Skip to content

Sword of Coming 27

บทที่ 27 แต้มนัยน์ตา

หลังจากที่หลิวเสี้ยนหยางมาถึงตรอกหนีผิงได้ไม่นาน ตรอกเล็กก็มีแขกแปลกหน้ามาเยือนอีกคน จ้าวเหยาบัณฑิตหนุ่มสวมชุดเขียวผู้มีท่วงท่าสง่างาม ลักษณะท่าทางคล้ายกับฉีจิ้งชุนอาจารย์ของเขาอยู่หลายส่วน

จ้าวเหยาคือหลานคนโตของหนึ่งในสี่แซ่ใหญ่ของเมือง เมื่อเทียบกับคุณชายเจ้าสำราญที่เอาแต่กินเที่ยวไปวันๆ อย่างหลูเจิ้งฉุนแล้ว จ้าวเหยาที่มีชาติกำเนิดร่ำรวยเหมือนกันกลับมีชื่อเสียงดีกว่ามาก เด็กกำพร้า คนเฒ่าคนแก่หลายคนในเมืองต่างก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากเด็กหนุ่ม หากจะบอกว่านี่เป็นวิธีการ ‘นำบัณฑิตไปเลี้ยงในถิ่นกันดาร’ ตามที่บอกไว้ในตำราก็ดูเหมือนว่าจะประเมินปณิธานของจ้าวเหยาต่ำเกินไป เหมือนนำความคิดของคนต่ำช้าไปอนุมานจิตใจของคนซื่อสัตย์ เพราะอย่างไรซะนับตั้งแต่สิบขวบเป็นต้นมา เด็กหนุ่มก็มีจิตใจการุณย์เช่นนี้แล้ว เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า ไม่เคยแปรเปลี่ยน ต่อให้เป็นผู้เฒ่าในถนนฝูลวี่ที่เห็นเด็กหนุ่มเติบโตมากับตาตัวเองก็ยังต้องยกนิ้วโป้งให้ เวลาที่สั่งสอนลูกหลานของตระกูลตนก็มักจะยกจ้าวเหยามาเป็นแบบอย่าง นี่จึงทำให้จ้าวเหยาไม่มีเพื่อนสนิทในวัยเดียวกัน

พวกหลูเจิ้งฉุนนั้นมีนิสัยรักความเสรี แล้วก็ไม่ชอบจะคบค้าสมาคมกับหนอนหนังสือที่วันๆ เอาแต่ก้มหน้าเล่าเรียน ลองนึกดูว่าถ้าทุกคนเกิดอารมณ์คึกคักอยากจะปีนกำแพงไปแอบดูผู้หญิง แล้วมีคนมาพร่ำบ่นอยู่ข้างๆ ว่าทำอย่างนี้ไม่มีมารยาท นั่นจะไม่พาให้เสียบรรยากาศหรอกหรือ สรุปก็คือช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มจ้าวเหยาชอบจะคบค้ากับคนนอกถนนฝูลวี่เสียมากกว่า ไม่ว่าจะตรอกเล็กตรอกใหญ่เขาก็เคยไปเดินแทบครบแล้ว เว้นเพียงตรอกหนีผิง เพราะว่าในตรอกเล็กๆ แห่งนี้มีบ้านของซ่งจี๋ซิน คนวัยเดียวกันที่มักจะทำให้จ้าวเหยารู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้เสมอ

แต่หากจะพูดถึงเพื่อนจริงๆ ล่ะก็ จ้าวเหยาก็รับซ่งจี๋ซินเป็นเพื่อนเล่นหมากล้อมเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาจะแพ้ให้ซ่งจี๋ซินมาโดยตลอด แต่ใจที่ดึงดันอยากจะเอาชนะก็ส่วนใจที่ดึงดันอยากเอาชนะ สำหรับซ่งจี๋ซินที่มีพรสวรรค์สูงส่งแล้ว อันที่จริงลึกๆ ในใจจ้าวเหยานั้นนับถืออีกฝ่ายมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าจ้าวเหยาค่อนข้างจะผิดหวัง เพราะลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า แม้ซ่งจี๋ซินจะชอบพูดคุยเฮฮาสนุกสนานกับตน และเวลาปกติก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยมองเขาเป็นเพื่อนสนิทที่แท้จริง

