บทที่ 279 วรยุทธ์ไร้ที่สอง หมัดสูงเหนือนอกฟ้า
หลังจากสู้กันจบในครั้งสุดท้าย เฉาสือก็บอกลาจากไปพร้อมกับอาจารย์ของเขา อาจารย์และลูกศิษย์สองคนนี้น่าจะออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไปยังต้าตวนแผ่นดินกลาง
ก่อนจะจากไปเฉาสือพูดกับเฉินผิงอันว่า “เฉินผิงอัน ก่อนเจ้าจะกลับภูเขาห้อยหัว ช่วยดูแลกระท่อมหลังเล็กแทนข้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มตอบว่า “ไม่มีปัญหา”
นี่คือความหวังดีที่เฉาสือมีให้
เด็กหนุ่มชุดขาวและเทพีแห่งการต่อสู้ที่เดินอยู่บนทางเดินม้า ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกลมากขึ้นทุกที
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่า “ข้าจะถอนฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ออกแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้าแสดงให้รู้ว่าตัวเองไม่มีปัญหา
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าถอนตราผนึกของฟ้าดินแห่งนั้นออกอย่างง่ายดาย ปราณกระบี่พลันไหลกรากเข้ามา ตอนนี้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันกำลังสั่นสะเทือน บาดเจ็บไม่น้อย ได้แต่ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูต้านรับเอาไว้
หนึ่งชั่วยามให้หลังเฉินผิงอันถึงจะขยับเดินได้ เขากับหนิงเหยาเดินมาใกล้กำแพงที่หันหน้าไปทางฝั่งทิศใต้ นางถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “บาดเจ็บแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว ชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “ข้าหมายถึงตรงนี้”
มองตามนิ้วมือเรียวยาวราวต้นหอมของเด็กสาวไป สายตาของเฉินผิงอันจ้องนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนาน
ผลคือถูกหนิงเหยาตบป้าบเข้าที่ศีรษะ
เฉินผิงอันเกาหัว รีบพูดเหมือนคนวัวหายแล้วล้อมคอก “ทางใจยิ่งไม่เป็นอะไรเลย”
ศีรษะของบุรุษ เอวของสตรี อย่างแรกห้ามตบ อย่างหลังห้ามจับ
แต่เฉินผิงอันหรือจะกล้าพูดประโยคแบบนี้ออกไป
หนิงเหยาเอนหลังพิงผนังกำแพง ถามอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ?”
ภายในหนึ่งวัน เฉินผิงอันแพ้ถึงสามครั้ง แพ้แบบที่แพ้ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ครั้งแรกเฉินผิงอันประลองศิลปะการต่อสู้ด้วยวิชาหมัดมวยกับเฉาสือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ใจกันดีมาก ต่างก็ใช้วิธีที่บริสุทธิ์ แต่การออกหมัดแต่ละครั้งของเฉินผิงอันเหมือนจะช้ากว่าเฉาสือไปเสี้ยวหนึ่งพอดี
ไม่ใช่ว่าวิชาหมัดของเฉินผิงอันไม่ได้มาตรฐาน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ กระบวนท่าหมัดอย่างม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ ท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้ ขนาดเทพีแห่งการต่อสู้ที่มองดูอยู่ด้านข้างก็ยังพยักหน้าอยู่หลายครั้ง
ทางฝั่งของเฉาสือกลับดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด แต่ละท่วงท่าเต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนรู้ล่วงหน้า ชิงความได้เปรียบตัดหน้าศัตรูจนดูเหมือนว่าเท้าและหมัดของเฉินผิงอันไปถึงจุดที่เขาต้องการอย่างพอดิบพอดี
เฉินผิงอันจึงต่อยไม่โดนเฉาสือแม้แต่หมัดเดียว
ในขณะที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าและหนิงเหยาต่างก็รู้สึกว่าต่อสู้ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว คราวนี้กลับกลายเป็นเทพีแห่งการต่อสู้ที่เสนอความคิดเห็นด้วยรอยยิ้มบางๆ บ้างว่า ลองสู้กันอีกสักตั้ง อีกทั้งยังให้เฉินผิงอันปล่อยฝีไม้ลายมืออย่างเต็มที่ ไม่ต้องใช้แค่วิชาหมัดอย่างเดียวเท่านั้น
การต่อสู้ครั้งที่สอง เฉินผิงอันใช้กระบี่บินสืออู่และชูอีมาช่วยเสริม และยังใช้ยันต์อีกหลายชนิด
แต่ก็ยังช้ากว่าการเคลื่อนไหวร่างกายของเฉาสือไปนิดหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย ยังคงห่างแค่เสี้ยวเดียวพอดี
คราวนี้แม้แต่หนิงเหยาก็ยังรู้สึกจนใจแทนเฉินผิงอัน
เหมือนกับการเล่นหมากล้อม เป็นนักเล่นระดับแคว้นขั้นเก้าเหมือนกัน แต่ก็มีแข็งแกร่งเก้าและอ่อนด้อยเก้า ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากนักเล่นแข็งแกร่งเก้านี้สามารถเล่นแค่ครึ่งตาก็ชนะไปเสียทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นความแตกต่างของฝีมือทั้งสองฝ่ายก็ไม่ใช่แค่มากในระดับทั่วไปแล้ว
