Skip to content

Sword of Coming 32

บทที่ 32 กิ่งท้อ

เฉินผิงอันหิ้วน้ำกลับเข้ามาในบ้านของหลิวเสี้ยนหยาง พอเอาไปเทใส่อ่างน้ำในห้องครัวแล้วก็วิ่งมาที่หน้าประตูห้องของอีกฝ่าย ตะโกนเสียงดัง “หลิวเสี้ยนหยาง ขอข้าใช้ฟืนและเครื่องครัวเจ้าหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะตุ๋นแกงปลาไปให้แม่นางหนิงบำรุงร่างกาย”

หลิวเสี้ยนหยางที่กำลังนอนฝันหวานสะดุ้งตื่นเพราะเสียงของเขาจึงคำรามเดือดดาล “เจ้าคนแซ่เฉิน! เจ้านี่มันน่ารำคาญจริงๆ นายท่านอย่างข้าเพิ่งฝันว่าจื้อกุยส่งยิ้มมาให้! เจ้าคืนจื้อกุยมาให้ข้าเลย!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขออภัย “เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งไปเจอจื้อกุยที่บ่อโซ่เหล็กมาจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าเจอแม่เฒ่าหม่าก่อกวนเสียก่อน เลยลืมเอาคำพูดของเจ้าไปบอกนาง อีกเดี๋ยวตอนที่ข้าเอาแกงปลาไปให้แม่นางหนิง รับรองว่าจะไม่ลืมอีกแน่”

หลิวเสี้ยนหยางที่นอนหงายดีดตัวผลุงขึ้นมาทั้งอย่างนั้น เขารีบสวมใส่เสื้อผ้า วิ่งมานั่งอยู่บนธรณีประตูโถงใหญ่ของห้องหลัก มองเงาร่างผอมแห้งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัวแล้วหัวเราะหึๆ “เดี๋ยวข้าจะเอาแกงปลาไปส่งกับเจ้าด้วย ใช่แล้ว วันนี้จื้อกุยสวมชุดกระโปรงทับทิมสีแดงสดตัวนั้น หรือว่าสวมตัวสีเขียวอ่อน? เฮ้อ รอข้าเก็บเงินครบสองร้อยอีแปะเมื่อไหร่ก็สามารถซื้อผงเงินร้อยกว่าอีแปะตลับนั้นได้แล้ว ข้ารู้ว่านางถูกใจมันมานานมากแล้ว แต่ตัดใจซื้อไม่ลง ต้องโทษเจ้าซ่งจี๋ซินขี้งกนั่นคนเดียว ตัวเองสวมเสื้อผ้าเหมือนพวกลูกหลานถนนฝูลวี่ แต่ปีๆ หนึ่งจื้อกุยที่น่าสงสารกลับมีเสื้อผ้าใหม่แค่ไม่กี่ชุด หากข้าเป็นนายน้อยของนาง รับรองว่านางชอบอะไร ข้าก็จะซื้ออันนั้น เอาให้นางกลายเป็นคุณหนูใหญ่ที่ร่ำรวยยิ่งกว่าพวกคุณหนูบนถนนฝูลวี่เสียอีก!”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจความเพ้อฝันของหลิวเสี้ยนหยาง เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมหลิวเสี้ยนหยางถึงไปชอบจื้อกุยได้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาดูถูกชาติกำเนิดสาวใช้ซ่งจี๋ซินของนาง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าจื้อกุยหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ เพียงแต่เขามักจะรู้สึกว่า ไม่ว่าดูยังไง จื้อกุยกับหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เหมือนเนื้อคู่กันสักนิด

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมเจ้าถึงเรียกนางว่าจื้อกุย ไม่เรียกว่าหวังจูแล้วล่ะ?”

