บทที่ 35 ชะเอม
หลังจากหลิวเสี้ยนหยางและเฉินผิงอันเดินออกมาจากตรอกหนีผิงก็ค้นพบว่ามีคนอยู่สองกลุ่มแยกกันยืนอยู่ฝั่งขวาและฝั่งซ้ายหน้าตรอก เด็กหญิงขี่คอผู้เฒ่าร่างกำยำ เด็กชายที่สวมชุดสีแดงสดยืนอยู่ข้างกายหญิงวัยกลางคนที่มีท่วงท่าสง่างาม ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางเดินออกมาจากตรอก ท่าทางเขาเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าผมสีดอกเลาจึงมองว่าเขามีลักษณะของขุนพลอยู่ไม่น้อย ส่วนเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่พยายามอำพรางความระแวดระวังของตัวเองกลับไม่อยู่ในสายตาของเขา
หลังจากที่หลูเจิ้งฉุนบอกลาคนทั้งสองก็ยืนกล้าๆ กลัวๆ อยู่ที่เดิม รายงานอย่างระมัดระวังว่า “หลิวเสี้ยนหยางเสนอให้ท่านเซียนทุกท่านตั้งราคาที่เหมาะสมกันเอาเอง ซึ่งคราวหน้าเขาจะตัดความอาลัย นำสมบัติสืบทอดของตระกูลมาขายให้”
หญิงวัยกลางคนมองไปยังผู้เฒ่าผมขาวของเขาตะวันเที่ยง ถามด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหยวนเห็นว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยก็กล่าวเสียงหนัก “เรื่องเดียวกันไม่ควรทำเกินสามครั้ง หากทำตามคำบอกของหลิวเสี้ยนหยางก่อนหน้านี้ ก็จงมอบความร่ำรวยค้ำฟ้าให้เขาก็แล้วกัน เขาตะวันเที่ยงสามารถมอบสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริงของขุนเขาให้แก่เด็กหนุ่มคนนี้ นอกจากนี้ข้ายังสามารถให้เขายืมอาวุธล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่เป็นของส่วนตัวของข้าเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ส่วนตระกูลซวี่ของนครลมเย็นพวกเจ้าจะให้ราคาเช่นไร ก็จงตรองกันเอาเอง”
หญิงวัยกลางคนตะลึงลาน “สถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริงถือว่าสูงศักดิ์อย่างยิ่งแล้ว นี่ผู้อาวุโสหยวนจะยังนำสมบัติอาคมอีกชิ้นหนึ่งให้เขายืมด้วย? หรือว่าเด็กหนุ่มแซ่หลิวผู้นี้ก็คือคนมีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ถูกคนขายเครื่องปั้นปล่อยข่าวออกไปเมื่อตอนเก้าขวบ?”
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงหันไปยิ้มกับนายน้อยของตัวเอง “ร้านค้าดีๆ หลายร้านของเมืองนี้ต่างก็มีประวัติที่ไม่ธรรมดา คุณหนูลองไปเดินเล่นดูได้ ไม่แน่ว่าอาจได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา”
เด็กหญิงร้อง “เย้ๆๆ” อย่างร่าเริง ผู้เฒ่าที่มีฐานะเป็นหัวหน้าผู้ปรนนิบัติงานของเขาตะวันเที่ยงหัวเราะร่าแล้วเริ่มออกวิ่งช้าๆ ดุจขุนเขาที่เคลื่อนย้าย
เด็กชายกล่าวยิ้มๆ “เขาตะวันเที่ยงช่างมากบารมีเสียจริง!”
หญิงวัยกลางคนบอกเป็นนัยให้หลูเจิ้งฉุนกลับบ้านไปก่อน ส่วนนางพาลูกชายไปเดินเล่นพลางอธิบายความนัยของเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ให้เขาฟัง “ในเขาตะวันเที่ยง นอกจากเส้นทางหลักขึ้นเขาที่ธรรมดาสายนั้นแล้ว ยังมี ‘มรรคากระบี่’ โดยเฉพาะอีกด้วย นับแต่ที่ได้รับสืบทอดมาจนถึงวันนี้ พวกเขาได้บุกเบิกเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาแล้วทั้งหมดหกเส้น นี่หมายความว่าเขาตะวันเที่ยงมีเซียนกระบี่ผู้บรรลุสุดยอดแห่งมหามรรคาปรากฎขึ้นแล้วถึงหกคน”
เด็กชายหลุดหัวเราะพรืด “ปฏิทินเหลืองต่อให้หนาแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี กินแต่ทุนเดิมจะกินอยู่ได้สักกี่ปี? ผู้ฝึกลมปราณของแต่ละฝ่ายที่สามารถเข้ามาในเมืองแห่งนี้ได้ ยกตัวอย่างแค่คนหลายกลุ่มที่เข้ามาตามหลังพวกเรา แต่ละบ้าน แต่ละตระกูล บรรพบุรุษใครบ้างที่ไม่เคยอู้ฟู่ร่ำรวยมาก่อน?”