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันเป็นคนเสนอ เฉาสือก็ยอมรับ
ครั้งที่สามนี้เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนไป
เขาไม่เหมือนกำลังประมือกับเฉาสือ แต่เหมือนแข่งขันกับตัวเองมากกว่า เขาฝืนเปลี่ยนกระบวนท่าของวิชาหมัดที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วอย่างต่อเนื่อง ลองจินตนาการดู กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็ดี หรือกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบก็ช่าง ล้วนเป็น ‘วิชาเทพเซียน’ ที่ผ่านการหล่อหลอมขัดเกลามานับพันนับหมื่นครั้งจากผู้เฒ่าแซ่ชุย เฉินผิงอันใช้วิธีการเช่นนี้จึงมองออกว่าตัวเขาเริ่มเสียหลักเองแล้ว
ดังนั้นเมื่อเทียบกับการออกหมัดของเฉินผิงอันแล้ว การออกหมัดของเฉาสือจึงไม่ได้เร็วกว่าแค่เสี้ยวเดียวอีกต่อไป หลายครั้งที่ก่อนเฉินผิงอันจะออกหมัด หรือไม่ก็ระหว่างที่เฉินผิงอันออกหมัด เฉาสือจะต่อยปณิธานหมัดของเฉินผิงอันให้พังทลายลงกลางคัน เรียกได้ว่าแพ้อเนจอนาถยิ่งกว่าสองครั้งก่อนหน้านี้เสียอีก
แต่คนสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่อให้เป็นหนิงเหยาที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิถีวรยุทธ์ สุดท้ายก็ยังมองออกว่าการเปลี่ยนแปลงวิธีการกะทันหันของเฉินผิงอันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ความต่างหลักๆ นั้นยังคงอยู่ที่รากฐานของขอบเขตสี่
หลังจากต่อสู้กันไปสามครั้ง เฉาสือก็ชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน พูดแค่สี่คำว่า พยายามต่อไป
หากไม่ใช่เฉาสือ แล้วก็ไม่ใช่เฉินผิงอัน เกรงว่าทุกคนคงรู้สึกว่าคำพูดของเฉาสือเป็นการท้าทาย เป็นการอวดเบ่งบารมี หรือไม่ก็กำลังเหยียดหยามผู้แพ้
แต่จิตใจของเฉาสือนิ่งสงบ จิตใจเฉินผิงอันก็หนักแน่นมั่นคง จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้
เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เหมือนกัน ตอนนี้เฉินผิงอันคือผู้ที่พ่ายแพ้เฉาสืออย่างแท้จริง
ดังนั้นหนิงเหยาที่ ‘จิตแห่งกระบี่ใสสะอาด ฉายประกายเฉียบคม’ ถึงได้ถามเช่นนี้ นางกลัวว่าเฉินผิงอันจะแพ้เป็นครั้งที่สี่
แพ้ในการแข่งขันทางจิตใจที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
หากจิตแห่งวิถีวรยุทธ์ถูกเฉาสือบดขยี้จนย่อยยับ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าว่าแต่ขอบเขตปลายทางบนวิถีวรยุทธ์เลย แม้แต่ขอบเขตเจ็ดก็คงยากสำหรับชีวิตนี้ของเฉินผิงอันแล้ว
ยังดีที่เฉินผิงอันบอกว่าไม่เป็นไร
หนิงเหยาเชื่อเขา
เฉินผิงอันไม่กลัวตาย นางรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว เขาเกือบจะตายด้วยน้ำมือของวานรย้ายภูเขา เกือบจะแลกชีวิตกับหม่าขู่เสวียนเพื่อนาง
แต่ไม่กลัวตาย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลัวแพ้
ตอนที่ยากจนข้นแค้น คนเท้าเปล่าไม่กลัวที่จะต้องสวมรองเท้า ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยภูเขาห้อยหัว ได้เห็นสมบัติที่วางเต็มโต๊ะ หนิงเหยาถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เฉินผิงอันมีเงินมากแล้ว และยิ่งมีหวังบนวิถีวรยุทธ์
ดังนั้นหนิงเหยาจึงกังวลว่าเฉินผิงอันจะยึดติดดึงดัน
โชคดีที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น
คนทั้งสองนั่งเคียงไหล่กันอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่หันหน้าไปทางทิศใต้
หนิงเหยาวางกระบี่สองเล่มหนึ่งใหม่หนึ่งเก่าทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า เฉินผิงอันยังคงสะพายกล่องกระบี่ที่เหลือแค่กระบี่ไม้ไหวเล่มเดียว
อันที่จริงนางรู้สึกว่าชื่อกระบี่กำจัดปีศาจนี้ค่อนข้างจะเชย แต่พอคิดถึงว่าเฉินผิงอันยังแบกปราบมารอยู่บนหลังจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาอีก
เฉินผิงอันใช้สองหมัดค้ำไว้บนหัวเข่า เอนตัวไปด้านหน้า ห่างออกไปพันลี้ก็คือฐานทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนฝูงมดฝูงผึ้งมารวมตัวกัน ได้ยินหนิงเหยาเล่าว่าทุกครั้งที่ทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจบุกมาโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในหุบเขาแคบๆ แห่งนี้จะอัดแน่นไปด้วยเผ่าปีศาจ แต่เหนือศีรษะของพวกมันก็เต็มไปด้วยกระบี่บินเช่นกัน