หลิวเสี้ยนหยางแสยะปากยิ้ม “พอรู้ว่า ยังไงเจ้าก็ไม่รู้ว่าชื่อ ‘จื้อกุย’ เขียนยังไง ข้าก็เลยไม่ดึงดันจะเรียกอีก”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เจ้ามาแข่งกับข้าจะมีประโยชน์อะไร ไปแข่งกับซ่งจี๋ซินโน่นสิ จื้อกุยไม่ใช่สาวใช้ข้าเสียหน่อย”

หลิวเสียนหยางหลุดหัวเราะพรืด “ไอ้หมอนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะดีกว่าเจ้าไปซะทุกอย่างเสียหน่อย ยกตัวอย่างเช่นชีวิตนี้เขาเคยเรียกใครว่า ‘พ่อ’ ‘แม่’ ไหม? ไม่เคยใช่ไหมล่ะ แค่นี้ก็สู้เจ้าเฉินผิงอันไม่ได้แล้วไม่ใช่หรือ? ก็ไม่แปลกที่แม่ของกู้ช่านและพวกยายแก่อย่างแม่เฒ่าหม่าชอบพูดจาร้ายกาจใส่เขา เดิมทีเจ้าซ่งจี๋ซินผู้นั้นก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ไร้มลทินอะไร หาไม่แล้วทำไมเขาถึงไม่ไปอยู่ในจวนของผู้ตรวจการอย่างเปิดเผย แต่กลับมาใช้ชีวิตยากลำบากอยู่ในตรอกหนีผิงของพวกเจ้าแทน? แถมไอ้หมอนี่ยังชอบใช้ตาสุนัขของตัวเองมองคนอื่นต่ำต้อย ก็สมควรแล้วที่จะถูกคนอื่นสาดน้ำโคลน ด่าว่าลูกไม่มีพ่อ”

เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าประตูห้องครัว “หลิวเสี้ยนหยาง แม้ข้ากับซ่งจี๋ซินจะไม่นับว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เจ้าว่าเขาแบบนี้…”

หลิวเสี้ยนหยางรีบชูมือสองข้างขึ้นปรามไม่ให้เฉินผิงอันบ่นต่อ แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกะล่อน “ข้าไม่พูดก็ได้ พอใจรึยัง? เฉินผิงอัน ไอ้นิสัยดื้อดึงของเจ้านี่ไปได้ใครมานะ? ท่านปู่ของข้าเคยบอกว่า พ่อแม่ของเจ้าต่างก็เป็นคนพูดง่าย โดยเฉพาะแม่ของเจ้าที่พูดเสียงเบาอ่อนหวาน แถมยังชอบยิ้ม นิสัยของนางดีจนไม่มีที่ติ ท่านปู่ข้ายังบอกด้วยว่าในอดีตแม่เฒ่าหม่าด่าคนในตรอกใกล้เคียงแทบจะครบหมดทุกคน มีเพียงยามที่เจอแม่เจ้าเท่านั้นที่ไม่เพียงแต่ไม่พูดจาหาเรื่อง ยังยิ้มประจบเอาใจนางด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง

หลิวเสี้ยนหยางจึงโบกมือไล่อีกฝ่าย “รีบไปตุ๋นน้ำแกงให้เมียเจ้าเถอะ”

เฉินผิงอันเหลือกตาใส่ “แน่จริงเจ้ากล้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าแม่นางหนิงไหมล่ะ?”

หลิวเสี้ยนหยางกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่ได้โง่เหมือนเจ้าสักหน่อย”

หลังจากนั้นไม่นานเฉินผิงอันก็ประคองหม้อดินเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากห้องครัว คนทั้งสองลงกลอนประตูหน้าบ้านเสร็จก็เดินไปยังตรอกหนีผิงด้วยกัน พอมาถึงหน้าประตูบ้านของเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางเห็นอีกฝ่ายเคาะประตูท่าทางทึ่มทื่อถึงได้รู้ว่าที่แท้ไอ้หมอนี่ยกกุญแจบ้านทั้งหมดให้กับเด็กสาวชุดดำ แล้วจึงพลันรู้สึกว่าคนผู้นี้ไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ

เวลาอยู่ในบ้าน เด็กสาวชุดดำไม่ได้สวมหมวกปิดบังใบหน้า ตอนที่เปิดประตูจึงเผยให้เห็นดวงหน้างามพิสุทธิ์ ลึกๆ ในใจหลิวเสี้ยนหยางค่อนข้างหวาดกลัวเด็กสาวไม่ช่างพูดคนนี้ เด็กหนุ่มสูงใหญ่ถึงขั้นไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร จะบอกว่านางมีนิสัยเย็นชา จื้อกุยที่อยู่บ้านข้างๆ ก็มีแต่จะเย็นชายิ่งกว่านาง แต่ถึงกระนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็ยังกล้าพอที่จะแบกหน้าหนาๆ ไปตามตื๊ออีกฝ่าย หากจะบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะเด็กสาวชุดดำพกกระบี่และดาบติดตัว ก็ไม่ถูกอีกนั่นแหละ เพราะต่อให้หลิวเสี้ยนหยางจะเคยถูกพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ของถนนฝูลวี่ไล่ซ้อมล้อมตีจนสภาพเหมือนสุนัขไร้เจ้าของมาหลายครั้ง แต่อันที่จริงในใจเด็กหนุ่มไม่เคยหวาดกลัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ทว่าเขากลับรู้สึกกลัวเด็กสาวต่างถิ่นนามว่าหนิงเหยาคนนี้

หลังจากเด็กสาวชุดดำนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเปิดฝาหม้อดินดมกลิ่นหอมของน้ำแกง ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นของนางก็หรี่ลงน้อยๆ พยักหน้ารับ พูดเสียงนุ่ม “ขอบใจมาก”

เฉินผิงอันเป็นคนช่างสังเกตจึงรู้ว่าท่าทางเช่นนี้น่าจะหมายความว่าเด็กสาวผู้เย็นชาอารมณ์ดีอย่างมาก

เฉินผิงอันช่วยต้มโจ๊กให้นางไว้หม้อหนึ่ง บอกให้นางคอยดูไฟเอาเอง จากนั้นจึงหันไปพูดกับหลิวเสี้ยนหยาง “เจ้าจะรอจื้อกุยออกจากบ้านหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าไปส่งจดหมายก่อนนะ”

หลิวเสี้ยนหยางนั่งอยู่บนธรณีประตู กำลังเงี่ยหูตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวของบ้านข้างๆ ด้วยความหวาดหวั่นว่าจะได้ยินเสียงให้ชวนคิดลึก เด็กหนุ่มสูงใหญ่ที่กำลังอารมณ์ไม่ดีจึงตอบเสียงหงุดหงิด “เจ้าจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ!”

เฉินผิงอันเดินออกจากบ้าน ตอนที่กำลังจะเหยียบลงบนถนนของตรอกหนีผิงพลันค้นพบว่าเบื้องหน้ามืดสลัวลง พอเงยหน้ามองจึงเห็นว่าที่แท้มีชายร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมสีขาวหิมะคนหนึ่งกำลังยืนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งวางทาบไว้บนเข็มขัดหยกสีขาวตรงเอว ทอดสายตามองไปยังทิศไกล

คงจะตระหนักได้ว่าตัวเองยืนขวางอยู่บนทางที่แคบเล็ก ชายหนุ่มจึงยิ้มน้อยๆ แล้วเป็นฝ่ายเบี่ยงตัวหลีกทางให้แก่เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันที่สาวเท้าเร็วๆ เดินออกจากตรอกหนีผิงเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ พอหันกลับมามองอีกครั้งก็เห็นว่าชายหนุ่มเดินช้าๆ เข้าไปในตรอกหนีผิงแล้ว

ต่อให้ก่อนหน้านี้จะแค่มองผ่านๆ เฉินผิงอันก็ยังเห็นว่าตรงช่วงหน้าอกทั้งด้านหน้าและด้านหลังของชุดคลุมสีขาวหิมะที่สะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดตัวนั้นล้วนปักด้วยด้ายสีทองอ่อน พอจะมองเห็นได้รำไรว่าเป็นรูปภาพสองรูป เหมือนมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังว่ายวนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆเหนือยอดเขา อัศจรรย์อย่างยิ่ง เฉินผิงอันไม่ครุ่นคิดให้ลึกซึ้งอีก เพียงแค่มองว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนต่างถิ่นเหมือนฝูหนันหัวที่หวังมาแสวงหาโชควาสนาในตรอกหนีผิง วันนั้นหลังจากที่เดินผ่านต้นไหวโบราณพร้อมกับท่านฉี เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็ไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าไหร่แล้ว เพราะรู้สึกว่าขอแค่ท่านฉียังอยู่ในเมืองแห่งนี้ ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถทวงความยุติธรรมให้ตัวเองได้

