บทที่ 36 ตำราโบราณ
ไม่นานหลิวเสี้ยนหยางก็วิ่งกลับมาพร้อมแบกตะกร้าใบหนึ่งไว้ด้านหลัง เฉินผิงอันกำลังมองผู้คนที่ขุดบ่อขนดินอยู่ข้างบ่อน้ำ หลิวเสี้ยนหยางจึงถีบเข้าที่ก้นของเฉินผิงอันจนเด็กหนุ่มเกือบหน้าทิ่มลงดิน พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย หลิวเสี้ยนหยางพูดเสียงดังฟังชัด “สำเร็จแล้ว อาจารย์หร่วนบอกว่าสองสามวันนี้ให้ข้าอยู่ที่นี่ อย่าไปไหนมั่วซั่ว ตอนกลางวันให้ขุดบ่อ กลางคืนตีเหล็ก สิบห้าวันให้หลัง ข้าก็จะถือว่าเป็นลูกศิษย์คนแรกของเขาในเมืองแห่งนี้ เรียกว่าลูกศิษย์เปิดสำนักอะไรสักอย่างนี่แหละ ข้าเอาตะกร้าใบนี้มาให้เจ้า จะช่วยเจ้าเก็บหินจากร้านตีเหล็กนี่ไปถึงตรงสะพาน บอกไว้ก่อนว่าตรงหลุมน้ำที่เรียกว่าหินหลังควายนั่น ข้าไปช่วยเจ้าไม่ได้นะ อาจารย์หร่วนบอกว่าช่วงนี้หากข้ากล้าข้ามออกไปจากฝั่งทิศเหนือและทิศตะวันตกของสะพานแม้แต่ครึ่งก้าว จะตัดขาข้าให้ขาด”
หลิวเสี้ยนหยางคว้าคอเด็กหนุ่มรองเท้าแตะมาใกล้แล้วกระซิบกระซาบ “อาจารย์หร่วนบอกว่าสิ่งของในเมืองแห่งนี้ย่อมไม่มีทางจะหายไปได้ แถมยังบอกว่าพวกคนต่างถิ่นเหล่านั้นรักษากฎข้อหนึ่งที่ประหลาดมาก พวกเขาสามารถเป็นพ่อค้าที่ทำการค้าอย่างยุติธรรม สามารถเป็นนักต้มตุ๋นที่หลอกลวงคนไปทั่ว หรือจะให้เป็นขอทานอนาถาก็ยังได้ มีเพียงไม่อาจเป็นหัวขโมยที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เขาบอกว่าเมื่ออยู่ที่นี่ สวรรค์จะไม่งีบหลับ จะไม่หลับตา แต่จ้องมองพวกเราอยู่ตลอดเวลา เจ้าว่าน่าขนลุกไหมล่ะ ข้าฟังแล้วเสียวสันหลังวาบเลย”
จู่ๆ หลิวเสี้ยนหยางก็เอ่ยขู่ว่า “เจ้าคนแซ่เฉิน เจ้าไปอยู่ที่บ้านข้าต่อได้ แต่ไม่ใช่ว่าพอข้ากลับไปถึง เจ้าเอาเสื้อเกราะชิ้นนั้นของตระกูลข้าไปขายแล้วนะ!”
เฉินผิงอันกำหมัดทุบลงบนหน้าอกของหลิวเสี้ยนหยางจนเด็กหนุ่มสูงใหญ่ต้องรีบปล่อยมือออกจากคอเขา ใช้มือนวดคลึงหน้าอกตัวเองเบาๆ อยู่ครู่ใหญ่กว่าจะหายใจได้คล่อง จึงด่าว่า “ไอ้ลิงแห้งผอมเหมือนไม้เสียบผี ไปเอาเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้มาจากไหน! เป็นเพราะเดินขึ้นเขาร้อยลี้ทุกสามวันห้าวันกับผู้เฒ่าเหยา หรือไม่ก็ขึ้นเขาไปตัดฟืนในป่าลึกอยู่หลายเดือนหรือไง ถึงมีแรงมหาศาลขนาดนี้?”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เอาเป็นว่าต่อให้ข้าแบกหินหนึ่งตะกร้าก็ยังวิ่งกลับไปถึงเมืองได้เร็วกว่าเจ้าก็แล้วกัน”
หลิวเสี้ยนหยางเหล่ตามองอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาแข่งกันไหมว่าใครดำน้ำได้นานกว่ากัน?”
