บทที่ 38 เก้าขอบเขต
เฉินผิงอันทำหน้าสงสัย หนิงเหยาจ้องกลับด้วยสายตาเดือดดาล ชี้ไปยังตัวอักษรที่ยาวเหยียดเหล่านั้นแล้วพูดว่า “มันอ่านว่า ‘กุ่น’ จริงๆ! (กุ่นของหนิงเหยาในที่นี้หมายถึงกลิ้ง ลื่นไถล) หมัดนี้บรรลุจากการสังเกตฝนของต้าหลี ท่าหมัดลื่นไถล ดุจน้ำหมึกที่สวรรค์สาดลงมากลายเป็นฝนห่าใหญ่ที่พอตกสู่โลกมนุษย์ ก็กลิ้งไถลลื่นตรงสู่บนกำแพงมังกรของวังหลวงต้าหลี!”
เฉินผิงอันเพ่งมองไปยังภาพท่าหมัดที่เบียดเสียดอยู่ติดกันในหนึ่งหน้า ประหนึ่งภาพการจัดวางกองทัพของทหาร ดังนั้นภาพของคนตัวเล็กที่ควงหมัดทุกภาพจึงไม่ใหญ่มากนัก บวกกับฝีมือการวาดไม่ได้ละเอียดละออเท่าไหร่ โชคดีที่เฉินผิงอันสายตาดี ต่อให้อยู่ภายใต้แสงตะเกียงที่สลัวรางก็ยังคงมองเห็นรายละเอียดที่ชัดเจน หลังจากได้ยินประโยคที่ฟังไม่ค่อยจะเข้าใจจากแม่นางหนิง เด็กหนุ่มก็พึมพำว่า “ฟังดูแล้ว หมัดกระบวนท่านี้น่าจะมีพลังรุนแรงมากเลยนะ”
หนิงเหยาขยับศีรษะเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย มองภาพวาดที่อยู่ในตำราแล้วพยักหน้ารับ “มีวิชาหมัดกระบวนท่าหนึ่งที่สืบทอดอยู่ในยุทธภพมาหลายพันปี โดยที่ไม่เคยหายสาบสูญ มองแล้วคล้ายกับกระบวนท่านี้อยู่หลายส่วน”
เฉินผิงอันหันไปถามอย่างใคร่รู้ “เป็นยังไงหรือ?”
ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัวราง คิ้วเรียวยาวของเด็กสาวโก่งโค้งขึ้นน้อยๆ ดุจกิ่งท้อที่โน้มรับลมวสันตฤดู
นางข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ “ในยุทธภพมีวิชาหมัดที่ฝึกได้ทั้งเด็กและแก่ เรียกว่าหมัดหวังปา (หวังปาเป็นคำด่าว่าสารเลว ตัวเงินตัวทอง) แค่ต่อยออกไปมั่วๆ รับรองว่าสามารถต่อยให้ปรมาจารย์แก่ๆ คนหนึ่งตายได้”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “มีอย่างที่เจ้าพูดเสียที่ไหน”
ในสมองของเฉินผิงอันลองจินตนาการตาม นี่ไม่ใช่สุดยอดวิชาที่กู้ช่านถนัดที่สุดหรอกหรือ? ในความทรงจำของเขา เมื่อหลายปีก่อน ดูเหมือนว่าแม่ของกู้ช่านก็เคยมีเรื่องมีราวที่ไม่งดงามอยู่ครั้งหนึ่งที่หน้าประตูร้านขายเครื่องประทินโฉมร้านหนึ่งในตรอกซิ่งฮวา ตอนนั้นกู้ช่านเพิ่งจะเดินได้ เนื่องจากพ่อของกู้ช่านเป็นคนต่างถิ่นจึงไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน พวกเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงจึงลืมไปนานแล้วว่าเขามีตัวตน ตอนนั้นเหล่าผู้หญิงทั้งหลายที่แต่งงานแล้วเริ่มเป็นกังวล เป็นกังวลว่าเมื่อผู้ชายของตนเดินผ่านหน้าประตูบ้านหญิงหม้ายสกุลกู้จะชะลอฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว เพียงแค่เสื้อผ้าของหญิงแต่งงานแล้วที่ตากแดดอยู่บนราวไม้ไผ่ก็สามารถดึงวิญญาณของผู้ชายไปได้อย่างง่ายดาย ภายหลังมีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่เฒ่าหม่าเรียกรวมหญิงที่แต่งงานแล้วมาห้าหกคนแล้วจับมือกันไปดักรออยู่หน้าประตูบ้านสกุลกู้ ท่ามกลางศึกครั้งนั้น สกุลกู้ต้องเสียเปรียบไม่น้อย แต่พวกแม่เฒ่าหม่าก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายต่าง เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นช่วงหลังๆ จะอย่างไรซะสกุลกู้ก็ตัวคนเดียวเรี่ยวแรงน้อย สองหมัดยากจะต้านทานสี่มือ แม้แต่เสื้อผ้าของนางก็ยังถูกคนกระชากขาด เดิมทีเสื้อผ้าที่นางใส่ก็บางอยู่แล้ว ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเปิดเผยความงามให้เห็นวับๆ แวมๆ นั่นยิ่งทำให้เหล่าหญิงที่แต่งงานแล้วละอายแก่ใจว่าสู้ไม่ได้จึงยิ่งคลุ้มคลั่งกันเข้าไปใหญ่ จิก กัด ตบ ทึ้ง ไม่มีอะไรที่พวกนางไม่ทำ ทำเอาเหล่าผู้ชายที่มุงล้อมอยู่รอบๆ กลืนน้ำลายกันแทบไม่ทัน
ยังดีที่ตอนนั้นเฉินผิงอันกลับจากเตาเผามังกรมาที่เมืองพอดี เขาได้รับการดูแลจากสกุลกู้มาตลอดหลายปี จึงปรี่ขึ้นหน้าไปช่วยรับกระบวนท่าโหดเหี้ยมทั้งหลายแทนแม่ของกู้ช่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะไม่กล้าเอาคืน เฉินผิงอันไม่ได้กลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัว แต่กลัวว่าหมัดเดียวของตนจะต่อยคนให้ตายได้
เด็กหนุ่มในเวลานั้นเพิ่งจะอายุสิบสองสิบสามปี แต่ท่ามกลางเสียงตวาด เสียงดุด่าของผู้เฒ่าเหยา เขาจึงต้องเดินไปทั่วภูเขาและลำธารนับไม่ถ้วน ระยะทางที่เขาเคยเดินผ่านนับๆ รวมกันแล้วยังมากกว่าอายุของคนเฒ่าคนแก่หลายรุ่นในเมืองด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเด็กหนุ่มและหญิงสกุลกู้นั่งอยู่หน้าประตูบ้านด้วยกัน กู้ช่านถูกขังไว้ในบ้าน คงเป็นเพราะนางไม่ต้องการให้ลูกเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงของแม่ตัวเอง
เด็กหนุ่มหันกลับไปมอง แล้วชี้ไปที่มุมปากของหญิงสกุลกู้
หญิงสกุลกู้เบ้ปาก จากนั้นก็ยื่นนิ้วหัวแม่มือออกมาปาดคราบเลือดตรงมุมปากแรงๆ
ลูกชายที่อยู่ในลานบ้านร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้ง เรียกหาท่านแม่ๆ ไม่หยุด
หญิงสกุลกู้หันมายิ้มให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก่อน จากนั้นนางก็ร้องไห้โฮ น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย
วันต่อมา ข้างกายของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงมีตัวภาระที่เขาไม่เต็มใจรับไว้เพิ่มมาหนึ่งคน
คำถามของหนิงเหยาขัดจังหวะความคิดของเฉินผิงอัน “เจ้าคิดอะไรน่ะ?”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าว่าหลังจากที่กู้ช่านกับแม่ของเขาออกไปจากเมือง ติดตามสกัดคงคาเจินจวินไปที่ทะเลสาบจดหมาย จะมีชีวิตที่ดีจริงๆ ไหม?”