เวลาอยู่กับหนิงเหยา เฉินผิงอันนึกอยากพูดอะไรก็พูดตามใจตัวเอง
พูดตั้งแต่เรื่องของท่านปู่เฉินเซียนกระบี่ผู้เฒ่า ไปจนถึงเฉาสือและเทพีแห่งการต่อสู้ รวมไปถึงราชวงศ์ต้าตวนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของพวกเขา จากนั้นก็เป็นเรื่องของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ซึ่งได้ครอบครองหนึ่งในสี่กระบี่เซียนใหญ่ พูดถึงกระบี่เซียนก็ย่อมต้องเกี่ยวพันไปถึงเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่ได้รับการขนานนามว่าผู้ไร้ศัตรูเทียมทานที่แท้จริง เพราะกระบี่เซียนเล่มนั้นของเขาถูกขนานนามว่า ‘เต๋าสูงเกินโลกมนุษย์หนึ่งฉื่อ’ จากนั้นก็เป็นเรื่องของภูเขาห้อยหัวสายของเต๋าเหล่าเอ้อร์ สุดท้ายกลับมาเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องของวิชาหมัดเฉินผิงอัน
วกกลับไปกลับมา คุยไปตามที่ใจต้องการ
เฉินผิงอันไม่เคยนั่งในสถานที่ที่การมองเห็นเปิดกว้างขนาดนี้ สภาพจิตใจของเขาก็เช่นกัน
ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับใต้หล้าแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันตื่นเต้นจนพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “แรกเริ่มสุดที่ฝึกหมัดก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด รอจนไม่ต้องกังวลเรื่องอายุขัยแล้วก็เริ่มคิดว่าทำไมตัวเองถึงฝึกหมัด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการออกหมัดของข้าต้องไว ไวยิ่งกว่าใคร ภายหลังข้าก็รู้สึกอีกว่าการออกหมัดของข้าอาจจะไม่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป แต่ต้องมีเหตุผลที่สุด ดังนั้นข้าจึงอ่านหนังสือ ขอความรู้จากคนอื่น เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมจากคนอื่น เวลาที่ข้าทำผิดก็ให้คนข้างกายคอยบอกเตือนข้า”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า กล่าวเหมือนจนใจเล็กน้อย “การที่ข้าใช้เหตุผลกับคนอื่น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เพื่อให้อีกฝ่ายใช้เหตุผลกับข้าเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าเหตุผลของข้าต้องถูกเสมอไป น่าเสียดายที่การเดินทางในครั้งนี้มีหลายคนที่ไม่เต็มใจจะใช้เหตุผล”
“ชุดขุนนาง แซ่สกุล เงินในกระเป๋า ตบะขอบเขตที่เท่าไหร่ พวกเขาคงรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ประหยัดแรงกายแรงใจ มากพอให้ใช้เป็นเหตุผลได้แล้วกระมัง”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็คิดถึงจั่วโย่ว บุรุษที่มีเวทกระบี่สูง ไร้ผู้ใดในโลกจะทัดเทียม
ดูเหมือนศิษย์พี่ของอาจารย์ฉี เซียนกระบี่จั่วโย่วคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดเหตุผลเหมือนกัน
แต่ทั้งสองฝ่ายกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ฝ่ายหนึ่งคือชอบกระทำเรื่องชั่วร้าย อีกฝ่ายหนึ่งใครไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินใคร แต่หากใครล่วงเกินข้าก็ถือว่าเขาดวงซวย
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไปจากโลกมนุษย์
อีกอย่างเขาพูดประโยคหนึ่งที่มีความหมายคร่าวๆ ประมาณว่า ทุกคนที่ฝึกบำเพ็ญตน ไม่ถือว่าเป็น……คนแล้ว แต่เป็นพวกตัวประหลาด
นอกจากความหมายตามตัวอักษรแล้ว เฉินผิงอันไม่เข้าใจความนัยที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น แต่เขารู้สึกว่าประโยคนี้รุนแรงมาก
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับหนิงเหยาด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าหากวิชาหมัดของข้า และยังมีวิชากระบี่ที่ข้าจะฝึกหลังจากนี้สามารถฝึกได้ไวที่สุด ไวยิ่งกว่าเดิม! นั่นก็ย่อมดีที่สุด!”
หลังจากยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งให้หนิงเหยาแล้วก็ลุกขึ้นยืน เริ่มออกหมัดช้าๆ พร้อมกับวิชาสิบแปดหยุดที่อาเหลียงสอนให้
อาเหลียงเคยบอกว่า สิบแปดหยุดของเขาไม่ค่อยเหมือนของใคร
หนิงเหยาขมวดคิ้ว “เฉินผิงอัน วันๆ หนึ่งเจ้าต้องฝึกหมัดตั้งหลายรอบ ยังจะมีเวลามาคิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้อีกหรือ?!”
