หากพูดตามคำของซ่งจี๋ซินก็คือ “ข้าเชี่ยวชาญในการปลูกฝังปณิธานยิ่งใหญ่ที่ข้ามี” ดังนั้นเฉินผิงอันที่เคยได้ยินและเคยประสบพบเจอกับตัวเองมาก่อน จึงไม่รู้สึกแปลกใหม่กับคำพูดสุภาพเรียบร้อย มีมารยาทของเหล่าบัณฑิต แม้จะเป็นถ้อยคำที่ฟังยากสักหน่อย แต่พอลองจับมาวิเคราะห์รวมๆ กันก็พอจะเดาถูกถึงแปดเก้าส่วน
เด็กสาวจ้องเฉินผิงอันเขม็ง พยายามที่จะหาสีหน้าตื่นตะลึง เลื่อมใสหรือสงสัยจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม แต่เฉินผิงอันกลับดันทำหน้าตากวนโอ้ย ประมาณว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แม่นางเจ้าพูดต่อได้เลย”
เด็กสาวหมดอาลัยตายอยาก สีหน้าที่เดิมทีคึกคักสดใสพลันสลดวูบลง จึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยกตัวอย่างเช่นเจ้าช่วยชีวิตข้าหนึ่งครั้ง หลังจากจบเรื่องข้าย่อมต้องช่วยเจ้าสังหารฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า หรือไม่ก็หลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบเจี่ยนซู แต่หากเจ้าหากอยากจะให้ข้าสังหารทั้งสองคนเพื่อกำจัดภัยร้ายที่อาจตามมาในภายหลังได้ตลอดกาลก็คงต้องจ่ายเงินฟาดเคราะห์เสียหน่อย เพราะว่าพวกเราแค่พบกันโดยบังเอิญ ไม่มีความผูกพันที่ลึกซึ้งอะไร ดังนั้นเจ้าต้องใช้เหรียญแก่นทองถุงหนึ่งเป็นค่าตอบแทน”
เด็กสาวชี้นิ้วไปที่ถุงเงินอิ๋งชุนอย่างรวดเร็ว “ยกตัวอย่างเช่นเงินถุงนี้ที่ข้าชอบมาก รูปร่างของเงินก้งหย่าง เงินยาเซิ่งอีกสองถุงที่เหลือไม่ค่อยสวย และอักษรที่สลักไว้บนนั้นก็มีความหมายไม่ค่อยรื่นเริงสักเท่าไหร่”
จากนั้นสาวน้อยก็เชิดคางขึ้นน้อยๆ “หากการตกลงครั้งนี้สำเร็จ แล้วเจ้ายินดีจะจ่ายค่าตอบแทนให้ข้าด้วยถุงเงินอีกสองถุง ข้าก็จะช่วยเจ้าจัดการคนของนครมังกรเฒ่าและเขาเมฆาเรืองเอง แน่นอนว่าหากข้าตายไปด้วยน้ำมือของหลิวจื้อเม่าแต่แรกแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะอย่างไรซะตบะของข้าในเวลานี้ก็ยังไม่สูง เก้าขอบเขตของการฝึกวรยุทธิ์ ข้าเพิ่งจะขยับมาได้ถึงขอบเขตที่หก ในฐานะผู้ฝึกยุทธิ์อย่างเต็มตัว การฝึกระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายนับว่ายังฝึกได้ไม่สำเร็จนัก ส่วนสิบห้าชั้น สิบห้าขอบเขตของการฝึกขึ้นเขาก็ยังอยู่แค่ขอบเขตประตูมังกรของห้าขอบเขตกลาง ในห้องโอสถ (ห้องโอสถในที่นี้มาจากคำว่า 丹室 ตันซื่อหรือห้องยา อยู่ตำแหน่งเดียวกับจุดตันเถียนในร่างมนุษย์ และจุดตันเถียนคือตำแหน่งศูนย์รวมเลือดลมซึ่งอยู่ห่างจากสะดือลงไปประมาณสามนิ้ว) ของข้ามีภาพอยู่หกภาพ ยังไม่สามารถแต้มนัยน์ตาให้แก่ภาพวาดมังกร แล้วก็ไม่สามารถทำให้นางฟ้าบินขึ้นฟ้า…”