หนิงเหยาถามกลับ “เจ้ารู้สึกว่าตอนอยู่ในตรอกหนีผิง พวกเขาสองแม่ลูกมีชีวิตที่ไม่ดีรึ?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “เจ้าเด็กกู้ช่านนั่นไม่มีใจเมตตากับใคร ทั้งอายุยังน้อย ย่อมไม่รู้สึกว่าชีวิตยากลำบาก แต่แม่ของกู้ช่าน…น่าจะไม่รู้สึกว่าเมืองแห่งนี้คือสถานที่ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางไม่ชอบผู้หญิงคนใดในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาเลย อีกอย่างข้ารู้สึกว่าแม่ของกู้ช่านเหมือนจะไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ในเมืองแห่งนี้ นางมีท่าทางไม่เต็มใจอยู่ตลอดเวลา หากพูดตามคำพูดของผู้เฒ่าเหยาก็คือใจไม่มั่นคง เมื่อใจบุรุษไม่มั่นคง เรียกว่าปณิธานอยู่ห่างไปไกล แต่เมื่อใจของสตรีไม่มั่นคง ก็แสดงว่าดอกซิ่งแดงจะไปบานนอกกำแพง (หมายถึงผู้หญิงที่คบชู้ นอกใจสามี) แต่ข้ารู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ค่อยถูกนัก…”
หนิงเหยาพลันยืดตัวตรง ตบโต๊ะดังปัง “ออกนอกเรื่องนอกราวไปถึงไหน ยังจะเรียนตำราหมัดอยู่อีกไหม?!”
เฉินผิงอันตกใจสะดุ้งโหยง “แม่นางหนิงพูดต่อเลย”
หนิงเหยากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดเรื่องการฝึกตนกับเจ้าก็ไม่มีความหมาย เพราะชะตาเจ้าถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจฝึกตนได้ ดังนั้นข้าจึงได้แต่พูดกับเจ้าเรื่องวรยุทธ เรื่องการต่อสู้”
เฉินผิงอันคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เด็กสาวกลับยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “การฝึกวรยุทธใต้หล้านี้แบ่งออกเป็นเก้าขอบเขต แต่ยังมีคนบอกว่าแท้จริงแล้วมีเกินเก้าขอบเขต ยังมีขอบเขตที่สิบ ก็เหมือนกับที่ราชวงศ์ใหญ่ๆ แต่ละแห่งต่างก็เลี้ยงขุนนางฉีไต้จ้าวเอาไว้…” (ฉีไต้จ้าวคือชื่อตำแหน่งขุนนาง คือยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม หมากรุก มีหน้าที่หลักๆ คือคอยเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฮ่องเต้)
พูดมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของเด็กสาวก็ดีขึ้นมา นางจึงถามพร้อมยิ้มตาหยี “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าฉีไต้จ้าวคืออะไร?”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมต้องส่ายหน้าไปตามตรง
ใบหน้าของเด็กสาวมีประกายสดใส “ก็คือยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม ขั้นเก้าคือลำดับสูงสุด เท่ากับขุนนางขั้นที่หนึ่งกระมัง แต่ผู้มากพรสวรรค์บางคนที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้งจะถูกขนานนามว่า ‘มือระดับแคว้นขั้นสิบ’ และคนเหล่านี้ต่างคนก็ต่างมีลูกเล่นพิเศษเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฉีไต้จ้าวของราชวงศ์ต้าหลีพวกเจ้าน่าขายหน้ามากเลยล่ะ ว่ากันว่าขั้นเก้าของพวกเจ้ามีความสามารถเท่ากับขั้นเจ็ดของราชวงศ์สุยเท่านั้น ตลอดทั้งต้าหลีก็มีแค่คนที่ได้สมญานามว่า ‘ซิ่วหู่’ (หมายถึงปักลายพยัคฆ์ เปรียบเปรยถึงบทกวีที่มีชีวิตชีวา หรือคนที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญ) เท่านั้นที่วงการหมากล้อมของราชวงศ์ต้าสุยมองว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริง อ้อ ใช่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าหมากล้อม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รู้ กฎเกณฑ์การเล่นข้าก็เข้าใจ เพียงแต่ว่าข้าเล่นไม่เป็น ในบ้านของซ่งจี๋กับจื้อกุยมีกระดานกับตัวหมากอยู่”