แม้ก่อนหน้านี้จ้าวเหยาจะไม่เคยมาบ้านซ่งจี๋ซิน แต่เมื่อเขาเห็นบ้านหลังหนึ่งในปราดแรกที่มองก็รู้ว่าบ้านหลังนี้ต้องเป็นบ้านของซ่งจี๋ซินแน่นอน นั่นก็เพราะกลอนคู่ติดหน้าประตูที่มีตัวอักษรอยู่มากมาย ซ้ำมองครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นลายมือของซ่งจี๋ซิน เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะรูปแบบการเขียนมีหลากหลาย แทบจะเรียกได้ว่าไม่เหมือนกันสักตัว ยกตัวอย่างเช่นอักษรคำว่า ‘อวี้เฟิง’ ที่เห็นได้ชัดว่าเขียนรวดเดียวเสร็จตามใจปรารถนา ให้ความรู้สึกล่องลอย อักษรคำว่า ‘ยวน’ ที่สามขีดด้านข้างมีความลึกซึ้ง อักษรคำว่า ‘ฉี’ ที่เด็ดขาด หนักแน่น! คำว่า ‘กั๋ว’ ที่เขียนอย่างเป็นระเบียบ ดุจท่านั่งที่สำรวมของนักปราชญ์ ไม่อาจหาข้อตำหนิได้

จ้าวเหยาที่ยืนอยู่หน้าประตูแทบจะลืมเคาะประตู ร่างของเขาเอนมาข้างหน้า จ้องมองตัวอักษรเหล่านั้นอย่างหลงใหล จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกเพียงว่าตนใกล้จะหมดความกล้าในการเคาะประตูเต็มที นั่นเป็นเพราะว่าเขามุมานะในการฝึกเขียนตัวอักษรและหัดเขียนคำกลอนมากมาย จึงยิ่งรู้อย่างชัดเจนถึงพละกำลัง น้ำหนักและจิตใจที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอักษรพวกนั้น

จ้าวเหยาสีหน้าหม่นหมอง หยิบเอาถุงเงินถุงหนึ่งออกมาแล้วโน้มตัวลงวางไว้หน้าประตู เตรียมจะจากไปโดยไม่ลา

แต่เวลานี้เองประตูกลับเปิดออกกะทันหัน จ้าวเหยาเงยหน้าขึ้นมอง ดูเหมือนว่าซ่งจี๋จินกับสาวใช้จื้อกุยกำลังจะออกไปข้างนอก คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน

ซ่งจี๋ซินแสร้งทำท่าตกใจ เอ่ยเย้าว่า “จ้าวเหยา เจ้าคำนับด้วยพิธีการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ทำไมกัน?”

จ้าวเหยาหยิบถุงเงินที่อยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน กำลังจะอธิบายถึงสาเหตุ ซ่งจี๋ซินกลับคว้าถุงเงินไป ยิ้มชอบใจ “โอ้โห จ้าวเหยามาเยี่ยมแถมยังเอาของขวัญมาให้ด้วย รับไว้แล้วๆ แต่บอกไว้ก่อนนะ ข้ามันคนจน ไม่มีของขวัญอะไรที่เข้าตาพี่จ้าวได้หรอก คงไม่มีของขวัญมอบกลับคืนนะ”

จ้าวเหยายิ้มหน่าย “เงินยาเซิ่งถุงนี้ ถือเป็นของขวัญก่อนจากของข้าก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญกลับ”

ซ่งจี๋ซินหันไปยิ้มกับสาวใช้ตัวเองอย่างรู้กัน แล้วจึงส่งถุงเงินให้กับนาง “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าจ้าวเหยาคือบัณฑิตที่รู้มารยาทที่สุดของเมือง เป็นไงล่ะ?”