คราวนี้เฉินผิงอันฟังไม่ออกจริงๆ คำพูดของนางทำให้เขามึนงงไปหมด
เด็กสาวเริ่มรู้สึกอับอายแล้วจึงพานมาเป็นความโกรธ ขอบเขตที่ต่ำต้อยคือจุดอ่อนที่น่าละอายใจของนางมาโดยตลอด แล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสีหน้าทึ่มทื่อประมาณว่า “แม่นางช่วยอธิบายให้ข้าฟังอีกหน่อย” ของเฉินผิงอันไปทิ่มแทงจุดที่เจ็บปวดที่สุดในใจของนางเข้าพอดี
พอเห็นว่าสีหน้าของเด็กสาวเริ่มมืดทะมึน ต่อให้เฉินผิงอันจะโง่แค่ไหนก็ยังมองออกถึงความผิดปกติ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ “ก่อนหน้านี้แม่นางบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น ทำไมตอนนี้ถึงฟื้นตัวมาเกินครึ่งแล้วล่ะ?”
เด็กสาวคลายหัวคิ้วออกเล็กน้อย ยกมือทั้งคู่ขึ้นกอดอก พูดน้ำเสียงแหบต่ำ “ตอนนั้นข้าใกล้จะตายแล้วจริงๆ หากนักพรตลู่ไม่ได้ช่วยข้าเอาไว้ ข้าก็คง…เอาเป็นว่าข้าติดค้างบุญคุณเจ้าครั้งใหญ่ ข้ายิ่งไม่ควรฉวยโอกาสปล้นสะดมยามไฟไหม้ ให้เจ้ายกถุงเงินแก่นทองทั้งสามให้แก่ข้า ชีวิตนี้ของข้าหนิงเหยา คนอย่างหลิวจื้อเม่าผู้นั้นจะมาเทียบเคียงได้อย่างไร ดังนั้นข้าเป็นคนผิดเอง เจ้าก็คิดซะว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน รอข้าออกไปจากเมืองเมื่อไหร่ จะต้องพยายามช่วยเจ้าขจัดภัยร้ายเหล่านั้นอย่างเต็มกำลัง แต่ข้าก็ต้องบอกไว้ก่อนหน้า ข้าหนิงเหยาจะแค่ทำอย่างสุดความสามารถเท่านั้น จะไม่มีทางพาชีวิตตัวเองไปแลกกับคนอื่น…ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายเด็ดขาด”
คงเป็นเพราะการก้มหน้ายอมรับผิดของเด็กสาวเป็นสิ่งที่หาดูได้ยาก ดังนั้นอารมณ์ของนางในเวลานี้จึงค่อนข้างหดหู่
เฉินผิงอันถาม “เงินก้งหย่างคือถุงไหน?”
เด็กสาวชี้ไปยังถุงลายสีทองใบหนึ่งในนั้น
เฉินผิงอันหยิบเหรียญสามเหรียญจากในถุงออกมากำไว้ในฝ่ามือ จากนั้นก็ใช้แขนดันถุงทั้งสามไปข้างหน้าเด็กสาวพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกนี้ มอบให้เจ้า”
เด็กสาวอ้าปากค้าง เนิ่นนานกว่าจะคืนสติ ถึงถามว่า “เฉินผิงอัน ตอนเด็กหัวเจ้าเคยถูกประตูหนีบหรือไง?”
เฉินผิงอันตอบอย่างจำใจ “เปล่าสักหน่อย ตอนเด็กข้าเคยช่วยคนพาวัวไปปล่อย เลยถูกหางวัวฟาดประจำ”
เด็กสาวพลันเดือดดาล ทุบโต๊ะดังปัง “เจ้าชอบข้าใช่หรือไม่?!”