เดินขยับมาใกล้ธารน้ำ เฉินผิงอันก็ก้มตัวลงม้วนขากางเกงขึ้นพลางตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่แข่งกลั้นหายใจ ข้าไม่สนหรอก”
ก่อนจะลงน้ำ เฉินผิงอันไปดึงเอาหญ้าหลายต้นที่ขึ้นริมอยู่ริมธารมาวางเป็นฐานรองในตะกร้า ทั้งยังพร่ำพูดว่าทุกครั้งที่เก็บหินได้ยี่สิบก้อนจะต้องเอาหญ้ามารองเป็นฐานชั้นใหม่ ทำเอาหลิวเสี้ยนหยางรำคาญจนแทบจะเอาตะกร้าด้านหลังขว้างใส่เฉินผิงอัน ฝ่ายหลังไม่ตอบรับ บอกว่าหากเปลี่ยนมาเป็นตนที่แบกตะกร้า ด้วยนิสัยมักง่ายของหลิวเสี้ยนหยางแล้วต้องโยนหินใส่ตะกร้าโดยตรงแน่นอน เขาทนมองไม่ได้ หลิวเสี้ยนหยางเกือบจะเลิกช่วย ก้อนหินหลากสีพวกนี้ ร้อยปีพันปีไม่เคยมีค่าสักอีแปะเดียว ทำไมพอมาถึงเจ้าเฉินผิงอันถึงได้กลายเป็นของล้ำค่าควรถนอมขึ้นมาได้? แถมยังกล้ารังเกียจหาว่านายท่านหลิวปฏิบัติต่อพวกมันไม่อ่อนโยนมากพออีก?
เพียงแต่ว่าพอถึงท้ายที่สุดชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ยังคงเดินลงน้ำไปงมหินอย่างไม่เต็มใจ คนทั้งสองคนหนึ่งอยู่ฝั่งซ้าย คนหนึ่งอยู่ฝั่งขวา กะว่าจะกวาดเอาหินที่อยู่ใต้ธารน้ำแถบนี้ไปให้เกลี้ยง น้ำของธารน้ำตรงแถบนี้ส่วนใหญ่แล้วยังคงสูงประมาณหัวเข่า ตรงจุดไหนที่ลึกหน่อย ระดับน้ำถึงจะสูงถึงเอว บางครั้งก็มีหลุมเล็กๆ ที่สูงเท่าตัวคน ซึ่งตรงตำแหน่งแบบนี้จะมีก้อนหินขนาดใหญ่รวมตัวกันอยู่เยอะ และนี่ก็จะเป็นช่วงเวลาที่หลิวเสี้ยนหยางแสดงฝีมือ เขาปลดตะกร้าส่งให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่นั่งยองๆ อยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ก่อน จากนั้นตัวเองก็กลั้นลมหายใจดำลงไปถึงก้นแม่น้ำ งมเอาหินดีงูที่เขาต้องการมาจากก้อนหินขนาดใหญ่ หรือไม่ก็จากในกองหินที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ
แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ทำได้ เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะลำบาก เปลืองแรงเปลืองเวลายิ่งกว่าหลิวเสี้ยนหยาง
ยังไม่ทันงมไปถึงช่วงสะพาน ตะกร้าก็เต็มเกือบเจ็ดแปดส่วนแล้ว หินดีงูสีเขียวเข้มก้อนหนึ่งในนั้น หลิวเสี้ยนหยางต้องลงไปงมในหลุมลึกหลุมหนึ่งถึงสามครั้งกว่าจะหยิบขึ้นมาได้ด้วยความยากลำบาก มันมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ปะปนไปด้วยจุดสีทองเป็นประกาย มีลายเป็นคลื่นน้ำ เนื้อหินเนียนละเอียด แต่แข็งแกร่งและหนักอึ้ง เมื่อเฉินผิงอันลองใช้นิ้วถูกลับรู้สึกได้ว่ามีสะเก็ดแสงคมๆ สาดประกายออกมา
ขอแค่ไม่ใช่คนตาบอดย่อมรู้ว่าหินก้อนนี้ไม่ธรรมดาอย่างมาก
สุดท้ายเด็กหนุ่มสองคนนั่งเคียงบ่ากันอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่งกลางแม่น้ำ หลิวเสี้ยนหยางใช้มือทั้งคู่ยันบนพื้นก้อนหิน สายตามองไปยังธารน้ำที่ไหลเอื่อยๆ พลางถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเคยคิดจะออกไปจากเมืองหลังจากนี้ไหม?”
