บทที่ 33 มังกรขาวแปลงร่างเป็นปลา
เฉินผิงอันได้พบกับเด็กสาวชุดเขียวอีกครั้ง คราวนี้นางติดตามมาด้านหลังชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังก้มหน้าก้มตากัดขนมไข่ใส่หัวหอมแผ่นหนึ่งเงียบๆ
ชายคนนั้นมีสีหน้าไร้ทุกข์ไร้กังวล
พอเห็นเฉินผิงอัน ชายวัยกลางคนก็หยุดชะงักฝีเท้า เอ่ยถาม “เจ้าใช่เด็กที่คราวก่อนถูกข้าไล่ไปหรือไม่?”
แผ่นหลังของชายวัยกลางคนถูกกระแทกอย่างแรง เด็กสาวชุดเขียวที่ชนเข้ากับ ‘กำแพง’ เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย พอมองเห็นเฉินผิงอัน นางก็คิดจะส่งยิ้มให้เขา แต่จู่ๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงหมุนตัวหันหลังให้เฉินผิงอันแล้วรีบยกมือเช็ดปากให้วุ่นวาย
เฉินผิงอันข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ หันไปพยักหน้าให้ชายวัยกลางคน “คารวะอาจารย์หร่วน”
ดูจากท่าทางแล้ว แม่นางคนนั้นน่าจะเป็นบุตรสาวของอาจารย์หร่วน
แต่หน้าตาของสองพ่อลูกนี้ไม่เหมือนกันเลยจริงๆ และก็โชคดีแล้วที่ไม่เหมือน
ชายที่เฉินผิงอันเรียกว่าอาจารย์หร่วนก็คือช่างตีเหล็กที่หลังจากมาอยู่ในเมืองได้ไม่นานก็ย้ายไปอยู่แถวริมแม่น้ำทางทิศใต้ เขายังถามต่ออีกว่า “ทำไมสองวันนี้หลิวเสี้ยนหยางถึงไม่ไปตีเหล็ก?”
เฉินผิงอันเตรียมจะช่วยแก้ตัวให้หลิวเสี้ยนหยาง แต่ชายวัยกลางคนกลับพูดขึ้นเสียงเย็น “เจ้าไปบอกไอ้หนุ่มนั่นว่า หากวันนี้ยังไม่เห็นหน้านายท่านใหญ่อย่างเขา พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปที่ร้านข้าแล้ว”
เฉินผิงอันรีบร้อนกล่าว “อาจารย์หร่วน ที่บ้านเขามีเรื่องด่วน…”
ชายวัยกลางคนตัดบทเด็กหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ “นั่นมันเรื่องของเขา เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?!”
เดิมทีเฉินผิงอันก็เป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็ถึงกับอึ้งค้าง ร้อนใจจนใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ไม่รู้อีกว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร กลัวว่าตัวเองยิ่งช่วยจะยิ่งแย่ นิสัยเถรตรงของอาจารย์หร่วนผู้นี้ เขาเคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว
เด็กสาวชุดเขียวพยายามจะช่วยพูดให้กับเฉินผิงอัน ผลกลับกลายเป็นว่าถูกชายผู้เป็นบิดาที่เข้าใจบุตรสาวดียิ่งกว่าใครดุเอาเสียก่อน “กินขนมของเจ้าไป!”