เฉินผิงอันอึ้งเป็นไก่ไม้
เด็กสาวยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน “สายตาไม่เลว!”
จากนั้นนางก็งอนิ้วโป้งกลับไปชี้ตัวเอง กล่าวด้วยสีหน้าสดใส “แต่ข้ารับปากเจ้าไม่ได้หรอก ผู้ชายที่ข้าหนิงเหยาชอบ ต้องเป็นเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในทั่วหล้า ทั่วหล้า! ร้ายกาจที่สุด! เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่! บรมครูเต๋า พระโพธิสัตว์ จื้อเซิ่งสำนักขงจื๊ออะไรนั่น เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่ของเขาก็ยังต้องก้มหัว ยังต้องหลีกทางให้!”
เฉินผิงอันหน้าแดง เกาหัว “แม่นางหนิงเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ชอบเจ้าสักหน่อย…”
เด็กสาวเลิกคิ้วสูง คิดอยู่ชั่วครู่ก็เอนตัวไปข้างหน้า หรี่ตา ยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ชูขึ้นมาห่างกันประมาณชุ่นกว่า แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ชอบแค่นี้ ก็ไม่มีเลย?”
เฉินผิงอันตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่เลย! แม่นางหนิงวางใจได้!”
เด็กสาวหดมือกลับมา ถอนหายใจแรงๆ พูดอย่างเวทนา “เฉินผิงอันเอ๋ย วันหน้าหากเจ้าโชคดีได้แต่งภรรยา เป็นไปได้มากว่านางคงเป็นพวกสมองมีปัญหา สายตาไม่ดี”
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดอย่างอารมณ์ดี “ขอแค่นางเป็นคนดีก็พอ”
เด็กสาวไม่ได้ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
คนที่อยู่ไปวันๆ รอความตาย คนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี คนที่หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ก็เหมือนกับที่มารดาของนางบอกไว้ ต่างคนต่างมีโชควาสนาของใครของมัน ไม่อาจแบ่งได้ว่าใครสูงใครต่ำ
เพียงแต่ว่าบิดาของนางไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่นัก ตลอดชีวิตของคนเราไม่มีเวลาใดที่ไม่ฝืนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ไม่ฝืน ไม่ได้แปลว่าจะไม่ต้องการ หากมีสิ่งใดที่ต้องการก็ควรจะไขว่คว้าแสวงหา หากสุดท้ายแล้วยังคงไม่ได้มา นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้บิดาไม่กล้าพูดต่อหน้ามารดานาง
เฉินผิงอันถามง่ายๆ “แม่นางหนิงก็มาแสวงโชคในเมืองของพวกเราด้วยใช่ไหม?”
เด็กสาวตอบตามตรงโดยไม่คิดจะปิดบัง “ข้าใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลที่สะสมมา บวกกับไหว้วานให้คนผู้หนึ่งช่วย ถึงแลกมาด้วยสิทธิ์ในการเข้ามาเมืองนี้ แต่ข้าไม่เหมือนกับคนพวกนั้น ข้าไม่ต้องการโชควาสนาอะไร ข้าแค่อยากให้คนผู้หนึ่งช่วยหลอมกระบี่ให้หนึ่งเล่ม ทางที่ดีที่สุดควรเป็นกระบี่ที่รู้ใจข้า ส่วนจะคมหรือไม่ สามารถรองรับปราณกระบี่จำนวนมหาศาลได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องรองลงมาอีกที”
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “หลอมกระบี่?”