ตอนที่เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ผ่านตรอกซิ่งฮวาก็เห็นเด็กสาวชุดเขียวที่พบโดยบังเอิญเมื่อคืน นางยังนั่งอยู่ในร้านเกี๊ยวน้ำ มือสองข้างจับตะเกียบตั้งบนโต๊ะข้างละอันพลางเคาะเบาๆ ใบหน้ากลมอิ่มเจ้าเนื้อที่ยังดูเยาว์วัยนั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา สายตาของนางมองเห็นแต่เกี๊ยวน้ำที่ต้มอยู่ในหม้อน้ำร้อน ไม่ได้สังเกตเห็นเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปห้าหกก้าวเลยแม้แต่น้อย

สำหรับเด็กสาวชุดเขียวแล้ว อาหารอร่อยต้องมาก่อน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ต้องกินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยหนี!

เฉินผิงอันรู้สึกนับถือหญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้จากใจจริง แล้วก็ไม่คิดจะรบกวนนาง เพียงยิ้มแล้ววิ่งตรงไปทางทิศตะวันออกของเมืองต่อไป

คนบางคนหรือเรื่องบางเรื่องที่ต่อให้จะเป็นเพียงทิวทัศน์ข้างทาง ทว่าบางครั้งเพียงมองแค่ปราดเดียวก็ยังคงทำให้คนรู้สึกงดงามได้อยู่ดี

ตอนที่เฉินผิงอันมาถึงประตูรั้วทางฝั่งตะวันออก ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกกำลังยืนอยู่บนตอไม้ เขย่งปลายเท้ามองไปทางทิศตะวันออกคล้ายกำลังรอคนสำคัญบางคนอยู่

เมื่อก่อนเฉินผิงอันเคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่ที่ไปรวมตัวอยู่แถวต้นไหวโบราณคุยกันว่า ตอนที่ใต้เท้าผู้ตรวจการคนปัจจุบันเข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรกได้มีการจัดขบวนต้อนรับที่ยิ่งใหญ่ เหล่าผู้อาวุโสของสี่แซ่สิบตระกูลแทบจะปรากฏตัวกันทั้งหมด เพื่อมา ‘รอรับเสด็จ’ อยู่ตรงประตูฝั่งตะวันออกนี้ เพียงแต่ว่าหลังจากรออยู่กลางแดดจ้านานหลายชั่วยาม สุดท้ายขุนนางผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องทั่วไปคนหนึ่งก็วิ่งตาลีตาเหลือกมาถึงประตูตะวันออก บอกกว่าใต้เท้าผู้ตรวจการที่อยู่ในเรือนหลังของจวนเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน ให้ทุกคนไปพบกันที่จวนผู้ตรวจการได้เลย ทำเอาเหล่านายท่านของตระกูลสูงศักดิ์เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ว่ากันว่าหลังจากไปถึงประตูใหญ่ของจวนผู้ตรวจการกลับไม่มีใครกล้าแม้แต่จะผายลม แต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใสดุจลูกหลานที่ว่าง่ายของท่านผู้ตรวจการอย่างไรอย่างนั้น

เฉินผิงอันแปลกใจมาโดยตลอดว่าทำไมเวลาที่ผู้เฒ่าพวกนั้นเล่าเรื่องถึงเหมือนคนที่ได้เห็นมากับตาตัวเอง ทุกครั้งที่พูดถึงข่าวเล็กข่าวน้อยของถนนฝูลวี่หรือของตรอกเถาเย่ก็ช่างดูสมจริงเสียยิ่งกว่าจริง ยกตัวอย่างเช่นพูดถึงเรื่องอนุภรรยาคนรองของตระกูลหลูไปมีสัมพันธ์กับครูฝึกหน่วยพิทักษ์ความปลอดภัยแล้วมีคนพังประตูไปพบเข้า ขนาดรายละเอียดที่ว่าอนุภรรยาคนรองตกใจทำอะไรไม่ถูก รีบหยิบเสื้อผ้ามาปิดบังหน้าอกอวบอิ่มของตัวเองอย่างไร ก็ยังเล่าได้ละเอียดยิบไม่มีตกหล่น ราวกับว่าคนที่เล่าเรื่องคือตัวครูฝึกหน่วยพิทักษ์ความปลอดภัยเอง