พอรับถุงเงินไป เด็กสาวก็เอาประคองไว้ตรงหน้าอก นางยิ้มจนตาทั้งคู่โค้งลง ท่าทางดีใจอย่างมาก แล้วจึงเบี่ยงตัวคำนับเอ่ยอวยพร “ขอบคุณคุณชายจ้าว คุณชายของข้าเคยบอกไว้ว่า ตระกูลที่สั่งสมบุญย่อมมีโชค คนที่ทำความดีย่อมมีความสุข บ่าวขออวยพรให้คุณชายจ้าวชีวิตก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง”

จ้าวเหยารีบประสานมือคำนับกลับ “ขอบคุณแม่นางจื้อกุยที่อวยพร”

ซ่งจี๋ซินเอามือลูบท้ายทอย อ้าปากหาวหวอด “พวกเจ้าไม่เหนื่อยกันหรือไง”

จื้อกุยยิ้มตาหยี “หากได้เงินถุงหนึ่งทุกครั้งที่พบหน้า ต่อให้บ่าวต้องอวยพรเป็นหมื่นรอบก็ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ”

จ้าวเหยารู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “คงต้องทำให้แม่นางจื้อกุยผิดหวังแล้ว”

ซ่งจี๋ซินโบกมือตัดบท “ไป ไปดื่มเหล้ากัน!”

จ้าวเหยาทำสีหน้าลำบากใจ ซ่งจี๋ซินจึงพูดยั่วโมโห “ไม่ได้เรื่อง! รู้จักแต่จะทำตามกฎอย่างคร่ำครึ ไม่รู้จักจะหาความสุขใส่ตัวเสียบ้าง มันจะดีได้ยังไง?”

จ้าวเหยาลองถามหยั่งเชิง “แค่ดื่มพอให้อารมณ์ดี?”

ซ่งจี๋ซินเหลือกตาใส่ “ไม่เมาไม่กลับ!”

จ้าวเหยาเตรียมจะพูด แต่กลับถูกซ่งจี๋ซินคว้าคอลากให้เดินออกไปด้วยกัน

ตอนที่สาวใช้จื้อกุยลั่นดาลประตู งูสี่ขาตัวนั้นเตรียมจะแอบหนีออกมา จึงถูกนางเตะกลับเข้าไปในลานบ้าน

ตอนที่นางเดินผ่านบ้านข้างๆ ได้แอบเขย่งปลายเท้าปรายตามองเข้าไป จึงเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของหลิวเสี้ยนหยาง ฝ่ายหลังเองก็เห็นนางเหมือนกันจึงรีบหันมาส่งยิ้มสดใส หลิวเสี้ยนหยางกำลังจะทักทายนาง แต่นางกลับถอนสายตาคืนมาแล้วก้าวเร็วๆ ผ่านไป

ในเมืองมีหอสุราอยู่แห่งหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ราคากลับไม่ถูก เพียงแต่จะอย่างไรซะจ้าวเหยาก็เป็นบุตรหลานตระกูลจ้าว ทั้งยังมีชื่อเสียงดีงาม ก็ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องความขี้เหนียว วันนี้เส้นประสาทเส้นไหนวางทับกันผิดตำแหน่ง ถึงได้ตบอกบอกว่าจะไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว แค่บัณฑิตสองคนมาดื่มเหล้าที่ร้านเล็กๆ ของเขาก็ถือเป็นเกียรติของร้านเขาแล้ว คุณชายทั้งสองท่านควรจะเก็บเงินเขาถึงจะถูก

ซ่งจี๋ซินได้ยินอย่างนั้นก็รีบยิ้มแต้แบมือออกไปขอเงินอีกฝ่ายโต้งๆ เถ้าแก่นึกเจ็บใจ แต่ก็พยายามหาทางลงให้กับตัวเอง จึงพูดว่าติดเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้จะให้คนนำเหล้าชั้นดีไปส่งให้คุณชายซ่งสักหลายๆ ไห จ้าวเหยาแทบจะขุดดินมุดลงไป ทว่าเถ้าแก่ร้านที่ชินกับนิสัยประหลาดของคุณชายซ่งกลับไม่ได้โกรธจริงจัง ทั้งยังหาที่นั่งชั้นบนติดกับหน้าต่างที่เงียบสงบให้กับคนทั้งสามด้วยตัวเอง

ซ่งจี๋ซินและจ้าวเหยาไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก และซ่งจี๋ซินก็ไม่ได้คะยั้นคะยอให้ดื่ม จ้าวเหยาที่เตรียมใจไว้แล้วจึงต้องเป็นฝ่ายแปลกใจเสียเอง

มองจากหน้าต่างชั้นสองของหอสุราออกไปจะสามารถมองเห็นป้ายหนึ่งของซุ้มสิบสองเสาคำว่า ‘ตังเหรินปู้รั่ง’ ได้พอดี

ซ่งจี๋ซินเอ่ยถาม “ท่านฉีจะไม่ไปจากเมืองพร้อมกับเจ้าจริงๆ หรือ?”