“ก็แค่คิดไปอย่างนั้นเอง”
ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ออกหมัดอย่างผ่อนคลายได้ตามใจปรารถนา เชื่องช้า แต่กลับไม่เกียจคร้าน เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
หนิงเหยาหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดทั่วร่างเหมือนสายน้ำไหลริน แล้วถามว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เจ้าคิดมากขนาดนี้จะถ่วงให้การฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ของเจ้าล่าช้าไปอีก เฉาสือผู้นั้นต้องไม่มีทางคิดมากขนาดนี้เป็นแน่”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ แต่ก็ยังฝึกหมัดไม่หยุด “เขามีพรสวรรค์นี่นา อีกอย่างต้องเป็นคนมีพรสวรรค์ประเภทที่ร้ายกาจที่สุดด้วย แต่ข้ากลับไม่ใช่ ข้าต้องคิดเยอะๆ ทำเยอะๆ ในทุกก้าว ข้าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เจ้าเองก็เคยพูดว่าข้าคือคนบ้านนอกไม่ใช่หรือ ดังนั้นทุกก้าวต้องทำให้ได้ ‘ไม่เลว’ เสียก่อน จากนั้นถึงจะเป็นถูกต้อง ถูกต้องมาก ถูกต้องที่สุด ข้าจะรีบร้อนไม่ได้ เมื่อก่อนตอนที่ฝึกขึ้นรูปเครื่องปั้น นั่งครั้งหนึ่งก็นานตลอดช่วงบ่าย ต้องไม่ทำพลาดเท่านั้นถึงจะสามารถออกมาเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ดีได้ เป็นหลักการที่ง่ายมาก”
เฉินผิงอันพูดเสริมอีกหนึ่งคำตามความเคยชิน “ถูกไหม?”
หนิงเหยาถามกลับ “ง่าย?”
เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย “ไม่ง่ายหรือ?”
หนิงเหยาดื่มเหล้าในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ตอบไม่ตรงคำถามว่า “ง่ายก็ดีแล้ว”
ท่าหมัดของเฉินผิงอันไม่ใช่ท่าที่ฝึกตามวิชาหมัดเขย่าขุนเขาและท่าที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยสอนให้อีกต่อไป แต่เป็นท่าที่เพิ่งคิดขึ้นมาเอง คนเดินตามหมัด ใจไร้อุปสรรคขัดขวาง
เดี๋ยวหยุดเดี๋ยวพัก บ้างช้าบ้างเร็ว
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับการฝึกหมัดทั้งหมด
เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าแตกแล้ว สะพานแห่งความเป็นอมตะของข้าขาดแล้ว
ในอดีตฝึกหมัดเพียงเพื่อต่อชีวิต แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ยังเดินมาถึงที่นี่ มาพบกับเจ้า
ข้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมาก!
เฉินผิงอันออกหมัดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ลมเย็นพัดชายแขนเสื้อให้โป่งพอง ส่งเสียงสะบัดดังพึ่บพั่บ
ตอนนั้นที่นั่งอยู่บนสะพานหินโค้งสีทองกลางทะเลเมฆ พี่สาวเทพเซียนบอกข้าว่าอย่าทำให้อาจารย์ฉีต้องผิดหวัง เพราะแรกเริ่มที่นางเลือกข้าก็เพราะนางเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ฉี ถึงได้ยินดีติดตามข้า เดิมพันความหวังส่วนที่เป็นหมื่นหนึ่งนั้น
มีแค่หนึ่งนี้ และข้าก็คือหนึ่งนี้ แค่นี้ก็พอแล้ว!
บนหัวกำแพง เฉินผิงอันพลันเปลี่ยนจากการออกหมัดเร็วเป็นช้าโดยที่ไม่ดูฉุกละหุกแม้แต่น้อย
เคลื่อนเท้าไปในแนวขวาง ออกหมัดเข้าใส่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้นอย่างต่อเนื่อง แล้วพริบตานั้นก็เปลี่ยนจากช้าที่สุดมาเป็นเร็วที่สุดจนหอบให้ลมพัดหวีดหวิว
ผู้เฒ่าแซ่ชุยเคยบอกว่าจะสอนหมัดที่ ขอแค่ผู้ฝึกยุทธ์บนโลกนี้เห็นหมัดของข้า ก็รู้สึกเหมือนท้องนภาที่อยู่เหนือสุดเบื้องบน!
เฉินผิงอันคล้ายตอบคำถามข้อนี้อยู่ในใจ ขณะเดียวกับที่ออกหมัดเขาจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังไปด้วยว่า “ตกลง!”
หนิงเหยาเผยอปากเล็กน้อย
นี่ยังใช่เฉินผิงอันอยู่ไหม?
หนิงเหยาเกิดอารมณ์อ่อนไหวเปราะบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดื่มเหล้าที่เต็มไปด้วยรสชาติแห่งความทุกข์ทนหนึ่งอึกแล้วก็ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง พูดเหมือนบ่นว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้ฝ่ามือหนึ่งของข้าตีเจ้าได้แค่ไม่กี่คนแล้ว”
เฉินผิงอันหยุดการออกหมัด ย่อตัวลงนั่งยอง พูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าตีข้า ข้าก็ไม่คิดจะตีคืนสักหน่อย”
หนิงเหยามองค้อน “เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่ไหม? หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ว่าจะที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือใต้หล้าไพศาลก็ต้องถูกคนหัวเราะตายแน่”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น “หากวันใดเจ้าถูกคนรังแก ไม่ว่าตอนนั้นข้าคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่เท่าไหร่ หมัดนั้นที่ข้าปล่อยออกไปก็ต้องไวที่สุด!”
หนิงเหยาชี้ไปทางทิศใต้ของกำแพงเมือง “ปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุดก็ไม่กลัวรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หนิงเหยาชี้ไปที่ด้านหลัง “อริยะในศาลบุ๋นของใต้หล้าไพศาลก็ไม่กลัว?”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้ารับ
หนิงเหยาชี้ไปที่เหนือศีรษะ “แม้แต่มรรคาจารย์เต๋าก็ไม่กลัว?”