ทุกครั้งที่หลิวเสี้ยนหยางฟังเรื่องนี้จะต้องลอบกลืนน้ำลาย ซ่งจี๋ซินเองก็ไปฟังบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่เคยพาจื้อกุยไปด้วย รอยยิ้มของเขาเวลาฟังเรื่องพวกนี้ดูสำรวมกว่าหลิวเสี้ยนหยาง แต่เวลาลอบส่งเสียงเฮไปพร้อมกับฝูงชนกลับเอาจริงเอาจังมากเป็นพิเศษ เสียงดังยิ่งกว่าเวลาอ่านตำราของปรมาจารย์รอบเช้าและรอบเย็นเสียอีก

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างตอไม้ รอคนเฝ้าประตูของเมืองอย่างอดทน

ชายฉกรรจ์ด่าพ่อล่อแม่ใครอยู่ครู่หนึ่งก็กระโดดลงมาจากตอไม้ พอเหลือบตามาเห็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินเข้าไปหยิบจดหมายปึกหนึ่งออกมาจากในกระท่อมดินเหนียว จดหมายหกฉบับ ให้เหรียญอีแปะแค่ห้าเหรียญเท่านั้น

เฉินผิงอันพลิกดูที่อยู่บนจดหมายคร่าวๆ ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะว่ามีจดหมายสองฉบับที่เป็นเพื่อนบ้านกันบนถนนฝูลวี่ เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะเอาเปรียบอีกฝ่าย แน่นอนว่าถ้าหากชายฉกรรจ์เกิดอยากจะเป็นคนใจดีมีเมตตา ให้เงินหกอีแปะแต่แรก เฉินผิงอันก็ไม่มีทางปฏิเสธเงินนี้แน่

หลังจากจัดเรียงลำดับจดหมายที่ต้องไปส่งแล้ว เฉินผิงอันจึงถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “รอคนรึ?”

ชายฉกรรจ์ปรายตามองไปยังถนนกว้างใหญ่ทางฝั่งตะวันออก ตอบอย่างหงุดหงิด “รอนายท่านใหญ่!”

เฉินผิงอันไม่อยากอยู่ต่อเพื่อเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายจึงรีบวิ่งจากไป

ชายฉกรรจ์หัวเราะอย่างถอนฉิว “โอ๊ะโอ เริ่มรู้อะไรควรไม่ควรบ้างแล้วนี่นา”

ชายฉกรรจ์เงยหน้ามองสีท้องฟ้า เสียงฟ้าร้องครืนครั่นเงียบหายไปนานแล้ว ชั้นเมฆที่ลดตัวลงต่ำจนแทบจะติดกับหลังคาบ้านก็ค่อยๆ สลายหายไป

ชายฉกรรจ์นั่งแปะลงบนตอไม้ ถอนหายใจกล่าวว่า “เทพเซียนตีกัน แต่คนธรรมดาต้องรับกรรม”

—-

จดหมายหกฉบับ สี่แซ่ใหญ่ของถนนฝูลวี่อย่างหลู หลี่ จ้าว ซ่ง ต่างมีจดหมายคนละหนึ่งฉบับ และยังมีอีกสองฉบับที่อยู่ในตรอกเถาเย่ ฉบับหนึ่งในนั้นบังเอิญมากที่ยังคงเป็นจดหมายของบ้านผู้เฒ่าหน้าตาใจดี และยิ่งบังเอิญเข้าไปอีกที่คนเปิดประตูมารับจดหมายก็ยังคงเป็นผู้เฒ่าคนนั้น พอเห็นเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าจำเด็กหนุ่มรองเท้าแตะได้จึงเอ่ยหยอกเย้า “เจ้าหนู จะไม่เข้ามาดื่มน้ำก่อนจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มเขิน ส่ายหน้าให้อีกฝ่าย

ผู้เฒ่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพียงแค่หยิบเหรียญทองแดงกำหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วยื่นส่งให้เฉินผิงอัน หัวเราะร่าพร้อมอธิบายไปด้วย “วันนี้ในบ้านมีเรื่องดี เงินกำนัล (喜钱เงินกำนัลหรือเงินอั่งเปา เป็นเงินที่คนในบ้านที่มีงานสิริมงคลมอบให้) เล็กๆ น้อยๆ นี่ ใครที่ได้เห็นย่อมมีส่วนแบ่ง ให้ไว้เพื่อเป็นสิริมงคลเท่านั้น ไม่มาก แค่สิบกว่าอีแปะ ดังนั้นเจ้าจงวางใจรับไปเถอะ”