เด็กสาวที่น้อยเนื้อต่ำใจสาวเท้าขึ้นหน้ามาเร็วๆ แล้วยกเท้ากระทืบลงไปบนหลังเท้าของชายวัยกลางคนอย่างแรง จากนั้นก็รีบวิ่งปรู๊ดหนีไป พริบตาเดียวก็ไม่เหลือแม้แต่เงา
ชายวัยกลางคนถอนใจอย่างปลงตก ปล่อยให้เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ส่วนตัวเองก็เดินหน้าต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันเองก็ถอนหายใจเหมือนกัน แล้วจึงวิ่งไปซื้อซาลาเปาหกลูกที่ร้านอาหารเช้า ก่อนจะกลับตรอกหนีผิง
พอมาถึงบ้านตัวเอง ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นหลิวเสี้ยนหยางนั่งยองๆ อยู่บนกำแพง ร่างครึ่งหนึ่งเอนเข้าไปในบ้านของซ่งจี๋ซิน แอบฟังความเคลื่อนไหวของบ้านข้างๆ อย่างตั้งใจ
บางครั้งเฉินผิงอันก็รู้สึกว่าหลิวเสี้ยนหยางน่าเตะมากจริงๆ
เขาได้แต่พูดเตือนไปว่า “เมื่อครู่นี้เจออาจารย์หร่วน เขาบอกให้วันนี้เจ้าไปช่วยที่ร้านตีเหล็ก ยังบอกอีกว่าถ้าวันนี้ไม่เห็นหน้าเจ้า จะไล่เจ้าออก”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างใจลอย “จะรีบร้อนไปใย ลูกศิษย์ที่ทั้งมือไม้คล่องแคล่ว ทั้งทนต่อความยากลำบากอย่างข้า ต่อให้ใช้ไฟส่องหาก็ยังยากจะพานพบ แม้อาจารย์หร่วนจะขู่ไว้แล้ว แต่พรุ่งนี้ค่อยไปก็ไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ามั่นใจว่าอาจารย์หร่วนไม่ได้ล้อเล่น”
หลิวเสี้ยนหยางตอบกลับเสียงสะบัด “อีกเดี๋ยวค่อยไป เจ้าอย่ามากวน ข้ากำลังทำธุระสำคัญ”
เฉินผิงอันเอาอาหารเช้าไปให้เด็กสาวชุดดำ ซาลาเปาที่ซื้อมายกให้หลิวเสี้ยนหยางสามลูก ส่วนตัวเองกินแค่ลูกเดียว
หลิวเสี้ยนหยางกัดแค่สองสามคำก็จัดการกับซาลาเปาเนื้อทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาเช็ดปากพลางพูดเบาๆ ไปด้วยว่า “เมื่อครู่นี้บ้านซ่งจี๋ซินมีแขกมาเยือนคนหนึ่ง ดูท่าทางก็รู้แล้วว่าต้องเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นใต้เท้าผู้ตรวจการเตาเผามังกรคนปัจจุบัน คราวก่อนตอนที่เขาสวมชุดขุนนางไปเยือนเตาเผามังกรของพวกเรา ผู้เฒ่าเหยาเกรงว่าลูกศิษย์ที่ไม่ได้เรื่องอย่างพวกเจ้าจะเกะกะลูกตา เลยไม่ได้ให้พวกเจ้าได้พบหน้าเขาเป็นบุญตา แต่ข้าไม่เหมือนกัน ผู้เฒ่าเหยายังให้ข้าแสดงให้ใต้เท้าคนนั้นดูด้วยว่า อะไรที่เรียกว่า ‘ยก-มีด’”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ผู้ตรวจการคนใหม่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับซ่งจี๋ซิน เป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองรู้กันดีอยู่แล้ว เจ้าจะยังมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนี้?”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างเป็นกังวล “ไก่อ่อนอย่างเจ้าซ่งจี๋ซินผู้นี้ย่อมไม่มีทางสู้ข้าได้อยู่แล้ว แต่ถ้าจื้อกุยไปหลงชอบท่านขุนนางที่มีบุคลิกไม่ธรรมดาคนนี้เข้า โอกาสที่ข้าจะชนะย่อมมีไม่มาก! ถึงเวลานั้นภรรยาในอนาคตของข้าต้องหนีไปกับคนอื่นแน่ ข้าจะทำยังไง? แล้วเจ้าจะทำยังไง?”
เฉินผิงอันเดินตรงกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้หลิวเสี้ยนหยางนั่งบ่นอยู่กับตัวเองบนกำแพงต่อไป
เด็กสาวชุดดำนั่งหลังตรงอกตั้งอยู่ข้างโต๊ะ มือข้างหนึ่งกำด้ามดาบราวกับกำลังเผชิญศัตรูตัวฉกาจ
หน้าผากของนางมีเม็ดเหงื่อผุดซึมออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเห็นเด็กสาวมีท่าทางเช่นนี้ แม้เรือนกายจะเกร็งเครียดเต็มไปด้วยความระแวงภัย แต่สายตากลับเป็นประกายเจิดจ้า พร้อมจะลงมือ
เฉินผิงอันถอยกลับมาที่ธรณีประตู นางจึงถามว่า “รู้ตัวตนของแขกบ้านข้างๆ หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “ได้ยินหลิวเสี้ยนหยางบอกว่าเป็นผู้ตรวจการเตาเผาคนปัจจุบันของเมืองเรา ดูท่าทางสุภาพไม่น้อย เมื่อครู่ตอนอยู่ในตรอกยังหลบทางให้ข้าด้วย”
เด็กสาวยิ้มหยัน “คนแบบนี้แหละที่น่ากลัว”
เฉินผิงอันไม่เข้าใจ
นางถามต่อ “เวลาคนเดินบนทาง เห็นมดจะเหยียบหรือไม่?”
เฉินผิงอันคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “หากเป็นกู้ช่านย่อมต้องเหยียบแน่ เขามักจะเอาน้ำไปราดรังมด หรือไม่ก็ใช้ก้อนหินปิดทางเข้าออกของรังมดบ่อยๆ หลิวเสี้ยนหยางเวลาอารมณ์ไม่ดีก็คงเหยียบเหมือนกัน”
เด็กสาวชุดดำพูดไม่ออกกับคำตอบของอีกฝ่าย
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “อันที่จริงข้าเข้าใจความหมายของแม่นางหนิง”
นางถามอย่างแปลกใจ “จริงรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ารู้สึกว่าประโยคของแม่นางมีความหมายสองชั้น ชั้นแรกก็คือในสายตาของคนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าแล้ว ชาวบ้านในเมืองอย่างพวกเราคือมดที่เดินไปเดินมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า ความหมายชั้นที่สองก็คือ ในบรรดาคนต่างถิ่นยังมีการแบ่งแยกสูงต่ำ สำหรับเด็กอย่างกู้ช่าน คนอย่างฝูหนันหัวและไช่จินเจี่ยนรู้สึกว่าเขาเป็นมดที่พวกเขาสามารถตัดสินเป็นตายได้ อาจจะรู้สึกสนใจ หรืออาจจะรู้สึกขัดหูขัดตา แต่หากมาเจอคนอย่างท่านขุนนางที่อยู่ในตรอกหนีผิงของพวกเราเวลานี้กลับไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ล้วนต้องให้สอดคล้องกับสถานะของเขา ดังนั้นจึงได้เกรงใจมากเป็นพิเศษ ถูกหรือไม่ แม่นางหนิง?”
เด็กสาวเอ่ยถาม “เจ้าวิเคราะห์ออกได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มพูดเย้าหยอกอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก “หลังจากเก็บชีวิตกลับคืนมาได้ ก็เหมือนว่าจะฉลาดขึ้นเล็กน้อย”
เด็กสาวชุดดำกลับถามอย่างจริงจัง “ก่อนจะตาย เจ้ามองเห็นอะไร?”
“ข้าไม่เห็นอะไรหรอก” เฉินผิงอันแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบนางตามความสัตย์จริง “อันที่จริงตอนที่อยู่ในตรอก ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ปัญหาข้อนี้แม่นางหนิงคงต้องไปถามฝูหนันหัวกับไช่จินเจี่ยนแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจบอกได้ว่ามองเห็นอะไร”
นางแค่นเสียงเย็น “โอ้โห ปากเก่งไม่เบา!”
พอพูดประโยคนี้จบ นางก็จ้องเด็กหนุ่มเขม็งอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เฉินผิงอันถูกนางมองจนเริ่มทำตัวไม่ถูก “มีอะไรหรือ?”
