บทที่ 37 ตำราหมัดมวย
เขย่าขุนเขา?
เด็กสาวชุดดำขมวดคิ้ว ยื่นมือไปหมายจะหยิบตำราโบราณเล่มนั้นขึ้นมา
คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะดึงกลับมาทางตัวเอง
ร่างของเด็กสาวชุดดำพลันแข็งค้าง ไฟโทสะลุกโชน ราวกับว่าไม่เคยถูกใครหมิ่นเกียรติขนาดนี้มาก่อน
นางคือหนิงเหยาผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่บิดามารดาต่างก็เป็นเซียนกระบี่ผู้เกรียงไกรที่อยู่เหนือสิบสองชั้น ตัวนางเองนับตั้งแต่เกิดมาก็ถูกคนขนานนามว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ต่อให้ออกจากบ้านมานานขนาดนี้ ก็เคยแต่พ่ายแพ้ในการประลองกระบี่หรือประลองอาคม ไม่เคยมีใครหมิ่นเกียรตินางถึงขนาดนี้มาก่อน แค่หนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง ยังต้องให้คนอย่างนางหนิงเหยาใช้วิธีการต่ำช้าไปเปิดอ่าน ขโมยดู ยึดครองมาเป็นของตนงั้นหรือ?
หนิงเหยากำด้ามดาบแน่น หรี่ตาทั้งคู่ที่เป็นดั่งกระบี่เรียวยาวสะดุดตาคู่นั้นลง
ดวงตาเรียวเล็ก ริมฝีปากแดงสด
น่าจะเป็นคำที่ใช้บรรยายแม่นางคนนี้ได้ดีที่สุด
อันที่จริงหากมองอย่างละเอียด ดวงหน้าของหนิงเหยานับว่างามล้ำ เพียงแต่กลิ่นอายของความห้าวหาญที่แผ่ซ่านจากทั่วร่างนางได้ข่มทับความงามของนางจนหมด
ทว่าประโยคถัดมาของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะกลับมีผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ยิ่ง ทำให้เด็กสาวต้องสะกดอารมณ์เดือดดาลเอาไว้อย่างเต็มที่เกือบจะบาดเจ็บภายใน
“แม่นางหนิง หนังสือเล่มนี้เอามาจากบ้านของกู้ช่าน แม้ข้าจะคิดว่าที่ตัวเองทำไม่ถือว่าเป็นการขโมย แต่หลังจากนี้ก็ยังต้องคืนให้กับกู้ช่าน แต่พวกเราต่างก็เป็นสหายกันแล้ว ดังนั้นไม่ว่าในหนังสือเล่มนี้จะเขียนอะไรเอาไว้ หวังว่าเมื่อแม่นางหนิงได้อ่านแล้วจะเก็บไว้กับตัวเองก็พอ”
เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ตบโต๊ะถลึงตา “อ่านอะไรกัน เจ้าอ่านไปคนเดียวเถอะ ข้าไม่เห็นจะอยากรู้!”
ประโยคถัดมาของเฉินผิงอันยิ่งทำให้เด็กสาวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แม่นางหนิง ข้าไม่รู้จักตัวอักษรนี่นา เจ้าสอนข้าได้หรือไม่?”
เด็กสาวชุดดำลองคิดในอีกมุมหนึ่งก็พลันหลุดหัวเราะพรืด “ไม่กลัวว่าข้าจะเอาเปรียบเจ้ารึ? เจ้าลองคิดดูนะ กู้ช่านที่เห็นได้ชัดว่าได้รับความเมตตาจากบรรพบุรุษอย่างล้นเหลือ แม้แต่หลิวเสี้ยนหยางที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่มาตั้งแต่เกิดก็ยังเทียบไม่คิด ตลอดพันปีที่ผ่านมา ในเมืองแห่งนี้ก็มีแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นที่เทียบเคียงกับเขาได้ ถ้าเช่นนั้นสมบัติสืบทอดของตระกูลที่เขาเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังจะแย่ได้อย่างไร? เจ้าไม่กลัวว่าข้าเห็นสมบัติแล้วเกิดความละโมบ? คิดจะฮุบเอาตำราลับที่มีค่าควรเมืองเล่มนี้ไว้คนเดียวหรอกหรือ?”