เด็กสาวผิดหวังอย่างยิ่ง “อย่างนี้เองหรือ”
เด็กสาวออกนอกเรื่องไปไกล เด็กหนุ่มจึงยังคงไม่รู้ว่า “เก้าขอบเขต” คืออะไรกันแน่
ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะตระหนักได้ว่าตัวเองดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก จึงกระแอมหนึ่งที แล้วกล่าวน้ำเสียงจริงจัง “แม่ข้าเคยบอกว่า วิถีการต่อสู้มีเก้าขอบเขต หนึ่งก้าวหนึ่งขั้นบันได แต่ต่อให้เจ้าเดินขึ้นไปถึงขอบเขตที่เก้าแล้ว ทิวทัศน์สุดท้ายก็ยังเหมือนการที่เจ้าอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งแล้วเงยหน้ามองไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล แต่มองเห็นได้แค่ครึ่งหนึ่งของภูเขาลูกนั้นเท่านั้น”
เฉินผิงอันครุ่นคิดตาม “ข้าเข้าใจแล้ว”
เพราะเด็กหนุ่มเคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเองมาก่อน
เด็กสาวเองก็ไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มจะเข้าใจจริงหรือไม่ เพียงพูดต่อไปว่า “เก้าขอบเขตของการฝึกวรยุทธแบ่งออกเป็น การฝึกเรือนกาย ฝึกลมปราณและฝึกจิตใจ ต่างก็แบ่งออกเป็นขอบเขตละสามขั้น เดินทีละก้าวขึ้นสู่ยอดบนสุด ห้ามขาดแม้แต่ก้าวเดียว ยิ่งผิดพลาดไม่ได้ และเดินได้มั่นคงเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่จะเดินช้าหรือเดินเร็วกลับไม่สำคัญ นี่คือความต่างจากการฝึกบำเพ็ญตน”
“สามขอบเขตของการฝึกเรือนกาย ขั้นที่หนึ่งคือขอบเขตตัวอ่อนโคลน แค่ฟังจากชื่อก็รู้ความหมายแล้วว่าหยาบพอๆ กับตรอกหนีผิงที่บ้านของเจ้าตั้งอยู่ แต่ว่าเมื่อฝึกจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบสูงสุดแล้ว ร่างจะเป็นเหมือนรูปปั้นดินของพระโพธิสัตว์ แม้ว่าจะทำมาจากดินโคลน แต่ก็มีความไม่ธรรมดาอยู่หลายส่วน ลมปราณตกตะกอนอยู่ในจุดตันเถียน ไม่ขยับดุจขุนเขา ถือว่าเป็นเส้นทางที่พาก้าวเข้าประตูของการฝึกยุทธอย่างแท้จริงแล้ว สรุปก็คือ แก่นแท้ของขั้นแรกนี้อยู่ที่คำว่า ‘แยก’ และคำว่า ‘จม’ พรสวรรค์ของคนที่ฝึกยุทธสูงหรือต่ำ การตระหนักแจ้งดีหรือเลว อาจารย์ที่เป็นผู้นำทางแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
“ขั้นที่สองคือขอบเขตครรภ์ไม้ ความหมายก็คือร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าเริ่มจากหยาบกระด้างมาเป็นละเอียดอ่อนทีละนิด เมื่อฝึกสำเร็จ ลวดลายของกล้ามเนื้อจะเรียงตัวแน่นมีระเบียบ ประหนึ่งตัวอักษรที่ใช้ทั่วไปในการเขียนยันต์ เหมือนกับ…ใช่ เหมือนกับหินดีงูที่งมออกมาจากธารน้ำก้อนนี้ที่อันที่จริงแล้วด้านในแตกต่างจากหินไข่ห่านทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ความหมายที่ลึกลับของขอบเขตนี้ก็คือ ‘เปิดภูเขา’ ขยับขยายเส้นชีพจร ทำเส้นชีพจรที่เล็กแคบเหมือนไส้แกะให้กลายมาเป็นหนทางกว้างใหญ่ที่รถม้าสามารถเคลื่อนผ่านได้ ฐานกระดูกของคนฝึกยุทธดีหรือเลว ก็จะสามารถวิเคราะห์ได้ในขอบเขตนี้”
ตอนที่พูดเรื่องพวกนี้ เด็กสาวชุดดำชูก้อนหินที่เด็กหนุ่มมอบให้ขึ้นสูงไปด้วย