เด็กสาวขมวดคิ้วแน่น พูดกับตัวเองด้วยภาษาบ้านเกิดท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย “การเรียนกระบี่ของตระกูลข้า ไม่ว่าจะเป็นคาถากระบี่หรือเวทอาคมที่ใช้การหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณก็ล้วนเป็นเวทลับไม่แพร่งพรายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ข้าเองยังเรียนได้ไม่ครบถ้วน ยังจะกล้ามีหน้าไปสอนคนอื่นได้อย่างไร อีกอย่างข้าก็ไม่เคยเรียนรู้สิ่งตื้นเขินของใต้หล้าแห่งอื่นมาก่อน หาไม่แล้วก็คงจะชี้นำแนวทางให้แก่เขาได้บ้าง ต่อให้ได้แค่ใช้เสริมสร้างร่างกายและจิตวิญญาณให้แข็งแกร่ง หรือแค่ให้มีอายุยืนยาวต่อไปก็ยังดี ตอนนี้จะให้ข้าไปหาคัมภีร์เวทลับเบื้องต้นที่มีเกณฑ์ต่ำสุดมาได้จากที่ไหน?”
แล้วทันใดนั้นดวงตาเด็กสาวก็เป็นประกาย “ปล้นเอารึ? ไม่ได้ๆ จะปล้นคนอื่นไม่ได้ ต้องไปยืมตำราลับจากคนอื่น เมื่อยืมก็ต้องคืน”
น่าเสียดายที่สีหน้าของนางหม่นลงอย่างรวดเร็ว กล่าวอย่างเจ็บใจว่า “เจ้าขันทีเฒ่าสมควรตาย! ฝากไว้ก่อนเถอะ คอยดูสิ ข้าจะไปค้นวังหลวงของพวกเจ้าจนพลิกคว่ำเลย”
ต่อมานางก็ทำสีหน้าห่อเหี่ยว กล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยาก “หรือว่าทำได้แค่ไปหาอาจารย์หลอมกระบี่แซ่หร่วนคนนั้น? ฆ่าคนข้ายังพอทำได้ อย่างน้อยก็ได้รับสืบทอดมาจากท่านแม่ข้าสี่ห้าส่วน แต่ให้ขอร้องคนอื่นนี่ ข้าไม่ถนัดเลยจริงๆ”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะนั่งอยู่บนธรณีประตูมองเด็กสาวนามว่าหนิงเหยาพูดคุยกับตัวเอง สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุดนิ่งเหมือนเมฆหลากสีตรงขอบฟ้า
—-
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมขาวรัดเข็มขัดหยกยืนอยู่ในห้องของซ่งจี๋ซิน เมื่อกวาดตามองไปรอบด้าน หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เจ้าคนแซ่ซ่งนั่นจัดหาสถานที่ทุเรศทุรังแบบนี้ให้เจ้าอยู่รึ?”
ซ่งจี๋ซินเม้มปาก ไม่พูดอะไร
สาวใช้จื้อกุยไปหลบอยู่ในห้องด้านข้างของตนอย่างรู้กาลเทศะนานแล้ว
ตามคำบอกเล่าที่แพร่หลายที่สุดในเมือง ใต้เท้าซ่งอดีตผู้ตรวจการคนก่อนทำงานได้ย่ำแย่ ไม่สามารถสร้างเครื่องบรรณาการที่ทำให้ราชสำนักพึงพอใจออกมาได้ หลังจากออกแรงเพียงเล็กน้อยสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแห่งนั้นเอาไว้ก็กลับเมืองหลวงไปรับตำแหน่งใหม่ แน่นอนว่ายังทิ้งบุตรชายนอกสมรสอย่างซ่งจี๋ซินเอาไว้อีกคน เขาเพียงแค่ซื้อสาวใช้คนหนึ่งมาคอยดูแลเรื่องกินเรื่องอยู่ของบุตรชาย นอกจากนั้นก็ ‘ฝากฝัง’ ไว้กับเพื่อนรัก ได้ยินว่าผู้ตรวจการเตาเผาคนใหม่ที่มาแทนที่เขาก็แซ่ซ่งเหมือนกัน
แต่ความจริงเป็นอย่างไร คนที่อยู่ในสถานการณ์มองไม่ทะลุ แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์กลับมองได้อย่างปรุโปร่ง
