Skip to content

Sword of Coming 31

บทที่ 31 เคาะภูเขา

ตอนที่เฉินผิงอันหิ้วถังน้ำมาที่บ่อโซ่เหล็ก ระหว่างทางเดินผ่านร้านอาหารเช้าในตรอกซิ่งฮวาอยู่หลายร้าน ท้องจึงร้องโครกครากอย่างไม่ไว้หน้าเจ้าของ เพียงแต่ว่ากระเป๋าเงินแฟบแบน เด็กหนุ่มจึงได้แต่แข็งใจเดินไปเข้าแถวตักน้ำ ข้างหน้าเขายังมีคนต่อแถวอยู่สามคน พอมาถึงเขา จู่ๆ จื้อกุยที่ถือถังน้ำเล็กๆ ใบหนึ่งกลับพุ่งเข้ามาแทรก พวกคนที่รออยู่ด้านหลังจึงไม่สบอารมณ์กันทันที

แม้ว่าจะไม่ได้ด่ากราดเอาเรื่อง แต่คำพูดก็ไม่น่าฟัง โดยเฉพาะหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่เฒ่าหม่า ลูกชายทั้งสองของนางต่างก็ได้ดิบได้ดี ต่างคนต่างมีเตาเผามังกรคนละหนึ่งแห่ง แม้ขนาดจะเล็กมาก อยู่ในอันดับล่างสุดของบรรดาเตาเผามังกรทั้งสามสิบกว่าแห่งของเมือง ทว่าเมื่อมาอยู่ในตรอกซิ่งฮวาย่อมถือว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยค้ำฟ้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างแม่เฒ่ากับลูกสะใภ้ทั้งสองถึงย่ำแย่มาโดยตลอด ลูกชายและลูกสะใภ้ของนางจึงย้ายออกไปอยู่ที่ตรอกเถาเย่นานแล้ว หญิงชราจึงอยู่ในบ้านหลังเก่าที่ตรอกซิ่งฮวาเพียงลำพัง

สำหรับในสายตาของคนรุ่นเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางแล้ว แม่เฒ่าหม่าคือผู้อาวุโสที่น่ากลัวมาก ปากของนางด่าคนได้อย่างเจ็บแสบ ซ้ำยังใจแคบและขี้เหนียว ขนาดหิมะที่กองอยู่นอกประตูบ้านในช่วงฤดูหนาว นางก็แทบจะกวาดเอาไปไว้ในบ้านของตัวเองทั้งหมด หากมีเด็กเล่นขว้างหิมะโดยใช้หิมะที่อยู่ตรงหน้าบ้านนาง หรือหักแท่งน้ำแข็งที่ห้อยย้อยตรงชายคาบ้านของนางลงมา นางสามารถถือไม้กวาดไล่ตีไล่ด่าไปได้หลายเส้นถนนโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ในอดีตแถวตรอกแถบตะวันตกของเมืองน่าจะมีแค่มารดาของกู้ช่านเท่านั้นที่พอจะข่มความร้ายกาจของแม่เฒ่าหม่าได้บ้าง ตอนนี้ว่ากันว่าหญิงหม้ายสกุลกู้ติดตามญาติสามีที่ตายเป็นผีไปแล้วของนางกลับไปยังบ้านเกิดสามี แม่เฒ่าหม่าที่หลายปีมานี้พอจะทำตัวใจดีมีเมตตาได้บ้างก็รีบกลายมาเป็นมังกรเริงร่าพยัคฆ์ลิงโลดที่หวนคืนสู่ยุทธภพอีกครั้งทันที เห็นใครก็ขัดหูขัดตาไปเสียหมด

พอสาวใช้ของซ่งจี๋ซินโผล่มา แม่เฒ่าหม่าจึงคลี่ยิ้มเสแสร้ง จงใจขยับไปใกล้สตรีวัยกลางคนที่อยู่ข้างกาย แสร้งทำเป็นพูดเรื่องสัพเพเหระ แม้เสียงจะไม่ดังมากนัก แต่คำพูดกลับระหายหูไม่น้อย นางบอกว่า แม่นางบางคนถึงเวลาได้เปิดหน้ากำจัดขนกับเขาเสียที[1] จะอย่างไรซะเวลาเดินขาสองข้างก็หุบไม่ลงอยู่แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่น่ายินดี ในที่สุดก็ไม่ต้องมีชะตาเป็นสาวใช้ จะได้ถูกคนอื่นเรียกฮูหยินอย่างเปิดเผยกับเขาแล้ว