ภายใต้แสงตะเกียงสีเหลืองหม่นที่เปลวไฟส่ายไหวไปมา เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยิ้มบางๆ โดยไม่อธิบายอะไร
เด็กสาวแค่นเสียงเย็น ก่อนจะขยับกาย บอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะย้ายมานั่งข้างกายตน ผลกลับกลายเป็นว่าผ่านไปนานเฉินผิงอันก็ยังไม่ยอมขยับก้น เด็กสาวโกรธจนกลายเป็นขำ “มือข้างเดียวของข้าหนิงเหยาสามารถตีเจ้าร้อยคน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เด็กสาวก็หัวเราะขำกับตัวเอง “หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะแตะอั๋งเจ้า?”
เฉินผิงอันจึงย้ายมานั่งข้างกายเด็กสาวด้วยท่าทางกระวนกระวายและตื่นเต้นเล็กน้อย
เด็กสาวหนิงเหยายังคงจมจ่อมอยู่กับคำพูดประโยคก่อนหน้านั้นของตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งถลำลึก พูดพึมพำว่า “มือข้างเดียวตีเฉินผิงอันได้ร้อยคน อืม ประโยคนี้สามารถเอาไปใช้ได้อย่างแพร่หลาย เจอใครก็ตามที่หากประลองฝีมือกันแล้วแพ้ให้แก่ข้า ก็โยนประโยคว่า ‘เจ้ามีพลังเท่าแค่เฉินผิงอันสามพันคนเท่านั้น ยังมีหน้ามากล้าสู้กับข้า’ รู้สึกไม่เลวแหะ ถ้าเจอกับสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์หรือมังกรชั่วแห่งหนองบึงก็บอกกับตัวเองว่า ‘สัตว์เดรัจฉานตัวนี้เท่ากับเฉินผิงอันสามหมื่นคน รีบหนีไปซะ’ ฮ่าๆๆ ใช้ได้ๆ…”
เฉินผิงอันรู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมจู่ๆ เด็กสาวชุดดำที่นั่งเคียงไหล่กันถึงได้หัวเราะเหมือนคนโง่ขึ้นมา
เด็กสาวหัวเราะจนทำให้เด็กหนุ่มผู้ยากจน บ้านมีแค่ผนังสี่ด้านรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนมีเงิน
และในเวลานี้ เด็กสาวกับเด็กหนุ่มก็ยิ่งตระหนักไม่ถึงว่า ในอนาคตอันยาวไกล ประโยคหยอกล้อที่ว่า “มือข้างหนึ่งตีเฉินผิงอันได้ร้อยคน” ประโยคนี้จะมีน้ำหนักและพลังมากแค่ไหน
โดยเฉพาะเมื่อเด็กหนุ่มรองเท้าแตะไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มอีกต่อไป
ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ในที่สุดหนิงเหยาก็คืนสติ กระแอมหนึ่งที ยืดตัวนั่งตรง หยิบตำราโบราณมาพลิกเปิดเร็วๆ สองสามหน้า จากนั้นนางก็ปิดหนังสือ นิ้วมือข้างหนึ่งเคาะลงบนหน้าปกสองที หันหน้าไปพูดกับเฉินผิงอันด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นี่คือตำราหมัดมวยเล่มหนึ่ง วิชาหมัดมีชื่อว่าเขย่าขุนเขา หากดูตามกฎเกณฑ์ของคนในยุทธภพแล้วล่ะก็ เจ้าสามารถเรียกมันว่า ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ได้”
สีหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความรอคอย “แล้วไงต่อ?”
