Skip to content

Sword of Coming 278

บทที่ 278 สามศึกของขอบเขตสี่สองคนบนหัวกำแพงเมือง

สิ่งของวางเต็มบนโต๊ะ มองแล้วละลานตา

นี่เป็นทั้งผลเก็บเกี่ยวของเฉินผิงอัน แล้วก็เป็นทั้งยุทธภพของเขา

หินดีงูชั้นเยี่ยมหนึ่งก้อน เฮ้อเสี่ยวเหลียงนักพรตหญิงแห่งสำนักโองการเทพคืนให้เฉินผิงอันตอนอยู่บนเรือคุน และยังมีหินดีงูธรรมดาอีกส่วนหนึ่งที่สีซีดแล้ว

หัวใจบุ๋นสีทองที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีมอบให้ นอกจากนี้ด้านข้างยังวางเศษชิ้นส่วนร่างทองสีเงินและสีทองไว้อีกกองเล็กๆ เศษชิ้นส่วนสีเงินของขุนนางผู้ช่วยฝ่ายบุ๋นและบู๊ แล้วก็มีเศษร่างทองของเทพภูเขาเถื่อนของเมืองแยนจือ

ตราประทับชิ้นหนึ่งที่มาจากฝีมือเทียนซือใหญ่รุ่นหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ ตามคำบอกของเสิ่นเวิน จำเป็นต้องใช้คู่กับวิชาห้าอสนีของลัทธิเต๋าถึงจะสามารถสำแดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ แต่ที่ทำให้เฉินผิงอันจดจำได้แม่นยำที่สุดก็ยังคงเป็นประโยค ‘มีเพียงผู้มีคุณธรรมถึงจะได้ครอบครอง’

เหรียญทองแดงที่กองกันเป็นภูเขาลูกย่อม เงินฝนธัญพืช เงินร้อนน้อย เงินเกล็ดหิมะ

แผ่นไม้ไผ่เล็กๆ หนึ่งกอง มีทั้งที่มาจากไม้ไผ่ธรรมดา แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นไม้ไผ่จากภูเขาชิงเสินที่เหลือมาจากตอนเว่ยป้อสร้างเรือนไม้ไผ่ ด้านบนสลักคำเตือนหรือไม่ก็คำกลอนที่ไพเราะไว้จนเต็ม มีวลีจากอริยะปราชญ์ที่ชุยฉานท่องออกมาเวลาฝึกหมัดกับเขา มีตัวอักษรยันต์ที่หลี่ซีเซิ่งเขียนไว้นอกผนังของเรือนไม้ไผ่ มีที่เฉินผิงอันคัดลอกมาจากบันทึกแห่งภูเขาและแม่น้ำ มีคำพูดที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจซึ่งได้ยินมาจากเรื่องเล่าในยุทธภพ…

มีถ้วยไก่ชนหนึ่งใบที่ซื้อมาจากท่าเรือแคว้นซูสุ่ย ไม่มีมูลค่าอะไร แต่นี่คือค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่เฉินผิงอันยอมควักเงินจ่ายอย่างที่หาได้ยาก

หนวดมังกรสีทองสองเส้นที่ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วมอบให้ รวมถึงชุดคลุมอาคมสีทองชุดหนึ่งที่เจียวเฒ่าตัวการหายนะทิ้งไว้หลังจากตายไป และไข่มุกเก่าแก่ที่เหมือนยาสีเหลืองหนึ่งเม็ด

อ่างล้างพู่กันกระเบื้องขาวหนึ่งใบ ได้มาจากฮูหยินอสรพิษนักฆ่าจากแคว้นกู่อวี๋ สุดท้ายไม่ได้ขายไปตอนอยู่หอชิงฝูก็เพราะเฉินผิงอันชอบตัวอักษรเป็นวงที่มีชีวิตชีวาพวกนั้น

‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ หนึ่งเล่ม ป้ายหยกที่เป็นวัตถุจื่อฉื่อหนึ่งแผ่น ล้วนเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่อยู่นครมังกรเฒ่ามอบให้