เฉินผิงอันตอบ “ตอนนี้ยังไม่คิด ออกจากบ้านยังไงก็ต้องใช้เงิน อีกอย่างพอจากไปแล้ว บ้านที่นี่ล่ะจะทำอย่างไร ไม่มีใครช่วยเก็บกวาดดูแลให้ แล้วถ้าวันหนึ่งมันพังลงมาล่ะ? ยังมีหลุมศพพ่อแม่ข้าอีกที่ข้าต้องคอยไปดึงหญ้ารกๆ ทิ้ง”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างจนใจ “ทำไมเจ้าถึงชอบคิดเรื่องอะไรที่ไร้ประโยชน์นักนะ มิน่าเล่าซ่งจี๋ซินถึงได้บอกว่าชะตาชีวิตเจ้าก็คือชะตาผีบังตา ต้องวนเวียนอยู่ในเมืองที่ใหญ่แค่ก้นแห่งนี้ ไม่อาจเดินออกไปได้ตลอดชีวิต”
เฉินผิงอันหันไปถามอีกฝ่ายยิ้มๆ “เจ้ายังจำเรื่องคราวก่อนที่ข้าพูดกับเจ้าได้ไหม เรื่องต้นไม้ต้นนั้นน่ะ”
หลิวเสี้ยนหยางตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “บนหลุมศพมีต้นไม้ต้นหนึ่งงอกขึ้นมาก็ต้องตกอกตกใจด้วยหรือ? อีกอย่าง หลุมนั่นก็เป็นหลุมศพของบรรพบุรุษอีกสายหนึ่งของสกุลเฉิน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเฉินผิงอันแม้แต่น้อย!”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ ทอดถอนใจเบาๆ ว่า “ไม่รู้ว่านอกเมืองแห่งนี้ คนแซ่เฉินจะมีเยอะหรือไม่”
หลิวเสี้ยนหยางตอบอย่างไม่ไว้หน้า “นอกเมืองข้าไม่รู้ ข้ารู้แค่ในเมืองนี้ คนแซ่เฉินมีแค่หมาแมวสองสามตัวเท่านั้น อีกอย่างนอกจากเจ้าแล้วก็ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ จะเป็นลูกหลานของสี่แซ่สิบตระกูลกันหมด กี่รุ่นกี่สมัยก็มีสถานะเป็นได้แค่บ่าว ที่น่าขันก็คือ คนเหล่านี้เวลาอยู่ในบ้านตัวเองยอมเป็นวัวเป็นม้า ก้มหน้าก้มตารับใช้คนอื่น แต่พอออกจากบ้านหลังใหญ่ เจอใครก็เปลี่ยนหน้าทันที ชอบใช้สายตาสุนัขของตัวเองมองเหยียดคนอื่น ผู้เฒ่าเหยาพูดถูกแล้ว หากวันใดเจ้าเฉินผิงอันไปเป็นขี้ข้าคนอื่น ถ้าอย่างนั้นสกุลเฉินสายของพวกเจ้าที่ไม่ได้ย้ายออกไปอยู่นอกเมืองก็ถือว่าสูญสิ้นวงศ์ตระกูลแล้วจริงๆ”
ตามคำบอกของผู้เฒ่าเหยา ในอดีตคนแซ่เฉินของเมืองมีอยู่สองสาย เพียงแต่ว่าสายหนึ่งในนั้นได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกนานแล้ว สายของเฉินผิงอัน เมื่อก่อนก็เคยรุ่งโรจน์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคำว่า “เมื่อก่อน” นี้ผ่านมานานเกินไป แม้แต่ผู้เฒ่าเหยาเองก็ยังบอกไม่ถูกว่ากี่ร้อยปี ห้าร้อยปี หรือแปดร้อยปี? หรือว่าหนึ่งพันปี? ภายหลังยังแบ่งแยกออกเป็นอีกหลายครอบครัว จำนวนคนยิ่งนานวันยิ่งน้อย คงเป็นเพราะความโชคดีถูกคนสกุลเฉินสายที่ย้ายไปอยู่ข้างนอกขนไปด้วยหมดแล้ว แถมพวกเขายังไม่ค่อยจะจุดธูปไหว้พระ เป็นเหตุให้หลุมศพหลายหลุมเริ่มไม่มีใครสนใจใยดี บวกกับที่หลุมศพส่วนใหญ่อยู่บนภูเขาที่ภายหลังถูกขุนนางผู้ตรวจการที่ทางราชสำนักส่งตัวมาทยอยกันออกคำสั่งให้ปิดตาย