เฉินผิงอันพยักหน้าแล้วก็พูดเบาๆ ว่า “หนิงเหยา เจ้าอย่าตายอยู่ในสนามรบนะ”
หนิงเหยาหันหน้ากลับไป ไม่ได้มองเฉินผิงอันอีก นางกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในอ้อมอก มองไปยังสนามรบหมื่นปีที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ผงกศีรษะรับด้วยสายตาแน่วแน่ “ข้าไม่กล้ารับรองว่าจะต้องไม่ตายแน่ๆ แต่ข้าจะพยายามเอาชีวิตอยู่รอดต่อไปให้ได้”
แล้วจู่ๆ หนิงเหยาก็คลี่ยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้ารีบเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้าเร็วๆ เข้าเถอะ!”
เฉินผิงอันเกาหัว “ข้าเองก็รับรองไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้าจะพยายามทำให้ได้!”
เฉินผิงอันเดินมานั่งข้างกายหนิงเหยา
ไหล่ของพวกเขาแอบอิงพิงกัน
หนิงเหยาเขินอายเล็กน้อยจึงชนกลับไปเบาๆ คล้ายอยากจะให้เขาถอยห่างออกไป แต่เฉินผิงอันกลับขยับเข้ามาใกล้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไหล่ของเฉินผิงอันจึงส่ายกลับไปกลับมาอยู่แบบนี้
สุดท้ายคนทั้งสองนั่งมองไปทางทิศใต้ด้วยกันเงียบๆ
ไหล่ข้างหนึ่งแบกความหวังของอาจารย์ฉีและพี่สาวเทพเซียนเอาไว้
ไหล่อีกข้างแบกความคาดหวังของหญิงสาวผู้เป็นที่รัก
แม้จะไม่มีกิ่งหลิ่วห้อยระย้าและนกน้อยบินล้อมวน ไม่มีแสงตะวันอบอุ่นและภูเขาเขียวน้ำใส
แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าแบบนี้ดีมาก ดีจนดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
……
เผยเปย เฉาสือสองอาจารย์และลูกศิษย์เดินเคียงกันไปบนหัวกำแพงช้าๆ เฉาสือหันกลับไปมองยังทิศทางที่ตั้งของกระท่อมแวบหนึ่งแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม้ว่ารากฐานขอบเขตที่สามของเขายังค่อนข้างห่างชั้นจากของข้าอยู่มาก แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันมีหวังที่จะติดตามมาด้านหลังข้า”
เทพีแห่งการต่อสู้กล่าวยิ้มๆ “นี่ถือเป็นคำจารณ์ที่สูงมากแล้ว”
เฉาสือถาม “อาจารย์ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
นางส่ายหน้าเบาๆ “ข้าคิดอย่างไรไม่สำคัญ ต้องดูว่าหลังจากนี้เจ้ากับเฉินผิงอันจะเดินกันไปอย่างไร การเลื่อนขอบเขตของพวกเจ้าจะช้าหรือเร็ว รากฐานแต่ละขอบเขตหนาหรือบาง สุดท้ายวิถีวรยุทธ์สูงหรือต่ำ แน่นอนว่าใครมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าถึงจะสำคัญที่สุด”
เฉาสือพยักหน้ารับแล้วถามว่า “อาจารย์ หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่?”
เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายเช่นนี้ นางกลับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบทั่วไปหากพยายามลดการเผาผลาญพลังต้นกำเนิดให้เหลือน้อยที่สุด ลดการเข้าร่วมศึกใหญ่ที่อาจทิ้งต้นตอโรคร้ายยากที่จะกำจัด ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณสามร้อยปี ข้าน่าจะอยู่ได้มากกว่านั้นอีกสักสองร้อยปี แต่สองร้อยปีที่เพิ่มมานี้ก็สามารถทำอะไรได้มากมายแล้ว”
เฉาสือถอนหายใจ “สุดท้ายก็ยังเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีชีวิตอยู่ได้นานกว่า”
เผยเปยไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้ นางถามว่า “เกี่ยวกับเฉินผิงอัน เจ้ายังมีความคิดเห็นอะไรอีกหรือไม่?”
เฉาสือส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
เผยเปยกำชับ “ก่อนจะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด เจ้าสามารถออกจากราชวงศ์ต้าตวนไปอยู่ที่อื่นได้ แต่ห้ามไปเยือนทวีปอื่นเด็ดขาด”
“ข้าทราบแล้ว”
เฉาสือรู้สึกว่ายังไงก็ได้ เพราะศัตรูที่แท้จริงบนวิถีวรยุทธ์ของเขาก็มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้น
เทพีแห่งการต่อสู้ร่างสูงใหญ่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ นางยื่นมือมาลูบศีรษะของเฉาสือ
เฉาสือกล่าวอย่างอ่อนใจ “อาจารย์ ท่านอย่าเอาแต่มองข้าเป็นเด็กสิ”
ก่อนที่จะลงจากหัวกำแพง เผยเปยหันกลับไปมองกระท่อมหลังนั้นแล้วถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมคลี่ยิ้ม
คิดๆ ดูแล้ว ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่รุ่นเดียวกับเฉาสือก็น่าสงสารไม่น้อยเลย
ผู้ที่เคารพเลื่อมใสเขาก็เหมือนคนที่ยืนมองภูเขาสูง และได้แต่แหงนมองอยู่อย่างนั้นไปชั่วชีวิต
คนที่อิจฉาริษยาเขา รู้สึกได้แค่ว่าฝีมือห่างชั้นกันไกลจนมองไม่เห็นฝุ่น คนที่เคียดแค้นเขา มองเขาเป็นศัตรูก็ได้แต่คันยิบๆ อยู่ในหัวใจ
เผยเปยคาดหวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็นยอดเขาสูงสุดในลำดับสุดท้ายของลูกศิษย์ตัวเอง
เพราะถึงอย่างไรวรยุทธ์ก็ไร้ที่สอง!