เด็กสาวกล่าว “หมายถึงอาจารย์หร่วนช่างตีเหล็กคนนั้นน่ะ เขามีชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองของพวกเจ้า ทั้งยังมี ‘กฎเหล็กตายตัว’ อยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือทุกๆ สามสิบปีจะหลอมกระบี่เพียงเล่มเดียว ที่เขายินดีเข้ามารับตำแหน่งต่อจากฉีจิ้งชุนก็เพราะรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะในการเปิดเตาหลอมกระบี่ ข้าจะลองไปเสี่ยงดวงดูว่าเขาจะยอมหลอมกระบี่ให้ข้าหรือไม่ หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ไม่คิดมาก ถือซะว่าดวงไม่ดีก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “คนทำดีย่อมได้ดี”
เด็กสาวกล่าวอย่างหมดแรง “ไม่แน่เสมอไปหรอก”
แล้วนางก็เหลือบตามองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง “มือซ้ายของเจ้าไม่เจ็บหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้ง “เจ็บสิ”
นางกล่าวน้ำเสียงกังขา “แล้วทำไมเจ้าดูไม่เหมือนคนเจ็บเลยล่ะ”
เฉินผิงอันตอบด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยหลักเหตุผล “หากข้าแหกปากร้องโวยวาย ลงไปชักดิ้นชักงอ แล้วมันจะไม่เจ็บงั้นหรือ”
เด็กสาวตบหัวตัวเอง “ไม่ไหวจริงๆ นิสัยเหมือนพ่อข้าเป๊ะ แต่ความสามารถของเจ้ายังห่างชั้นจากเขาไกลนัก”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ ไม่เอ่ยตอบ ทอดสายตามองไปนอกลานบ้านเงียบๆ
เด็กสาวผลักถุงเงินทั้งสามกลับคืน “ข้าไม่รับ”
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา เอ่ยเบาๆ ว่า “แม่นางหนิง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ข้าเก็บพวกมันไว้ อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป หลังจากที่ได้พบท่านฉี ข้าก็ยิ่งมั่นใจในข้อนี้”
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เด็กสาวตัดสินใจไปแล้ว นางก็จะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด จึงส่ายหัวให้อีกฝ่าย “นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าคิดดีแล้ว เรื่องตอบแทนพระคุณที่ช่วยชีวิต วันหน้าข้าต้องชดใช้คืนแน่ และจะไม่มีทางหักลบกลบหนี้เด็ดขาด ข้าจะต้องทำสิ่งที่ถูกต้องให้สมกับชื่อ ‘หนิงเหยา’ นี้! แต่หลายปีหลังจากนี้เจ้าต้องรักษาตัวดีๆ ไม่ใช่ว่าตายไปอย่างไม่ทันระวัง ขอแค่เจ้าข้ามผ่านช่วงเวลานี้…”
เด็กหนุ่มที่พูดง่ายมาโดยตลอดเป็นฝ่ายตัดบทของเด็กสาวเป็นครั้งแรก “คนที่ช่วยเจ้าคือนักพรตลู่ แม่นางหนิง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกว่าติดค้างอะไร หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะข้ารู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว เลยอยากให้นักพรตลู่ช่วยอวยพรให้พ่อแม่ข้าโชคดีสักหน่อย หาไม่แล้วข้าก็ไม่มีทางเปิดประตู”
เด็กสาวแค่นเสียงในลำคอ “นั่นมันเรื่องของเจ้า!”