จ้าวเหยาพยักหน้ารับ “ท่านอาจารย์เปลี่ยนใจกะทันหัน บอกว่าจะอยู่สอนบทที่สอง ‘รู้จารีตธรรม’ ให้จบเสียก่อน”

ซ่งจี๋ซินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ถ้าอย่างนั้นท่านฉีก็คงต้องสอนหลักการใหญ่ ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนบนโลกแทนเซิ่งเหรินสำนักขงจื๊อแล้ว พวกเขาจะได้รู้ว่าแรกเริ่มนั้นโลกของเราไม่มีกฎหมาย เซิ่งเหรินจึงใช้จารีตธรรมมาสั่งสอนผู้คน ในเวลานั้นแม้แต่จักรพรรดิก็ยังเลื่อมใสในหลักจารีตธรรม เมื่อมีคนทำผิดหลักที่ถูกทำนองคลองธรรมจึงต้องลงโทษ ดังนั้นจึงมีกฎหมายตามมา จารีตธรรมและกฎหมาย มีจารีตธรรมก่อนแล้วจึงมีกฎหมาย…”

จ้าวเหยาเริ่มมึน คำถามที่ถามจึงฟังค่อนข้างอ้อแอ้ “เจ้าคิดว่าถูกไหม? ทำไมท่านอาจารย์ถึงไม่สอนบทสุดท้ายอย่าง ‘รักษาจารีตธรรม’ ไปเลย?”

ซ่งจี๋ซินไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย “ก่อนจะออกไปจากเมือง ผีขาเดียวในภูเขา ผีพราย เทพเจ้า ปีศาจ คนที่เชื่อก็มี คนที่ไม่เชื่อก็มี ส่วนเรื่องที่ว่าท่านอาจารย์จะสอนอย่างไร นักเรียนจะรับฟังอย่างไร คงต้องอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตแล้วกระมัง”

จื้อกุยเองก็ดื่มเหล้าหนึ่งจอก ใบหน้างดงามที่ดูมึนๆ งงๆ ไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปทางซุ้มประตูที่ตั้งตระหง่าน

ซุ้มประตูสิบสองเสา ตรงฐานของเสาหินแบ่งออกเป็นสัตว์ประหลาดเก้าชนิดอันเป็นบุตรทั้งเก้าของมังกร บวกกับพยัคฆ์ขาว เต่าดำและหงส์แดง

ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้มาทุกรุ่นทุกสมัยต่างก็เห็นกันจนชินตาแล้ว

จ้าวเหยาปล่อยเสียงเรออย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเอนไปเอนมา “จากลากันครั้งนี้ หวังว่าจะได้พบกันใหม่”

ซ่งจี๋ซินครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ลุกขึ้นตาม ยิ้มบางๆ “ต้องได้เจอกันอีกแน่ จ้าวเหยา ไม่ต้องกังวลหากบนเส้นทางยาวไกลไร้คนรู้ใจ”

จ้าวเหยาที่ตาลายกัดปลายลิ้นตัวเอง กล่าวอย่างจริงใจว่า “ซ่งจี๋ซิน เจ้าเองก็ควรรีบไปจากเมืองแห่งนี้ ใต้หล้าใครเล่าจะไม่รับสุภาพชนเป็นมิตร เจ้าต้องทำได้แน่!”

เห็นได้ชัดว่าซ่งจี๋ซินไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง จึงโบกมือตัดบท “ไปเถอะๆ เมาจนพูดมั่วซั่วไปหมดแล้ว ขายหน้าบัณฑิตหมด”

—-

หลังจากที่จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซินเดินออกมาจากหอสุรา ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง แต่ก่อนที่จ้าวเหยาจะจากไป อาจเป็นเพราะดื่มเหล้าเข้าไปจึงมีความกล้า ถึงได้ถามขึ้นว่า “ซ่งจี๋ซิน อยากไปดูที่จวนขุนนางผู้ตรวจการเตาเผาหน่อยไหม ข้าสามารถพูดกับคนเฝ้าประตู…”

ซ่งจี๋ซินสีหน้าเย็นชา เค้นประโยคลอดไรฟัน “ไสหัวไป!”

