บทที่ 30 ห้องมืด
เฉินผิงอันคุ้นเคยกับสายตาเช่นนี้เป็นอย่างดี เพราะมันไม่ต่างจากเวลาที่ตนมองหลิวเสี้ยนหยางตอนที่ยังเป็นเด็ก หลิวเสี้ยนหยางในเวลานั้นคือราชาแห่งกลุ่มเด็กแถบตรอกซิ่งฮวาและตรอกหนีผิง จับงู จับนก ตกปลา ดูเหมือนว่าใต้หล้านี้จะไม่มีเรื่องอะไรที่หลิวเสี้ยนหยางทำไม่ได้ มาภายหลังเด็กวัยเดียวกันที่เดิมทีติดสอยห้อยตามหลิวเสี้ยนหยาง บางคนก็ไปฝึกเป็นช่างที่เตาเผามังกร ส่วนคนที่มากกว่านั้นก็กระจายกันไปเป็นลูกจ้างในร้านต่างๆ ทั่วเมือง บางคนก็ช่วยญาติดูแลบัญชี บางคนก็เป็นเหมือนที่ซ่งจี๋ซินพูดคือไม่ได้เรื่องที่สุด ถึงได้ไปทำไร่ทำนา สุดท้ายคนที่ยังอยู่กับหลิวเสี้ยนหยางจึงเหลือแค่เขาคนเดียว
เฉินผิงอันนำหญ้าหางสุนัขหลายต้นมาร้อยปลาแผ่นหินสามตัวที่ยกให้กับเด็กสาวเข้าเป็นพวงด้วยกัน แล้วจึงยื่นส่งให้นาง นางรับพวงปลานั้นมาหิ้ว รู้สึกเบาไปหน่อย น่าจะยังไม่พอเอาไปทำปลาผัดพริกไทยสักจานด้วยซ้ำ นางจึงเอียงศีรษะเหล่มองไปยังหลุมน้ำในแม่น้ำด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรอคอย เฉินผิงอันรู้ใจ จึงกล่าวอย่างขออภัยว่า “ปลาที่จะจับขึ้นมาหลังจากนี้ ข้าต้องเอาไปตุ๋นน้ำแกงให้เพื่อนบำรุงร่างกาย ไม่อาจยกให้เจ้าได้อีกแล้ว”
เด็กสาวชี้ไปยังห่อกระดาษที่เปิดอ้าอยู่ห่างไปไม่ไกล บอกเป็นนัยว่านางจะเอาขนมพวกนั้นมาแลกเป็นปลา เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ได้ ขนมอร่อย กินอิ่มก็จริง แต่ไม่สามารถบำรุงร่างกายคนได้ดีเหมือนแกงปลา”
เด็กสาวพยักหน้ารับ ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ แล้วจึงกลับไปนั่งที่เดิมเงียบๆ เอาปลาวางไว้ข้างเท้าตัวเองอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เริ่มทำหน้าที่ ‘นั่งกินจนกว่าภูเขาจะโล่ง’ ของนางต่อไป
แม้เฉินผิงอันจะอยากรู้ว่านางเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้ปากมากเอ่ยถาม ดูจากอาภรณ์ที่นางสวมใส่แล้วไม่เหมือนพวกลูกคุณหนูในตรอกเถาเย่หรือถนนฝูลวี่ แต่กลับเหมือนจื้อกุยสาวใช้ข้างบ้านที่หน้าตางามพิสุทธิ์แต่ขี้อายเสียมากกว่า
เฉินผิงอันพลันเป็นกังวล นางคงไม่ใช่สาวใช้ที่ขโมยของกินในบ้านออกมากินหรอกนะ ได้ยินมาว่าตระกูลใหญ่ๆ เข้มงวดเรื่องกฎระเบียบมาก หลิวเสี้ยนหยางและซ่งจี๋ซินสองคนมักจะชอบพูดจาขัดแย้งกันเอง มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เป็นข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าคำพูดของหลิวเสี้ยนหยางนั้นน่าตกใจมาก บอกว่าพวกสาวใช้ที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่ หากเดินด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องจะต้องถูกพ่อบ้านที่สายตาเหมือนอินทรีล่างูส่งคนมาลากตัวไปตัดขาแล้วทิ้งไว้ข้างนอกเพื่อรอความตาย ส่วนซ่งจี๋ซินกลับพูดว่าหลิวเสี้ยนหยางฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ไม่ได้เกินจริงขนาดนั้นเสียหน่อย ก็แค่สาวใช้ในตระกูลใหญ่เดินเหมือนแมวจนไม่ได้ยินเสียงเท่านั้น ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางเหลือบมอบจื้อกุยที่แอบยิ้มอยู่ข้างๆ ก็ให้อับอายจนพานมาเป็นความโกรธ ด่าซ่งจี๋ซินว่าห่านอะไรของเจ้า ห่านบ้านเจ้าพูดได้งั้นหรือ? (คำว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดมาจากภาษาจีนว่า อี่เอ๋อฉวนเอ๋อ ซึ่งคล้องกับคำว่าห่าน ที่ภาษาจีนอ่านว่าเอ๋อเช่นกัน)
สุดท้ายเฉินผิงอันจับปลาแผ่นหินมาได้อีกเจ็ดแปดตัว ข้องไม้ไผ่ถูกแรงดิ้นของพวกมันชนจนแกว่งไกว เด็กหนุ่มที่หน้าซีดขาวรู้ว่านี่น่าจะเป็นขีดจำกัดของตนแล้ว น้ำในฤดูใบไม้ผลินั้นหนาวเย็นเข้าไปถึงกระดูก ที่สำคัญที่สุดคือมือข้างซ้ายที่บาดเจ็บจนทนไม่ไหว ครั้งสุดท้ายที่เฉินผิงอันขึ้นมาบนชะง่อนหิน เขาจึงรีบวิ่งเร็วๆ กระโดดลงไปในกอหญ้าริมน้ำ เสียงปึดๆ ดังอยู่ไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ดึงเอาหญ้าสามสี่อย่างขึ้นมาได้ หญ้าไม่น้อยยังมีโคลนติดราก เขากำหญ้าเหล่านั้นไว้ในมือกำใหญ่ เก็บหินธรรมดาก้อนหนึ่งมา พอเดินกลับมาที่ชะง่อนหินก็หาแอ่งธรรมชาติเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ พอล้างดินโคลนที่ติดอยู่บนหญ้าออกจนสะอาดแล้วจึงเริ่มทุบสมุนไพรเหล่านั้นให้ละเอียด ไม่นานพวกมันก็กลายมาเป็นก้อนเหนียวหนืดสีเขียว ส่งกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในต้นไม้ใบหญ้ากลางป่าฤดูใบไม้ผลิ
หันหลังให้เด็กสาว เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที กัดฟันแล้วเริ่มคลี่ผ้าฝ้ายที่พันมือซ้ายออก หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม พริบตาเดียวเหงื่อเหล่านั้นก็หลั่งทับน้ำเยียบเย็นจากในแม่น้ำที่ติดอยู่ตามไรผมจนหมด แม้บาดแผลที่เลือดเปรอะเปื้อนลึกเห็นกระดูกจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้าที่ยังไม่พันแผล แต่ก็ยังน่าสยดสยองอยู่ดี ตอนที่มาถึงเฉินผิงอันไม่ได้คิดว่ามือซ้ายจะโดนน้ำ จึงไม่ได้เตรียมผ้าฝ้ายมาด้วย ก่อนหน้านี้ในสมองมีแต่เรื่องที่ว่าหินดีงูสามารถนำไปแลกเงินและจะจับปลาไปตุ๋นน้ำแกง เวลานี้ถึงตระหนักได้ว่าตัวเองทำพลาดมหันต์
เด็กหนุ่มกำลังนั่งงงทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้าพร้อมผ้าแห้งสะอาดหลายผืน ที่แท้เด็กสาวชุดเขียวผู้นั้นฉีกชายแขนเสื้อตัวเองมาให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้ เฉินผิงอันยิ้มเซียวๆ ไม่มัวมาเกรงใจเด็กสาว หลังจากถูสมุนไพรลงไปบนบาดแผลก็ใช้ปากกัดปลายด้านหนึ่งของผ้า มือขวาดึงผ้าให้ตึงแล้วพันอ้อมหลังมือจนครบสองทบจึงมัดเป็นปม ทุกการกระทำเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งยังว่องไวรวดเร็วดุจผีเสื้อบินตอมดอกไม้จนคนมองตาลาย
หลังจากพันแผลเสร็จ เฉินผิงอันก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ แขนทั้งสองของเขาสั่นไม่หยุดโดยที่เขาไม่อาจควบคุมได้
เด็กสาวชุดเดียวที่นั่งอยู่ข้างๆ ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าที่บอกว่าเจ้าเก่งมาก
เฉินผิงอันใช้นิ้วมือข้างขวาชี้มาที่ตาของตัวเอง ยิ้มจืดเจื่อน “อันที่จริงข้าเจ็บจนน้ำตาไหลเลยล่ะ”
เด็กสาวหันหน้ากลับไปมองกระบุงใบใหญ่และข้องปลาไม้ไผ่สีเขียวที่เด็กหนุ่มสานขึ้นเองด้วยท่าทางสงสัย
เด็กหนุ่มสีหน้ากระอักกระอ่วน “หินพวกนั้นเอาไปแลกเป็นเงินได้ อีกอย่างจับปลาก็สำคัญมากด้วย”
เด็กสาวทำท่าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยังไม่พูดอะไร สายตาของนางที่ค่อนข้างเลื่อนลอยหันกลับไปมองผิวน้ำที่แสงกระทบเป็นริ้วคลื่น
กระแสน้ำไหลมาเสียดสีกับก้อนหินที่โผล่พ้นผิวน้ำดังซู่ๆ
นาทีนั้นท้องฟ้าพร่างพราวด้วยหมู่ดาว ฟ้าดินเงียบสงัด ราวกับว่าบนโลกใบนี้มีแค่เด็กหนุ่มกับเด็กสาวคู่เดียวเท่านั้น
ร่างกายของเฉินผิงอันเริ่มสงบลง ลมหายใจที่ก่อนหน้านี้ถี่กระชั้นเริ่มช้าลงและยาวขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
คล้ายสายน้ำที่ไหลกรากลงมาจากภูเขาซึ่งเปลี่ยนมาเป็นธารน้ำตื้นเขินช่วงฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
การเปลี่ยนแปลงที่เงียบเชียบเช่นนี้ แม้แต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่ตระหนักถึง ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ราบรื่นไม่มีสะดุด
เฉินผิงอันรู้ดีว่าร่างที่เปียกโชกจะปล่อยให้ลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้ผลิเป่านานนักไม่ได้ ต้องรีบกลับเมืองไปเปลี่ยนชุด แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เข้าใจวิธีการดูแลสุขภาพและการรักษาโรคจากในตำราแพทย์ แต่เด็กหนุ่มที่กลัวตัวเองป่วยมากที่สุดในชีวิตได้ฝึกความเคยชินให้ร่างกายตัวเองปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศของสี่ฤดูที่เปลี่ยนแปลงมาได้นานแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบสวมรองเท้าแตะ รัดข้องปลาไว้ที่เอว แบกกระบุงไม้ไผ่ขึ้นหลัง หันไปโบกมือให้เด็กสาวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปแล้วนะ แม่นาง เจ้าเองก็ควรรีบกลับบ้านได้แล้ว”
เฉินผิงอันเดินลงไปจากชะง่อนหินพลางหันมาเอ่ยเตือนอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้ “น้ำตรงสะพานลึกมากเป็นพิเศษ อย่าได้ไปลื่นแถวนั้นเด็ดขาดเชียว ตอนที่กลับบ้าน ทางที่ดีควรเดินฝั่งคันนา อย่างน้อยต่อให้ล้มเปื้อนโคลนก็ยังดีกว่าหายไปกับสายน้ำ…”
เฉินผิงอันพูดไปพูดมาพลันตระหนักได้ว่าคำพูดของตัวเองไม่ค่อยเป็นมงคลนัก ฟังดูแล้วไม่เหมือนคำที่ดีสักเท่าไหร่ กลับเหมือนคำด่าที่แม่ของกู้ช่านตรอกหนีผิงเชี่ยวชาญที่สุดเสียมากกว่า เฉินผิงอันจึงรีบหุบปาก ไม่พูดมากอีกต่อไป เพียงเพิ่มความเร็วฝีเท้าวิ่งไปทางทิศเหนือของเมือง
กระบุงหนักมาก
แต่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะกลับดีใจเป็นพิเศษ
เมื่อคลายปมในใจที่เกือบจะเรียกว่าเป็นเงื่อนตายได้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี
ยกตัวอย่างเช่นต้องมีเงินก่อน!
สามารถซื้อกลอนคู่ที่กลิ่นหอมของหมึกเป็นเอกลักษณ์ ภาพเทพทวารบาลสีสันสดใส กินเนื้อของร้านแม่ใหญ่เหมา ทางที่ดีที่สุดคือสามารถซื้อวัวได้หนึ่งตัว แล้วก็เลี้ยงไก่ได้เหมือนซ่งจี๋ซินที่อยู่ข้างบ้าน…
เด็กสาวชุดเขียวยังคง ‘ขุดภูเขา’ ของนางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สีหน้าของนางเคร่งเครียดมาก ทุกครั้งที่หยิบขนมชิ้นใหม่ขึ้นมาก็ราวกับกำลังรับมือกับศัตรูคู่อาฆาต
ตอนที่นางกัดขนมดอกท้อชิ้นหนึ่งแรงๆ ร่างก็พลันแข็งทื่อ หลังจากตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี นางกลับไม่ได้วิ่งหนี แต่อ้าปากกว้างยัดขนมเกินครึ่งชิ้นเข้าไป จากนั้นก็ปัดมือทั้งคู่ แล้วนั่งสงบเสงี่ยมรออยู่ที่เดิม
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งโผล่มา เขาตัวไม่สูงนัก แต่ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งบึกบึน แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชาวไร่ชาวนา เพราะสายตาของชายผู้นี้คมมากเกินไปจนไม่มีใครกล้าสบตาด้วยตรงๆ
ชายวัยกลางคนมองห่อกระดาษลายดอกไม้เล็กๆ ที่ตอนนี้เหลือแค่ ‘ตีนเขา’ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจนใจ อยากจะเปิดปากเอ่ยสั่งสอนสักคำสองคำแต่ก็ทำไม่ลง พอเห็นท่าทางดื้อดึงเหมือนคนทำผิดแล้วยอมรับการลงโทษของลูกสาวตัวเอง เขาก็ยิ่งสงสารจนใจอ่อนยวบ ราวกับว่าคนทำผิดคือตัวเอง
ชายฉกรรจ์อยากจะพูดอะไรสักอย่างที่เป็นการผ่อนคลายบรรยากาศ ยกตัวอย่างเช่น ลูกสาวเจ้าหิวแล้วก็ไปนั่งกินในกระท่อมหลอมกระบี่ก็ได้ กินหมดแล้วพรุ่งนี้พ่อค่อยเข้าเมืองไปซื้อให้เจ้าใหม่
ทว่าคำพูดมารออยู่ตรงปาก ชายฉกรรจ์ที่มีนิสัยสุขุมเยือกเย็นมาตั้งแต่เกิดกลับพูดไม่ออก ราวกับว่าถ้อยคำหนึ่งซึ่งหนักนับพันชั่งกดอยู่บนลิ้นของเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเอ่ยปลอบใจลูกสาวได้
บัดนี้ชายฉกรรจ์รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถสู้เจ้าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยตอนอยู่กับอีกฝ่าย ลูกสาวเขาก็ไม่ต้องตึงเครียดขนาดนี้
เด็กสาวชุดเขียวพลันเงยหน้าถาม “ท่านพ่อ ทำไมตอนนั้นถึงไม่รับเขาเป็นลูกศิษย์ล่ะ?”
เมื่อลูกสาวที่รักเป็นฝ่ายพูดก่อน ชายฉกรรจ์ก็รู้สึกเหมือนยกหินออกจากอก
แม้ว่าหน้าตาเขาจะเคร่งขรึม แต่กลับยอมนั่งลงข้างกายลูกสาวแล้วพูดอธิบาย “เด็กนั่นนิสัยดีมาก แต่ฐานกระดูกแย่เกินไป ต่อให้พ่อรับเขาไว้ เพียงเวลาไม่นานเขาก็ต้องถูกพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องทิ้งห่าง ต่อให้จะพยายามแค่ไหนก็มีแต่ต้องทนมองระยะห่างที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากถึงเวลานั้นแล้วมีศิษย์พี่หลิ่วเพิ่มขึ้นมาอีกคน จะทำอย่างไร”
สีหน้าของเด็กสาวชุดเขียวหมองลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ยินชื่อ ‘ศิษย์พี่หลิ่ว’ หรือเพราะเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เพิ่งพบเจอกัน
ชายฉกรรจ์ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่คิดจะปิดบัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางเข้าใจผิดหรือทำลายแผนการของเซิ่งเหริน “อีกอย่าง เด็กหนุ่มคนนี้ธรรมดาเกินไป แต่เมื่ออยู่ในเมืองกลับเห็นได้ชัดว่าพิเศษมาก ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าคงไม่รู้ว่าเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเด็กคนนี้ถูกคนทุบแตกเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลายมาเป็นเหมือนผีเร่ร่อนที่ไม่ได้รับการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องประหลาดที่ยากจะสัมผัสได้มากมายเกิดขึ้น นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ซ่งจี๋ซินและผู้หญิงคนนั้นเลือกที่จะมาเป็นเพื่อนบ้านของเขา หาไม่แล้วด้วยสถานะของซ่งจี๋ซิน จะอยู่อาศัยที่ถนนฝูลวี่ไม่ได้เชียวหรือ? เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้”
เด็กสาวพิจารณาอย่างตั้งใจ “ท่านพ่อจะบอกว่าเขาเหมือนเหยื่อล่อ?”
ชายฉกรรจ์ลูบศีรษะของนาง “ประมาณนั้น”
จากนั้นเขาก็ยิ้ม “หากพวกเราสองพ่อลูกไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่สนใจสิ่งของนอกกาย วาสนาและโชคชะตามากที่สุดในโลก ไม่แน่ว่าพ่ออาจจะเก็บเขาไว้ข้างกาย ดูว่าเขาจะทำประโยชน์ให้เจ้าได้บ้างหรือไม่”
เด็กสาวชุดเขียวหน้าบูด ท่าทางอารมณ์ไม่ดีนัก
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ซิ่วเอ๋อร์ พ่อพูดไม่เก่ง อย่ารังเกียจถ้ามันจะไม่น่าฟังไปบ้าง”
เด็กสาวยังคงหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีชีวิตชีวา
ชายฉกรรจ์ครุ่นคิด ก่อนจะชี้ไปยังสะพานที่เหมือนมังกรดำข้ามแม่น้ำซึ่งอยู่ห่างไปไกล “การสร้างสะพานแห่งนั้นคือการลงทุนครั้งใหญ่และต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไม่น้อยของราชวงศ์ต้าหลี สร้างไว้เพียงเพื่อสยบกระบี่เหล็กที่ไม่สะดุดตาเล่มนั้น ลองคิดดู สามพันปีให้หลัง กระบี่ไร้นายเล่มหนึ่งที่พลังจิตสลายหายไปสิ้น ในอีกสามพันปีเต็มๆ ต่อมา เพื่อสยบพลานุภาพที่เหลือเพียงเล็กน้อยของมัน ราชวงศ์หนึ่งกลับยังคงต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มหาศาลถึงเพียงนั้น เพียงแค่เพื่อให้มันได้พักผ่อน…”
เด็กสาวร้องอ้อรับหนึ่งที แต่ก็ยังไหล่ลู่คอตก หางตาเหลือบมองตีนเขาที่อยู่ข้างๆ พลางพูดคล้อยตามอย่างใจไม่อยู่กับตัว “ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
ชายฉกรรจ์คลึงขมับ ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่เรื่องกินใหญ่ที่สุด
แต่ว่าแม่ของลูกก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบนี้นี่นา แล้วลูกสาวเขาคนนี้ไปติดนิสัยใครมา?
ชายฉกรรจ์ตบไหล่ของลูกสาวเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พ่อจะไปพบคนคนหนึ่ง เจ้าก็ค่อยๆ กินไปเถอะ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
เด็กสาวพลันเงยหน้าคว้ามือชายฉกรรจ์ กำไลข้อมือสีชาดบนมือนางส่องประกายแสงระยิบระยับเผยให้เห็นว่าเป็นรูปของมังกรที่หัวกับหางเชื่อมติดกัน
ประหนึ่งมังกรไฟตัวน้อยมีชีวิตชีวาที่ล้อมพันอยู่รอบข้อมือของเด็กสาว
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างสบายใจ “ถือว่ายังพอมีน้ำใจอยู่บ้าง เอาล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง พ่อจะไปพบท่านฉี”
เด็กสาวปล่อยมือแล้วหยิบขนมขึ้นมาสวาปามทันใด
ชายฉกรรจ์พลันเกิดโทสะ อุตส่าห์เฝ้าพยายามสะกดกลั้นอย่างยากลำบากมาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็หลุดปากจนได้ “กินๆๆ เจ้าลูกหมาแซ่หลิวนั่นสมควรถูกเตะก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้พูดผิดเลย สักวันหนึ่งเจ้าคงกินจนอ้วนเป็นตุ่ม! ถึงเวลานั้นใครจะมาขอเจ้าไปเป็นเมีย! หรือว่าจะต้องให้พ่อไปขอลูกเขยแต่งเข้าบ้าน?”
เด็กสาวหยุดกิน มือทั้งคู่ถือขนมยังไม่ปล่อย น้ำตาคลอขึ้นมาเต็มหน่วยตาใกล้จะหยดเต็มที
ชายฉกรรจ์รีบเผ่นหนีอย่างทำอะไรไม่ถูก พอหันหลังให้ลูกสาวตัวเองเขาก็ไม่ลืมตบปากตัวเองหนึ่งที
เป็นอย่างนี้ทุกที ที่อุตส่าห์ทำมาล้วนเสียเปล่าหมด
—-
กลางดึก เฉินผิงอันวิ่งมาตลอดทางจนถึงบ้านของหลิวเสี้ยนหยาง พอปลดกลอนออกก็ได้ยินไอ้หมอนั่นกรนดังราวเสียงฟ้าร้อง
ใจกล้าจริงๆ
หากเปลี่ยนมาเป็นเขาเฉินผิงอัน คืนนี้ย่อมไม่มีทางนอนหลับได้ลงแน่นอน
นำกระบุงไม้ไผ่และข้องปลาไปวางไว้ในห้องครัวก่อน แล้วพอไปถึงห้องด้านข้างที่หลิวเสี้ยนหยางยกให้เขาอยู่อาศัย เฉินผิงอันก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นถึงกลับมาที่ห้องครัว เริ่มจัดการกับปลาแผ่นหินพวกนั้น กรีดท้องควักไส้ออก พอล้างสะอาดแล้วก็ใส่ไว้ในจานเปล่า เอาจานอีกใบหนึ่งวางทับด้านบน เพื่อป้องกันไม่ให้งู หนูหรือแมลงเข้ามากิน
แล้วเสร็จเฉินผิงอันจึงหยิบหินดีงูที่ถูกตามากที่สุดห้าหกก้อนออกมาจากกระบุงไม้ไผ่แล้วเอาไปไว้ในห้องที่เขาใช้นอน
ก่อนหน้านี้เหลือบมองไปยังกระบี่เล่มยาวที่แม่นางหนิงวางไว้บนชั้น ก็เห็นว่ามันยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม
พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ ในที่สุดเฉินผิงอันก็สามารถล้มตัวลงนอนซุกผ้าห่ม ร่างค่อยๆ อบอุ่นขึ้น แต่ดวงตาทั้งสองของเด็กหนุ่มยังสว่างโร่
ด้านหนึ่งก็เพราะอาการเจ็บปวดจากมือซ้าย อีกด้านหนึ่งก็เพราะยังไม่ง่วงนอน
แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะเฉินผิงอันรู้ดียิ่งกว่าหลิวเสี้ยนหยางว่าคนต่างถิ่นพวกนั้น ‘ไม่มีเหตุผล’ มากแค่ไหน เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าหลับสนิท
เฉินผิงอันจึงไม่ได้หลับตลอดคืนเพราะคอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวจากลานบ้านและประตูหน้าบ้าน
พอฟ้าเริ่มจะสาง เฉินผิงอันก็ลุกจากที่นอนเดินเข้าห้องครัว ยกถังน้ำขึ้นมาเตรียมจะไปตักน้ำจากบ่อโซ่เหล็กที่ตรอกซิ่งฮวามาสักสองถัง
หลิวเสี้ยนหยางที่ยังงัวเงียซุกตัวอยู่ในผ้าห่มโผล่มาแต่ศีรษะ พอได้ยินเสียงเบาๆ ที่ดังขึ้นก็ตะโกนถามอย่างสะลึมสะลือ “เฉินผิงอัน ตื่นเช้าขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้าจะไปไหน?”
เฉินผิงอันตอบกลับอย่างไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก “ตักน้ำ!”
หลิวเสี้ยนหยางจึงตะโกนขึ้นมาอีกว่า “ถ้าเจอจื้อกุยฝากทักทายแทนข้าด้วย”
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจไอ้หมอนี่
กำลังจะเดินออกจากลานบ้าน เฉินผิงอันพลันได้ยินเสียงหลิวเสี้ยนหยางพูดว่า “เฉินผิงอัน ถ้าเจ้ายอมช่วยข้า เดี๋ยววันหน้าข้าจะไปช่วยเจ้างมหาหินในหลุมน้ำ!”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ตกลง!”
หลิวเสี้ยนหยางกลอกตา มุดหัวกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้งพลางพึมพำ “ไอ้คนแล้งน้ำใจ ว่าแล้วเชียวว่ามุขนี้ต้องใช้ได้ผล”
—-
บนบันไดหินของสะพาน มีนักปราชญ์สำนักขงจื๊อวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังจนกระทั่งฟ้าสว่าง
เมื่อแสงอรุณแรกสาดส่องลงมาจากฟากฟ้า เขาถึงเงยหน้าขึ้น หัวเราะเบาๆ “ห้องมืดพันปี เพียงตะเกียงดวงเดียวก็สว่างทันที”