หญิงวัยกลางคนจูงมือเด็กชาย กล่าวยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ร้อยปีล่าสุดนี้มีมรรคากระบี่เส้นใหม่สองเส้นที่กำลังจะทอดยาวไปถึงยอดเขาตะวันเที่ยง? ความมหัศจรรย์ของเด็กหญิงที่อายุเท่ากับเจ้าคนนั้นอยู่ที่ว่า นางสามารถเข้าออก ‘ยอดกระบี่’ ที่มีปราณกระบี่อบอวลลูกนั้นได้ตามใจปรารถนา ความนานของเวลาที่นางสามารถอยู่บนนั้นได้ไม่เป็นรองเหล่าบุรพาจารย์หลายท่านของเขาตะวันเที่ยงเลยแม้แต่น้อย”
เด็กชายอึ้งตะลึง จากนั้นจึงชะงักฝีเท้า พูดอย่างหงุดหงิดเหลือแสน “ในเมื่อเด็กโง่นั่นมีตัวตนไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านแม่ถึงไม่บอกกับข้าตั้งแต่แรก ข้าจะได้ไม่หาเรื่องนางมาตลอดทาง จนทำให้นางเถียงทุกคำที่ข้าพูด หากผ่านไปอีกไม่กี่ปีข้าต้องแต่งนางมาเป็นภรรยา แล้วหลังจากนั้นต้องผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนกัน สำหรับนครลมเย็นของเราแล้วจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องมหามงคลหรอกหรือ?!”
หญิงวัยกลางวันมองดวงหน้าเยาว์วัยงดงามที่กำลังเกรี้ยวกราดดุจลูกพยัคฆ์ขี้โมโห นางไม่เพียงไม่โกรธกลับรู้สึกขำด้วยซ้ำ “เจ้าและเด็กหญิงคนนั้นต่างก็เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมที่มีความหวังว่าจะเดินขึ้นสู่ ‘ห้าขอบเขตบน’ ของการฝึกตน ดังนั้นการแต่งงานของพวกเจ้าย่อมยิ่งซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้สารพัด การดึงดันทำตามใจไม่ฟังเสียงผู้อื่น หรือจงใจกระทำเรื่องใดๆ ขึ้นมา ย่อมไม่ใช่เรื่องดี เจ้านึกจริงๆ หรือว่าตอนนี้แม่หนูนั่นเพียงแค่รังเกียจเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น?”
เด็กชายขมวดคิ้ว “ไม่งั้นยังจะมีอะไรอีกล่ะ?”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ”
จู่ๆ เด็กชายก็ทำท่าทางจริงจัง “ท่านแม่ ข้าไม่ชอบเจ้าคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้น แค่เห็นครั้งแรกก็ไม่ชอบมากๆ แล้ว!”
หญิงวัยกลางคนถามน้ำเสียงแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”
เด็กชายใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยตอบว่า “ไอ้หมอนี่ดูแปลกๆ เขาไม่เหมือนกับหลูเจิ้งฉุนที่ไม่ว่าอะไรก็เข้าใจ แล้วก็ไม่เหมือนกับหลิวเสี้ยนหยางที่อะไรก็รู้เรื่อง อีกอย่าง ข้าเกลียดดวงตาคู่นั้นของเขายิ่งนัก!”
หญิงวัยกลางคนแค่มองว่าบุตรชายเริ่มเล่นบทเด็กเอาแต่ใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ในเมืองแห่งนี้ เราไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนา แต่เจ้าก็ลองนึกถึงจุดจบของทุกคนในเมืองแห่งนี้หลังที่ฟ้าถล่มดินทลายแล้วสิ คิดแบบนั้นเจ้าจะได้สบายใจขึ้นยังไงล่ะ”
เด็กชายพยักหน้ารับ กล่าวประโยคที่เคยเอ่ยเมื่อแรกพบกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะซ้ำอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว “แค่มดตัวหนึ่ง!”