นางจ้องนิ่งไปยังก้อนหินงดงามที่อยู่ภายใต้แสงไฟสะท้อนพลางพูดเบาๆ ว่า “ขอบเขตสุดท้ายของการฝึกเรือนกาย มีชื่อว่า ‘กระจกปรอท’ เลือดเข้มข้นดุจปรอท ทว่าน้ำหนักกลับเบาบาง เลือดลมรวมตัวเป็นหนึ่ง จะบุกฝ่าธรณีประตูไปได้จำเป็นต้องผ่านเคราะห์กรรมครั้งหนึ่ง เรียกว่า ‘รูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ’ จะสามารถเดินผ่านธรณีประตูสุดท้ายไปได้สำเร็จ กลายเป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกรหรือไม่ ก็ต้องดูที่ดวงของคนฝึกยุทธแล้ว”
เฉินผิงอันรับฟังอย่างมึนๆ งงๆ สายตาเหม่อมองไปยังตะเกียงที่เปลวไฟส่ายไหว ในใจก็แกว่งไกวตามไปด้วย
เด็กสาวหาวหวอด ฟุบตัวลงบนโต๊ะ กล่าวน้ำเสียงเกียจคร้าน “พูดมาถึงตรงนี้ก็พอสมควรแล้วล่ะ สามขอบเขตของการฝึกเรือนกายนี้สามารถต้านทานคนที่ฝึกยุทธได้แปดส่วนแล้ว ยากที่จะพัฒนาไปอีกก้าว ต้องเข้าใจหลักการที่ว่าลูกหลานคนยากจนหมั่นแสวงหาความรู้ ลูกหลานคนร่ำรวยหมั่นแสวงหาเคล็ดลับวิชา นอกจากบ้านเกิดของข้าแล้ว ใต้หล้าแห่งอื่นๆ ก็เหมือนกันหมด ดูจากฐานะและความสามารถในการตระหนักแจ้งของเจ้า ข้าคาดเดาว่าชั่วชีวิตนี้ถ้าเจ้าฝึกได้ถึงขอบเขตที่สองก็ควรจะจุดธูปบูชาพระแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “แล้วตำราหมัดเล่มนี้ควรจะฝึกอย่างไร?”
เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ข้าเริ่มง่วงแล้ว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งคำ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเอาตะกร้าไปเก็บหินต่อ พรุ่งนี้ค่อยมาหาแม่นางหนิงใหม่”
เด็กสาวกล่าวว่า “หากเจ้าวางใจก็เอาตำราหมัดไว้ที่นี่ ข้าจะลองดูว่ามีช่องโหว่หรือหลุมพรางอะไรหรือไม่”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ได้สิ แต่แม่นางหนิงต้องระวังหน่อย ตำราเขย่าขุนเขาเล่มนี้ข้ายังต้องเอาไปคืนกู้ช่านในสภาพเดิม”
เด็กสาวขมวดคิ้ว “เจ้าจะต้องพูดกี่ครั้งถึงจะสบายใจ?!”
เด็กหนุ่มยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหยิบตะกร้าที่วางไว้ตรงมุมห้องแบกขึ้นหลัง ก่อนออกจากห้องยังไม่ลืมเตือนว่า “แม่นางหนิงอย่าลืมลงกลอนประตู”
เด็กสาวนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ไม่ได้หันกลับมา เพียงโบกมือ กล่าวอย่างหมดแรง “รู้แล้วน่าๆ ทำไมถึงได้พูดมากยิ่งกว่าพ่อของข้าซะอีก”
เด็กหนุ่มเดินตัวปลิวหายวับเข้าไปในตรอกเล็ก
รอจนเฉินผิงอันออกไปจากตรอกหนีผิงแล้ว เด็กสาวถึงพลันลุกขึ้นนั่งตัวตรง ใช้สายตาที่ราวกับมองศัตรูคู่แค้นจ้องไปที่ตำราเขย่าขุนเขาเล่มนั้น หลังจากนั้นร่างทั้งร่างก็พลันอ่อนยวบลงไปนอนฟุบบนโต๊ะอีกครั้ง นางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พึมพำกับตัวเอง “เจ้าของเล่นนี้จะสอนกันยังไง ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็มีเรือนกายของตัวอ่อนเซียนกระบี่อันดับหนึ่งในโลก มีความจำเป็นต้องเดินบนเส้นทางตีนภูเขาพวกนี้เสียที่ไหน แม้แต่ชื่อของช่องโพรงทั้งสามร้อยหกสิบห้าแห่งข้าก็ยังจำได้ไม่หมด ลมปราณไหลรินตามธรรมชาติได้อย่างไร ข้าก็ทำเป็นตั้งแต่เกิดมาในท้องแม่แล้ว…”
เด็กสาวยกมือทั้งคู่กุมหัว หงุดหงิดอย่างถึงที่สุด
แต่แล้วทันใดนั้นน้ำเสียงขลาดๆ เสียงหนึ่งก็ดังอยู่นอกประตู “แม่นางหนิง?”