ซ่งจี๋ซินเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้มีความสัมพันธ์ใดกับชายแซ่ซ่งผู้นั้น เป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกัน? เป็นเพื่อนร่วมเรียนในอดีต? หรือเป็นคู่ปรับคนละพรรคคนละสำนักจากในเมืองหลวง? ก่อนหน้าที่คนแซ่ซ่งจะจากไปได้พูดไว้สองสามประโยค บอกว่าหลังจากที่ผู้ตรวจการคนใหม่มาถึงเมืองแล้ว อีกไม่นานก็จะพาพวกเขาสองคนนายบ่าวออกไปจากที่นี่ เดินทางไปที่เมืองหลวง สำหรับใต้เท้าผู้นั้น ซ่งจี๋ซินต้องให้ความเคารพนอบน้อมอย่างมีมารยาท ห้ามล่วงเกินหรือเพิกเฉยเด็ดขาด
อาจเป็นเพราะเกลียดบ้านจึงพานเกลียดไปยันนกที่อยู่ในบ้าน (เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าเมื่อไม่ชอบใคร แม้แต่สิ่งของหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคนนั้นๆ ก็พานไม่ชอบไปด้วย) ซ่งจี๋ซินจึงไม่มีความรู้สึกดีอันใดให้กับชายจากเมืองหลวงที่บุคลิกสะดุดตาน่ายำเกรงผู้นี้
การที่เขาแสดงความมั่นใจและวางท่าสงบเยือกเย็นสำหรับการที่ต้องไปจากบ้านเกิดต่อหน้าจื้อกุยสาวใช้ล้วนเป็นเพียงแค่เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเด็กหนุ่มเองเท่านั้น
ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ “ช่างเถอะ แต่ไหนแต่ไรมาซิ่วไฉ (ผู้สอบผ่านระดับวิทยาลัยตามการศึกษาในสมัยโบราณ) ยากจนแซ่ซ่งผู้นั้นก็มีนิสัยระมัดระวังตัวแจมาโดยตลอด ไม่เหมือนบุรุษผู้เป็นใหญ่ แต่กลับเหมือนสตรีอ่อนแอมากกว่า หาไม่แล้วก็คงไม่ให้เขามาดูแลเจ้าที่นี่”
ซ่งจี๋ซินยังคงมีสีหน้ามืดทะมึน
ชายหนุ่มเหลือบตามองไปเห็นลังไม้ใบใหญ่ที่เด็กหนุ่มใช้เก็บสิ่งของก็เบ้ปาก สีหน้าดูแคลน กล่าวเนิบช้า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้าได้พบกับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่ามาก่อนแล้ว ช่างดวงซวยซะจริง จิตในการฝึกตนของเขาถึงเกือบจะแหลกสลายอยู่ที่นี่ การแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้ากับเขาก็ดำเนินไปตามที่ตกลงกันไว้นั่นแหละ ทำอะไรเอาไว้ เจ้าต้องรับผิดชอบเอง ข้าไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับเรื่องเละเทะยิบย่อยพวกนี้ แต่ก่อนที่จะจากไป เจ้าต้องตามข้าไปที่สะพานนั่นสักรอบ ไปโขกหัวคำนับสักสองสามที หลังจากนี้ก็ไม่มีธุระอะไรของเจ้าแล้ว กลับบ้านกับข้า ทำเรื่องที่เจ้าสมควรทำ นั่งบนเก้าอี้ที่เจ้าสมควรนั่ง รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ง่ายดายเพียงเท่านี้ ฟังเข้าใจแล้วหรือไม่?”
“แน่นอนว่าย่อมฟังเข้าใจ คำพูดของใต้เท้าซ่งไม่ได้ฟังยากอะไร” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงหยัน “เพียงแต่ว่าท่านมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ?”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม หันกลับมามองเด็กหนุ่มตรงๆ เป็นครั้งแรก ถามกลับว่า “เจ้าแซ่ซ่งนิสัยเหมือนสตรีผู้นั้นบอกว่าพรสวรรค์ของเจ้าล้ำเลิศ คำวิจารณ์นี้ของเขาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ เจ้าไม่ลองเดาดูล่ะ ว่าข้ามีสิทธิ์อะไร?”