—-
ออกมาจากเมือง ไม่นานเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางก็เห็นสะพานแห่งนั้น จู่ๆ หลิวเสี้ยนหยางก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าว่าทำไมบิดาของซ่งจี๋ซินถึงสร้างสะพานแห่งนี้ขึ้นมา? สร้างก็สร้างแล้ว แล้วทำไมยังต้องสร้างทับสะพานหินโค้งอันเก่าด้วย ได้ยินมาว่าสะพานหินนั่นไม่ได้ถูกรื้อด้วยซ้ำ เหมือนสวมเสื้อทับไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้ว่าฤดูร้อนมันจะร้อนหรือไม่ ฮ่าๆๆ…”
พูดถึงตอนท้าย เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็นึกขำคำพูดตัวเอง
ปลายฝั่งนี้ของสะพานแขวนกรอบป้ายอักษรสีทองไว้ชิ้นหนึ่ง คือป้ายตัวอักษรสี่คำที่ไม่รู้ว่าเป็นลายมือของใคร ตัวอักษรที่ใหญ่มากนั้นเขียนคำว่า “เฟิงเซิงสุ่ยฉี่” (风生水起แปลว่าลมโชยน้ำขึ้น ความหมายอีกอย่างคือเป็นคำอวยพรให้ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง)
ตอนที่เด็กหนุ่มสองคนเดินขึ้นบันได หลิวเสี้ยนหยางกระทืบเท้าแรงๆ อยู่หลายครั้งพลางเอ่ยมีลับลมคมใน “ผู้เฒ่าเหยาเคยบอกกับข้าครั้งหนึ่งว่า ด้านใต้บันไดแห่งนี้มีอะไรแปลกๆ บอกว่าตอนที่เพิ่งสร้างสะพานแห่งนี้เสร็จ ดึกสงัดคืนหนึ่ง บิดาของซ่งจี๋ซินสั่งให้คนมาขุดหลุมขนาดใหญ่ไว้ที่นี่ ด้านในฝังหม้อดินเผาขนาดใหญ่สูงเท่าตัวคนเอาไว้ใบหนึ่ง เจ้ากลัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบหงุดหงิด “มีอะไรให้ต้องกลัวกัน”
ขณะที่คนทั้งสองเดินไปบนสะพานเย็นฉ่ำ หลิวเสี้ยนหยางก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าว่าจะเป็นเพราะหลุมลึกใต้สะพานแห่งนี้ทับคนตายไปหลายคน เลยจำเป็นต้องเชิญพระสงฆ์หรือนักพรตเต๋ามาสยบความชั่วร้ายหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ
หลิวเสี้ยนหยางที่ไม่ได้คำตอบจึงหมดความสนใจ
สะพานไม้ที่เพิ่งบูรณะใหม่เมื่อไม่นานแห่งนี้ ตอนนี้ยังมีกลิ่นไม้หอมและกลิ่นสีโชยมาจางๆ ไม้ที่นำมาทำเป็นคานหลักล้วนเป็นไม้ที่ถูกตัดมาจากในป่าลึกบนภูเขาซึ่งถูกสั่งปิดมานานหลายปี การเคลื่อนย้ายออกมาจากภูเขาลึกเป็นไปด้วยความยากลำบาก และในเวลาปกติระดับน้ำในธารน้ำที่โอบล้อมอยู่รอบตัวภูเขาก็ไม่สูงมากนัก ไม่มากพอที่จะทำให้ไม้ขนาดใหญ่ยักษ์ลอยได้เลยด้วยซ้ำ จึงจำต้องเลือกช่วงเวลาที่มีพายุฝน เส้นทางในภูเขากลายเป็นโคลนลื่น หากไม่ระวังก็อาจตกลงไปในน้ำป่าที่ไหลหลาก เห็นได้ชัดว่าอันตรายสุดขีด โชคดีที่ครั้งนั้นไม่มีชาวบ้านคนใดพลัดตกน้ำตาย มีคนบอกว่าการย้ายไม้ออกจากภูเขาครั้งนั้นได้ท่านฉีอาจารย์ผู้สอนของโรงเรียนไปช่วยด้วยตัวเอง เขาเป็นคนสั่งความว่าควรจะเคลื่อนย้ายอย่างไร แล้วก็เพราะพึ่งใบบุญของท่านฉี เรื่องครั้งนั้นจึงสำเร็จลงได้ด้วยดี