คัมภีร์ลัทธิขงจื๊อหนึ่งเล่มที่ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งมอบให้ บันทึกภูเขาและแม่น้ำและผลงานวรรณกรรมที่ได้มาจากจวนเจ้าเมืองแยนจืออีกหลายเล่ม

ตราประทับชิ้นหนึ่งที่สลักคำว่า ‘สงบใจสมปรารถนา’

ตราประทับแม่น้ำหนึ่งชิ้นที่ไม่มีตราประทับภูเขาเคียงคู่ ซึ่งดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด

มันถูกเฉินผิงอันวางไว้ใกล้มือมากที่สุด

แน่นอนว่ายังมีตำราหมัดเขย่าขุนเขาที่อยู่กับเฉินผิงอันมานานที่สุด

หนิงเหยาพลิกๆ หยิบๆ สำรวจไปทีละชิ้น สุดท้ายถึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ให้ข้าทั้งหมดเลยหรือ? ไม่คิดจะเก็บไว้เป็นเงินส่วนตัวหน่อยรึ?”

ในใจหนิงเหยาหงุดหงิดตัวเองเล็กน้อย

แค่เงินส่วนตัวจะนับเป็นอะไรได้ วันหน้าเวลาพูดคุยกับเฉินผิงอันจะใจจืดใจดำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว

จำไว้ว่านี่ไม่ใช่การฝึกตนบนวิถีกระบี่

เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันสัมผัสไม่ได้ถึงความนัยลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของหนิงเหยา เขาชี้ไปที่ของหลายชิ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนี้ เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่ของข้า ข้าแค่ช่วยเก็บรักษาไว้ให้กู้ช่านเท่านั้น ตราประทับที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้าก็ไม่ได้เหมือนกัน และยังมีตราประทับเทียนซือของเทพอภิบาลเมืองชิ้นนั้นที่ข้าคิดว่ามอบให้เจ้าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ ของชิ้นอื่นๆ หากเจ้าต้องการก็เอาไปเถอะ”

หนิงเหยาเบ้ปาก “ไม่เห็นจะอยากได้ เจ้าเก็บไว้เถอะ”

เฉินผิงอันตบศีรษะตัวเอง ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘เจียงหู’ ที่อยู่ตรงเอวตัวเองออกมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นค่อยดึงยันต์ที่ผีสาวโครงกระดูกไปพักผิงออกมาจากกล่องกระบี่ พูดอธิบายว่า “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ ข้าได้มาเป็นของแถมตอนที่ซื้อภูเขาหลายลูกพวกนั้น เว่ยป้อช่วยขอจากต้าหลีมาให้ข้า ในยันต์แผ่นนี้มีผีสาวตนหนึ่งที่ดุร้ายมาก ภายใต้ความช่วยเหลือจากเกาะกุ้ยฮวา นางจึงลงนามในสัญญากับข้าหกสิบปี ตอนนี้อาศัยอยู่ในกล่องกระบี่ กุ้ยฮูหยินบอกว่านี่ก็คือเรือนไหว เมื่อพวกวัตถุหยินมาอาศัยอยู่ภายในจะสามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ช่วยให้ตบะเพิ่มพูน น่าจะเป็นเหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสำหรับพวกมันกระมัง”

หนิงเหยาถาม “ผีสาวโครงกระดูก สวยไหม?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็งั้นๆ แหละ ไม่สวยเหมือนผีชุดเจ้าสาวของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และผีชุดเจ้าสาวก็สวยสู้เจ้าไม่ได้”

หนิงเหยาพูดอย่างดุดัน “เฉินผิงอัน เจ้ากลายมาเป็นคนกะล่อนแบบนี้เพราะเลียนแบบมาจากอาเหลียงใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “เปล่าสักหน่อย นี่เป็นคำพูดจากใจของข้า คำพูดที่น่าฟังกับคำพูดที่กะล่อนปลิ้นปล้อนก็ไม่เหมือนกันสักหน่อย”