หนิงเหยาที่ตัวแข็งทื่อค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เห็นใบหน้าดำเกรียมที่กวนโอ้ยอย่างถึงที่สุด
นางรีบตีหน้าเคร่ง ไม่พูดอะไร
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ กล่าวขออภัย “ข้ากลัวว่าเจ้าจะลืมใส่กลอนประตู ก็เลยย้อนกลับมาเตือนสักคำ อีกอย่างหากตอนกลางคืนแม่นางหนิงรู้สึกหิว ข้าจะไปทำอาหารมื้อดึกจากที่บ้านหลิวเสี้ยนหยางมาให้แม่นางหนิงกินก่อน แล้วค่อยไปที่ธารน้ำ”
เด็กสาวโบกมือตัดบท
เด็กหนุ่มจึงรีบวิ่งไปทันที
ตลอดทางในสมองของเฉินผิงอันมีแต่ภาพกระบวนท่าแรกของตำราหมัดเล่มนั้น
ปล่อยหมัดขยับตัว เท้าไม่ละจากพื้น ขยับเคลื่อนหน้าเชื่องช้าเหมือนเดินอยู่กลางโคลนแฉะ เหมือนมีหิมะกองท่วมเข่า
ขนาดตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่รู้ตัวว่า หลังจากที่เขาพยายามหัดทำท่าตามรูปภาพในตำราเล่มนั้น เขาก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความเร็วและความสั้นยาวในการหายใจทุกครั้งอย่างอดไม่ได้
เด็กหนุ่มยังถึงขั้นวาดฝันไปไกลว่า หากฝึกท่าหมัดในธารน้ำจะดียิ่งกว่าหรือไม่?
—-
ด้านหน้าของฉีจิ้งฉุนมีตราประทับสองชิ้นซึ่งสลักมาจากหินดีงูชั้นเลิศวางอยู่ ทั้งสองชิ้นต่างก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก ทั้งยังไม่ได้สลักตัวอักษรลงไป
ตอนกลางวันมีบัณฑิตหนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนโยนดุจหยกมาเยี่ยมเยียนถึงโรงเรียน คนทั้งสองได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ปัญญาชนสำนักขงจื๊อที่เดินทางมาไกลถามเขาว่า “ท่านเคยคิดที่จะสืบทอดปณิธานของคนบางคน สืบทอดความสงบให้กับหมื่นโลกหรือไม่?”