……
เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงเมืองมาเกือบสิบวันแล้ว วันนี้หนิงเหยามาหาอีกครั้ง บอกว่าที่บ้านมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมเยียน จำเป็นต้องให้นางออกหน้า
เฉินผิงอันจึงเดินนิ่งเลียบหัวกำแพงเมืองต่อไปอีกครั้ง เดินออกไปได้ประมาณสิบกว่าลี้ก็สังเกตเห็นว่าเบื้องหน้ามีแม่นางน้อยสวมชุดสีดำตัวโคร่งคนหนึ่งยืนอยู่ นางมัดผมแกละดูซุกซุน ร่างส่ายโงนเงนราวกับว่านาทีถัดมาอาจจะร่วงลงไปจากหัวกำแพง คล้ายว่ากำลังงีบหลับ? ทำเอาเฉินผิงอันที่มองเห็นอกสั่นขวัญแขวน ต้องอดทนที่จะไม่ไปช่วยจับประคองแม่นางน้อยผู้ประมาทเลินเล่อคนนั้น เพราะการเดินทางไกลสองครั้งทำให้เฉินผิงอันเติบโตขึ้นไม่น้อย เขารู้มานานแล้วว่าแคว้นไฉ่อี ภูเขาห้อยหัว รวมไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ทั้งสามสถานที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงร้องเรียกหนึ่งที แสร้งทำเป็นเอ่ยสอบถามโดยใช้ภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่หนิงเหยาสอนให้ซึ่งพูดไม่คล่องนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้เฒ่าที่อาศัยอยู่ในกระท่อมคือใคร?”
แม่นางน้อยไม่ได้สนใจเฉินผิงอัน ยังคงโล้ชิงช้าอยู่บนหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันหยุดเดินในระยะห่างที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม มองประเมินนางก็เห็นว่าบนใบหน้าอ่อนเยาว์ยังมีขี้มูกยืด นางกำลังหลับอยู่จริงๆ
ประมาทยิ่งนัก
เฉินผิงอันรู้สึกว่านางน่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง
วินาทีนั้นเด็กหญิงผมแกละที่ยืนไม่มั่นคงก็ร่วงดิ่งลงไปข้างล่าง
เฉินผิงอันเตรียมจะพุ่งตัวออกไปคว้าข้อเท้าของแม่นางน้อยตามจิตใต้สำนึก
แต่กลับมีฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นมากดไหล่ของเฉินผิงอันจนเขากระดุกกระดิกไม่ได้ พอหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าทางฝั่งซ้ายมือมีผู้เฒ่าผมขาวหน้าตาใจดีคนหนึ่งยืนอยู่ ผู้เฒ่าที่ร่างสูงเพรียว ปักปิ่นหยกสีขาวไว้บนมวยผมพูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หนู ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว น่าจะเป็นคนต่างถิ่นกระมัง? หวังดีคือเรื่องที่ดี แต่เมื่ออยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องจำไว้เรื่องหนึ่งว่า อย่าสร้างปัญหาให้คนอื่น และยิ่งไม่ควรสร้างปัญหาให้ตัวเอง”
ผู้เฒ่าชี้ไปยังทิศทางที่แม่นางน้อย ‘ร่วงหล่น’ “และใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ก็คงไม่ต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ นางคือเซียนกระบี่ที่สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปมากที่สุดตลอดเวลาหนึ่งพันปีมานี้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากจะพูดถึงคนที่เผ่าปีศาจเคียดแค้นมากที่สุด ใต้เท้าอิ่นกวานก็สามารถอยู่ในลำดับต้นๆ ได้เลย หากเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่ปลายชายเสื้อของนาง เกรงว่าคงต้องตายเป็นแน่ เว้นเสียจากว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าจะยอมลงมือช่วยเหลือ”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ข้าผู้อาวุโสแซ่ฉี หากเจ้าไม่ถือสา เรียกข้าว่าปู่ฉีหรือผู้อาวุโสฉีก็ได้ วันนี้ทางทิศใต้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อย ข้าเพิ่งเดินลาดตระเวนหัวกำแพงกับสหายเสร็จไปรอบหนึ่งพอดี คาดว่าใต้เท้าอิ่นกวานมาที่นี่ก็เพราะรู้สึกสนใจ คาดหวังให้อีกฝ่ายเปิดฉากโจมตี”
ผู้เฒ่าพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “อย่าเรียกข้าว่าปู่ฉีดีกว่า เรียกแค่ผู้อาวุโสฉีก็พอ หาไม่แล้วข้าก็รู้สึกว่าเป็นการเอาเปรียบเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเกินไป แบบนั้นคงไม่เหมาะ”
เพิ่งจะขาดคำของเขา ผนังกำแพงเบื้องใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็เกิดเสียงดังอื้ออึงระลอกหนึ่ง
คาดว่าน่าจะเป็นเสียงกระเทือนตอนที่ใต้เท้าอิ่นกวานมัดผมแกละผู้นั้นกระแทกลงพื้น