เมื่อเดินมาถึงบันไดสะพานทางฝั่งทิศเหนือ จู่ๆ หลิวเสี้ยนหยางกลับนั่งแปะลงไปบนหินสีเขียวก้อนยาวใหญ่ เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งลงข้างๆ เขา
หลิวเสี้ยนหยางถามยิ้มๆ “หากไม่เป็นเพราะข้า เจ้ากับซ่งจี๋ซินจะกลายเป็นเพื่อนรักกันหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ความสัมพันธ์อาจดีกว่านี้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ดีไปขนาดไหนหรอก”
หลิวเสี้ยนหยางถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ พวกเจ้าสองคนเป็นเพื่อนบ้านกัน แถมอายุยังห่างกันไม่มาก เอาเข้าจริง แม้ว่าซ่งจี๋ซินจะชอบวางท่าเป็นคนมีความรู้ พูดจาก็ระคายหู แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดินอะไรมาก่อน แถมเจ้ายังเป็นคนเข้ากับคนได้ง่าย ทำไมถึงจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ล่ะ?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว อีกเดี๋ยวพอพวกเราไปถึงร้านตีเหล็ก เจ้าห้ามทำเป็นเหลาะแหละเด็ดขาด จะรักษาเสื้อเกราะของตระกูลเจ้าไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าอาจารย์หร่วนจะรับเจ้าเป็นศิษย์หรือเปล่า”
“รู้แล้วน่าๆ เฉินผิงอัน บอกตามตรงนะ ไอ้นิสัยขี้บ่นนี้ของเจ้า วันหน้าต้องเพลาๆ ลงซะบ้าง หาไม่แล้วข้าคงรำคาญเจ้าตายสักวัน”
หลิวเสี้ยนหยางเอนตัวไปข้างหลัง วางท้ายทอยทาบบนขั้นบันไดที่อยู่สูงที่สุด เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส “เจ้าติดตามผู้เฒ่าเหยาเดินทางไปไกล ปีนเขาก็ปีนได้สูงมาก ได้มองเห็นทิวทัศน์ที่กว้างไกลขนาดไหนกันนะ?”
เฉินผิงอันเอื้อมมือไปเด็ดชะเอมต้นหนึ่งมา หลังจากปาดคราบดินทิ้งก็เอาเข้าปากเคี้ยว กลิ่นหอมสดชื่นจึงอบอวลอยู่ในปาก “ครั้งที่ไกลที่สุดน่าจะเป็นเมื่อสามปีก่อน ข้ากับผู้เฒ่าเหยาไปกลับครั้งหนึ่งใช้เวลาประมาณสิบวัน ลำพังแค่ภูเขาที่ถูกปิดตายก็อ้อมไปแล้วสิบกว่าลูก สุดท้ายขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่งที่ประหลาดมาก มันสูงจนน่าตกใจ บอกไปแล้วเจ้าอาจไม่เชื่อ ตอนที่ปีนไปได้ครึ่งลูก เจ้าทอดสายตามองไปก็เห็นแต่ทะเลเมฆแล้ว สุดท้ายกว่าข้ากับผู้เฒ่าเหยาจะปีนขึ้นไปถึงยอดเขาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่า…”
หลิวเสี้ยนหยางรออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคถัดไปเสียที จึงหันไปมองอีกฝ่ายพลางเอ่ยยิ้มๆ “ใครเขาอึได้ครึ่งหนึ่งแล้วดึงกางเกงขึ้นอย่างเจ้าบ้างเล่า!”