เฉินผิงอันถึงได้ยื่นมือออกไปรับด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านปู่เว่ย!”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “เจ้าหนู หากช่วงนี้ไม่มีอะไรทำก็ไปนั่งใต้ต้นไหวโบราณบ่อยๆ เถอะ หากเห็นว่าบนพื้นมีใบไหว มีกิ่งไหวหรืออะไรก็จงเก็บกลับไปวางไว้ในบ้าน สามารถป้องกันมด แมลง สัตว์มีพิษได้ดีมาก แถมเจ้ายังไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองด้วย”

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนพื้นหันไปโค้งตัวคารวะผู้เฒ่า

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ไปเถอะๆ แผนการหนึ่งรอบปีเริ่มที่ฤดูใบไม้ผลิ[1] เป็นเด็กหนุ่มออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายให้มากย่อมเป็นเรื่องดี”

เด็กหนุ่มวิ่งออกไปจากตรอกเถาเย่ที่พื้นถนนปูด้วยแผ่นหินสีเขียว

ผู้เฒ่ายังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านเนิ่นนาน สายตาจ้องมองไปยังต้นท้อสองฟากฝั่งถนน สาวใช้อายุน้อยเรือนกายอรชรคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่า เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านบรรพบุรุษ มองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ? ด้านนอกอากาศเย็น เดี๋ยวร่างจะแข็งเอาได้”

เด็กสาวรับใช้ผู้เฒ่ามาหลายปีแล้ว รู้ว่าท่านบรรพบุรุษผู้นี้มีจิตใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ นางเคารพนับถือผู้เฒ่า แต่หาได้มีความหวาดกลัว จึงกล้าหยอกเย้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ท่านบรรพบุรุษ ท่านคงไม่ได้คิดถึงแม่นางที่เคยพบเจอตอนยังเป็นหนุ่มหรอกนะเจ้าคะ? ตอนนั้นแม่นางคนนั้นยืนอยู่ใต้ต้นท้อหรือ?”

ผู้เฒ่าผมขาวโพลนยิ้มตอบ “เถาหยา เจ้าเองก็เหมือนเด็กหนุ่มส่งจดหมายคนนั้นที่ต่างก็เป็น ‘คนมีใจมุ่งมั่น’ เหมือนกัน”

เด็กสาวที่ได้รับคำชมยิ่งหัวเราะชอบใจ

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ในสองวันนี้จะมีญาติทางไกลมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน ถึงเวลานั้นเจ้าเถาหยาก็จงไปจากเมืองพร้อมกับพวกเด็กๆ ในบ้านเถอะนะ”

สาวใช้อึ้งงัน ดวงตาพลันแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้น “ท่านบรรพบุรุษ ข้าไม่อยากไปจากที่นี่”

ผู้เฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนพูดง่ายมาโดยตลอดกลับโบกมือตัดบท “ข้าจะยืนดูทิวทัศน์ในตรอกอีกสักหน่อย เจ้ากลับไปก่อน เถาหยา ทำตามที่บอก หาไม่แล้วข้าจะโกรธ”

สาวใช้จึงได้แต่จากไปอย่างขลาดกลัว เดินได้ก้าวหนึ่งหันกลับมามองสามครั้ง

ใบต้นท้อเป็นพุ่มดกหนา แต่กลับไม่มีดอกท้อผลิบาน

ผู้เฒ่าพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ข้ามธรณีประตู เดินลงบันไดไปยังต้นท้อต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ผู้เฒ่าก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าอาลัย “ดอกท้อบานสะพรั่ง แดงสดปลั่งดั่งเปลวเพลิง จะไม่ได้เห็นอีกแล้วจริงๆ”

