บทที่ 28 คนเห็นแก่เงิน
ยามสนธยา ตอนที่เดินทางกลับเข้าในเมืองเฉินผิงอันเดินผ่านประตูตะวันออก เห็นชายฉกรรจ์คนเฝ้าประตูที่เนื้อตัวมอมแมมยังคงนั่งคลอเพลง อาจเป็นเพราะตอนที่กำลังร้องถึงท่อน “เวลาชั่วพริบตามิอาจดูหมิ่น ลาภยศเงินทองล้วนสามารถโยนทิ้ง” ถูกฝีเท้าเร่งร้อนของเด็กหนุ่มรบกวนอารมณ์สุนทรี ชายฉกรรจ์จึงลืมตาขึ้นมาประสานสายตากับเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าประตูเมืองมาพอดี
ชายฉกรรจ์เห็นเจ้าผีทวงหนี้คนนี้ก็หมดอารมณ์ จึงโบกมือกล่าวอย่างหงุดหงิด “ไปๆๆ เวลาของเจ้ามันไม่มีค่าอะไรกับใครเขาหรอก ลาภยศเงินทองสี่คำนี้ ถ้าเจ้าได้แตะสักเสี้ยวก็ถือเป็นบุญมากแล้ว”
พอวิ่งผ่านไปเฉินผิงอันก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น กางนิ้วทั้งห้าแล้วโบกอย่างแรง
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเตือนชายฉกรรจ์ผู้เฝ้าประตูว่า ระหว่างพวกเขาสองคนยังมีเงินติดค้างกันอีกห้าอีแปะ
ชายฉกรรจ์ถ่มน้ำลาย สบถด่า “ไอ้เด็กเวรนี่!”
เงาร่างของเด็กหนุ่มหายไปในเวลาเพียงไม่นาน ชายฉกรรจ์เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามใสกระจ่างประดุจถูกทาทับด้วยสีเคลือบที่งดงามชั้นหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ลูบคลำปลายคางที่มีหนวดรกรุงรัง จุ๊ปากพูด “ท่านฉีเคยพูดถึงกลอนประโยคหนึ่งว่าอะไรแล้วนะ ของดี กระจก?”
รถลากเทียมวัวคันหนึ่งขับเคลื่อนออกไปจากเมืองช้าๆ บนรถคือบัณฑิตชุดเขียวผู้หนึ่งที่ทุกคนต่างก็ออกปากชื่นชม สารถีคือชายวัยกลางคนสีหน้าเฉยชาคนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์รีบกวักมือเรียก กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เหยาเกอ เจ้าอย่าเพิ่งรีบไปสิ พี่ชายอย่างข้ามีคำพูดประโยคหนึ่งติดอยู่ตรงปาก จำได้แค่ของดี กระจกอะไรสักอย่าง ส่วนคำอื่นไม่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออก เจ้ามีความรู้มาก ไหนลองพูดให้ฟังหน่อยสิ!”
จ้าวเหยาที่สีหน้าสดใสในอ้อมอกมีห่อสัมภาระอยู่ห่อหนึ่งเอ่ยตอบเสียงดังกังวาน “ของดีบนโลกไม่ทนทาน ดุจดั่งเมฆที่ลอยหายและกระจกที่แตกได้ง่าย!”
ชายฉกรรจ์ยกนิ้วโป้งให้ “ไม่เสียแรงที่เป็นเหยาเกอ ความรู้ลึกล้ำ วันหน้าได้ดิบได้ดีอย่าลืมกลับบ้านเกิดมาเยี่ยมพี่ชายบ้างนะ ไม่แน่ว่าถึงเวลาอาจได้มาแทนที่อาจารย์ของเจ้า กลายมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับเด็กๆ ในเมืองก็ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
จ้าวเหยาตะลึง ก่อนจะรีบประสานมือคารวะพลางยิ้มบางๆ “ขอบคุณที่พี่ชายอวยพร!”
ชายฉกรรจ์อารมณ์ดีจึงควักถุงถักลายใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สะบัดข้อมือโยนสูงไปให้กับบัณฑิตชุดเขียวแล้วยิ้มกว้าง “หลายปีมานี้ไหว้วานเจ้าเขียนกลอนคู่ไม่คิดเงินตั้งหลายบท ที่สำคัญก็คือเจ้าเป็นเด็กมีน้ำใจ ไม่เคยรู้สึกว่ายุ่งยาก พี่ชายไม่เคยมองคนผิด ของขวัญเล็กๆ น้อยนี่ยกให้เจ้า ขอให้เดินทางปลอดภัย!”