เด็กหนุ่มยิ้มรับ เอ่ยทวนคำพูดของนาง “นั่นมันเรื่องของเจ้า”
คนทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
แต่สุดท้ายแล้วเด็กสาวกลับยอมยกธงขาวก่อน นางพึมพำกับตัวเองว่า “หากเจ้าชอบข้า ข้าก็ไม่สามารถตอบรับเจ้าได้จริงๆ นะ”
เฉินผิงอันยกสองมือกุมหัว
มาเจอกับผู้หญิงประหลาดที่ดื้อรั้นคนนี้ เขาก็จนปัญญาแล้วจริงๆ
และเวลานี้เอง ใครบางคนก็ปีนกำแพงบ้านเข้ามา คนที่ทำอย่างนี้ได้ ไม่ต้องคิดให้มากความ ย่อมต้องเป็นหลิวเสี้ยนหยางแน่นอน พอเขาวิ่งเหยาะๆ มาถึงธรณีประตู เดิมเตรียมจะอ้าปากร้องตะโกนกลับเหมือนถูกคนบีบคอกะทันหัน จึงไม่มีคำพูดหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนมาหยุดข้างกายหลิวเสี้ยนหยางแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “สองวันนี้ข้าไปอยู่บ้านเจ้าได้ไหม แม่นางคนนี้อาจต้องอาศัยอยู่ที่บ้านข้า”
หลิวเสี้ยนหยางผลักหัวเฉินผิงอันออกให้พ้นทาง แล้วถูมือตัวเองแรงๆ ราวกับมือข้างนั้นเพิ่งไปจับแมลงวันมา “แม่นาง บ้านข้าหลังใหญ่ ของใช้ก็ครบครัน หากแม่นางไม่รังเกียจ ไปอยู่ที่บ้านข้า ดีไหม?”
เด็กสาวชุดดำที่นั่งหันหลังให้คนทั้งสองตอบเรียบๆ “รังเกียจ”
หลิวเสี้ยนหยางแยกเขี้ยว มองแผ่นหลังของหญิงสาวพกดาบที่มีเรือนกายอ้อนแอ้นบอบบางพลางกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “แม่นาง เจ้าไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้มีคนสองกลุ่มมาดักรอข้าอยู่ที่สะพาน ตื๊อจะขอให้ข้าขายสมบัติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษให้พวกเขาให้ได้ แต่ข้าก็ไม่ตกลง แถมคนพวกนั้นยังทำให้ข้าซวยจนเกือบถูกอาจารย์หร่วนด่าตาย ข้าเห็นว่าแม่นางเองก็เป็นคนต่างถิ่นที่มาเสี่ยงดวงในเมืองเหมือนกัน แม้ข้าหลิวเสี้ยนหยางอาจจะไม่ขายให้เจ้า แต่แค่เอามาให้แม่นางผ่านตา ได้เปิดโลกทัศน์ ก็ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน!”
หนิงเหยายังคงตอบเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็น”
หลิวเสี้ยนหยางพาตัวเองไปนั่งตำแหน่งเดิมของเฉินผิงอัน พอเห็นโฉมหน้าของเด็กสาวชุดดำ ดวงตาทั้งคู่ก็ยิ่งเป็นประกาย “แม่นางอย่าได้เกรงใจ ข้าและเฉินผิงอันเบียดกันอยู่ในบ้านโทรมๆ หลังนี้เอง พอแม่นางไปอยู่บ้านหลังใหญ่ของข้า จะได้ไม่ต้องอึดอัด ไม่เหมือนที่นี่ที่แม้แต่ที่ให้วางเท้าก็ยังไม่มี”
หนิงเหยาตอบกลับหน้าเคร่ง “น้ำใจรับไว้แล้ว แต่คนจะไปไหนก็ไป!”
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นอย่างไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน “ได้เลย อยู่ที่ใดก็ไม่สุขใจเท่าที่บ้านของตัวเองสินะ เข้าใจๆ”
หลิวเสี้ยนหยางดึงเฉินผิงอันออกมานอกประตู ใช้ศอกกระทุ้งเด็กหนุ่ม “เรื่องเป็นมายังไงนี่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างลำบากใจ “เรื่องมันยาวน่ะ เจ้าบอกมาก่อนว่าให้ข้าไปอยู่ด้วยได้ไหม?”
หลิวเสี้ยนหยางกลอกตาใส่ “ทำไมจะไม่ได้เล่า แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อนว่าจะช่วยข้าจับตามองจื้อกุย อย่าให้เจ้าบัดซบซ่งจี๋ซินผู้นั้นย่ำยีขืนใจได้เด็ดขาด พอถึงเวลาเจ้าต้องช่วยข้าปกป้องความบริสุทธิ์ของว่าที่ภรรยาข้า!”