จ้าวเหยาจากไปอย่างหม่นหมอง

จื้อกุยสาวใช้มองแผ่นหลังนั้นก็อดพูดเบาๆ ไม่ได้ว่า “คุณชาย เขาก็พูดเพราะหวังดี”

ซ่งจี๋ซินยิ้มหยัน “ความหวังดีของคนดีบนโลกใบนี้ ถึงท้ายที่สุดกลับกลายมาเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้าย มีน้อยนักหรือ?”

นางคิดตามก็รู้สึกว่าดูเหมือนจะมีหลักการนี้อยู่จริง จึงไม่ยืนกรานอีก

บ้านของจ้าวเหยาตั้งอยู่บนถนนฝูลวี่ทางทิศเหนือของเมือง อยู่ทางฝั่งตะวักตกของตรอกหนีผิงศูนย์รวมบ้านคนยากจน ตอนที่ซ่งจี๋ซินกับสาวใช้จื้อกุยเดินเคียงบ่ากันผ่านซุ้มประตูนั้น นางเงยหน้ามองกรอบป้ายคำว่า ‘ชี่ชงโต้วหนิว’ ที่เหมือนไม้ใกล้ฝั่งแล้ว

เด็กสาวที่ชื่อเดิมว่าหวังจือยิ้มไม่เห็นฟัน

หลังจากจ้าวเหยากลับมาถึงบ้านของตัวเองบนตรอกฝูลวี่ ข้ารับใช้ก็บอกกับเขาว่าย่าของเขารออยู่ที่ห้องหนังสือ ให้เขารีบไปหาทันที ห้ามล่าช้าแม้แต่นาทีเดียว บัณฑิตหนุ่มชุดเขียวที่กลิ่นเหล้าโชยหึ่งปวดหัวทันที แต่ก็ยังแข็งใจมุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือ

ตระกูลจ้าวที่อยู่ในเมืองไม่ใช่พวกชอบโอ้อวด ร่ำรวยแต่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เหมือนตระกูลหลูที่ชอบเบ่งบารมี มักจะโอ้อวดตนว่าเป็นตระกูลที่ได้รับการสืบทอดความรู้มาจากบรรพบุรุษ ในห้องหนังสือก็มีตำราที่แผ่กลิ่นอายของความโบราณอยู่มากมาย

หญิงชรามือถือไม้เท้าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะ มือลูบคลำไปบนหน้าโต๊ะ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าอาลัยและย้อนทวนความทรงจำ

พอได้กลิ่นสุราเข้มข้นซึ่งโชยมาจากร่างของหลานชายคนโตที่ยืนอยู่นอกประตู หญิงชราก็ไม่โกรธ ซ้ำยังกวักมือเรียกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “เหยาเอ๋อ เข้ามาสิ ไปยืนทำอะไรอยู่ตรงหน้าประตู ผู้ชายดื่มเหล้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ได้ดื่มฉี่ม้าสักหน่อย ไม่น่าอายหรอก!”

จ้าวเหยายิ้มแหยเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาคารวะย่าของเขาตามธรรมเนียมอย่างนอบน้อม หญิงชราเห็นเข้าก็เริ่มขัดตา “เรียนหนังสือมากเกินไป จะไม่ดีก็ตรงนี้แหละ อยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบเกินไป ทำเอาบัณฑิตเหมือนถูกผีบังตาไปตลอดชีวิต น่าเบื่อยิ่งนัก ยกตัวอย่างปู่ของเจ้านั่นปะไร อะไรก็ดีเลิศไปหมด มีเพียงเวลาที่พูดหลักการยิ่งใหญ่กับข้านี้แหละที่พร่ำบ่นไม่หยุด น่ารำคาญซะจริง โดยเฉพาะไอ้การวางมาดของเขาน่ะ จุ๊ๆ น่าเตะเป็นพิเศษเลย แต่ข้าก็ดันเถียงเขาไม่ทัน ข้าละอยากจะเอาไม้เท้าเพ่นกบาลเขานัก…”

จู่ๆ หญิงชราก็รู้สึกขันในคำพูดตัวเองจึงหัวเราะร่าเสียงดัง “เกือบลืมไปว่าตอนนั้นข้ายังไม่ได้ใช้ไม้เท้า”

นางถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม ไปดื่มเหล้ากับเจ้าเด็กเนรคุณแซ่ซ่งนั่นมาอีกล่ะสิ?”