เฉินผิงอันฟังด้วยความรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไล่จื้อกุยที่เป็นฝ่ายทำผิดก่อนออกไปอย่างไร เพราะอย่างไรซะก็เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งหลายปี ดังนั้นหลังจากช่วยหลิวเสี้ยนหยางตักน้ำจนเต็มสองถัง เขาจึงรีบตักมาให้นางอีกถังหนึ่ง หวังว่าจะได้ไปให้พ้นกลุ่มยายแก่ปากมากพวกนี้เร็วๆ แม่เฒ่าหม่าที่เห็นว่านังเด็กต่ำช้าคนของตระกูลซ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ยิ่งโมโหเกรี้ยวกราด

ยามที่ยอดฝีมือลงมือก็มักเป็นเช่นนี้ สิ่งที่กลัวที่สุดก็คืออีกฝ่ายไม่ยอมรับกระบวนท่าที่ตัวเองปล่อยออกไป เสียแรงที่มีวรยุทธิ์ล้ำเลิศ แต่กลับไม่มีที่ให้นำไปใช้

ในอดีตยามที่ทะเลาะกับนังจิ้งจอกหม้ายสกุลกู้ แพ้ก็ส่วนแพ้ เพราะทุกครั้งแม่เฒ่าจะต้องรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองมีการพัฒนาไปจากเดิม คราวหน้าที่ทะเลาะกันต้องเอาคืนได้แน่นอน ไฉนเลยจะเหมือนนังเด็กไม่มีสัมมาคารวะตรอกหนีผิงคนนี้ที่แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่พูดไม่จา แต่ก่อนจะจากไป สายตาที่เด็กสาวมองมากลับเผยแววที่ทำใหญ่หญิงชราครั่นเนื้อครั่นตัวไปเสียทุกครั้ง ทำเอาแม่เฒ่าแค้นจนกัดฟันกรอด อยากจะปรี่ไปข่วนหน้าของนางให้ลายพร้อย พวกเด็กหนุ่มหรือชายฉกรรจ์ที่อยู่ในตรอกใกล้เคียงจะได้ไม่ต้องเอาจิตใจไปลุ่มหลงอยู่กับเรือนร่างของนังสาวใช้ไร้อย่างอายผู้นี้

โดยเฉพาะหลานชายของนางที่แม้ในสายตาคนนอกเขาจะเป็นแค่คนบื้อคนหนึ่ง ทว่าช่วงที่ผ่านมานี้แม้แต่นางที่เป็นย่าก็ยังรู้สึกว่าเด็กคนนี้เสียสติไปแล้วจริงๆ วันทั้งวันถึงคอยพูดจาเหลวไหล เอาแต่บอกว่าวันหน้าจะแต่งสาวใช้ตรอกหนีผิงคนนี้เข้ามาเป็นสะใภ้ที่บ้าน คงจะเหมือนได้พิชิตผืนฟ้ามาไว้ในฝ่ามือ

พอเห็นว่าเด็กสาวที่น่ารังเกียจไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แม่เฒ่าหม่าเลยย้ายความสนใจไปไว้ที่ตัวของเด็กหนุ่มยากจนแทน นางจุ๊ปากพูดว่า “เจ้าเด็กอนาถาไม่เอาถ่าน ทำให้พ่อกับแม่ตายก็ยังมีหน้าใช้ชีวิตอยู่บนโลก รู้ว่าตัวเองคงไม่มีปัญหาแต่งเมียได้เลยคอยก้อร่อก้อติกอยู่กับสาวใช้บ้านคนอื่น ช่างเป็นคู่สุนัขชายหญิงที่สวรรค์สรรค์สร้างเสียจริง รีบๆ ไปอยู่ด้วยกันก็ดี จะอย่างไรซะตรอกหนีผิงก็เป็นสถานที่ที่มีแต่พวกสวะชั้นต่ำอาศัยกันอยู่แล้ว วันหน้าลูกคลอดออกมา ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นอันธพาลใหญ่ครองตรอกหนีผิงก็เป็นได้”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็โน้มตัวเตรียมจะวางคานไม้ที่พาดบ่าลง