ครั้งสุดท้ายที่ผู้เฒ่าเหยาพาเฉินผิงอันเข้าไปในภูเขา ตอนที่ผ่านหนึ่งในภูเขาที่ถูกปิดตาย ได้ชี้ไปยังจุดหนึ่งให้เขาดู แล้วบอกว่านั่นคือสถานที่ฝังศพบรรพบุรุษของสกุลเฉินอีกสายหนึ่ง หลุมศพล้วนอยู่บนภูเขาลูกนั้น ฮวงจุ้ยดีมาก ส่วนบรรพบุรุษสายของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าเหยาบอกว่าแม้แต่เทพเซียนก็หาไม่เจอแล้ว หลายร้อยปีที่ผ่านมา ลูกหลานแซ่เฉินสายนี้ต่างก็ไม่มีใครโดดเด่น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ตกต่ำในภายหลัง นอกจากยืนกรานจะไม่เป็นข้ารับใช้ของสี่แซ่สิบตระกูลแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่พอเป็นหน้าเป็นตาได้สักอย่าง
มีครั้งหนึ่งที่เฉินผิงอันแอบไปที่หลุมศพของบรรพบุรุษสกุลเฉินคนนั้น ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อไปถึงกลับเห็นแต่ต้นไม้รกครึ้ม ทั้งยังเห็นจิ้งจอกและกระต่ายป่าหลายตัว ไม่เห็นหลุมศพ ต้นไม้ต้นหนึ่งในนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะไม่รู้จัก แต่ต้นของมันไม่สูงมากนัก เตี้ยกว่าต้นไหวโบราณในเมืองอยู่เยอะมาก
พืชหญ้าขึ้นรกชัฏ จิ้งจอกและกระต่ายป้วนเปี้ยนเข้าออก แต่มันกลับเป็นต้นไม้ที่มีพุ่มใบหนาดกโดดเดี่ยวเพียงต้นเดียว
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “ก่อนหน้าที่แม่ข้าจะจากไป เคยขอให้ข้าสาบานว่า จะเป็นขอทานก็ได้ แต่ต่อให้หิวตายก็ห้ามข้าไปเป็นคนใช้ของตระกูลใหญ่ๆ พวกนั้นเด็ดขาด”
หลิวเสี้ยนหยางหลุดปากถาม “ก็แล้วก่อนแม่ของเจ้าจะเสียเคยให้เจ้าสาบานด้วยไม่ใช่หรือว่า จะไม่ไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรเด็ดขาด?”
สีหน้าของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะหม่นหมอง ไม่ได้ตอบโต้ แล้วก็ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธที่ถูกอีกฝ่ายเปิดโปงความจริง
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่พอรู้ว่าทำผิดแล้วจะยอมพูดว่า “ข้าขอโทษ” จึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ไปล่ะๆ ไปขุดบ่อดีกว่า ใช่แล้ว ข้าจะลองคุยกับอาจารย์หร่วนดูอีกครั้ง จะช่วยขอให้เจ้าเป็นลูกศิษย์ชั่วคราวของที่นี่ให้ได้ เมื่อถึงเวลาหากคิดจะงมหินก็ง่ายขึ้น”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รีบหรอก รอให้คนสองกลุ่มนั้นยอมตัดใจไปจากในเมืองก่อนค่อยว่ากัน ส่วนช่วงนี้ข้าจะช่วยดูแลบ้านเจ้าให้เอง”
หลิวเสี้ยนหยางถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าว่าทำไมเมื่อข้ากลายเป็นศิษย์ของอาจารย์หร่วนแล้ว จะพ้นหายนะครั้งนี้ได้?”
เฉินผิงอันคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบอย่างไม่แน่ใจนัก “ก็เหมือนจู่ๆ ฝนตกลงมา จะอย่างไรเจ้าก็ต้องหาชายคาสักแห่งเพื่อหลบฝนไม่ใช่หรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้ากลับไปมองยังร้านตีเหล็ก “เจ้าว่าอาจารย์หร่วนเขาเป็นใครกันแน่ มองดูไม่เหมือนคนที่ร้ายกาจสักเท่าไหร่ เขาจะกำราบคนสองกลุ่มนั้นได้จริงหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยปลอบ “คนเราดูกันแต่ภายนอกไม่ได้”
หลิวเสี้ยนหยางหันกลับมาอีกครั้ง “เจ้าเฉินผิงอันมองดูเหมือนคนจน แล้วเจ้าใช่คนจนหรือไม่?”
เฉินผิงอันแสยะปาก หาคำพูดมาตอบโต้ไม่ถูก
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยถาม “จะให้ข้าช่วยแบกไปที่สะพานไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง ไม่ได้หนักเท่าไหร่”
“จำไว้ว่าคราวหน้าเอาตะกร้ามาคืนข้าด้วย”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ หลิวเสี้ยนหยางก็กระโดดลงจากหินยักษ์ สาวเท้าเดินเร็วๆ อยู่ในน้ำจนน้ำแตกกระเซ็น
เฉินผิงอันแบกตะกร้าขึ้นหลัง ค่อยๆ ลงจากหินก้อนใหญ่อย่างระมัดระวัง พอขึ้นมาบนฝั่งแล้วถึงได้เดินมุ่งหน้าไปยังสะพานแห่งนั้นช้าๆ
หลังจากเฉินผิงอันเดินมาได้ครู่หนึ่งก็ได้ยินว่าด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา พอหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นหลิวเสี้ยนหยาง
ภายใต้แสงอาทิตย์อบอุ่นของต้นฤดูใบไม้ผลิ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่แย่งตะกร้าจากเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเอาไปสะพายไว้เอง ทั้งยังหันหน้ามาพูดแขวะ “มองเห็นเจ้าแบกตะกร้าไกลๆ เหมือนตั๊กแตนแบกหินก้อนใหญ่อย่างไรอย่างนั้น น่าเวทนาจริงๆ ข้าเลยอยากแสดงความเมตตา ช่วยเจ้าแบกไปถึงสะพานนั่นก่อนค่อยว่ากัน”
ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ เด็กหนุ่มสองคนเดินเคียงไปด้วยกัน
“เจ้าคนแซ่เฉิน วันหน้าหากข้าประสบความสำเร็จในการเรียนงานฝีมือนี้ จะต้องออกไปดูโลกภายนอก แต่งเมียที่สวยยิ่งกว่าจื้อกุย ดื่มเหล้าที่แพงที่สุด อยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่สุด และขี่ม้าที่เร็วที่สุด!”
“ข้าจะไปดูภูเขาที่สูงเทียมฟ้า ไปดูแม่น้ำสายใหญ่ที่กว้างใหญ่กว่าธารน้ำเล็กๆ ในเมืองของพวกเราหลายต่อหลายเท่า”
“สรุปก็คือ ข้าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่มีทางรอความตายอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตแน่”
ท่ามกลางลมโชยเอื่อย เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่วาดฝันถึงอนาคตวันข้างหน้า เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเคี้ยวต้นหญ้า คนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง
—-