เฉินผิงอันตอบรับอย่างไม่ลังเล “ฝันไปเถอะ!”
หลิวเสี้ยนหยางตบไหล่เด็กหนุ่ม พูดแฝงความนัย “จะถือว่าเจ้ารับปากแล้วกัน”
จู่ๆ เด็กสาวชุดดำในห้องก็หันมาพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่มาตั้งแต่เกิด? ที่คนซื้อเครื่องปั้นไม่พาเจ้าออกจากเมืองตั้งแต่ตอนเจ้าเก้าขวบ น่าจะเป็นเพราะอยากให้เจ้าดูดซับปราณวิญญาณของที่นี่ให้มากกว่าเดิม การเลือกแบบนี้ ถือว่าถูกแล้ว ดังนั้นหากเจ้าไปอยู่กับอาจารย์หร่วนต้องคว้าโอกาสให้ดี ให้เขารับเจ้าเป็นศิษย์ให้ได้ จำไว้ว่าอย่างน้อยต้องได้เป็นศิษย์ในสำนัก ทางที่ดีที่สุดคือได้เป็นศิษย์เอก ส่วนศิษย์คนสุดท้ายนั้น อย่าได้เพ้อฝัน พรสวรรค์และฐานกระดูกของเจ้ายังไม่ดีถึงระดับนั้น”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางพยักหน้ารับแรงๆ ปากก็ตอบว่าได้เลยๆ แต่พอหันกลับมามองเฉินผิงอันกลับแอบยกนิ้วชี้ไปที่เด็กสาวในห้อง จากนั้นก็ชี้ที่สมองตัวเอง
เฉินผิงอันกล่าว “นางพูดเรื่องจริง เจ้าอย่าทำเป็นเล่น”
หลิวเสี้ยนหยางไม่ทำหน้าทะเล้นอีก เขาเงียบไปครู่ใหญ่ กว่าจะพูดขึ้นเบาๆ “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ เจ้าลองเดาดูสิว่าใครเป็นคนนำทางคนสองกลุ่มที่อยู่บนสะพาน? คือเจ้าลูกเต่าหลูเจิ้งฉุนของถนนฝูลวี่! นี่ไม่ใช่พังพอนมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ไก่หรอกหรือ (เปรียบเปรยว่าการที่คนชั่วมามอบของบางสิ่งให้ เพราะมุ่งหวังสิ่งตอบแทนที่ล้ำค่ากว่า) ข้าไม่ใช่พวกหน้าเงินเสียหน่อย ทำไมจะต้องยอมแลกเปลี่ยนกับพวกเขาด้วย อีกอย่างเสื้อเกราะตัวนั้นก็เป็นของเก่าที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นของตระกูลข้า หากข้าขายไป วันหน้าฝันถึงปู่ข้าเมื่อไหร่ เขาคงด่าข้าจนข้าแทบกระอักเลือดตายแน่!”
เฉินผิงอันได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวร้าย “เจ้าต้องระวังให้มาก หลูเจิ้งฉุนกับคนต่างถิ่นพวกนั้นไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆ!”
เด็กหนุ่มหันไปถาม “แม่นางหนิง เจ้ารู้ที่มาของคนพวกนั้นไหม?”