เฉินผิงอันพูดเสียงเบาอย่างเศร้าสลดเล็กน้อย “เจ้าเองก็รู้ว่าผู้เฒ่าเหยาไม่ค่อยประทับใจในตัวข้าสักเท่าไหร่ เขาแทบไม่เคยอธิบายหลักเหตุผลอะไรให้ข้าฟัง แล้วก็ไม่ยินดีจะถ่ายทอดเคล็ดลับการเผาเครื่องปั้นให้แก่ข้า ทุกครั้งที่ขึ้นเขา ผู้เฒ่าเหยาจะไม่ชอบพูด นับตั้งแต่ขึ้นเขาจนกลับไปถึงเตาเผา รวมๆ กันแล้วเขาก็พูดแค่ไม่กี่คำเท่านั้น ทว่าคราวนั้นพอขึ้นไปถึงยอดเขา ผู้เฒ่าเหยาคงจะอารมณ์ดีจึงพูดมากสักหน่อย เขาบอกให้ข้ามองทิวทัศน์ตรงนั้นให้ดี มองเห็นแล้วจงปิดปากเงียบ ลงจากเขาไปห้ามพูดมาก เป็นคนมีหน้าที่อะไรก็ก้มตาก้มตาทำไป อย่าดีแต่ปาก ไม่งั้นวันหน้าต่อให้ออกไปจากเมืองได้ก็อาจจะยังต้องขายหน้าคนอื่น”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยปลอบ “ไม่ใช่ว่าข้าช่วยพูดให้ผู้เฒ่าเหยาหรอกนะ เขาไม่ชอบเจ้า แต่ก็ไม่เกลียดเจ้าเหมือนกัน ไม่ว่ากับใครเขาก็มีนิสัยน่าโมโหแบบนั้น แต่กับข้าอาจจะดีขึ้นมาหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดังนั้นลึกๆ ในใจของข้าถึงได้ซาบซึ้งใจในตัวผู้เฒ่าเหยามาโดยตลอด”
หลิวเสี้ยนหยางพลันกล่าวอย่างโมโห “ออกทะเลอยู่นั่น เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเห็นอะไรกันแน่!”
เฉินผิงอันชี้ไปทางทิศตะวันออก “เขาลูกนั้นที่พวกเราปีนขึ้นไปนับว่าสูงมากแล้ว แต่พอข้าไปถึงยอดเขาแล้วมองไป ทางฝั่งตะวันออกสุดกลับยังมีภูเขาอีกลูกที่สูงยิ่งกว่า ขนาดข้าก็ยังบอกไม่ได้ว่ามันสูงเท่าไหร่กันแน่”
หลิวเสี้ยนหยางด่ากราด “ก็แค่มองเห็นภูเขาสูงลูกหนึ่ง ข้าก็นึกว่าเจ้าแม่งเห็นเทพเซียนขี่เมฆอะไรมาซะอีก!”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน “ไม่แน่ว่าบนภูเขาลูกนั้นอาจมีเทพเซียนอยู่จริงก็เป็นได้”
หลิวเสี้ยนหยางถามยิ้มๆ “เฉินผิงอัน เจ้ารู้สึกว่าเทพเซียนก็ต้องกิน ดื่ม ขับถ่ายหรือไม่?”
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง “หากเทพเซียนต้องขับถ่าย ก็ดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่นะ”
หลิวเสี้ยนหยางตบป้าบลงไปบนศีรษะเฉินผิงอัน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วออกวิ่ง “นี่ไง เทพเซียนถ่ายลงบนหัวเจ้าแล้ว!”
หลิวเสี้ยนหยางลงมือทีก็ไม่รู้จักหนักเบา ทำเอาเฉินผิงอันมึนเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดจะไล่ตามไปเอาเรื่องเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ พอลุกขึ้นได้เขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “ฟ้าร้อง ก็เพราะเทพเซียนกำลังนอนกรนหรือเปล่า? แล้วฝนตกก็คงไม่ใช่ว่าเทพเซียนฉี่ลงมาหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราก็น่าสงสารแย่…”
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้า เพียงไม่นานก็ตามไปทันหลิวเสี้ยนหยาง
ไล่ตีกันไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงร้านตีเหล็กตรงริมแม่น้ำ ตรงจุดนั้นได้สร้างบ้านดินและกระท่อมไว้ข้างในอีกเจ็ดแปดหลัง ในสายตาของเฉินผิงอันแล้ว นั่นคือเหรียญเงินกำใหญ่เลยทีเดียว
ยังมีเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์อีกกลุ่มใหญ่กำลังขุดหลุม คนที่อายุเท่ากันส่วนใหญ่จะเป็นพวกลูกศิษย์ของเตาเผามังกรเหมือนกับหลิวเสี้ยนหยาง พอไม่มีงานที่ฮ่องเต้ประทานมาให้ประทังชีพ การที่ได้มาทำงานร้านตีเหล็กแลกข้าวให้อิ่มท้องก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว แต่ว่าตามคำบอกของหลิวเสี้ยนหยาง ในบรรดาคนที่ช่วยงานอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำงานจิปาถะชั่วคราว อาจารย์หร่วนบอกว่าคนที่เขาจะรับเป็นศิษย์มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น คนที่เหลือนอกจากนั้นก็อาจได้เป็นคนงานในระยะยาว
หลิวเสี้ยนหยางโบกมือบอก “เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปทักทายอาจารย์หร่วนก่อน ดูสิว่าจะพาเจ้ามาเปิดหูเปิดตางานตีเหล็กได้หรือไม่ จุ๊ๆ หากเจ้าได้เห็นท่ายกค้อนตีเหล็กของลูกสาวเขานะ ข้ารับรองว่าเจ้าต้องตกใจตายแน่!”