จ้าวเหยารีบรับถุงเงินนั้นไว้ “ไว้เจอกันใหม่!”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม โบกมือให้กับรถลากเทียมวัวของเด็กหนุ่ม แต่กลับพึมพำเบาๆ ว่า “ยากแล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปในเมืองเล็ก รถลากเทียมวัวของจ้าวเหยากลับมุ่งหน้าไปยังฟ้าดินนอกเมือง ต่างคนต่างเดินสวนไหล่กันผ่านไป
ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนตอไม้แบมือยกนิ้วขึ้นนับ “เด็กหนุ่มของต้าสุยที่ถือข้องไม้ไผ่ใส่ปลาหลีสีทอง เจ้าลูกหมาของหญิงกำพร้าสกุลกู้ในตรอกหนีผิง บวกกับเหยาเกอถนนฝูลวี่ นี่ก็สามคนแล้ว แต่ว่ายังเหลือคนอีกตั้งมากที่แห่กันเข้ามา แบบนี้ก็ไม่เหลือแค่งานที่ต้องตามเก็บของเหลือเดนหรอกหรือ? หรือว่าข้าควรฉวยโอกาสนี้ไปหาลูกศิษย์ว่าง่ายมาช่วยนวดไหล่ทุบหลังด้วยดี?”
ชายฉกรรจ์ยกมือขึ้นลูบไปทั่วใบหน้าดำเกรียมของตัวเองอย่างสะเปะสะปะแล้วหัวเราะหึๆ “หากได้ลูกศิษย์ผู้หญิงสวยๆ ที่ว่านอนสอนง่ายสักคนก็เยี่ยมที่สุดเลย หึ หน้าตาไม่ดียังพอทนได้ แต่ขาต้องยาวเท่านั้น!”
ชายฉกรรจ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโสดของเมืองผู้นี้เอาสองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วร้องเพลงอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข พอนึกถึงเรื่องที่ทำให้อารมณ์ดี เขาก็ไร้ซึ่งความกลัดกลุ้มใดๆ รู้สึกเพียงว่าโลกใบนี้ช่างงดงาม
—-
ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะออกไปจากตรอกหนีผิงได้นัดหมายกับหลิวเสี้ยนหยางและเด็กสาวชุดดำเรียบร้อยแล้วว่าให้ไปเจอกันที่บ้านของหลิวเสี้ยนหยางเลย พอเฉินผิงอันวิ่งไปถึงบ้านของหลิวเสี้ยนหยาง พบว่าประตูไม่ได้ลงกลอน จึงเปิดเข้าไป เดินมาถึงโถงใหญ่จึงเห็นว่าหลิวเสี้ยนหยางกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดเสื้อเกราะที่สืบทอดมาแต่รุ่นบรรพบุรุษของเขาชิ้นนั้น
ส่วนหนิงเหยาเด็กสาวชุดดำตอนนี้ก็กลับมาสวมหมวกคลุมหน้าบางๆ อีกครั้ง ตรงเอวพกดาบ ส่วนกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักสีขาวหิมะกลับถูกนางหิ้วไว้ในมืออย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ทำไม เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าแม่นางหนิงคนนี้ดูเหมือนจะรังเกียจกระบี่เล่มนี้อยู่บ้าง
ของเก่าใต้กรุสมบัติที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัยของตระกูลหลิวที่อยู่บนโต๊ะ แม้จะบอกว่ามันคือเสื้อเกราะวิเศษ แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าหน้าตามันอัปลักษณ์จนน่าตกใจ บนตัวเสื้อเกราะใหญ่ยักษ์เต็มไปด้วยแท่งเหล็กที่เหมือนปุ่มปมบนลำต้นไม้ ทั้งยังมีรอยเล็บกรีดลึกห้าแถวเรียงกันลากเอียงตั้งแต่ไหล่ซ้ายมาจนถึงเอวฝั่งขวา
สำหรับเรื่องนี้ เด็กหนุ่มทั้งสองคนคิดแทบตายก็ไม่อาจเข้าใจและไม่อาจจินตนาการได้ว่าต้องเป็นสัตว์ป่าดุร้ายที่ตัวใหญ่ขนาดไหนถึงสามารถสร้างรอยน่ากลัวเช่นนี้ทิ้งไว้ได้ ภายหลังที่ทางการสั่งปิดยอดเขาหลายแห่ง ห้ามไม่ให้ชาวบ้านขึ้นเขาไปตัดฟืนเผาถ่าน เฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางก็แทบจะไม่เคยแหกกฎ สาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะเรื่องนี้
เฉินผิงอันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เกราะเหล็กที่ไม่ต่างจากถ่านดำๆ ตัวนี้ ขี้เหร่ก็ขี้เหร่ แต่หลิวเสี้ยนหยางกลับมองมันเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลจริงๆ ต่อให้เฉินผิงอันที่สนิทสนมกับเขา ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็ยังเอาออกมาให้เขาเห็นแค่ครั้งเดียว ไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เอากลับไปเก็บไว้ในกล่องสีแดงอย่างระมัดระวังแล้วยกขึ้นหิ้งบูชาอีกครั้ง