จ้าวเหยาตอบอย่างจนใจ “ท่านย่า บอกกับท่านกี่ครั้งแล้วว่าซ่งจี๋ซินเป็นคนมีความสามารถ สติปัญญาสูง ไม่ว่าเรียนอะไรก็เร็วกว่าคนอื่นไปก้าวหนึ่งเสมอ”

หญิงชราหัวเราะพรืด “เขาน่ะเหรอ ไอ้ฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก เพียงแต่ว่าตอนที่ปู่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็มองเขาออกตั้งแต่เด็กแล้ว อยากรู้ไหมว่าปู่ของเจ้าพูดไว้ว่าอย่างไร?”

จ้าวเหยารีบพูด “หลานไม่อยากรู้!”

หญิงชราไม่สนว่าหลานรักจะอยากฟังหรือไม่ นางยังคงพูดต่อไป “ท่านปู่ของเจ้าบอกว่า ‘อายุยังน้อย แต่จิตใจลึกล้ำยิ่งนัก เสียดายก็แต่คนที่ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ต้องเป็นคนผู้นี้แน่นอน’

จากนั้นนางก็ชี้มาที่จ้าวเหยา “ปู่ของเจ้ายังพูดอีกว่า ‘อ่อนโยนนอบน้อม แม้ตอนแรกจะไม่มีอะไรที่พิเศษ แต่ทำให้ลูกหลานมีจิตใจที่ซื่อสัตย์ยิ่งใหญ่ได้ ต้องเป็นหลานชายของข้าแน่นอน!’”

หญิงชราพูดจบก็หัวเราะชอบใจ “ตาแก่นั่น ขัดหูขัดตามาทั้งชีวิต สุดท้ายถือว่าพูดจาได้รื่นหูเสียที”

จ้าวเหยาที่เกิดความสงสัยคิดจะเอ่ยถาม แต่กลับได้ยินย่าของตัวเองทอดถอนใจต่อไปว่า “แก่แล้วๆ!”

เด็กหนุ่มจึงได้แต่เก็บคำพูดนั้นเอาไว้ ส่งยิ้มพลางเดินขึ้นหน้าไปประคองแขนของหญิงชรา “ท่านย่าอายุยืนเท่าเขาหนันซาน ยังสาวอยู่มาก”

หญิงชรายื่นมือที่แห้งเหี่ยวออกมาตบลงบนหลังมือของหลานรัก “แข็งแรงกว่าปู่เจ้า แม้ไม่รู้จักพูดหลักการยิ่งใหญ่ แต่ก็รู้จักพูดประโยคน่าฟัง”

เด็กหนุ่มยิ้ม “ท่านปู่มีความรู้จริงๆ นะขอรับ ท่านฉียังบอกว่าท่านปู่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อธิบายคำว่า ‘มโนธรรม’ ได้อย่างแจ่มแจ้ง”

หญิงชราเผยความลำพองใจออกมาอย่างปิดไม่มิด แต่กลับแสร้งพูดขึงขัง “มันก็แน่อยู่แล้ว ดูด้วยว่าเป็นผู้ชายที่ใครเลือก!”

จ้าวเหยาเม้มปากกลั้นยิ้ม

หญิงชราพาจ้าวเหยาเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือ เด็กหนุ่มค้นพบว่าบนโต๊ะหนังสือวางไม้สลักมังกรหมอบไว้ชิ้นหนึ่ง มังกรสลักตัวนี้มีชีวิตชีวาเหมือนจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม หากมองอย่างละเอียดจะพบว่ามังกรไม้สีเขียวตัวนี้มีกรอบดวงตาแต่ไม่มีลูกตา