เด็กสาวชุดดำข่มกลั้นความวู่วามที่อยากจะกลอกตามองบน พยายามสั่งให้ตัวเองพลิกเปิดหน้าหนังสืออย่างตั้งใจ นิ้วเรียวยาวและอ่อนนุ่มราวต้นหอมของนางชี้ไปยังตัวอักษรบนปกใน ไล่ลงมาด้านล่างพลางอ่านตามไปด้วย “บ้านเกิดมีแมลงน้อยที่เรียกว่ามดตะนอย ชั่วชีวิตของมันแปลกแยกไปจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกมันล้วนย้ายหินภูเขาลงน้ำ”
“วิชาหมัดของข้าแบ่งเป็น เป็นและตาย ไม่แบ่งแยกแพ้ชนะ เน้นย้ำในเจตนารมณ์ ไม่เน้นกระบวนท่า เมื่อฝึกหมัดหกกระบวนได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว จะมีพลังทำลายล้างมหาศาล แค่ขยับก็ทำร้ายอวัยวะในร่างของคนได้อย่างลึกล้ำ…”
“แม้ว่า” ตำราเขย่าขุนเขา “จะไม่เคยกระโดดขึ้นเป็นตำราหมัดชั้นสูงของโลก แต่ข้าเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ในบรรดาวิชาการต่อสู้ทั่วหล้า จำเป็นต้องมีที่ว่างให้แก่หมัดนี้ หวังว่าคนที่มีวาสนา จะส่งเสริมตำรานี้ให้เจริญรุ่งเรือง…”
หนิงเหยาอ่านตัวอักษรแต่ละตัวให้เฉินผิงอันฟังอย่างอดทน
ตำราเล่มบางๆ เล่มหนึ่ง วิชาหมัดทั้งเล่มมีแค่หกกระบวนท่า ทว่าอารมภบทกลับไม่น้อย
หลังจากหนิงเหยาอ่านบทนำเสร็จก็ผลักตำราหมัดไปไว้ข้างกายเฉินผิงอัน ตบไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เก็บรักษาไว้ให้ดีนะ อย่าให้ใครมาขโมยไปได้ล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยื่นมือทั้งสองข้างมาประคองตำราหมัดเก่าแก่เล่มนั้นอย่างระมัดระวัง
หนิงเหยาเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็อยากจะหัวเราะยิ่งนัก หนังสือก็วางอยู่บนโต๊ะ มันจะมีขาวิ่งหนีไปเองได้หรือไง หรือว่าเจ้าเฉินผิงอันกลัวว่ามันจะหกล้ม?
เฉินผิงอันถูมือขวากับสาบเสื้อตัวเองแรงๆ ก่อนจะเริ่มเปิดหน้าหนังสือ ไล่อ่านตามตัวอักษรแต่ละแถวของบทนำ แล้วจากนั้นถึงดูภาพที่เขียนคู่กับตัวอักษรด้วยความมึนงง เพราะอ่านไม่ออก
หนิงเหยานั่งเอียงตัว เอาข้อศอกเท้าโต๊ะ มองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยเย้า “รู้สึกว่าตัวเองรวยแล้วใช่หรือเปล่า? วันหน้าเวลาผ่าฟืนจะได้ใช้ขวานทอง กินข้าวก็ได้กินในถ้วยทองแล้ว?”
เด็กหนุ่มไม่ได้เงยหน้า เพียงเพ่งมองภาพและตัวอักษรที่สำหรับเขาแล้วไม่ต่างอะไรจากตัวหนังสือสวรรค์ยากทำความเข้าใจอย่างตั้งใจ ปากก็พูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า “อันที่จริงเมื่อครู่นี้ข้าดูจากสายตาของเจ้าก็รู้แล้วว่าตำราหมัดเล่มนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าไม่เป็นไร สำหรับข้า มันถือว่าดีมากแล้ว”
หนิงเหยาเลิกคิ้ว แล้วก็พูดตรงๆ เช่นกัน “สิ่งที่ข้าเคยเห็นหรือเคยได้ยินมา ล้วนเป็นของที่ดีมากทั้งหมดก็จริง แต่นอกจากนั้นแล้ว ข้าก็แค่แยกออกว่าของชิ้นไหนดี ชิ้นไหนเลว ทว่าของที่ดี ดีแค่ไหน ของที่เลว เลวเท่าไหร่ กลับยากที่ข้าจะบอกได้”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น “ถ้าอย่างนั้นตำราเขย่าขุนเขาเล่มนี้ก็ถือว่า ‘ดี แต่ไม่ถือว่าดีมาก’ สินะ?”
หนิงเหยากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรว่าตำราหมัดเฮงซวยเล่มนี้แย่แค่ไหน!”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะกะพริบตาปริบๆ มุมปากขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าเขามีคำตอบอยู่ในใจนานแล้ว เพียงแค่อยากหยอกล้อเด็กสาวเล่นเท่านั้น
หนิงเหยายื่นมือไปผลักดาบให้หลุดออกจากฝักมาชุ่นกว่า เอ่ยขู่ว่า “อยากโดนฟันใช่ไหม?”
เฉินผิงอันก้มหน้ามองดาบยาวฝักเขียวที่นางพกไว้ตรงเอว แล้วเอ่ยชมจากใจจริง “สวยมากเลย”
หนิงเหยารับคำชมอย่างสง่าผ่าเผย “ดาบที่ข้าหนิงเหยาเลือกด้วยตัวเองย่อมต้องยอดเยี่ยมอยู่แล้ว!”
เฉินผิงอันมองนาง รู้สึกอิจฉาและชื่นชมความมั่นใจในตัวเองของนางไม่น้อย ต่อให้นางจะมีอายุเท่าตน แถมยังมาอยู่ต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพการณ์แบบไหน นางก็ยังเหมือนดวงตะวันแรงกล้าที่ลอยขึ้นสู่ฟ้าสูง ใครก็ไม่อาจสกัดขวาง ข้อนี้เฉินผิงอันผู้ละเอียดอ่อนเฉียบคมรู้สึกได้ตั้งแต่เห็นความระมัดระวังยามที่นักพรตเฉินพูดคุยกับนางแล้ว
เฉินผิงอันพูดอย่างอดไม่อยู่ว่า “หากแสงอาทิตย์สามารถแลกเป็นเงินได้ก็ดีน่ะสิ!”
หนิงเหยาไม่เข้าใจความหมาย จึงถามอย่างแปลกใจ “เฉินผิงอัน เจ้าคิดถึงเงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?”
เฉินผิงอันรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง พลิกเปิดมาที่ตำราหมัดบทที่หนึ่ง “แม่นางหนิง ช่วยข้าอ่านตัวอักษรของภาพนี้สักรอบได้หรือไม่?”
หนิงเหยาขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมเพียงแค่มองปราดเดียว ข้าก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าตำราหมัดเล่มนี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเองก็แปลกใจมากเหมือนกัน”
เด็กสาวคลี่ยิ้ม ถือโอกาสหันหน้าไปหาเด็กหนุ่มเต็มตัวแล้วยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนม้านั่งยาว ชี้ไปที่ตำราหมัดซึ่งเปิดอ้าแล้วอธิบายอย่างอดทนว่า “ตำราลับการฝึกวรยุทธิ์ของพวกทหารกับวิชาการฝึกลมปราณของคนที่บำเพ็ญเพียร โดยทั่วไปแล้วจะมีวิธีการบันทึกสามรูปแปบบ รูปแบบแรกก็คืออย่างตำราเขย่าขุนเขาเล่มนี้ที่ใช้กระดาษธรรมดาทั่วไป จะรักษาไว้ได้กี่ปีก็อยู่ดีที่ดวง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะเจอภัยพิบัติอะไรหรือไม่ ลำพังเพียงแค่ความชื้นและเจอกับมดปลวกท่ามกลางกาลเวลายาวนานที่ผันผ่านก็ย่อมต้องค่อยๆ ถูกทำลายให้เสียหาย ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
เด็กสาวจึงพูดต่อว่า “ดังนั้นในบรรดาวิธีการที่ใช้วัสดุมาบันทึกตัวอักษรลงไปนี้ จึงมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ตายตัวอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือให้สังเกตระดับความล้ำค่าของวัสดุ สิ่งของที่ใช้บันทึกตัวอักษรต้องสอดคล้องกับมูลค่าของเนื้อหาด้วย ก็เหมือนกับที่เจ้าจะไม่มีทางใช้กล่องที่ทำจากไม้ต้นเอมไปเก็บตราลัญจกรหยกของแคว้นนั่นแหละ”
เฉินผิงอันคิดตามไปด้วย
หนิงเหยาลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เลือกที่จะพูดกับเด็กหนุ่มอย่างตรงไปตรงมา “อันดับต่อไปก็คือ การไม่ใช้ตัวอักษร แต่เน้นถ่ายทอดกันตัวต่อตัว ส่วนใหญ่แล้วการทำเช่นนี้ล้วนเป็นความสามารถที่ถูกเก็บไว้ก้นกรุของสำนักหรือพรรคหลายๆ แห่ง มักจะไม่มีการนำไปเปิดเผยให้คนอื่น หรือไม่ก็จะต้องมีกฎเกณฑ์ยิบย่อยอย่างถ่ายทอดให้แต่ผู้ชาย ไม่ถ่ายทอดให้ผู้หญิง หรือแม้แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ลูกศิษย์เข้าสำนักก็ยังไม่แน่เสนอไปว่าจะได้รับการสืบทอดที่แท้จริง การสืบทอดที่แท้จริงที่พูดถึงก็คือสิ่งนี้นี่แหละ”
หนิงเหยาถอนหายใจ “ส่วนชนิดสุดท้าย ก็คือต้องดูที่การเข้าใจโดยสัญชาตญาณ ไม่อาจถ่ายทอดด้วยถ้อยคำ แม้แต่พูดก็ยังพูดบอกตรงๆ ไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรด้วย ยกตัวอย่างเช่น สองกองกำลังที่เข้ามาในเมืองครั้งนี้อย่างเขาเมฆาเรืองและเขาตะวันเที่ยง ในเขาเมฆาเรืองของไช่จินเจี่ยนมีการ ‘ชมทะเลเมฆ’ อยู่ ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล แสงทองที่เรืองรองอยู่ในชั้นเมฆคือความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ เพราะซุกซ่อนปราณวิญญาณเอาไว้ ผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปบูรพาจึงขนานนามให้เป็น ‘ของวิเศษบนฟ้า’ ในบรรดาบุรพาจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยที่สามารถจำแลงกายได้ หากเป็นผู้ที่มีโชควาสนาจะสามารถไปพบปะพูดคุยด้วยได้ ส่วนปราณกระบี่ที่เข้มข้นบนยอดเขาของตะวันเที่ยง ว่ากันว่าจับผลัดจับผลูวาสนามาเยือนก็จะมีวิญญาณกระบี่ของบุรพาจารย์จากแต่ละยอดเขาของเขาตะวันเที่ยงจำแลงกายเป็นวิถีกระบี่ ส่วนจะเห็นหรือไม่นั้นก็ต้องดูว่ามีบุญบารมีมากหรือน้อย ไม่เกี่ยวกับตัวตนว่าสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ไม่เกี่ยวกับตบะว่าสูงหรือต่ำ”
สุดท้ายหนิงเหยากล่าวว่า “แน่นอนว่าทั้งสามรูปแบบนี้ก็ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ วิธีการที่หนึ่งหากสลักตัวอักษรลงบนจานหยก หรือสลักไว้บนไผ่ชำระอักษรที่ลี้ลับซึ่งมีเฉพาะในพื้นที่มงคลทะเลไผ่หนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล ก็เป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วยังมีวัตถุประหลาดอีกนับไม่ถ้วน ขอแค่เจ้าเดินไปได้ไกลพอ สักวันย่อมต้องได้พบเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดี หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ วันหน้า ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรเดินออกไปมองโลกภายนอก ไม่ต้องหวังสูงว่าจะได้ไปจากแจกันสมบัติทวีปบูรพา ไปจากใต้หล้าแห่งนี้ แต่อย่างน้อยก็ต้องช่วงชิงโอกาสที่จะพาตัวเองให้เดินไปบนเขตแดนของราชวงศ์ต้าหลี”
เฉินผิงอันรับคำอืมๆๆ เห็นได้ชัดว่าความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับตำราหมัด เขาชี้ไปที่ตัวอักษรตัวหนึ่ง “แม่นางเหยา อันนี้อ่านว่าอะไร?”
เด็กสาวโมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว “กุ่น!” (滚 กุ่นมีสองความหมาย หนึ่งเป็นคำด่าว่าให้ไสหัวไป ส่วนอีกความหมายหนึ่งคือกลิ้ง ไถลลื่น *ในที่นี้เฉินผิงอันเข้าใจว่าหนิงเหยาบอกให้ตนไสหัวไป)