พอเฉินผิงอันแบกหินทั้งตะกร้ากลับมาถึงลานบ้านของหลิวเสี้ยนหยางแล้วก็ยังคงเลือกหินหลายก้อนที่ถูกตาถูกใจมากที่สุดออกมาก่อน แล้วจึงเอาไปไว้ในห้องเล็กด้านข้างที่ตัวเองพักอาศัย ส่วนหินที่เหลือก็ทิ้งไว้ในห้องครัว พอใส่กลอนห้องและประตูหน้าบ้านเรียบร้อยแล้วจึงวิ่งกลับไปที่ตรอกหนีผิง พอมาถึงลานบ้านของตัวเอง เห็นเด็กสาวชุดดำกำลังนั่งตากแดดอยู่ในลานบ้าน เฉินผิงอันที่ทักทายอีกฝ่ายเรียบร้อยก็เริ่มต้มยา
ลานบ้านข้างๆ มีเสียงผ่าฟืนดังมาอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก แม้ในสายตาคนนอกซ่งจี๋ซินจะมีชีวิตเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่คอยดูแล แต่ตลอดเวลาหลายปีมานี้เขาไม่เคยขาดแคลนอาหารหรือเสื้อผ้า ซ้ำยังใช้จ่ายเงินมือเติบได้ตลอดเวลา ไม่กล้าพูดว่ามีชีวิตดีกว่าคุณชายของจวนสี่แซ่ แต่ก็ไม่แย่ไปกว่าลูกหลานสายตรงของสิบตระกูล สมบัติทั้งสี่ในห้องหนังสือ (สี่สมบัติได้แก่พู่กัน กระดาษ หมึกและแท่นฝนหมึก) ของเล่นฝีมือประณีต เครื่องประดับที่ไว้ชื่นชมให้สบายตา วัตถุหรูหราฟุ่มเฟือยหลายอย่างที่เฉินผิงอันไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อนจะต้องถูกขนย้ายเข้าไปในบ้านของซ่งจี๋ซินทุกๆ สามวันห้าวัน อันที่จริงซ่งจี๋ซินไม่เคยทำงานที่เหนื่อยยากและใช้แรงกายอย่างแท้จริงมาก่อน ดองผักกลิ่นเหม็นเกินไป ซ่งจี๋ซินไม่อนุญาตให้จื้อกุยสาวใช้ทำ ผ่าฟืนเหนื่อยเกินไป ทุกปีซ่งจี๋ซินจึงซื้อฟืนพร้อมใช้เป็นมัดๆ และถ่านไม้เป็นกระสอบมาไว้โดยตรง
ตอนที่เฉินผิงอันต้มยาให้กับเด็กสาวชุดดำ ลานบ้านข้างๆ กลับมีเสียงผ่าฟืนดังมาไม่หยุด ตอนที่เฉินผิงอันเอายามาให้แม่นางหนิงดื่มจึงอดใจไม่ไหวเดินไปข้างๆ กำแพง เขย่งปลายเท้ามองไปจึงพบว่าจื้อกุยกำลังถือมีดหั่นผักผ่า “คนคนหนึ่ง” ซึ่งก็คือตุ๊กตาที่ทำมาจากไม้ตัวหนึ่ง เฉินผิงอันเผาเครื่องปั้นมานานหลายปี เคยได้เห็นของดีๆ มาไม่น้อย แล้วก็ยิ่งเคยตัดไม้มานับไม่ถ้วน ดังนั้นแค่ปราดเดียวก็มองออกถึงความตื้นลึกหนาบาง สีของไม้นั้นดั่งหยก ย่อมต้องเป็นของที่เก่าแก่มาก อีกทั้งบนตัวของตุ๊กตาไม้ยังมีจุดสีแดงสีดำเต็มไปหมด ตอนนี้ตุ๊กตาไม้ตัวนั้นที่ถูกจื้อกุยทั้งผ่าทั้งสับได้แยกออกจากกันเป็นหลายท่อนแล้ว
เด็กสาวพลันหันหน้ามาเห็นเฉินผิงอัน นางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อและคราบสกปรกยกหลังมือขึ้นเช็ดหน้า ฝืนยิ้ม “เจ้ากลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้ข้าคิดจะยืมมีดผ่าฟืนจากเจ้าสักหน่อย แต่แขกในบ้านเจ้าไม่ยอมเปิดประตูให้ข้า”
เฉินผิงอันอึ้งไปเล็กน้อย “ข้าจะไปเอามีดผ่าฟืนมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้ ตอนแรกอย่าออกแรงเยอะเกินไป มีดผ่าฟืนลื่นง่ายกว่ามีดหั่นผัก อย่าให้บาดตัวเองเข้า”
เด็กสาวนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก โบกมืออย่างหมดเรี่ยวหมดแรง “เข้าใจแล้ว รีบไปเอามาเถอะ”
ตอนที่เฉินผิงอันถือมีดผ่าฟืนกลับมา เด็กสาวได้ยืนอยู่ข้างๆ กำแพงแล้ว นางถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคืออะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”
จื้อกุยเองก็ไม่ได้ให้คำตอบ เพียงหมุนตัวกลับไปนั่งบนม้านั่งตัวเล็กแล้วเริ่มผ่าตุ๊กตาไม้นั่นอีกครั้ง