ตอนนั้นฉีจิ้งชุนตอบไปว่า “ขอเวลาให้ข้าพิจารณาดูหน่อย”
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่ทำให้คนพอใจ แต่ปัญญาชนหนุ่มที่มีชื่อเสียงไปครึ่งทวีปผู้นั้นกลับไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ หลังจากพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั้งในและนอกเมืองกับท่านฉีที่เขาเลื่อมใสมานานอยู่ครู่หนึ่งก็บอกลาจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ปัญญาชนหนุ่มไม่ได้เอ่ยถามสักคำว่าจัดการกับเครื่องหยกชิ้นนั้นอย่างไร
แต่ฉีจิ้งชุนรู้แก่ใจตัวเองดีว่า ปัญญาชนของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อแห่งแจกันสมบัติทวีปบูรพาผู้นี้อาจทนได้ ทว่ากุมารทองกุมารีหยกของสำนักลัทธิเต๋าคู่นั้น กถิกาจารย์ของวัดน้อยใหญ่ พระผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งศาสนาพุทธ รวมไปถึงบุคคลอันเป็นตัวแทนของสำนักการทหาร กองกำลังของทางสามฝ่ายนี้ย่อมไม่มีทางเห็นแก่หน้าตาของสำนักศึกษาซานหยา ยิ่งไม่มีทางยอมทำตามในสิ่งที่เขาฉีจิ้งชุนปรารถนา และย่อมต้องช่วงชิงเอาวัตถุที่สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของกองกำลังตัวเองกลับคืนไปแน่นอน
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของเขาทั้งสิ้น
ฉีจิ้งชุนนั่งอย่างสำรวม มือถือมีดแกะสลัก รู้สึกลำบากใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะสลักตัวอักษรอะไรลงไป “พลีชีพเพื่อเมตตาธรรม สละชีวิตเพื่อคุณธรรม สำหรับเด็กคนนี้แล้วเหมือนจะยิ่งใหญ่เกินไป ไม่เหมาะนัก แล้วก็ไม่เป็นมงคลด้วย ถ้าเป็นจิตใจสงบสุข วางตัวอยู่ในคุณธรรมล่ะจะดูเสแสร้งเกินไปหน่อยหรือเปล่า? แต่ถ้าหากสลักอย่างส่งเดชทั้งสามชิ้นก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความจริงใจเท่าไหร่”
ฉีจิ้งชุนหันไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนนอกหน้าต่าง ท่ามกลางม่านราตรี ดวงดาวทอประกายระยิบระยับ ประหนึ่งไข่มุกราตรีหลายเม็ดที่ห้อยแขวนไว้บนผ้าม่านสีดำ
ฉีจิ้งชุนนั่งเหม่อ เป็นนานกว่าจะคืนสติ ครั้นจึงใช้มือหนึ่งยกตราประทับขึ้นมา ส่วนอีกมือหนึ่งเริ่มลงมีด
สุดท้ายเขาเลือกที่จะสลักตัวอักษรจ้วนเหวินโบราณสี่คำว่า “จิ้งซินเต๋ออี้” (ใจสงบสมปรารถนา) ลงไป โดยเฉพาะอักษรคำว่า “จิ้ง” (สงบ) ตัวแรกที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ครอบคลุมหมื่นสรรพสิ่ง
ฉีจิ้งชุนวางตราประทับในมือลงเบาๆ หงายก้นตราประทับขึ้นด้านบน
เขาพลันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
จิตของปราชญ์สำนักขงจื๊อที่จอนสองข้างเป็นสีขาวโพลนผู้นี้ขยับไหวเล็กน้อย แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อ เห็นเพียงว่าบนโต๊ะมีคำว่า “เฟิงเซิงสุ่ยฉี่” (ลมโชยน้ำขึ้น) ลอยขึ้นมา แล้วจึงตามมาด้วยคำว่า “ซานชวนฉี่ฝู” (เทือกเขาทอดสลับขึ้นลง)
สุดท้ายฉีจิ้งชุนเพ่งสายตามองไปจึงเห็นภาพเหตุการณ์ในบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่ง เด็กหนุ่มกับเด็กสาวนั่งเคียงไหล่กัน กำลังพูดคุยถึงขอบเขตทั้งเก้าของวิถีแห่งการต่อสู้
เหนือเก้าขอบเขตของวิถีแห่งการต่อสู้ ยังมีขอบเขตที่สิบอยู่จริง
ฉีจิ้งชุนอ่านตำราจนเปื่อยนับหมื่นเล่มมานานแล้ว เรื่องในยุทธภพก็ยิ่งไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา แน่นอนว่าย่อมต้องรู้วิถีของการฝึกยุทธ
ใบหน้าที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเข้มงวด คร่ำครึของฉีจิ้งชุนพลันมีรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งปรากฏขึ้น
ดังนั้นเซิ่งเหรินแห่งสำนักขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินแห่งนี้จึงลงมือทำเรื่องขำขันที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับผู้ใด
เขาสลักตัวอักษรสามคำลงไปบนตราประทับชิ้นที่สอง
เฉินสืออี (สืออีแปลว่าสิบเอ็ด)