ผู้เฒ่าเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะมีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าคอยช่วยดูแล และใต้เท้าอิ่นกวานก็อยู่ด้วย แต่เจ้าควรระวังตัวไว้ดีกว่า ทหารไม่หน่ายกลยุทธ์ เผ่าปีศาจอาจจะบุกมาโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้ เอาล่ะ เจ้าทำธุระของตัวเองต่อเถอะ”
ผู้เฒ่าก้าวออกไปหนึ่งครั้งก็ห่างไปสิบกว่าลี้ แล้วก็เหมือนกบที่กระโดดแตะผิวน้ำไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพียงชั่วพริบตาร่างของผู้เฒ่าก็หายวับไป
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากหัวกำแพง หมุนตัวย้อนกลับไปที่กระท่อม
ผู้เฒ่าแซ่ฉี
ใต้เท้าอิ่นกวานที่สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปนับไม่ถ้วน
เฉินผิงอันได้ยินเสียงที่ยากจะฟังเข้าใจดังขึ้นเป็นระลอกจากแผ่นดินทางทิศใต้ มันไม่ใช่เสียงแหลมบาดแก้วหู แต่เป็นเสียงประเภทที่ว่าไม่ดังมาก แต่กลับทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน เฉินผิงอันจึงรีบเดินเข้าไปใกล้หัวกำแพง ทอดสายตามองออกไป
จากนั้นเขาก็เห็นว่าท่ามกลางหุบเขาแคบยาวไร้ที่สิ้นสุดนอกกำแพงเมืองแห่งนั้นมี……สิ่งหนึ่งที่ในมุมมองของเฉินผิงอันซึ่งยืนอยู่บนหัวกำแพงมองไปยังสิ่งนั้น ก็เหมือนกับคนที่ก้มหน้าลงมองไส้เดือนตัวหนึ่งที่อยู่ในดินห่างไปไม่ไกล
เฉินผิงอันจินตนาการได้เลยว่า ร่างจริงของไส้เดือนตัวนั้นต้องน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแน่ๆ
แล้วเฉินผิงอันก็เห็นว่าตรงทิศทางที่ใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ร่วงลงไปก่อนหน้านี้มีรัศมีแสงสีขาวหิมะขนาดมหึมาระเบิดแตก แล้วกลิ้งหลุนๆ เข้าหาปีศาจใหญ่ตนนั้นเหมือนไข่มุกเม็ดหนึ่ง
ต่อมาฝุ่นก็คลุ้งตลบไปทั่วหุบเขาเล็กแคบ พวกเขาต่อสู้กันจนฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย
ประมาณหนึ่งก้านธูปให้หลัง ‘แม่นางน้อย’ ชุดดำมัดผมแกละก็ย้อนกลับเข้ามาที่กำแพงเมือง นางยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองห่างจากเฉินผิงอันไปไม่ไกล อ้าปากกว้าง ยื่นสองนิ้วสอดเข้าปากไปโยกฟันซี่หนึ่งอย่างแรง สุดท้ายดูเหมือนจะตัดใจถอนฟันซี่นั้นไม่ลง จึงได้แต่หันไปถ่มเลือดใส่ลงบนทางเดินม้า นางที่หงุดหงิดเล็กน้อยเดินอาดๆ อยู่บนหัวกำแพงเมือง ทางเดินม้าถูกเท้าของนางกระแทกจนสั่นสะเทือน
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ปลูกกระท่อมเฝ้ากำแพงเมืองมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เขาช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังด้วยรอยยิ้ม “สำหรับนางแล้ว การที่ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ก็เท่ากับว่าตัวเองพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงค่อนข้างหงุดหงิด เวลานี้ใครก็ห้ามไปยุ่งกับนาง ไม่อย่างนั้นจะซวยเอาได้ เมื่อก่อนก็มีแต่อาเหลียงที่ชอบหยอกเย้านาง ชอบราดน้ำมันลงบนกองไฟ หรือไม่ก็เพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แล้วก็จะถูกนางซ้อมเป็นประจำ ตอนนี้อาเหลียงไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว คาดว่านางคงเหงากระมัง เพราะอันที่จริงแล้วปีศาจใหญ่ที่โชคร้ายตัวนั้นก็แค่มาโผล่หน้ามาให้เห็นเป็นพิธีเท่านั้น”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าพาเฉินผิงอันเดินไปทางกระท่อมด้วยกัน จู่ๆ เขาก็เอ่ยว่า “เพราะเหตุผลบางอย่าง เจ้าคือข้อยกเว้น ดังนั้นข้าจึงพูดกับเจ้ามากสักหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร
ม่านราตรีของคืนนี้แผ่ปกคลุมลงมา เฉินผิงอันออกจากกระท่อมหลังเล็กที่เฉาสือสร้างขึ้นมานั่งดื่มเหล้าอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ มองไปยังนครใหญ่ยักษ์ที่แสงไฟสว่างจ้า
มองไปยังทิศทางที่ตั้งของบ้านหนิงเหยา
แล้วก็มีคนตบไหล่ข้างซ้ายหนึ่งที หันหน้าไปมองทางซ้าย หนิงเหยากลับมานั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของเขาแล้ว
มาบนหัวกำแพงเมืองครั้งนี้ นางเอาของกินบางส่วนมาด้วย ของกินวางไว้ในกระท่อม หิ้วเหล้าไหหนึ่งออกมา เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งให้ หนิงเหยาจึงช่วยเทเหล้าใส่ในน้ำเต้าให้เขา
พอไหเหล้าว่างเปล่า หนิงเหยาก็โยนมันออกไปนอกกำแพงเมือง หล่นลงพื้นก็ไม่เกิดเสียง ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ไหเหล้าเล็กๆ ใบเดียว ไม่ใช่ใต้เท้าอิ่นกวานก่อนหน้านี้