หากมองอย่างละเอียดจะค้นพบว่าหน้าตาและรูปร่างคนทั้งสองคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน
ซ่งจี๋ซินยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม เพียงแต่พยายามข่มกลั้นไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา
ชายหนุ่มไม่คิดจะเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับอีกฝ่ายอีก เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนานว่า “มีสิทธิ์อะไร? แน่นอนว่าย่อมต้องอาศัยสิทธิ์ที่ข้าผู้เป็นอ๋องคือคนที่ดวงซวยที่สุดในหล้า เพราะดันเป็นอาแท้ๆ ของเด็กอย่างเจ้าน่ะสิ”
ในใจของซ่งจี๋ซินสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สีหน้าจึงซีดขาวเล็กน้อย
ชายหนุ่มชุดขาวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของอีกฝ่าย มือทั้งคู่ประคองจับเข็มขัดหยก ทอดสายตามองไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง ยิ้มบางๆ “แล้วก็อาศัยสิทธิ์ที่ข้าผู้เป็นอ๋องคือบุคคลที่มีวรยุทธิ์เป็นอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลี”
อันที่จริงคำพูดประโยคนี้หากเปลี่ยนวิธีการพูดอีกอย่างหนึ่งย่อมต้องสร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ผู้คนได้มากกว่าเดิม เพียงแต่ชายหนุ่มยอมเป็นหัวไก่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ รู้สึกว่าขอแค่ตนต้องอยู่หลังผู้คน ต่อให้เป็นรองแค่คนหรือสองคนก็ยังไม่มีค่าพอให้ต้องอวดอ้างแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มนึกถึงเซิ่งเหรินสำนักขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ขึ้นมา มุมปากจึงยกยิ้มเหยียดหยัน แค่นเสียงเย็นในลำคอ
ในใจพร่ำพูดกับตัวเองว่า
หากไม่ได้อยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ เพียงฝ่ามือเดียวของข้าผู้อาวุโสก็สามารถทุบเทพเซียนสามลัทธิ (สามลัทธิได้แก่ศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า) อย่างเจ้าฉีจิ้งชุนให้ตายได้
—-
ในกระท่อมของโรงเรียน ท่านฉีกำลังฟังเสียงท่องตำรากังวานใสจากเหล่านักเรียนตัวน้อย
เขานั่งสงบอย่างสำรวม
คำว่านั่งสงบอย่างสำรวมตามความหมายที่แท้จริง แม้แต่เมล็ดพันธ์ปัญญาชนอย่างพวกซ่งจี๋ซินและจ้าวเหยาก็ยังยากจะบรรลุถึงแก่นแท้ได้
ลัทธิขงจื๊อมีตำรา ‘ตั้งลัทธิเปิดสำนัก’ เล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ต้าหลี่’ ใน ‘บทฝึกตน’ ของตำราเล่มนี้บรรยายไว้เป็นการเฉพาะว่า สุภาพชนต้องนั่งดั่งศพ เพราะศพคล้ายรูปปั้นองค์เทพ ท่านั่งเหมือนศพต้องนิ่งขรึมเคร่งเครียดแค่ไหน เพียงคิดก็พอจะทราบได้
เวลานี้ดูเหมือนฉีจิ้งชุนจะได้ยินทุกถ้อยคำที่อยู่ในใจของชายหนุ่มชุดขาว เขาจึงยิ้มบางๆ กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า ‘ผู้มีวรยุทธิ์ปกครองบ้านเมือง ร้ายกาจเสียจริง เพียงแต่ว่ามังกรขาวแปลงร่างเป็นปลาแหวกว่ายในบ่อ หาใช่ลางที่ดีไม่’ (มังกรแปลงร่างเป็นปลาแหวกว่ายในบ่อใช้ในกรณีที่ฮ่องเต้หรือขุนนางชั้นสูงแต่งตัวอำพรางฐานะของตนเองออกไปคลุกคลีกับชาวบ้าน)