ท่าทางเงอะๆ เงิ่นๆ ไม่คล่องแคล่ว รวมถึงท่าผ่าที่ผิดหลักจนส่งผลให้เปลืองแรงตัวเองของนางทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ร้อนใจอย่างมาก เพียงแต่ว่าในเมื่อคนเขาไม่ขอความช่วยเหลือ เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะเสนอหน้า พอหันกลับมามองก็พบว่าแม่นางหนิงไม่ได้อยู่ในลานบ้านแล้ว เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินเร็วๆ กลับเข้าไปในห้อง นำของชิ้นหนึ่งวางลงบนโต๊ะตรงข้ามกับเด็กสาวชุดดำ
นั่นคือหินดีงูก้อนหนึ่ง ถือได้เหมาะมือพอดี เป็นหินที่มีลวดลายเล็กละเอียด สีสันสดใส เหมือนน้ำผึ้งแข็งก้อนหนึ่ง
หนิงเหยาแปลกใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันจึงเอ่ยยิ้มๆ “แม่นางหนิง ข้าให้เจ้า”
เด็กสาวชุดดำที่ดาบไม่เคยห่างกายพลันถามว่า “เจ้าชอบก้อนนี้มากที่สุดหรือ?”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ก้อนนี้…อยู่ประมาณอันดับที่สี่ สามก้อนที่ดีที่สุด ข้าเก็บเอาไว้แล้ว”
ได้ยินดังนั้นนางถึงเก็บหินก้อนนั้นมา ใช้นิ้วมือสองข้างคีบเอาไว้แล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบลงบนหินพอดี
นางเงยหน้าขึ้น หรี่ตาเพ่งพิจลวดลายเล็กละเอียดที่อยู่ในหินอย่างตั้งใจ
นางมองก้อนหิน
เด็กหนุ่มมองนาง
—-
กลางดึก เด็กหนุ่มคนหนึ่งแอบลอบเข้ามาในตรอกหนีผิงดุจแมวป่าที่เดินเยื้องย่างยามราตรีอย่างเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในลานบ้านของกู้ช่าน เขากวาดตามองหาจนเจออ่างน้ำขนาดใหญ่ที่วางไว้ในมุมหนึ่งของลานบ้าน หลังจากนั่งยองๆ ลงไปก็ค้นพบว่าหินดีงูที่เดิมทีถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบได้ถูกคนพลิกคว่ำจนกระจายไปทั่ว ดูเหมือนว่ามีคนที่รู้ถึงมูลค่าของหินชนิดนี้ก่อนเฉินผิงอันเสียอีก กู้ช่านเป็นเด็กคนเดียวในเมืองที่มีนิสัยประหลาดชอบเก็บสะสมหินดีงู อีกทั้งไม่ว่าจะเจอจากในธารน้ำมากน้อยเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งจะเก็บกลับมาบ้านแค่ก้อนเดียว เด็กชายจะเลือกแค่หินก้อนที่ตัวเองถูกใจมากที่สุด พอนานวันเข้าจึงเก็บสะสมมาได้ถึงห้าสิบหกสิบก้อน ซึ่งถูกเขาเอามาวางบังช่องโหว่ใต้อ่างน้ำ
หลังจากย้ายหินดีงูที่สีสันซีดเซียวจากเดิมไปมากออกแล้ว เฉินผิงอันที่มองเห็นว่าใต้อ่างน้ำไม่มีร่องรอยถูกขุดค้น ถึงได้โล่งใจ
แรกเริ่มเขาใช้มือขวาควักดินออกทีละนิด สุดท้ายเมื่อเจอกระดาษน้ำมันสีเหลือง หัวใจเขาจึงพลันสั่นสะท้าน ชะลอความเร็วของตัวเองลง
และท้ายที่สุดเขาก็หยิบเอาของที่ถูกห่อด้วยกระดาษน้ำมันสีเหลืองออกมา ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง
หลังจากซ่อนไว้ในสาบเสื้อตรงหน้าอก เฉินผิงอันจึงกลบดินทับลงไปให้เหมือนเดิมอีกครั้ง มองหินดีงูพวกนั้นอย่างละเอียด จึงเห็นว่าหินที่เหลืออยู่ล้วน “ตาย” หมดแล้ว เมื่อเทียบกับหินที่เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บใหม่มาจากธารน้ำทั้งสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสีสัน ลวดลายหรือน้ำหนักก็ล้วนแตกต่างอย่างสิ้นเชิง หินที่อยู่ข้างหน้าเหล่านี้เหมือนคนแก่ที่ใกล้ตาย ส่วนหินที่เฉินผิงอันเพิ่งงมขึ้นมากลับเหมือนทารกแรกคลอดที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาสดใส
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็วางแผนว่าจะออกจากตรอกหนีผิงโดยผ่านไปทางบ้านของตัวเอง
ตอนที่เขาเดินมาถึงหน้าประตูบ้านของซ่งจี๋ซินได้ยินเสียงแอดดังขึ้น ประตูบ้านถูกเปิดออก เฉินผิงอันจึงได้แต่แสร้งทำเป็นเคาะประตูบ้านตัวเองพลางตะโกนว่า “แม่นางหนิง นอนหรือยัง ข้ากลับมาเอาของ”
เพียงไม่นานในบ้านก็มีแสงไฟถูกจุดขึ้น เด็กสาวชุดดำเดินมาเปิดประตูหน้าบ้านให้เฉินผิงอัน
ส่วนทางฝ่ายของบ้านข้างๆ สาวใช้จื้อกุยเดินเนิบนาบออกมาจากในห้อง พอมาถึงลานบ้านจึงมองเห็นเงาร่างของเฉินผิงอันที่ตรงหน้าอกประคองตำราสีเหลืองเล่มใหญ่ นางส่ายหัว จุ๊ปาก รู้สึกเหมือนเพิ่งจะจับคู่สุนัขชายหญิงที่ลอบพบกันได้คาหนังคาเขา
นางเดินอยู่ในตรอกหนีผิงเพียงลำพัง กระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่าไปตลอดทาง
ลูกตาดำสีทองที่ทับซ้อนกันคู่นั้นของนาง เมื่ออยู่ในตรอกยามค่ำคืนจึงดูเย็นชาและศักดิ์สิทธิ์มากเป็นพิเศษ
ทำให้เด็กสาวที่มีเรือนกายสะโอดสะองเป็นดั่งมังกรเยาว์วัยที่ว่ายวนอยู่ตามร่องก้อนหินที่เล็กแคบ ราวกับว่าขอแค่เดินออกไปจากตรอกหนีผิงเมื่อไหร่ นางก็จะกลายมาเป็นมังกรโตเต็มตัวที่แหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำเมื่อนั้น
—-
แม้ว่าหนิงเหยาจะให้เฉินผิงอันเข้ามาในลานบ้าน หรือถึงขั้นเข้ามาในห้อง แต่สีหน้าของนางไม่น่าดูเอาเสียเลย ยามนี้นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะ แขนข้างหนึ่งวางแนบติดกับฝักดาบ นิ้วมือเคาะที่ด้ามดาบเบาๆ
หลังจากแน่ใจว่าจื้อกุยเดินเข้าไปในตรอกแล้ว เฉินผิงอันถึงได้อธิบายอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ข้าไปเอาของจากที่บ้านกู้ช่านมา ผลกลับกลายเป็นว่านางกำลังจะออกจากบ้านพอดี ข้าเลยทำได้แค่เข้ามาหลบในนี้ แม่นางหนิง เจ้าอย่าได้คิดมากเด็ดขาดเชียว”
นางเอ่ยถาม “ของอะไร?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะควักห่อกระดาษน้ำมันสีเหลืองนั่นออกมา “ตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
นางหมุนตัวหันหลังให้ “เจ้าลองเปิดดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะให้ข้ารู้หรือไม่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับนาง คลี่ห่อกระดาษน้ำมันสีเหลือออกทีละชั้น เศษดินร่วงกราวลงบนโต๊ะอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็เผยให้เห็นตำราโบราณเล่มหนึ่งจริงๆ
หน้าปกของตำราโบราณมีอักษรแค่สองตัว เฉินผิงอันรู้จักแค่ตัวเดียว นั่นคือคำว่า ขุนเขา
เขาวางตำราโบราณไว้บนโต๊ะ ผลักไปทางเด็กสาวชุดดำ ถามอย่างแปลกใจว่า “แม่นางหนิง อักษรตัวนี้อ่านว่าอะไร?”
เด็กสาวหันตัวกลับมาอีกครั้ง ก้มหน้าเหลือบตามอง แล้วพูดว่า “เขย่า”
ชื่อหนังสือมีนามว่า เขย่าขุนเขา