เด็กสาวชุดดำพยักหน้ารับ “ผู้เฒ่าและเด็กผู้หญิงมาจากเขาตะวันเที่ยง ถือเป็นสำนักที่ถูกต้องชอบธรรมของบุรพแจกันสมบัติทวีป ผู้เฒ่าไม่ใช่คน…สรุปคือ เขาร้ายกาจกว่าฝูหนันหัวและไช่จินเจี่ยนร้อยเท่า ส่วนหญิงวัยกลางคนกับลูกชายของนางก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน อันที่จริงการที่พวกเขาจับกลุ่มกันเข้ามาในเมืองได้ย่อมไม่ได้เป็นแค่คนรวยที่มีเงินทั่วไป อุบายของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นลึกล้ำมาก เด็กผู้ชายก็ไม่เหมือนจะเป็นคนที่มีจิตใจดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นข้าแนะนำเพื่อนของเจ้าว่าจงรีบไปขอให้อาจารย์หร่วนรับเป็นศิษย์ เพราะนั่นจะเท่ากับมียันต์คุ้มกันกาย เมื่อเข้ามาในเมืองเล็กแห่งนี้ ต่อให้มีที่พึ่งสูงส่งเท่าไหร่ มีภูมิหลังหนาหนักแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้างัดข้อกับเซิ่งเหรินท่านหนึ่ง”
เฉินผิงอันจึงถามหลิวเสี้ยนหยางต่ออีกครั้ง “เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าอาจารย์หร่วนผู้นั้นจะรับเจ้าเป็นศิษย์?”
หลิวเสี้ยนหยางคิดไม่ตก เสียงที่พูดจึงอึกๆ อักๆ “ข้าก็เพิ่งไปช่วยงานวันแรกไม่ใช่หรือ สายตาที่อาจารย์หร่วนมองข้าพอๆ กับสายตาของตาเฒ่าเหยานั่นแหละ คาดว่าคงจะใช้เวลาสังเกตข้าสักพักแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเป็นศิษย์หรือไม่กระมัง เพียงแต่ว่า…”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่อย่างดุดัน
หลิวเสี้ยนหยางจึงพูดประจบ “เพียงแต่ว่าอาจารย์หร่วนมีลูกสาวที่รักคนหนึ่ง นางกินเก่งมากจนข้าตกใจ ก็เลยเอ่ยเย้านางไปสองสามคำ คิดไม่ถึงว่าตอนที่ผู้หญิงคนนั้นตีเหล็ก แรงเหวี่ยงค้อนของนางกลับรุนแรงเกรี้ยวกราดมาก ทว่าเวลาปกติกลับขี้อายไม่ค่อยพูดค่อยจา ข้าจะไปรู้ได้ไงว่านางฟังคำเย้าแหย่ไม่ได้ ตอนนั้นถึงทำให้นางโมโหจนร้องไห้ แถมพ่อของนางดันมาเจอเข้าพอดีอีก สายตาที่เขามองข้าเลยแปลกๆ ไอ้เรื่องที่จะรับข้าเป็นศิษย์คงไม่มีหวังแน่ แต่จะอย่างไรซะข้าก็ไม่อยากเป็นวัวเป็นม้า เป็นลูกศิษย์ของคนอื่นไปชั่วชีวิต แค่ทนรับใช้คนนิสัยประหลาดอย่างตาเฒ่าเหยาก็มากเกินพอแล้ว ที่ข้าไปทำงานร้านตีเหล็กก็แค่อยากจะหาข้าวกินเท่านั้น…”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขามืดดำ
หลิวเสี้ยนหยางที่ตัวสูงกว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเกินครึ่งศีรษะก้มหน้า ไม่กล้ามองสบตาเด็กหนุ่ม
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้หนิงเหยารู้สึกแปลกใจไม่น้อย
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวเห็นเฉินผิงอันโกรธจริงๆ
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ตอนที่เจ้าเดินผ่านต้นไหวเก่าแก่ บนร่างมีใบไหวโผล่ขึ้นมาบ้างไหม?”