แต่ตอนนี้พอเห็นว่าหลิวเสี้ยนหยางคอยแอบเหลือบมองหญิงสาวชุดดำอยู่เป็นระยะ เฉินผิงอันกลับพอจะโล่งใจได้บ้าง หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว พอเห็นผู้หญิงสวยๆ เข้าหน่อยก็ห้ามสายตาตัวเองไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็ไม่ได้ชื่นชอบอย่างจริงจัง เพียงแต่เป็นคนชอบอวดก็เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นในอดีตช่วงหน้าร้อน เขามักจะไปถอดเสื้ออาบน้ำอยู่ในแม่น้ำสายเล็กตรงสะพาน หากมีเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันถือต้นอ่อนข้าวหรือจูงวัวเดินผ่านมา หลิวเสี้ยนหยางจะต้องทำสามกระบวนท่า อันดับแรกคือรีบปีนขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ตรงชายฝั่ง จากนั้นก็กระแอมเสียงดัง ซ่งจี๋ซินเคยวิจารณ์การกระทำนี้ของเขาว่า ‘ป่าวประกาศให้รับรู้ทั่วหล้า’ สุดท้ายถึงกระโดดตูมลงไปในน้ำ
เฉินผิงอันสายตาดีมากจึงสามารถมองเห็นสายตาและสีหน้าของเหล่าสาวน้อยที่อยู่ห่างไปไกลได้อย่างชัดเจน เขาจึงอยากจะบอกความจริงกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างมากว่า พวกพี่สาวที่หน้าตาดีเหล่านั้น บางคนก็กลอกตาระอา บางคนก็สบถด่าพึมพำ แถมคนมากกว่านั้นกลับทำเป็นมองไม่เห็น สิ่งเดียวที่ไม่มีก็คือดวงตาเป็นประกาย รู้สึกว่าเจ้าคือชายชาตรี
แน่นอนว่าภายหลังหลิวเสี้ยนหยางไปถูกใจจื้อกุยสาวใช้ของซ่งจี๋ซิน แล้วจู่ๆ ก็หลงรักนางอย่างจริงจัง หลังจากนั้นมาก็ดูเหมือนว่าในสายตาของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จะไม่มีผู้หญิงสวยคนอื่นอยู่อีก ต่อให้ตอนนี้จะทำเป็นใจกว้างกับหญิงสาวชุดดำ แต่อย่างมากก็คงเป็นเพราะหวังว่าเด็กสาวผู้เย่อหยิ่งเย็นชาจะไม่ดูถูกเขา อย่าได้คิดว่าตัวเองพกดาบถือกระบี่แล้วจะวางตัวเหมือนเง็กเซียนฮ่องเต้ได้ สมบัติของตระกูลชิ้นนี้ของข้าหลิวเสี้ยนหยางก็มีเพียงชิ้นเดียวในเมืองนี้เหมือนกัน
พอเฉินผิงอันมาถึงแล้ว เด็กสาวที่สวมหมวกคลุมหน้าก็กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายวางกระบี่ยาวไว้บนชั้นเก่าแก่ที่มีลวดลายสีทองซึ่งปริแตกเป็นรอยกระดำกระด่าง เพื่อหาที่วางให้กับกระบี่ยาว นางต้องย้ายของจุกจิกพวกขวดมากมายบนนั้นออก แล้วจึงพบว่าด้านหลังชั้นมีภาพหนึ่งติดอยู่ ในภาพคือต้นกุ้ยสีทองหนึ่งต้นกับพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เด็กสาวหันมาพูดว่า “วางกระบี่ไว้ตรงนี้ พวกเจ้าอย่าขยับมัน หาไม่แล้วต้องรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเอง ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
หลิวเสี้ยนหยางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเช็ดเสื้อเกราะ บางครั้งก็เป่าลมใส่มือแล้วใช้มือถูลงไปเบาๆ ท่าทางเพลิดเพลินไปกับงานในมือ
เฉินผิงอันจึงรับปากว่า “แน่นอน”
เด็กสาวพูดกับหลิวเสี้ยนหยาง “ชั้นวางนี้ไม่มีราคาค่างวด แต่ภาพต้นกุ้ยสีทองและดวงจันทร์ที่แขวนอยู่ตรงนี้ เจ้าอย่าเอาไปขายให้ใครง่ายๆ”
หลิวเสี้ยนหยางไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ของเล่นชิ้นนั้นข้าไม่ชอบมันมาตั้งแต่เด็ก หากแม่นางถูกใจก็ปลดลงมาได้เลย”
สำหรับความไม่ใยดีที่เด็กหนุ่มมีต่อของมีค่าชิ้นนี้ เด็กสาวชุดดำแค่ถามอย่างแปลกใจว่า “วัสดุของภาพนี้คืออะไร?”