แต่จื้อกุยสาวใช้กลับวางถังน้ำลงนานแล้ว นางก้าวยาวๆ เข้าหาหญิงชราผู้นั้นอย่างไร้ความหวาดกลัว เด็กสาวไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เงื้อมือขึ้นตบฉาด ตบจนแม่เฒ่าหม่าหมุนคว้างไปทั้งตัว เหล่าหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายต้องเข้ามาช่วยพยุง นางถึงไม่ล้มลง จื้อกุยไม่รอให้หญิงชราคืนสติ เดินหน้าไปอีกก้าว คราวนี้ยกมือตบบ้องหูอีกฝ่ายเต็มแรง ปากก็ด่ากราด “นังแก่หนังเหนียว ทนเจ้ามานานมากแล้ว!”

หญิงชราศีรษะโงนเงน โกรธจนควันออกจากทวารทั้งเจ็ด เตรียมจะเอาคืน แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าหญิงวัยกลางคนสองคนที่อยู่ข้างกายดูร่วมแรงร่วมใจกันประคองนางเกินไป ทำให้นางไม่อาจสลัดได้หลุดในทันที ผลกลับกลายเป็นว่าต้องเจอกับความอัปยศครั้งที่สาม สาวใช้คนนั้นลงมืออีกครั้ง คราวนี้นางงอนิ้วเขกลงบนหน้าผากของหญิงชราอย่างแรง “วันหน้าหากยังกล้าด่าคนอื่น ข้าจะดึงลิ้นยาวๆ ของเจ้าออกมา เจ้าด่าหนึ่งคำ ข้าก็ใช้เข็มแทงลิ้นเจ้าหนึ่งครั้ง!”

หญิงชราตกใจไม่น้อย ถึงขั้นลืมด่ากลับ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะตีคืนเลย

เด็กสาวหมุนกายก้าวเร็วๆ จากไป พบว่าเด็กหนุ่มข้างบ้านได้ช่วยนางหิ้วถังน้ำขึ้นมาแล้ว จึงยิ้มให้เขาแล้วเดินกลับตรอกหนีผิงด้วยกัน

ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ย เด็กสาวก็พูดตัดบทขึ้นเสียก่อน “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าด่าคนอื่น ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

เด็กสาวที่สองมือวางเปล่ายังคงพึมพำอยู่กับตัวเองโดยไม่มีท่าทีว่าจะช่วยเอาถังน้ำของตัวเองกลับคืนไปจากเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเลยแม้แต่น้อย

ข้างล้อชักรอกของบ่อโซ่เหล็ก หญิงชรานั่งโอดครวญอยู่บนพื้น “นังเด็กต่ำช้าสมควรโดนแทงพันครั้ง นางต้องถูกสวรรค์ลงโทษ…ชีวิตข้าช่างรันทดนัก สวรรค์ไม่ลืมตา เหตุใดไม่ส่งสายฟ้าลงมาผ่าให้นังเด็กไม่มีสัมมาคารวะนั่นตายๆ ไปซะ…”

เด็กสาวสาวเท้าเร็วรี่ มือทั้งคู่สลับกันยกขึ้นดันไปบนฟ้าข้างละที เป็นท่าทางที่ประหลาดอย่างยิ่ง

ยังดีที่เฉินผิงอันเป็นเพื่อนบ้านของนางมานานหลายปีจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร

ตอนที่คนทั้งสองเดินผ่านร้านอาหารเช้า เฉินผิงอันมองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของคนคนหนึ่ง เรือนกายของนางไม่สูง สวมอาภรณ์สีเขียว กำลังซื้อซาลาเปาเนื้อที่ควันร้อนลอยกรุ่นเพราะเพิ่งออกจากเตา ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วถนน

เช้าตรู่วันนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชั้นเมฆลดตัวลงต่ำ ก้อนเมฆรวมตัวกันหนาแน่นมากเป็นพิเศษ ประหนึ่งผ้านวมผืนหนาของบ้านคนรวยที่ถูกเอาออกมาปูตากแดด

เสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังอยู่เหนือศีรษะของคนในเมือง

แม่เฒ่าหม่าที่นั่งอยู่ข้างบ่อโซ่เหล็กถลันพรวดลุกขึ้นยืนแล้วรีบวิ่งเผ่นกลับบ้านตัวเองจนถังน้ำเล็กๆ แกว่งส่าย น้ำจึงหกไปตลอดทาง เกรงว่าไปถึงบ้านคงเหลือน้ำไม่ถึงครึ่งถัง

หญิงชราคงรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าหากสวรรค์ลืมตาจริงๆ คนแรกที่สวรรค์จะประทานสายฟ้าให้ผ่าลงมา คงเป็นบนหัวนางมากกว่า

พอได้ยินเสียงฟ้าร้อง เฉินผิงอันก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ สภาพอากาศไม่เหมือนเวลาที่ฝนจะตกเลยแม้แต่น้อย

เด็กสาวยิ้มตาหยีกล่าวว่า “คุณชายบ้านข้าเคยอ่านตำราเจอว่า ทุกต้นฤดูใบไม้ผลิจะมีเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ห่มเสื้อเกราะสีทองตีกลองลงบนหมู่เมฆ เพื่อเป็นการบอกลาฤดูเก่าต้อนรับฤดูใหม่ สยบหมื่นความชั่วร้าย เพื่อป่าวประกาศว่าฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่มาถึงแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คุณชายของเจ้าอ่านหนังสือเยอะจริงๆ นั่นแหละ”

เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที “คุณชายข้าอะไรก็ดีไปหมด แต่ออกจะขี้เกียจไปหน่อย แล้วก็ชอบด่าเทวดาบนสวรรค์ ข้ารู้สึกว่าทำแบบนั้นไม่ดีเลย”

เฉินผิงอันไม่มีนิสัยชอบว่าร้ายคนอื่นลับหลัง จึงไม่ได้ตอบรับอะไรไป ซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านของเขามีนิสัยประหลาดอย่างหนึ่งที่ยืนหยัดมานานหลายปี นั่นก็คือชอบด่าเทวดาฟ้าดิน เป็นคนแบบเดียวกับแม่เฒ่าหม่าที่ชอบด่าว่าสวรรค์ไม่ลืมตา แต่บัณฑิตย่อมมีความพิถีพิถันในแบบของบัณฑิต ช่วงเวลาใดที่มีพายุหิมะ ฝนฟ้าคะนอง หรือขอบฟ้าทอแสงระยิบระยับ นี่คือสามไม่ด่าของซ่งจี๋ซิน เขาบอกว่าเขาต้องฉวยโอกาสตอนที่เทวดางีบหลับด่าอีกฝ่ายสักหน่อย เมื่อเทวดาไม่ได้ยินก็จะไม่โกรธ และเขาซ่งจี๋ซินก็สามารถระบายความขุ่นเคืองให้สบายอารมณ์ ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว

เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ตอบรับ จื้อกุยก็พูดขึ้นเนิบนาบว่า “เมื่อคืนวานเจ้าไม่ได้กลับมาบ้าน ไปนอนบ้านหลิวเสี้ยนหยางมาหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ที่บ้านมีแขก ไม่สะดวก”

จู่ๆ เด็กสาวก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านฉีมาเจอกับเจ้าใช่ไหม พูดอะไรกันหรือ?”

เฉินผิงอันถามกลับ “ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”

นางยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อย เพราะวันนี้ตอนที่ข้าออกจากบ้านมาตักน้ำเจอกับท่านฉีพอดี เขาบอกว่าจะไปเดินเล่นยามเช้า ยังถามข้าว่าเจ้าอยู่บ้านหรือไม่ ข้าเลยตอบไปตามตรง”

เฉินผิงอันยิ้มรับ “ก่อนหน้านี้เจอกับท่านโดยบังเอิญ ท่านฉีเลยพูดเรื่องทั่วไปกับข้าสองสามคำ ความหมายก็ประมาณว่าปีนั้นข้าควรไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนพร้อมกับหลิวเสี้ยนหยาง ข้าเลยได้แต่บอกว่าที่บ้านยากจน ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ หาไม่แล้วข้าก็ยินดีที่จะเรียนหนังสือกับเขา”

จื้อกุยถามอย่างกังขา “พูดเรื่องนี้จริงหรือ?”

เฉินผิงอันมองตรงเข้าไปที่ดวงตาทั้งคู่ของนาง ถามยิ้มๆ ว่า “แล้วเจ้านึกว่าคุยเรื่องอะไรล่ะ?”