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินเตร่ไปทั่วตามใจต้องการ
กวาดตามองรอบด้านก็เห็นว่ามีหลุมถูกขุดเป็นรูปเป็นร่างถึงเจ็ดหลุมแล้ว ตรงปากหลุมยังวางรอกและล้อมรั้วเอาไว้ บางหลุมมีคนที่เทินกระด้งไว้บนหัวมุดออกมา
มองคนเหล่านั้นที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขุดหลุม เฉินผิงอันก็นั่งลงยองๆ หยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วถูไปตามร่องนิ้วช้าๆ ด้วยความเคยชิน
ลูบดูแล้วค่อนข้างชื้น แต่อันที่จริงไม่ใช่ดินธาตุน้ำ กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมันคือดินธาตุไฟ แต่ว่าเป็นชนิดสุดท้ายของดินธาตุไฟ ตามคำบอกของผู้เฒ่าเหยา นี่เรียกว่า “ดินไฟไหลเดือนเจ็ด” ซึ่งก็คือดินที่จะเปลี่ยนสภาพตัวเองจากดินร้อนเป็นอบอุ่นจนเกือบเย็น ไม่แห้งมากนัก แต่ขึ้นรูปได้ดี อีกทั้งนี่ยังหมายความว่าหากนำไปก่อเป็นผนังบ่อ บ่อก็จะไม่พังลงมาง่ายๆ ถือเป็นเรื่องดี
เห็นได้ชัดว่าต่อให้อาจารย์หร่วนจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการขุดบ่อน้ำ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้เสียเลย
เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าพื้นที่กว้างแค่นี้ จะขุดบ่อน้ำมากมายไว้ทำอะไร
เฉินผิงอันหันไปมองทางธารน้ำเล็กก็ต้องยิ้มกว้าง
ในสายตาของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ ธารน้ำขนาดเล็กไร้ชื่อสายนี้ก็คือคลังสมบัติที่เต็มไปด้วยกองเงินกองทอง
เพียงแต่ว่าคืนนี้หลังจากเก็บหินดีงูมาได้แล้ว เฉินผิงอันต้องแอบไปที่ตรอกหนีผิงสักรอบ เพื่อไปขุดของบางอย่างใต้อ่างน้ำขนาดใหญ่ในบ้านกู้ช่านตามคำบอกของเขาก่อนที่เขาจะจากไป ตอนนั้นกู้ช่านรีบร้อนจากไป จึงไม่ทันได้พูดอะไรมาก บอกแค่ว่าสมบัติของบ้านเขา แม้แต่แม่เขาก็ยังไม่รู้ว่าถูกเขาเอาไปซ่อนไว้ตรงนั้น
พอเฉินผิงอันคิดถึงเจ้าเด็กขี้มูกยืดคนนั้นก็คลี่ยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อก่อนเฉินผิงอันก็คือลูกไล่ที่คอยตามก้นหลิวเสี้ยนหยาง คอยไปจับปลา จับงู หารังนกกับอีกฝ่าย พอเฉินผิงอันเริ่มโตขึ้น ด้านหลังของตนก็มีคนตัวน้อยติดตามเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
สำหรับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้ไร้ที่พึ่งแล้ว คนหนึ่งคือพี่ชายของเขา ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือน้องชายของเขา
คนหนึ่งคือคนที่เขาต้องตอบแทนบุญคุณ ส่วนอีกคนหนึ่งคือคนที่เขาต้องให้การดูแล
ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แม้เฉินผิงอันจะมีชีวิตที่ยากลำบาก แต่เขาไม่เคยลำบากใจเลย