หลิวเสี้ยนหยางหันกลับมามองแวบหนึ่ง “ของเก่าหลายร้อยปีแล้ว ข้าจะไปรู้ได้ไง แม้แต่ปู่ของข้าก็ยังบอกที่มาของมันไม่ถูก”
เฉินผิงอันกล่าวเบาๆ “น่าจะเป็นก้อนหินที่เก็บมาจากธารน้ำ มีหลายสีสัน แต่บรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางคงเลือกแค่สีทองเท่านั้น พอเอามาบดให้ละเอียดแล้วก็ขยำรวมกัน พวกเราเรียกหินชนิดนี้ว่าหินดีงู”
เด็กสาวชุดดำเอ่ยถาม “หิน? ในแม่น้ำมีเยอะหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “หากแม่นางหนิงต้องการ วันหนึ่งข้าสามารถเก็บมาให้เจ้าได้กระบุงใหญ่ พวกเราคนที่นี่ไม่มีใครเห็นค่ามัน มีแค่กู้ช่านเท่านั้นที่ชอบไปเก็บเอามาบ่อยๆ”
เด็กสาวชุดดำถอนหายใจ มองเด็กหนุ่มยากจนของตรอกหนีผิงด้วยสายตาลึกล้ำ “เจ้านี่มันคนจนที่อยู่บนภูเขาเงินภูเขาทองแท้ๆ”
เฉินผิงอันตกใจ “เมื่ออยู่ข้างนอก หินพวกนี้มีค่าหรือ?”
เด็กสาวจัดหมวกของตัวเองพลางพูดว่า “ราคาสูงต่ำก็ต้องดูด้วยว่าอยู่ในมือของใคร นอกจากนี้ต่อให้ไปตกอยู่ในมือของคนที่รู้ราคา แต่จะขายสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูที่โชค หากโชคดี ก้อนเดียวก็พอแล้ว โชคไม่ดี ต่อให้กองกันเป็นภูเขาหินก็ไม่สำเร็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็มีค่า แถมยังมีค่ามาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าสามารถเอาออกไปจากเมืองได้หรือไม่ นี่แหละประเด็นสำคัญ”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยแทรก “หินนี่มีบางอย่างค่อนข้างประหลาด ขอแค่หยิบออกมาจากธารน้ำแล้วถูกลมพัดถูกแดดส่อง สีก็จะเปลี่ยนมาเป็นอ่อนจาง โดยเฉพาะเมื่อโดนฝนโดนหิมะ สีก็จะยิ่งตกหนักเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้ก็ไม่มีแล้ว”
เด็กสาวกล่าวอย่างเสียดาย “เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บมาลองดูสักกระบุงหนึ่งดีไหม? ถ้ามันมีข้อยกเว้นล่ะ?”