นางเพียงส่งรอยยิ้มกลับมา

คนทั้งสองแยกจากกันตรงมุมถนน จื้อกุยรับถังน้ำมาแล้วเดินไปทางตรอกหนีผิง ส่วนเฉินผิงอันเดินย้อนกลับไปที่บ้านของหลิวเสี้ยนหยาง หลังจากนี้เขายังต้องไปที่ประตูตะวันออกของเมืองเพื่อรับงานส่งจดหมาย หนึ่งฉบับหนึ่งอีแปะ หากได้งานนี้ตั้งแต่แรก ด้วยพลังเท้าที่สามารถวิ่งไปทั่วภูเขาในรัศมีร้อยลี้ของเฉินผิงอันแล้ว คาดว่าป่านนี้แม้แต่เงินสินสอดแต่งภรรยาเขาคงเก็บหอมรอมริบได้เพียงพอแล้ว

ตรงปากทางเข้าตรอกหนีผิง จื้อกุยมองเห็นคุณชายของตัวเองกำลังยืนหาวอยู่ตรงนั้น

นางเดินเร็วๆ เข้าไปหา ถามน้ำเสียงใคร่รู้ “คุณชาย ท่านออกมาทำไม?”

ซ่งจี๋ซินบิดขี้เกียจอย่างเชื่องช้า ตอบกลับอย่างเกียจคร้าน “รออยู่ในบ้านก็รู้สึกเบื่อ”

นางถามเสียงเบา “คุณชาย ท่านผู้ตรวจการคนใหม่จะกลับมาเมื่อไหร่? หลังจากนี้พวกเราจะได้ไปที่เมืองหลวงแล้วใช่หรือเปล่า?”

ซ่งจี๋ซินครุ่นคิด “คงจะภายในสิบวันนี้กระมัง”

จื้อกุยมีท่าทางลังเล ถังน้ำใบเล็กในมือจึงแกว่งไปแกว่งมาตามไปด้วย

ซ่งจี๋ซินยิ้มถาม “ทำไม มีเรื่องในใจหรือ?”

นางกล่าวขลาดๆ “คุณชาย ข้าขอยืมอ่านอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นเล่มนั้นหน่อยได้หรือไม่? แค่คืนสองคืนก็พอ ข้าจะได้รู้จักตัวหนังสือบ้าง เวลาไปถึงเมืองหลวง คนอื่นจะได้ไม่ดูถูก ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องเดือดร้อนให้คุณชายกลายเป็นตัวตลกของคนอื่นไปด้วย”

ซ่งจี๋ซินหลุดหัวเราะพรืด ขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็กล่าวว่า “เรื่องนี้มีอะไรให้ต้องเกรงใจกัน แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าก่อนจะเปิดหนังสือต้องล้างมือให้สะอาด อย่าให้บนหน้าหนังสือมีคราบสกปรก แล้วก็ระวังว่าน้ำตาเทียนจะหยดลงไป นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรต้องระวังอีกแล้ว ก็แค่หนังสือเน่าๆ เล่มหนึ่ง ‘สำหรับตอนนี้’ เท่านั้น”

จื้อกุยยิ้มสดใส “บ่าวขอบคุณคุณชาย!”

ซ่งจี๋ซินอารมณ์ดีตามไปด้วย เขาหัวเราะเสียงดัง “มาๆๆ คุณชายช่วยเจ้าถือถังน้ำเอง”

จื้อกุยเบี่ยงตัวหลบ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชาย! ไหนบอกว่าบุรุษต้องอยู่ห่างจากงานบ้านไม่ใช่หรือ? เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ คุณชายจะลดตัวลงมาทำได้อย่างไร หากคนอื่นรู้เข้า ข้าคงโดนพวกเพื่อนบ้านด่าลับหลังเป็นแน่!”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะอย่างถอนฉิว “กฎเกณฑ์ หลักการ มารยาท เรื่องพวกนี้เอาไปหลอกคนอื่นน่ะได้ แต่คุณชายอย่างข้า…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เมล็ดพันธ์แห่งปัญญาชนที่เติบโตขึ้นมาในตรอกทรุดโทรมผู้นี้ก็ไม่พูดต่ออีก

นางจึงถามอย่างแปลกใจ “คุณชายอย่างท่านทำไมหรือ…”

ซ่งจี๋ซินกลับมาคลี่ยิ้มเยาะเย้ยถากถางสังคมอีกครั้ง ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “คุณชายอย่างข้าน่ะหรือ อันที่จริงแล้วก็คือชาวไร่ชาวนาคนหนึ่งที่เอาไร่นาผืนหนึ่งออกมาไถ มาปรับหน้าดิน แล้วแบ่งไปให้คนอื่นหว่านเมล็ด รดน้ำพรวนดิน ส่วนตัวข้าก็แค่นั่งรอเก็บผลผลิต เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกปี!”

นางไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ยสักเท่าไหร่

แต่ซ่งจี๋ซินกลับหัวเราะร่าเสียงดัง

แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มก็หุบยิ้ม กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จื้อกุย คนแซ่เฉินนั่นช่วยเจ้าหิ้วน้ำมาตลอดทางเลยใช่ไหม?”

สาวใช้พยักหน้ารับด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

เด็กหนุ่มกล่าวประโยคที่แฝงด้วยความหมายลึกล้ำ “มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกว่า คนที่ยินดีรับความหวังดีเล็กน้อยของคนแปลกหน้า แล้วมองเป็นสมบัติล้ำค่าน่าทะนุถนอม แต่กลับมองทุกสิ่งที่คนใกล้ชิดทุ่มเทให้เป็นเรื่องที่สมควรกระทำ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ในสายตา ถือว่าทำไม่ถูก”

สาวใช้ยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปอีก “หา?”

เด็กหนุ่มลูบคลำปลายคาง พึมพำกับตัวเอง “ฟังความนัยของข้าไม่ออกเลยหรือนี่ แล้วจะให้นายท่านอย่างข้าพูดอะไรต่อได้อีก? หรือว่าพอไปถึงเมืองหลวง ข้าต้องเปลี่ยนสาวใช้คนใหม่ที่หน้าตางดงามและเฉลียวฉลาดยิ่งกว่านี้?”

สาวใช้หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ไม่ได้เก็บคำขู่ของคุณชายตัวเองมาใส่ใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังพูดแฉเขาอีกว่า “อันที่จริงคุณชายรอให้ข้าถามว่า ใครคือปรมาจารย์มากความรู้ท่านนี้ใช่ไหม? คุณชาย ข้ารู้เจ้าค่ะ ก็คือท่านไง!”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างถูกใจ “คนที่รู้ใจข้า ก็คือจื้อกุยนี่เอง!”

—-

ในห้องแห่งหนึ่งของโรงเรียน นักปราชญ์สำนักขงจื๊อวัยกลางคนนั่งนิ่งอย่างสำรวม ตัวหมากสีดำและสีขาวทั้งหมดที่อยู่บนกระดานเบื้องหน้าของเขาล้วนแหลกสลายเป็นฝุ่นผงท่ามกลางเสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิ

เวลาที่เด็กๆ ในเมืองไปจับปลาแผ่นหินในธารน้ำสายเล็ก จะมีวิธีอยู่อย่างหนึ่งก็คือใช้มือถือค้อนเหล็กทุบลงไปบนหินกลางแม่น้ำแรงๆ เพราะจะทำให้ปลาที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้ถูกแรงสะเทือนจนมึนงงแล้วลอยขึ้นมาบนผิวน้ำด้วยตัวเอง

แม้วิธีจะแตกต่าง แต่ก็ได้ผลลัพธ์ในทางเดียวกันกับคำว่าเคาะภูเขากระเทือนเสือ

แต่หากต้องการจะเตือนเซิ่งเหรินคนหนึ่งว่า อย่าทำเรื่องที่ล่วงเกินสวรรค์ ละเมิดวิถียิ่งใหญ่

ถ้าเช่นนั้นอาวุธหนักบนโลกใบนี้ที่สอดคล้องกับสถานะของเซิ่งเหริน ก็มีเพียงเสียงฟ้าคำรณที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาลเท่านั้น

—-

[1] เปิดหน้ากำจัดขน สำหรับหญิงสาวที่จะได้ออกเรือนแต่งงานจะทำการเปิดใบหน้าเพื่อกำจัดขน เป็นวิธีการเสริมสวยแบบภูมิปัญญาโบราณที่ทำให้ใบหน้าเต่งตึง เปล่งปลั่ง คล้ายกับการเข้าคอร์สเจ้าสาวในสมัยปัจจุบัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version