หนิงเหยาดื่มเหล้าแล้วก็เริ่มนั่งเหม่อ
เฉินผิงอันจึงนั่งเหม่อเป็นเพื่อนนาง
หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ ว่า “จะมีเหตุผลหรือไม่ อันที่จริงไม่เกี่ยวกับว่าคนคนหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่เลยสักนิด”
หนิงเหยายื่นมือชี้ไปยังเมือง “ที่นั่น คนเหล่านั้นมีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ดังนั้นขอแค่พวกเขาฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อภายใต้กฎเกณฑ์ ใครก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ พอถึงเวลาลงสนามรบที่อยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง คนประเภทนี้ก็จะยังคงเป็นวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ปราณกระบี่พุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ เจาะทะลวงกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจด้วยความห้าวหาญไร้เทียมทาน ต่อให้เป็นคนที่เคียดแค้นพวกเขาก็จำต้องยอมรับว่า มีหรือไม่มีพวกเขา แตกต่างกันอย่างมาก”
หนิงเหยาแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้า “ข้าเคยไปเยือนหลายสถานที่ของใต้หล้าไพศาล เคยเห็นคนมาหลายรูปแบบ คนบางคนแค่เลือกมาเกิดในครรภ์ที่ดีก็ได้ร่ำรวยมีเกียรติ ไม่ต้องกังวลกับการกินการอยู่ไปชั่วชีวิต ทว่าวันๆ พวกกเขาเอาแต่บ่นว่าชีวิตน่าเบื่อหน่าย บอกว่าตัวเองมีชีวิตยากลำบาก”
นางยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คืนให้เฉินผิงอัน ถามว่า “เรื่องหยุมหยิมพวกนี้น่าเบื่อมาก ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คนอื่นมีชีวิตอยู่อย่างไร ต่างคนต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง อะไรที่ไม่ถูกใจพวกเราก็ไม่ได้หมายความต้องผิดเสมอไป ขอแค่คนที่ไม่ชอบใช้เหตุผลไม่ได้มีชีวิตที่ดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่าจะเป็นยังไงก็ได้”
หนิงเหยาพูดเสียงขุ่น “บังเอิญชะมัด เพราะมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีจริงๆ”
“หา?”
เฉินผิงอันเริ่มตั้งใจขบคิดปัญหาข้อนี้อย่างจริงจัง
หนิงเหยาหันหน้ามามองเฉินผิงอันที่กำลังตั้งใจครุ่นคิดแล้วก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย เจ้าเอาเก็บไปคิดจริงๆ หรือนี่?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “มีเรื่องไม่สบายใจหรือ?”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “มีคนอยากซื้อแท่นสังหารมังกรของที่บ้านข้า ข้าไม่อยากขาย เขาเลยให้ราคาที่สูงเทียมฟ้า อธิบายเหตุผลและหลักการที่ยิ่งใหญ่ พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ในโลกมนุษย์ ไม่ว่าอะไรก็ยกมาพูดหมด พูดจนข้ารำคาญ”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดปลอบใจอะไร เพียงแค่กุมมือของนางไว้เบาๆ
จู่ๆ หนิงเหยาก็หัวเราะ “แต่ว่าพอคิดถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากของเจ้าตอนเด็ก ท้องหิวจนต้องแอบไปร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ในตรอกหนีผิง ข้าก็รู้สึกว่าอันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มมองไปยังทิศไกล สายลมเย็นที่โชยมาปะทะใบหน้าไม่ได้บาดกระดูกคว้านหัวใจเหมือนช่วงแรกเริ่มสุดอีกแล้ว แต่กลับเหมือนสายลมบางๆ ที่พัดผ่านป่าเขาของบ้านเกิดเท่านั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แบบนี้เองหรือ”
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบเชียบ หนิงเหยาเอียงศีรษะซบไหล่ของเฉินผิงอัน หลับฝันหวานอย่างสุขสบายไปจนถึงเช้า
เฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่ขยับ เฝ้านางไว้ตลอดทั้งคืน
เขาเคยอ่านเจอกลอนบทหนึ่งที่น่าประทับใจมาก
มันอยู่บนเทวรูปดินเผาองค์หนึ่งของสุสานเทพเซียนที่บ้านเกิด ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสลักเอาไว้
เฉินผิงอันหวังให้จะเป็นใครก็ได้ ขอแค่ไม่ใช่หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาก็พอ
“นับแต่วัยเยาว์ ข้าอยู่เพียงลำพังเดียวดาย มีแค่แสงดาวเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้าง”