เด็กสาวส่ายหน้า “สำหรับข้าแล้ว มันไม่มีความหมายหรอก”
หลิวเสี้ยนหยางนำเสื้อเกราะชิ้นนั้นเข้าไปเก็บไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว เวลานี้เขายืนพิงกรอบประตู พูดยิ้มๆ “เฉินผิงอันคือคนเห็นแก่เงิน ไม่แน่ว่าคืนนี้เขาอาจจะไปเก็บหินในธารน้ำก็ได้”
เด็กสาวเพียงโยนประโยคหนึ่งทิ้งไว้ “ไปแล้วนะ”
ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตู นางหันกลับมาถาม “หยกและเทียบยา ข้าจะช่วยเจ้าเก็บรักษาเป็นอย่างดี แต่พรุ่งนี้เจ้ายังต้องไปที่ตรอกหนีผิงเพื่อช่วยต้มยาให้ข้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
นางคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “คนต่างถิ่นกลุ่มนี้ที่เข้ามาในเมืองไล่ๆ กับข้า คนที่ร้ายกาจที่สุดน่าจะเป็นผู้เฒ่าจากเขาตะวันเที่ยงคนนั้น คราวนี้เขามาคุ้มกันเด็กหญิงโดยเฉพาะ อันดับถัดมาถึงจะเป็นขันทีต้าสุยที่ทำให้ข้าบาดเจ็บ หลังจากนั้นก็เป็นหลิวจื้อเม่าที่พากู้ช่านไป หญิงวัยกลางคนที่ซ่อนมีดไว้ในรอยยิ้มก็ห้ามดูถูก ดังนั้นหากพวกเจ้าเจอกับผู้เฒ่าของเขาตะวันเที่ยงคนนั้น พยายามอย่าโต้เถียง แต่ถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ถ่วงเวลาเอาไว้ ห้ามลงมือกับเขา ห้ามหวังว่าตัวเองจะโชคดี ต้องถ่วงเวลาจนกว่าข้าจะปรากฏตัว”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวเสียงเบา “มาอยู่ในถิ่นของพวกเรา คนต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยกับที่นี่จะกล้าฆ่าคนจริงๆ น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันเหลือบมองเขาแล้วพยักหน้ารับ “กล้า”
หลิวเสี้ยนหยางกลืนน้ำลาย
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ยังจำได้ไหมว่านักพรตลู่…หมอดูที่ตั้งแผงดูดวงคนนั้น เขาพูดกับเจ้าว่ายังไง?”
หลิวเสี้ยนหยางปวดหัวแปล๊บขึ้นมาครามครัน หลังจากพยายามย้อนทวนความทรงจำแล้วก็เกาหูเกาคางพูดไปด้วยว่า “ข้าจะจำได้แม่นได้อย่างไรล่ะ รู้แค่ว่าเป็นคำพูดอัปมงคลไม่น่าฟัง แต่สรุปก็คือเขาบอกว่าจะมีหายนะใหญ่ ต้องจุดธูปกราบไหว้ อะไรไม่รู้มั่วซั่วไปหมด ตอนนั้นข้าแค่คิดว่าเขาพูดจาเหลวไหลเพราะจะหลอกเอาเงินคนอื่น…”
เฉินผิงอันหันขวับไปมองเด็กสาวชุดดำ
เด็กสาวเข่นเขี้ยวตอบกลับ “ขนาดตัวเขาเองยังจำคำทำนายไม่ได้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? นึกว่าข้าเป็นเทพเซียนจริงๆ หรือไง!”
เฉินผิงอันฉงนสนเท่ห์ คิดไม่ตกว่าทำไมจู่ๆ แม่นางหนิงถึงได้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้
เด็กสาวก้าวยาวๆ ออกไปจากบ้าน
เมื่อเทียบกับตอนที่เดินเตร็ดเตร่มาถึงอย่างเนิบช้าแล้ว ขากลับของนางกลับรวดเร็วฉับไวยิ่งกว่าพายุเสียอีก
เด็กสาวพกดาบกำลังเดินอยู่บนตรอกกว้างขวาง ในใจคิดว่ากลับไปควรจะหาเวลาว่างหยิบหนังสือมาอ่านหน่อยดีหรือไม่?
พอเด็กสาวคิดว่าวันหน้าตนเดินทางไปทั่วทิศ พอใช้กระบี่บินตัดหัวคนอย่างเฉียบขาดแล้วก็พูดบทกวีที่ปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิมสำทับ ต่อให้รอบด้านจะไม่มีใครอยู่ แต่นางก็ยังรู้สึกว่ามันมีมาดมาก!
—-
ขณะที่เด็กสาวกำลังจินตนาการเพ้อฝัน เงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไหล่ของนางไป
“แม่นางหนิงเหยา เจอกันพรุ่งนี้นะ”
ตอนที่เสียงขาดคำ เงาร่างนั้นก็แทบจะพุ่งไปถึงปลายทางของตรอกแล้ว
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะแบกกระบุงไม้ไผ่เดินเร็วราวกับบิน
เด็กสาวอึ้งงันเป็นไก่ไม้ พึมพำกับตัวเองว่า “มีคนหน้าเงินแบบนี้อยู่จริงๆ หรือนี่?”