หญิงชราหยิบพู่กันที่จุ่มหมึกจนชุ่มเตรียมรอไว้นานแล้วขึ้นมา นี่คือพู่กันเล็กที่ทำมาจากกิ่งของต้นไหวโบราณ นางประคองด้วยสองมือสั่นๆ ส่งให้กับหลานชายคนโต

เมื่อจ้าวเหยารับมาอย่างไม่เข้าใจเรื่องราว บ่าของเขาก็พลันหนักอึ้ง ที่แท้ท่านย่าก็ใช้มือกดลงบนไหล่ของเขา เขาจึงนั่งลงไปบนเก้าอี้ที่มีเพียงประมุขสกุลจ้าวเท่านั้นถึงจะสามารถนั่งได้

หญิงชราถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างถึงที่สุด “จ้าวเหยา ประจำตำแหน่ง! วันนี้เจ้าเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษตระกูลจ้าว แต้มนัยน์ตามังกร!”

—-

รูปปั้นทวยเทพที่แตกพังหลายรูปวางเอียงกะเท่เร่ กองระเกะระกะอยู่ตามพื้นดินที่มีพุ่มหญ้ารกร้าง ไม่มีใครให้ความสนใจ

และก็เป็นอย่างนี้ตลอดนับร้อยนับพันปีที่ผ่านมา ซ้ำยังมีรูปปั้นดินอีกมากที่มาปรากฏอยู่ตรงนี้อย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในเมืองไม่เพียงแต่เคยชินกับหลายๆ เรื่อง อันที่จริงพอเห็นรูปปั้นทวยเทพเหล่านี้ก็หมดความเคารพกันไปนานแล้ว

พวกผู้เฒ่ามักจะพร่ำบ่น ห้ามไม่ให้ลูกหลานของตัวเองมาเล่นที่นี่ แต่เหล่าเด็กน้อยก็ยังคงชอบมาเล่นซ่อนหา ชอบมาจับจิ้งหรีด ฯลฯ อยู่ที่นี่ ทว่ารอจนเด็กๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลายมาเป็นคนแก่ พวกเขาก็จะพูดกับลูกหลานของตัวเองเหมือนกันว่าห้ามมาเล่นที่นี่ เป็นเช่นนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า เหตุการณ์ผ่านมาอย่างนิ่งสงบ ไม่มีอะไรแปลกใหม่

ทว่าจู่ๆ กลับเห็นว่าหัวของรูปปั้นที่หลุดร่วง ลำตัวที่แตกหัก ฝ่ามือที่แยกออกจากกันกลับเหมือนถูกคนฝืนจับมาประกอบเข้าด้วยกัน จึงพอจะคืนสภาพเดิม เหลือเพียงใบหน้าเท่านั้น

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนหนึ่งวิ่งจากตรอกหนีผิงมาถึงที่นี่ ในมือของเขากำเหรียญก้งหย่างสามเหรียญไว้แน่น พอเขามาถึงที่นี่ก็เดินวนไปวนมา ปากก็ท่องอะไรไปเรื่อย จากนั้นเขาก็เจอรูปปั้นทวยเทพองค์หนึ่งที่คุ้นตาอย่างถึงที่สุด เด็กหนุ่มนั่งยองๆ ลงไป กวาดตามองรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงแอบเอาเหรียญเงินวางลงไปกลางรอยแยกบนร่างของรูปปั้น

พอลุกขึ้นยืนก็เดินไปหารูปปั้นที่สอง รูปปั้นที่สาม แล้วก็ทำแบบเดียวกัน

ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะจากไป เขาที่ยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มหญ้าเขียวขจียกมือทั้งสองขึ้นพนม ก้มหน้าพึมพำ “ซุ่ยซุ่ยผิงอัน ซุ่ยซุ่ยผิงอัน[1] หวังว่าพวกท่านจะช่วยคุ้มครองให้ชาติหน้าพ่อกับแม่ข้าไม่ต้องลำบาก…หากเป็นไปได้ ขอพวกท่านโปรดบอกพ่อแม่ข้าว่า ตอนนี้ข้าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง…”

……………………….

[1] ซุ่ยซุ่ยผิงอัน (碎碎平安) แตกเพื่อความสงบ คนจีนชอบพูดเวลาเจอของแตกในวันปีใหม่เพื่อแก้เคล็ด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version