ผู้เฒ่าหันกลับไปมองบ้านตัวเองแล้วพึมพำว่า “เมืองแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมยอดเยี่ยม เดิมทีก็ไม่สอดคล้องกับมหามรรคาอยู่แล้ว พอตอนนั้นถูกพวกเซิ่งเหรินฝืนเปลี่ยนฟ้าปรับดิน ถึงได้เสวยสุขกับโชคดีอันยิ่งใหญ่มาตลอดสามพันปี คนแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ออกไปจากเมือง ส่วนใหญ่ได้ไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป ทว่าสวรรค์ทรงปรีชาเพียงนั้น ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดบัญชี เก็บค่าตอบแทนจากพวกเรา เด็กๆ อย่างพวกเจ้าหากไม่รีบไปจากที่นี่ แล้วจะรอความตายไปพร้อมกับพวกเราที่เดิมทีก็เป็นเพียงเครื่องปั้นเก่าๆ ที่ผุพังกระนั้นหรือ? ต้องรู้ว่าความตายก็มีแบ่งเล็กใหญ่ คนหลายพันคนในเมืองของเรา หากต้องตายก็คือการตายครั้งใหญ่ แม้แต่โอกาสกลับมาเกิดใหม่ก็ไม่มีอีกแล้ว”

“ดังนั้น ตอนนี้ฉวยโอกาสที่สวรรค์ยังลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง จากไปได้มากเท่าไหร่ก็มากเท่านั้นเถอะ”

ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือเหี่ยวย่นออกไปประคองจับกิ่งท้อ “คนมีใจมุ่งมั่นเอ๋ยคนมีใจมุ่งมั่น หวังว่าสวรรค์จะตอบแทนพวกเจ้าจริงๆ”

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หญิงชราย่าของจ้าวเหยาบัณฑิตหนุ่มถึงเดินค้ำไม้เท้าเข้ามาใกล้ “แก่จนใกล้จะลงโลงอยู่แล้ว ยังจะไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ เหมือนหญิงแก่ผัดแป้งแต่งหน้าที่มีแต่จะสร้างความรำคาญตาให้แก่ผู้คน หายนะค้ำฟ้าครั้งนี้ จิตใจดีงามเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าจะเปลี่ยนได้สักเสี้ยวหรือไร?”

สีหน้าของผู้เฒ่าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เห็นหญิงชราที่ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะเหมือนตนเดินมาใกล้ จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เจ้ามาแล้วหรือ?”

หญิงชราอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็อับอายจนพานเป็นความโกรธ ยกไม้เท้าขึ้นฟาดอีกฝ่าย “ตาแก่หน้าไม่อาย อายุปูนนี้ยังกล้าพูดจาปากไม่มีหูรูดอีกรึ?!”

ไม้เท้าดุจเม็ดฝนที่หล่นลงบนร่าง ผู้เฒ่าได้แต่เผ่นหนี แต่กระนั้นก็ยังหัวเราะเสียงดัง

หญิงชราที่ยืนอยู่ใต้ต้นท้อยังคงโมโหไม่คลาย นึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองไม่ควรใจอ่อน อยู่ดีๆ ถึงเดินมายังตรอกเถาเย่

สุดท้ายหญิงชราเงยหน้าขึ้นมองใบต้นท้อที่เพิ่งแตกหน่อ

จากนั้นนางก็เดินกลับไปยังถนนฝูลวี่ ไม้เท้าเคาะลงบนแผ่นหินสีเขียวครั้งแล้วครั้งเล่า

คิดไม่ถึงว่าเมืองเล็กๆ ที่สงบสุขและรุ่งเรืองมานานนับพันปี พอถึงท้ายที่สุดล้วนมีแต่คนน่าสงสารที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เกิดใหม่

จะไม่มีทางรอดเลยสักเสี้ยวจริงๆ หรือ?

—-

น้ำในธารน้ำค่อยๆ ตื้นเขิน น้ำในบ่อเริ่มเย็นลง ต้นไหวโบราณยิ่งแก่ชรา โซ่เหล็กขึ้นสนิม ก้อนเมฆลดตัวลงต่ำ

ปีนี้กิ่งท้อ (กิ่งท้อตรงกับชื่อตรอกเถาเย่) ไม่มีดอกท้อผลิบานให้เห็น

—-

[1] แผนการหนึ่งรอบปีเริ่มที่ฤดูใบไม้ผลิ ชาวจีนให้ความสำคัญกับฤดูใบไม้ผลิอย่างยิ่ง เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต ปีใหม่ของชาวจีนและการทำไร่ทำนาก็จะเริ่มขึ้นในฤดูกาลนี้ เนื่องจากเมื่อผ่านพ้นฤดูหนาวย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอากาศจะเริ่มอบอุ่น ดอกไม้ผลิบาน สรรพสิ่งกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version