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “ไม่มีนะ แต่เป็นนักพรตดูดวงที่ชอบแอบมองผู้หญิงสวยๆ ที่พูดจาไม่เป็นมงคลกับข้า จนข้าเกือบจะทุบร้านเขาทิ้ง”
เฉินผิงอันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดเป็นปม หันไปในห้องแล้วถามว่า “แม่นางหนิง เงินแก่นทองสามถุงเป็นของแลกเปลี่ยน ได้หรือไม่? อีกอย่างก็คือ เรื่องนี้จะทำให้เจ้าลำบากหรือเปล่า ข้อนี้เจ้าโปรดตรองดูให้ชัดเจนเสียก่อน”
เด็กสาวชุดดำใคร่ครวญอย่างรอบคอบ “ลำบากไม่น้อย แต่ปัญหาไม่ใหญ่ ทว่าสองวันนี้ต้องระวังให้มาก อย่าให้เพื่อนเจ้าเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว เพราะอย่างไรซะสภาพของข้าตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก”
นางกล่าวอีกว่า “คนสองกลุ่ม เงินสองถุง ให้อาจารย์หร่วนรับเป็นศิษย์ก็อีกถุงหนึ่ง สรุปก็คือทำได้สำเร็จกี่เรื่อง ข้าก็รับเงินไปเท่านั้น แต่วางใจเถอะ ในเมื่อข้ารับปากแล้ว ก็มั่นใจได้ว่าต้องสำเร็จสองเรื่อง”
เฉินผิงอันวิ่งเข้ามาในห้อง รีบผลักถุงเงินสองถุงที่มีเงินอิ๋งชุนอยู่ข้างในไปให้สาวน้อย “รับไปสิ”
เดิมทีเด็กสาวก็ไม่ใช่คนนิสัยอืดอาดอยู่แล้ว จึงไม่ปฏิเสธ พอรับถุงเงินสองถุงนั่นมาก็ยิ้มเสแสร้ง “ใต้หล้านี้มีแต่คนที่ชอบล้วงกระเป๋าจับเงิน แต่เจ้ากลับเป็นคนที่ชอบแจกจ่ายเงินงั้นหรือ?”
คราวนี้เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบโต้ แค่พยักหน้ารับยิ้มๆ “เงินเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำคัญมากๆๆ”
หลิวเสี้ยนหยางที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นรีบพูดรัวเร็ว “เฉินผิงอัน เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ทำไมถึงเอาเงินให้นาง? เงินตั้งสองถุงเต็ม พอให้เจ้าใช้ได้นานตั้งเท่าไหร?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เงินของข้า เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย?”
หลิวเสี้ยนหยางโต้กลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เงินของเจ้าก็คือเงินของข้าไม่ใช่หรือ? เจ้าลองคิดดูนะ หากข้ายืมเงินเจ้าไป เจ้าจะมีหน้ามาทวงคืนจากข้างั้นหรือ?”
เฉินผิงอันไม่พูดตอบ เขากำลังจมดิ่งสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด
หลิวเสี้ยนหยางเองก็ตระหนักได้ว่ามุขตลกของตนไม่ถูกเวลาจึงหุบปากไม่พูดอะไรอีก
บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนมาเป็นหนักอึ้ง
เฉินผิงอันเปิดปากถาม “แม่นางหนิง เรื่องนี้จะไม่ทำให้เจ้า…”
เด็กสาวชุดดำปรายตามองกระบี่ยาวฝักขาวบนโต๊ะ ก่อนพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา!”
จากนั้นนางก็อดพูดไม่ไหวว่า “พิรี้พิไรอยู่ได้ ไม่รำคาญบ้างหรือไง? เจ้ายังจะบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ดีเกินเหตุอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มรับ
หลิวเสี้ยนหยางครุ่นคิด ไม่ได้เอ่ยคำใด
สุดท้ายเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เก็บคำพูดลงคอ ในใจคิดว่าแม่นางคนนี้คงไม่เคยเห็นอีกด้านหนึ่งของไอ้หมอนี่กระมัง
น้อยครั้งที่เฉินผิงอันจะเป็นคนพูดยาก แต่หากพูดยากขึ้นมาเมื่อไหร่ เฉินผิงอันก็พูดยากมากจริงๆ
เขาหลิวเสี้ยนหยางเคยเห็นมาก่อน
ซ่งจี๋ซินที่อยู่บ้านข้างๆ ก็น่าจะเคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน