บทที่ 34 รวมตัวกันครบถ้วน
หน้าประตูบ้านของซ่งจี๋ซินมีเสียงฝีเท้าดังมา หลิวเสี้ยนหยางเตรียมจะกระโดดลงมาจากกำแพง ยังไม่ทันเห็นตัวคน กลับได้ยินเสียงดังขึ้นมาก่อน เสียงกลั้วหัวเราะนั้นฟังดูอ่อนโยนยิ่ง “เจ้าใช่ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเหยาเตาเผาเป่าซีหรือไม่? ที่แซ่หลิวน่ะ?”
เป็นเสียงของผู้ตรวจการกิจการงานเตาเผาที่สวมชุดขาวรัดด้วยเข็มขัดหยกคนนั้น เขาก้าวยาวๆ ออกมาจากประตู หันหน้ามาทางกำแพงแล้วส่งยิ้มให้
แล้วจากนั้นร่างของหลิวเสี้ยนหยางก็พลันแข็งค้าง เขาค้นพบว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงให้กระโดดลงมา จึงยิ้มแห้งๆ อย่างคนร้อนตัว “เรียนใต้เท้า คือข้าเอง ตอนนั้นที่ใต้เท้าไปเยือนการเปิดเตาเผามังกรของเรา อาจารย์เคยให้ข้าแสดงวิธีการทำเครื่องปั้นสองสามขั้นตอนให้ใต้เท้าดู”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ มองประเมินเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ครู่หนึ่งก็ถามตรงประเด็น “เจ้าหนุ่ม อยากออกไปดูโลกภายนอกหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นไปเข้าร่วมกองทัพ ลงสนามรบฆ่าศัตรู ข้ารับรองว่าขอแค่เจ้าทนได้สิบปี ย่อมต้องได้เป็นขุนนางใหญ่ ถึงเวลานั้นข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เจ้าที่เมืองหลวงด้วยตัวเอง ดีหรือไม่?”
ซ่งจี๋ซินที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มสีหน้านิ่งสนิทดุจผิวน้ำ มือกำหยกพกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่ฝูหนันหัวมอบไว้ให้แน่น
เมล็ดพันธ์ปัญญาชนที่แบกรับคำว่า ‘ลูกนอกสมรส’ ‘ลูกไม่มีพ่อ’ มานานหลายปีผู้นี้ ตอนนี้ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของชายข้างกายตัวเองแล้ว เด็กหนุ่มจึงยิ่งเข้าใจน้ำหนักในคำพูดของชายหนุ่ม คำว่า ‘จัดงานเลี้ยงฉลองให้ด้วยตัวเอง’ นี้ย่อมต้องกลายมาเป็นยันต์คุ้มกันกายที่ร้ายกาจที่สุดของต้าหลี กลายมาเป็นบันไดยาวที่สุดที่พาดไปสู่วงการของขุนนาง
หลิวเสี้ยนหยางเค้นสมองหาคำพูดสวยหรูอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยอึกๆ อักๆ ว่า “ขอบพระคุณใต้เท้าผู้ตรวจการที่เมตตา เพียงแต่ว่า…ข้าน้อยได้ตอบรับอาจารย์หร่วนไปแล้วว่าจะเป็นลูกศิษย์ตีเหล็กของเขา ไม่อาจกลับคำได้ ขอใต้เท้าที่เป็นผู้ใหญ่โปรดอย่า…”
จู่ๆ คำพูดที่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คิดจะพูดกลับติดอยู่ในลำคอ เค้นสมองคิดแทบตายก็ยังนึกไม่ออก ร้อนใจจนใบหน้าแดงก่ำ
ซ่งจี๋ซินจึงช่วยพูดให้ราวกับคนใจดีที่เข้าใจความลำบากใจของคนอื่น “ต้องพูดว่าผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย”
ชายชุดขาวเพียงยิ้มตอบ ไม่ถือสาหาความ “ไม่เป็นไร รอวันใดที่เจ้ามีโอกาสเดินออกไปจากเมืองแห่งนี้ สามารถไปที่ทางเข้าเขาตันหยางที่อยู่ใกล้ที่สุด ตามหาทหารคนหนึ่งที่ชื่อหลิวหลิงซี บอกว่าซ่งจ่างจิ้งแห่งเมืองหลวงแนะนำให้เจ้ามาสมัครเป็นทหารที่นี่ หากเขาไม่เชื่อ เจ้าก็บอกกับเขาว่าคนที่ชื่อซ่งจ่างจิ้งบอกไว้ว่า เจ้าหลิวหลิงซียังติดค้างหัวทหารชายแดนต้าสุยเขาสามหมื่นหัว”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับอย่างเหม่อลอย “ได้ขอรับ”
ชายหนุ่มจากไปพร้อมรอยยิ้ม ซ่งจี๋ซินเดินมาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าประตูบ้านก็หยุดฝีเท้า ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเดาใจเขาออกจึงพูดขึ้นโดยไม่หันกลับมามองว่า “ตามข้าไปที่จวนผู้ตรวจการ ข้าจะพาเจ้าไปพบใครคนหนึ่ง”
สองเท้าของซ่งจี๋ซินราวกับตะปูที่ตรึงแน่นอยู่กับพื้น พูดด้วยสีหน้าดำทะมึน “ข้าไม่ไป!”
สถานที่ที่ธรณีประตูสูงล้ำในสายตาของชาวบ้านแห่งนั้น สำหรับเด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับคำซุบซิบนินทาปีแล้วปีเล่ากลับเป็นดั่งบ่อมังกรโพรงพยัคฆ์ คืออุปสรรคทางใจที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านนอกเป็นคนทำอะไรรวดเร็วฉับไวมาตลอด เขาไม่ได้เกรี้ยวกราดกับความไม่รู้กาลเทศะของเด็กหนุ่ม แล้วก็ไม่คิดจะหยุดเดิน เพียงชะลอฝีเท้าลง “จากบันทึกของสายลับในจวนผู้ตรวจการ เจ้าเคยได้พบกับองค์ชายราชวงศ์สุยที่แซ่เกาคนนั้นแล้วสินะ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสกุลเกาของราชวงศ์สุยกับสกุลซ่งของราชวงศ์ต้าหลีเราคือศัตรูพันปีที่มีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน เป็นองค์ชายเหมือนกัน เขากล้ามาที่เมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ในถิ่นของต้าหลีอันเป็นแคว้นศัตรูคู่อาฆาต แต่เจ้าซ่งจี๋ซิน เป็นองค์ชายเหมือนกัน กลับไม่กล้าไปเยือนจวนผู้ตรวจการเล็กๆ แห่งหนึ่งบนแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเองอย่างนั้นรึ?”
สิ่งแรกที่ซ่งจี๋ซินทำหาใช่ขบคิดความหมายลึกล้ำที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ แต่หันขวับไปมองหลิวเสี้ยนหยางทันที เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังนั่งอยู่บนกำแพงนวดมือทุบขาของตัวเองราวกับไม่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม
มุมปากของอ๋องชุดขาวผู้ครองแคว้นหัวเมืองต้าหลีที่เดินอยู่ในตรอกหนีผิงตวัดขึ้นสูง เพราะชายหนุ่มค้นพบความน่ายินดีที่เหลือเชื่อ
ไม่เสียแรงที่เป็นเมล็ดพันธ์ของตระกูลซ่งเรา
แต่พอคิดขึ้นได้ว่าเด็กหนุ่มยังคงเป็นบุตรชายของหญิงสาวคนนั้น ในฐานะที่เป็นอ๋องผู้ครองแคว้นกุมอำนาจอยู่ในมือ ทั้งเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้อันดับหนึ่งของต้าหลี เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดและยุ่งยากใจอยู่บ้างเล็กน้อย
ซ่งจี๋ซินกัดฟัน หันกลับไปพูดกับจื้อกุยที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูว่า “ข้าไปแปบเดียวก็กลับมา ไม่ต้องเตรียมมื้อกลางวันไว้”
ซ่งจี๋ซินเพิ่งจะเดินออกไปจากประตูบ้านก็หันหน้ากลับมายิ้มอีกครั้ง “ไปหยิบถุงเงินเม็ดที่อยู่บนหัวเตียงข้ามา เอาไปซื้อถุงหอมมังกรเคียงหงส์ของร้านตระกูลตู้คู่นั้น จะอย่างไรซะหลังจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องเก็บเงินกันอีกแล้ว”
จื้อกุยพยักหน้ารับ ทำมือเป็นภาษาใบ้ให้อีกฝ่ายดูอย่างระมัดระวัง
ซ่งจี๋ซินยิ้มอย่างยินดี แล้วจึงจากไปอย่างสง่างาม
รอจนซ่งจี๋ซินเดินจากไปไกลแล้ว หลิวเสี้ยนหยางที่นั่งอยู่บนกำแพงถึงถามอย่างระมัดระวังว่า “จื้อกุย ซ่งจี๋ซินเป็นอะไรกับผู้ตรวจการหรือ?”
จื้อกุยใช้สายตาเวทนามองมายังเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่
หลิวเสี้ยนหยางทนสายตาแบบนี้ของนางไม่ได้มากที่สุด “ทำไม ก็แค่รู้จักกับขุนนางผู้ดูแลการเผาเครื่องปั้น แค่นี้ก็คิดว่าร้ายกาจนักรึไง?”
จื้อกุยกระตุกมุมปากยิ้ม เดินเข้าไปหยิบอาหารจากในห้องออกมาป้อนแม่ไก่และลูกเจี๊ยบขนฟูฝูงนั้นของมันโดยไม่สนใจอีกฝ่าย
หลิวเสี้ยนหยางพลันรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างไม่ทราบสาเหตุ พอกระโดดลงมาจากกำแพงได้ก็หันไปตะโกนใส่ในบ้านว่า “เจ้าคนแซ่เฉิน พวกเราไปที่ร้านตีเหล็กกันเถอะ! อย่าอยู่ที่นี่ให้อารมณ์เสียเลย”
เด็กสาวข้างบ้านยืนหันหลังให้กำแพงกล่าวกลั้วหัวเราะคิกคัก “พระพุทธรูปช่วงชิงธูปหนึ่งก้าน คนช่วงชิงลมหายใจหนึ่งเฮือก น่าสงสารคนขี้ขลาดไร้ความสามารถที่มีได้แค่ความขุ่นเคือง”
เลือดร้อนๆ ของหลิวเสี้ยนหยางตีขึ้นหน้า แม้แต่ใบหูยังแดงก่ำ เดินไปหยุดอยู่ข้างกำแพงดินเหนียว ยกหมัดทุบลงไปบนหัวกำแพงอย่างแรง “หวังจู! แน่จริงเจ้าก็พูดอีกรอบสิ!”
สาวใช้โยนข้าวโพดและใบผักทั้งหมดในมือลงพื้น ปัดมือเบาๆ หันหน้ากลับมาส่งยิ้มตาหยี “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมาบอกให้ข้าพูดอีกรอบ?”
หลิวเสี้ยนหยางมองเด็กสาวที่เรือนกายกำลังมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ยิ่งมองยิ่งงามเย้ายวนก็ถึงกับพูดไม่ออก ในใจวูบโหวง เหมือนหัวใจกลายเป็นถ้วยกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่หล่นกระแทกลงพื้น
อันที่จริงเฉินผิงอันมายืนอยู่ตรงหน้าธรณีประตูแล้ว พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็รีบเดินเร็วๆ เข้าไปในลานบ้าน แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ไปกันเถอะ”
เด็กหนุ่มสองคนเดินเคียงบ่ากันออกจากตรอกเล็ก จู่ๆ เด็กหนุ่มสูงใหญ่ก็ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ข้าดูเป็นคนไม่ได้เรื่องมากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ก่อนตอบอย่างจริงจัง “ชาวบ้านในตรอกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่ของข้าเป็นคนดีมาก แล้วก็บอกว่าพ่อของข้าขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนเงียบขรึม คาดเดาอารมณ์ยาก ดังนั้นข้ารู้สึกว่าจะชอบหรือไม่ชอบใคร ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเขาได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่หรอก”
หลิวเสี้ยนหยางหน้าม่อย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยิ่งอนาถเข้าไปใหญ่ ต่อให้วันหน้าจะสามารถมีเตาเผามังกรแห่งหนึ่งเป็นของตัวเอง หรือเรียนรู้วิชาจากอาจารย์หร่วนจนเก่งกาจ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ชอบข้าเหมือนเดิม!”
เฉินผิงอันปิดปากเงียบอย่างรู้อะไรควรไม่ควร หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
เฉินผิงอันเดินอยู่ในตรอกเล็กที่คุ้นเคยพลันนึกถึงภาพเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา ตอนนั้นเขาติดตามผู้เฒ่าเหยาเดินเลียบธารน้ำเข้าไปในภูเขาลึก มองเห็นกวางน้อยตัวหนึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่ข้างลำธาร มันเห็นเขาก็ไม่มีท่าทางหวาดกลัว พอดื่มน้ำเสร็จกลับก้มหน้าลงมองน้ำในลำธาร ไม่ยอมจากไปไหนอยู่เป็นนาน บนผิวน้ำนอกจากเงาสะท้อนของกวางตัวนั้นแล้วยังมีปลาตัวหนึ่งที่ว่ายวนกลับไปกลับมา
ก่อนจะเดินออกจากบ้าน แม่นางหนิงแนะนำเขาว่าในเมื่อมีใบไหวใบหนึ่งแล้วก็ควรรีบออกไปจากเมือง เมื่อได้รับการปกป้องจากใบไหวบรรพชนแล้วก็คงไม่เจอกับอุบัติเหตุที่ร้ายแรงนัก ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรรั้งรออยู่ในเมืองนานนัก เพราะนางไม่รู้ว่าเรื่องของหลิวเสี้ยนหยางจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเขาเฉินผิงอันด้วยหรือไม่
แต่เฉินผิงอันกลับยืนกรานว่าต้องได้เห็นหลิวเสี้ยนหยางถูกอาจารย์หร่วนรับเป็นศิษย์กับตาตัวเองเสียก่อน ถึงจะจากไปได้อย่างสบายใจ
เพราะว่าในอดีตหากไม่มีหลิวเสี้ยนหยาง เขาก็คงหิวตายไปนานแล้ว
แน่นอนว่าในใจของเฉินผิงอันเองก็หวังว่าแม่นางหนิงผู้นั้นจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้หายดีในบ้านของเขาได้ เพียงแต่ตอนนั้นเด็กหนุ่มไม่กล้าพูด กลัวนางจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาล่วงเกิน
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “เสื้อเกราะตัวนั้นที่ปู่ของเจ้าทิ้งไว้ให้ ห้ามขายให้กับคนนอกโดยเด็ดขาดใช่หรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางตอบสีหน้าจริงจัง “เหลวไหล แน่นอนว่าต่อให้ตายก็ไม่ขาย!”
เขากำหมัดต่อยไหล่เด็กหนุ่มที่เดินอยู่ข้างกาย เอ่ยล้อเลียน “ข้าไม่ใช่คนเห็นแก่เงินอย่างเจ้าสักหน่อย”
เด็กหนุ่มสูงใหญ่เอามือทั้งคู่ประสานกันไว้ที่ท้ายทอย “ของบางอย่างหากยังไม่มี สามารถใช้เงินซื้อหามาได้ แต่ของบางอย่างถ้ารักษาไว้ไม่ได้แล้ว ชีวิตนี้ก็จะไม่มีทางได้ครอบครองอีกจริงๆ”
เฉินผิงอันพึมพำตอบรับ “เข้าใจแล้ว”
ตอนที่ใกล้จะเดินออกไปจากตรอกหนีผิง หลิวเสี้ยนหยางกลับสบถหยาบคายขึ้นมาคำหนึ่ง เฉินผิงอันจึงหยุดความคิดในหัวลง เงยหน้าขึ้นมองก็ให้รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที
ตรงหน้าก็คือหลูเจิ้งฉุนคุณชายใหญ่ตระกูลหลูแห่งถนนฝูลวี่ ปีนั้นก็เป็นคนคนนี้ที่พาเพื่อนอันธพาลของเขามาดักหลิวเสี้ยนหยางอยู่ในซอยแล้วซ้อมเขาจนเกือบตาย หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันวิ่งไปตะโกนเสียงดัง หลิวเสี้ยนหยางที่ในบ้านไม่เหลือญาติผู้อาวุโสอยู่แล้วคงถูกโยนร่างไปทิ้งไว้ในสุสานไร้ญาติเข้าจริงๆ
ตอนนั้นซ่งจี๋ซินนั่งอยู่บนกำแพงรอชมเรื่องสนุก แถมยังคอยพูดยั่วยุไม่หยุด ตอนหลังเขายังมาพูดกับเฉินผิงอันที่ยังตระหนกไม่คลายว่า การกระทำของพวกหลูเจิ้งฉุนนี้ นอกเมืองเรียกว่า ‘ผดุงคุณธรรมเพื่อความแค้น’
หลูเจิ้งฉุนขวางทางไปของหลิวเสี้ยนหยาง ฝืนเค้นรอยยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น วันนี้ข้าไม่ได้มาคิดบัญชีเก่ากับเจ้า แต่มา…”
หลิวเสี้ยนหยางตัดบทคำพูดของคุณชายตระกูลหลู “ยังจะมาอีกรึ? หมาดีต้องไม่ขวางทาง หลบข้าเดี๋ยวนี้!”
หลูเจิ้งฉุนสีหน้ากระอักกระอ่วน ยังฝืนยิ้มต่อไป “หลิวเสี้ยนหยาง ครั้งนี้ที่ข้ามาเพราะมีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าจริงๆ คราวก่อนเจ้าไม่รอให้พวกเราพูดจบก็หนีไปเสียก่อน ทำแบบนี้ไม่ดี จะอย่างไรก็ควรลองฟังเงื่อนไขที่พวกเราเสนอให้ก่อน ถูกไหม? จะว่าไปแล้ว พวกเราสองคนก็ถือว่าหากไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องสร้างความลำบากใจให้กันขนาดนั้น ข้ากับพวกแขกทั้งหลายต่างก็มีความจริงใจต่อเจ้า!”
หลิวเสี้ยนหยางเอียงศีรษะ เอ่ยเยาะ “ทำไม เจ้าติดใจการสร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ให้คนอื่นแล้วหรือไง? ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ จะอย่างไรเจ้าหลูเจิ้งฉุนก็เป็นหลานของตระกูลที่มีเงินมากที่สุดในเมืองของเรา ทำไมถึงชอบไปเป็นสุนัขรับใช้ให้คนต่างถิ่นได้เล่า?”
สีหน้าของหลูเจิ้งฉุนเขียวคล้ำ แต่กลับยังรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ ท่าทางของเขาน่าขันยิ่งนัก แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเรียกว่าวิงวอน “หลิวเสี้ยนหยาง ขอแค่เจ้าเอ่ยปาก ไม่ว่าต้องการอะไร พวกเขาก็จะพยายามทำให้เจ้าพึงพอใจได้มากที่สุด หรือเจ้าต้องการเงิน? เจ้าลองบอกจำนวนมาได้เลย ตกลงไหม? หรือจะเป็น…หนึ่งร้อยห้าสิบพวงเงิน? (พวงเงินหรือกว้าน 贯คือเงินที่ใช้เชือกร้อยเข้าด้วยกันเป็นพวง หนึ่งพวงเงินหรือหนึ่งกว้านก็คือเงินอีแปะ (เหวิน 文) 1000 เหรียญที่ร้อยเข้าด้วยกัน) หรือจะ…สองร้อยพวง ข้าก็สามารถต่อรองราคาให้กับเจ้าได้ สองร้อยพวงเงินเชียวนะ เงินเท่านี้ช่วยให้เจ้าซื้อบ้านบนถนนฝูลวี่ของพวกเราได้ครึ่งหลังเลยทีเดียว”
หลิวเสี้ยนหยางจ้องสายตาและสีหน้าของคนตรงหน้าเขม็ง พูดเหยียดหยามว่า “สองร้อยพวงเงิน เจ้านึกว่ากำลังไล่ขอทานอยู่หรือไง? ยังจะบอกว่าจริงใจอีกรึ? เจ้าเลิกเสแสร้งต่อหน้าข้าสักทีเถอะ ข้าผู้อาวุโสยังมีธุระต้องไปทำ ไสหัวไปให้พ้นทาง!”
ตรงมุมหัวเลี้ยวของตรอกหนีผิง เด็กหญิงหน้าตาน่ารักดั่งตุ๊กตาหยกแกะสลักนั่งอยู่บนไหล่ของผู้เฒ่าร่างกำยำ เด็กชายสวมชุดแดงสดใสถูกหญิงที่ออกเรือนแล้วผู้หนึ่งจับมือไว้ เดิมทีอายุเท่าเขาควรเป็นวัยที่ยังไร้เดียงสา ทว่าบัดนี้บนใบหน้ากลับมีความเหี้ยมอำมหิตไม่สมอายุเผยขึ้นมา เขาพูดด้วยภาษาบ้านเกิดตัวเองว่า “คนของตระกูลหลูนี่โง่เกินไปหน่อยหรือเปล่า? เอามาใช้จะมีประโยชน์อะไร…”
หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การแสดงพระคุณต่อคน ต้องรู้จักหลักการที่ว่าข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น[1] หากคิดจะได้กำไรมากที่สุดในการซื้อขาย ก็ควรจะทำอย่างหลูเจิ้งฉุน นั่นคือหยั่งเชิงดูก่อนว่าเส้นบรรทัดฐานของราคาในใจอีกฝ่ายคือเท่าใด”
เด็กชายกล่าวอย่างกังขา “ทำการค้ากับพวกชาวบ้านชั้นต่ำก็ต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
หญิงวัยกลางคนยิ้มตอบ “นิสัยมนุษย์ซับซ้อน จิตใจก็ยากแท้สุดจะหยั่ง ไม่อาจใช้ความสูงต่ำของตบะมาวัดมากน้อยได้ คนที่อยู่ในสถานที่เล็กๆ ต่อให้ความรู้จะตื้นเขินสักเท่าไหร่ก็ไม่ใช่คนโง่ทั้งหมด หากเจ้าคิดอย่างนี้ สักวันย่อมต้องเสียเปรียบผู้อื่น”
เด็กชายร้องอ้อรับหนึ่งที “ท่านแม่รู้ใจคนดีที่สุด แล้วทำไมถึงไม่เป็นฝ่ายออกหน้าไปคุยเอง?”
หญิงวัยกลางคนอธิบายอย่างใจเย็น “ดูจากอาภรณ์ที่พวกเราสวมใส่ ไม่ว่าเจ้าจะไปซื้อของที่ร้านไหน ขอแค่เป็นพ่อค้าที่หัวไวสักหน่อยย่อมต้องอดใจขูดรีดไม่ไหว”
เด็กชายถอนหายใจ “แต่อืดอาดชักช้าขนาดนี้ก็ช่างน่าหงุดหงิดใจนัก”
สตรีผู้นั้นคุกเข่าลง ใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าของเด็กชาย จ้องมองใบหน้าที่เหมือนบิดาของเขาแล้วพูดน้ำเสียงจริงจัง “จำเอาไว้ว่า การปลูกฝังขัดเกลาจิตใจให้ดีก็คือหนึ่งในการฝึกตน ความราบรื่นฝึกกำลัง อุปสรรคฝึกจิตใจ ล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้”
เด็กชายส่ายหน้าให้หลุดจากฝ่ามือของสตรีวัยกลางคน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สอนหลักการเลื่อนลอยพวกนี้อีกแล้ว น่ารำคาญชะมัด”
หญิงวัยกลางคนเหนื่อยใจไม่น้อย แต่กลับไม่ได้สั่งสอนบุตรชายด้วยความหวังดีอีกต่อไป เพียงแค่รู้สึกว่าลูกชายของตนพรสวรรค์ดี ฐานกระดูกดี ซ้ำยังมีสองตระกูลเป็นที่พึ่งพา ดังนั้นอนาคตข้างหน้ายังยาวไกล แม้ว่านิสัยจะดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ยังพอจะค่อยๆ สั่งสอนกันได้ การดึงต้นกล้าเพื่อช่วยให้มันเติบโตต่างหากที่ถึงจะไม่เหมาะสมที่สุด
ได้ยินบทสนทนาน่าเบื่อในตรอกเล็ก เด็กหญิงก็เริ่มเป็นกังวล “ท่านปู่ป๋ายหยวน หากให้ตายยังไงคนผู้นั้นก็ไม่ยอมขายจริงๆ พวกเราจะทำยังไงกันดี?”
ผู้เฒ่าที่แขนทั้งคู่ยาวถึงเข่าราววานรยิ้มรับ “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาตาย บ่าวเฒ่ามาที่นี่ เดิมทีก็เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอยู่แล้ว หาไม่แล้วเงินก้อนนั้นก็เท่ากับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ มีแต่เสียไม่มีได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ความปลอดภัยของคุณหนูอาจมีปัญหาอยู่บ้าง เกรงว่าคงต้องไหว้วานให้ตระกูลซ่งหรือไม่ก็ตระกูลหลี่ช่วยถึงจะได้”
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แต่หากให้ฆ่าคน แม้ผู้เฒ่าจะต้องถูกเซิ่งเหรินขับไล่ออกจากเมือง ทว่าเมื่อเทียบกับการที่ต้องไหลหายไปกับแม่น้ำอย่างเงียบเชียบแล้ว ต่อให้จะทำได้แค่โยนหินก้อนหนึ่งลงไปในน้ำ แต่อย่างน้อยก็ยังทำให้น้ำกระเซ็นขึ้นมาได้บ้าง
เพียงแต่ว่าถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ ผู้เฒ่าย่อมไม่มีทางใช้วิธีนี้ เพราะอย่างไรซะต่อให้ความหมายของคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นจะมหาศาลแค่ไหน เขาตะวันเที่ยงจะมองมันเป็นสมบัติล้ำค่ามากเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับวิถีความเป็นอมตะที่ยิ่งใหญ่ของคุณหนูน้อยที่อยู่บนบ่าตนผู้นี้แล้ว ก็ถือว่ายังห่างชั้นกันไกลนัก อย่างน้อยสำหรับผู้เฒ่า เขาก็คิดว่าเป็นเช่นนี้
สี่แซ่สิบตระกูลของเมืองแห่งนี้ มีตระกูลหลูเป็นผู้นำ
แต่หากไปอยู่ข้างนอกจะตรงกันข้ามพอดี เพราะตระกูลหลูคือตระกูลลำดับล่างสุด สาเหตุเป็นเพราะหลังจากราชวงศ์หนึ่งที่สกุลหลูให้การสนับสนุนถูกสองกองทัพใหญ่ของต้าหลีร่วมมือกันฆ่าล้าง ฐานะของสกุลหลูที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปบูรพาก็ตกอยู่ในอันตรายทุกขณะ
ส่วนทางฝ่ายของในตรอก หลิวเสี้ยนหยางที่ได้ยินหลูเจิ้งฉุนพูดถึงตำแหน่งขุนนางสูงเงินหนา เอวผูกเงินหมื่นพวง สาวงามดารดาษดุจก้อนเมฆ ก็รู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับซ่งจี๋ซินคนที่สอง เขาจึงหงุดหงิดมากเป็นพิเศษ เลยเดินปรี่ขึ้นไปชี้หน้าหลูเจิ้งฉุน พูดน้ำเสียงเด็ดขาด “เสื้อเกราะตัวนั้นเป็นของสืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลหลิวของข้า มีเงินก็หาซื้อไม่ได้! ต่อให้วันนี้เจ้าให้ข้าย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้า นับแต่นี้ไปเจ้าหลูเจิ้งฉุนต้องเรียกขานข้าว่านายท่านทุกวัน ข้าก็คร้านที่จะสนใจเจ้า! เจ้าคนแซ่หลู ได้ยินชัดแล้วหรือยัง?!”
หลูเจิ้งฉุนที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ในตรอกเพียงลำพังจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนดื้อด้าน ไม่ฟังความ เพราะถือว่าเท้าเปล่าแล้วจะใส่รองเท้าก็ไม่กลัวตรงหน้าผู้นี้ (คนเท้าเปล่าต่อให้ใส่รองเท้าก็ไม่กลัวเปรียบเปรยถึงคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าทำ) แม้แต่ความคิดที่จะเอาหัวโหม่งกำแพงตายก็ยังผุดขึ้นมาในใจของคุณชายใหญ่ตระกูลหลูแล้ว
ก่อนหน้านี้ตรงสะพาน ตนรับหน้าที่ขวางทางไม่ให้หลิวเสี้ยนหยางไปที่ร้านตีเหล็ก พอพูดคุยต่อรองได้สักพัก ผลกลับกลายเป็นว่าล้มเหลว เมื่อกลับไปถึงบ้านบนถนนฝูลวี่ ท่านปู่ให้การรับรองแขกสูงศักดิ์เหล่านั้นเรียบร้อยแล้วก็เรียกเขาเข้าไปในห้องลับอย่างเงียบเชียบ เขาไม่ได้ด่าทอรุนแรง แล้วก็ไม่ได้ยกความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลหลูมาพูด เพียงชี้ไปยังศพที่อยู่ใต้ผ้าขาว “เจิ้งฉุนเอ๋ย ปู่ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด หวังเพียงว่าอย่าให้น้องชายเจ้าตายตาไม่หลับ ภายในวันที่เจ็ดนับจากเขาตายไป (เป็นความเชื่อของคนจีนว่าภายในเจ็ดวันหลังตายไปวิญญาณจะกลับมาบ้าน) หวังว่าเจ้าจะออกไปจากเมือง ไปดูทิวทัศน์ด้านนอกแทนเขาได้สำเร็จแล้ว”
พอนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้น หลูเจิ้งฉุนพลันน้ำตาเอ่อคลอ พูดเสียงสั่น “หลิวเสี้ยนหยาง ถือว่าข้าขอร้องเจ้า ได้ไหม?”
หลิวเสี้ยนหยางปากอ้าตาค้าง
เด็กหนุ่มผู้สวมอาภรณ์หรูหรากินอาหารรสเลิศมาทั้งชีวิตยิ่งเปราะบางเข้าไปใหญ่ ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ร้องไห้จนพูดไม่เป็นเสียง “ได้ไหม? ข้าจะคุกเข่าให้เจ้า ข้าจะยอมรับผิดต่อเจ้า ได้หรือไม่?”
เสียงตุ้บดังขึ้นหนึ่งที
หลูเจิ้งฉุนลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดินของตรอกหนีผิงแล้วเริ่มโขกศีรษะ
ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ (หมายถึงลูกผู้ชายจะไม่คุกเข่าให้ใครพร่ำเพื่อ)
ทว่าเด็กหนุ่มกลับโขกศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างจริงจัง เสียงดังปั่กๆ
ตรงมุมกำแพงนอกตรอกหนีผิง เด็กหญิงแกว่งเท้าเตะโดนหน้าอกของผู้เฒ่าเบาๆ ในหัวนึกถึงยอดเขาที่หมายตาตลอดทางที่เดินมา กำลังคิดว่าจะเลือกลูกไหนกลับไปบ้านเกิดด้วยถึงจะดี
เด็กชายรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่ เจ้าคนแซ่หลูผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือไร? วันหน้าพวกเราจะต้องพาเจ้าคนบ้าผู้นี้ออกจากเมืองไปด้วย แล้วจะไม่ขายหน้าแย่หรือ?”
หญิงวัยกลางคนสีหน้าซับซ้อน นึกถึงเรื่องราวประหลาดมากมายที่เคยประสบพบเจอมากับตัวเอง อ้าปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายเพียงส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่หรอก”
หลิวเสี้ยนหยางเริ่มทำอะไรไม่ถูก
ต่อให้คิดจนสมองแตก เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็นึกไม่ถึงว่าหลูเจิ้งฉุนจะทำอย่างนี้ หลานคนโตของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองกลับมาคุกเข่าโขกศีรษะคำนับอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนน่ะหรือ?
สีหน้าของหลิวเสี้ยนหยางคิดไม่ตก และเวลานี้เอง เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่จับตามองหลิวเสี้ยนหยางและหลูเจิ้งฉุนมาตลอดเวลาพลันกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ก่อนจะส่ายหน้าให้เขาเบาๆ
หลิวเสี้ยนหยางอดพูดไม่ได้ว่า “แต่ทำแบบนี้ก็ไม่สมควร…”
สายตาของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยวแค่ไหน ไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัด
เด็กหนุ่มสูงใหญ่ผู้ไม่แยแสสิ่งใดเริ่มมีแววว่าจะใจอ่อน
ทว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เป็นคนดีเกินเหตุในสายตาของเด็กสาวชุดดำ บัดนี้กลับใจแข็งประดุจเหล็กกล้า
ลางสังหรณ์บอกกับเฉินผิงอันว่า หากหลิวเสี้ยนหยางยอมตอบรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้เพราะหลูเจิ้งฉุนคุกเข่าให้ ไม่แน่ว่าอย่างมากสุดอาจต้องลำบากเล็กน้อย แต่คงไม่มีภัยถึงชีวิตแน่นอน ทว่าตอนนี้หลิวเสี้ยนหยางได้ตกอยู่ท่ามกลางความยากลำบากที่ตนประสบพบเจอมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะท่านฉียื่นมือเข้าแทรก ชะตาชีวิตของตนก็คงต้องสังหารฝูหนันหัว จากนั้นจึงถูกคนสังหาร อาจเป็นคนของเขาเมฆาเรือง หรืออาจเป็นคนของนครมังกรเฒ่า
อีกอย่างที่ยิ่งร้ายแรงกว่านั้นก็คือ ตาม “กฎ” ที่แม่นางหนิงบอกกับเขา หากเดิมทีหลูเจิ้งฉุนก็เป็นคนของในเมืองอยู่แล้ว หากเขาหรือตระกูลหลูคิดฆ่าหลิวเสี้ยนหยาง แม้แต่ท่านฉีเองก็ไม่สามารถห้ามปรามได้
ความคิดในใจของเฉินผิงอันแล่นเร็วปรื๋อ ฉวยโอกาสที่หลูเจิ้งฉุนยังโขกหัวอย่างเอาเป็นเอาตายกดเสียงต่ำพูดกับหลิวเสี้ยนหยางว่า “หากไม่ได้จริงๆ ก็แสร้งทำเป็นตอบรับเขาไปก่อน รอพวกเราไปเจอกับอาจารย์หร่วนแล้วเขารับเจ้าเป็นศิษย์เมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันอีกที”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ ก่อนพูดกับหลูเจิ้งฉุนว่า “พี่ชาย เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถอะ ลุกขึ้นมาคุยกัน! เจ้าทำแบบนี้มันน่าดูเสียที่ไหน!”
หลูเจิ้งฉุนไม่ได้ลุกขึ้น เพียงเงยหน้าผากบวมแดงที่เปรอะไปด้วยคราบดินโคลนขึ้นมองเขา
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างจนใจ “แต่เจ้าต้องกลับไปก่อน ลองปรึกษากับพวกเขาให้ดี ต้องเป็นราคาที่ยุติธรรมถึงจะได้ อย่าคิดจะปั่นหัวข้าอีก ข้าไม่ใช่คนโง่ที่จะเอาเงินสองร้อยพวงอะไรมาหลอกได้ อีกอย่างยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าจะเสียเปรียบหรือไม่ เอาแค่ว่าผู้สูงศักดิ์กลุ่มนั้นจะไม่กดราคาข้าก็พอ”
หลูเจิ้งฉุนลุกขึ้นยืนช้าๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็คือหลักการนี้แหละ! ขอแค่เจ้ายอมพูดคุยก็พอ หลิวเสี้ยนหยาง วันหน้าข้าหลูเจิ้งฉุนก็คือพี่น้องของเจ้าแล้ว! เจ้าจะยอมรับข้าหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่ข้ายอมรับเจ้าเป็นเพื่อนแล้ว!”
หลิวเสี้ยนหยางเดินหน้ามาคว้าไหล่หลูเจิ้งฉุนให้เดินไปด้วยกัน พลางพูดปลอบไปด้วย “เหล่าหลู วันหน้าเจ้าต้องพาพี่น้องอย่างข้าไปเสพสุขด้วยกันนะ รอให้การค้านี้สำเร็จเมื่อไหร่ ยังไงข้าก็ต้องพาเจ้าไปเลี้ยงเหล้าให้เปรมกันไปข้าง”
หลูเจิ้งฉุนเช็ดหน้าผากพลางหัวเราะอย่างเบิกบาน “แค่ดื่มเหล้าก็ง่ายน่ะสิ จะไปยากตรงไหน อีกอย่างข้าเป็นคนเลี้ยงเอง จะให้เจ้าเป็นคนจ่ายเงินได้อย่างไร ตกลงตามนี้ หาไม่แล้วพี่ชายอย่างข้าจะโกรธเจ้าจริงๆ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่าเสียงดัง “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าเหล่าหลูเป็นคนพึ่งพาได้ วันหน้าคบกับเจ้าย่อมไม่ผิดแน่!”
เฉินผิงอันเดินตามไปด้านหลังคนทั้งสอง เบี่ยงตัวกลับมามองมุมหนึ่งของตรอกเล็ก จ้องเขม็งไปยังความเคลื่อนไหวตรงจุดนั้น
—-
ภายใต้การนำทางของพ่อบ้ายวัยชรา ชายหนุ่มชุดขาวพาเด็กหนุ่มซ่งจี๋ซินเดินไปยังเรือนรับรองด้านหลังของจวนผู้ตรวจการ
พ่อบ้านบอกว่าหลังจากที่ท่านหลี่แห่งสำนักศึกษาซึ่งเดินทางมาไกลได้มารออยู่ที่นี่ครึ่งชั่วยามก็บอกว่าจะไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสสำนักขงจื๊อท่านหนึ่งที่โรงเรียนสักหน่อย
ซ่งจ่างจิ้งไม่สนใจเรื่องแขกผู้นั้น เพียงถามว่า “ฆาตกรที่ตายอยู่ในตรอกเล็กนั่น ตรวจสอบดูหรือยังว่าเป็นหมากของกองกำลังฝ่ายไหน?”
พ่อบ้านมีท่าทางลังเลเล็กน้อย
ซ่งจ่างจิ้งขมวดคิ้ว “หืม?”
ผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่งรีบโค้งตัวกล่าวเสียงขลาด “เป็นของคนตระกูลซ่งถนนฝูลวี่ขอรับ”
ซ่งจ่างจิ้งหัวเราะหยัน “ไม่รู้จักสร้างเรื่องประหลาดใจให้อ๋องอย่างข้าบ้างเลย!”
พ่อบ้านวัยชราเหงื่อแตกพลั่กราวตากฝน
ซ่งจี๋ซินฟังเงียบๆ แต่ดวงตากลับฉายประกายร้อนแรง
ในโรงเรียน ฉีจิ้งชุนวางหนังสือลงเบาๆ หันมองไปยังหน้าประตู จึงเห็นเวลานี้มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาครอบกวานสูง สวมอาภรณ์สำนักขงจื๊อกำลังส่งยิ้มมาให้
สีหน้าของฉีจิ้งชุนนิ่งสนิทดุจผิวน้ำ เคร่งขรึมจริงจัง
ในเมืองเล็ก ชายหัวโล้น ใบหน้าแห้งตอบ สวมเสื้อผ้าประหลาดคนหนึ่งเดินเท้าเปล่ามาถึงบ่อโซ่เหล็ก เขาชะโงกหน้ามองลงไปในบ่อ สิบนิ้วยกขึ้นประนม หลับตาพูดเสียงแผ่วเบา “พระพุทธมองน้ำหนึ่งถ้วย มองเห็นแมลงหนึ่งหมื่นแปดพันตัว[2]”
นอกเมือง บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้หนาใหญ่ของต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้า ทอดสายตามองมายังเมืองเล็กที่เห็นเป็นเค้าโครง ตรงเอวห้อยตราพยัคฆ์ชิ้นหนึ่ง ด้านหลังแบกกระบี่ยาวหนึ่งเล่ม
นอกฟ้าดินแห่งนี้
บนถนนสายฟ้าที่เอียงขึ้นด้านบนราวกับจะทอดยาวไปถึงชั้นฟ้า รอบด้านอบอวลไปด้วยหมู่เมฆ มองไม่เห็นทิวทัศน์อื่นใด
แม่ชีอายุน้อยสวมกวานสีเหลืองขี่กวางขาวค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง
ข้างกายนางยังมีนักพรตหน้าหยกคนหนึ่งที่ก้าวเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาดุจเดินอยู่บนเมฆาคล้อยสายน้ำไหล มีปลาตัวใหญ่หนวดยาว ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเขียวว่ายวนอยู่รอบกายเขา
ขงจื๊อ พุทธ เต๋า ทหาร สามลัทธิหนึ่งแขนงกำลังจะมารวมตัวกันครบที่เมืองเล็ก
ร้านตีเหล็กริมแม่น้ำทางทิศใต้ของเมือง พ่อลูกกำลังช่วยกันตีเหล็ก สะเก็ดไฟสาดกระเซ็นสี่ทิศดั่งฝนเพลิงสว่างจ้า
ในมือของชายวัยกลางคนถือด้ามกระบี่ หันไปพูดกับเด็กสาวผมหางม้าที่ยกค้อนขึ้นตีว่า “ช่วงนี้ไม่ต้องเข้าไปในเมืองแล้ว”
กำลังแขนของเด็กสาวลดฮวบลงทันที รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงทั้งกายไหลหายไปพร้อมกับร้านอาหารของว่างในเมืองจนหมด
ชายวัยกลางคนโกรธจนกลายเป็นขำ “ให้มันได้เรื่องหน่อย!”
เด็กสาวเปลี่ยนความโมโหเป็นพละกำลัง ค้อนที่เหวี่ยงเต็มแรงจึงทุบลงบนตัวกระบี่สีแดงฉานอย่างหนักหน่วง
ภายใต้สะเก็ดไฟพร่างพราวที่สาดสะท้อน เด็กสาวประดุจเทพีแห่งเพลิงที่เยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์
—-
[1] ข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น เปรียบเปรยว่าหากคนคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย แล้วคุณให้ความช่วยเหลือเขาเล็กน้อย เขาจะซาบซึ้งใจ เห็นเป็นพระคุณ แต่หากคุณให้ความช่วยเหลือเขามากไป จนเขาเกิดเป็นความเคยชิน วันใดคุณหยุดให้ความช่วยเหลือเขา เขาก็จะมีแต่แค้นเคืองคุณ
[2] พระพุทธมองน้ำหนึ่งถ้วย มองเห็นแมลงหนึ่งหมื่นแปดพันตัว มาจากคาถาน้ำสะอาดของศาสนาพุทธ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมีเมตตาจิตของศาสนาพุทธ นั่นคือชาวพุทธมีใจเมตตา จะดื่มน้ำก็กลัวว่าจะทำร้ายแมลง (หรือแบคทีเรีย) ที่อยู่ในน้ำ จึงต้องท่องคาถาก่อนถึงจะดื่มได้ ดังนั้นก่อนจะดื่มน้ำจึงต้องท่องคาถาน้ำสะอาดสามครั้งเพื่อโปรดสัตว์เหล่านี้ก่อน