หนิงเหยาหัวเราะคิก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยไปหลอกให้แม่นางหลายคนหลงรักด้วยใช่หรือเปล่า?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หนิงเหยาก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หันหน้ามองเฉินผิงอันที่ตัวสูงขึ้นเยอะมาก และผิวก็ขาวขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะห่อเหี่ยวนิดๆ “ตอนนี้ข้าไม่สามารถตบเฉินผิงอันห้าร้อยคนด้วยฝ่ามือเดียวได้อีกแล้ว เจ้าเดินทางมาเกินครึ่งของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ไม่แน่ว่าแม่นางในสถานที่เล็กๆ มากมายหลายแห่งอาจจะมองเจ้าเป็นเทพเซียน แล้วก็ชอบเจ้า”

เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่มีแม่นางคนไหนชอบข้าหรอก ตลอดทางที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่พวกศัตรูคู่แค้นที่เข่นฆ่ากันก็เป็นพวกคนที่ได้พบกันเพียงผิวเผิน”

กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะเช่นกัน เขาใช้นิ้วจิ้มไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ “ตอนนั้นที่ออกจากบ้านเกิด ข้าโดยสารเรือคุนลำหนึ่งของภูเขาต่าเจี้ยวจากกุรุทวีป อยู่บนเรือเจอกับพี่น้องคู่หนึ่ง คนหนึ่งชื่อชุนสุ่ย อีกคนชื่อชิวสือ อายุพอๆ กับข้า ภายหลังเรือคุนร่วงจากฟ้า คงไม่ได้พบพวกนางอีกแล้วกระมัง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองอ่างล้างพู่กันที่ไม่สะดุดตาใบนั้น

เขาอยู่ห่างจากมันแค่หนึ่งฉื่อกว่า

แต่อยู่ห่างไกลกับพวกนางยิ่งนัก

หนิงเหยาไม่เพียงแต่ไม่คิดว่าเฉินผิงอันเกิดใจโลเล กลับกันยังเอ่ยปลอบใจเขาเบาๆ ด้วยว่า “การจากลาชั่วนิรันดร์ ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้”

นางยังคงเอาแก้มข้างหนึ่งแนบผิวโต๊ะ “คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่ลงสนามรบ ทุกครั้งจะต้องมีคนตายเยอะมาก บางคนเจ้าไม่รู้จัก บางคนเจ้ารู้จัก เจ้าไม่ทันมีเวลาได้เสียใจ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่ตายอาจเป็นตัวเจ้าเอง มีเพียงรอให้ศึกใหญ่ปิดฉากลง คนที่มีชีวิตรอดถึงจะมีเวลาให้เสียใจ แต่จะเสียใจมากก็ไม่ได้ เพราะสำหรับทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว อย่างมากก็ได้แค่ส่งพวกเขาเหล่านั้นด้วยเหล้าจอกหนึ่งอยู่ไกลๆ ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้”

สายตาของหนิงเหยาลึกล้ำ ทั้งมืดทั้งเย็นเหมือนบ่อโซ่เหล็กที่บ้านเกิดของเฉินผิงอัน “ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่ดื่มเหล้าลืมทุกข์ในร้าน แล้วข้าเล่าเรื่องเล็กเรื่องนั้นให้เจ้าฟัง เวลาข้าดื่มเหล้าอำลากับสหายก็จะมีคนชอบเอาเรื่องของพ่อแม่ข้ามาพูดเหน็บแนม เจ้าถามว่าข้าโกรธหรือไม่ ข้าต้องโกรธแน่อยู่แล้ว แต่ไม่ได้มากมายอย่างที่คนนอกคิด เพราะอะไร? เจ้ารู้ไหม?”

เฉินผิงอันที่นอนฟุบจ้องมองนางเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ

หนิงเหยาให้คำตอบ “เพราะสักวันหนึ่งคนที่พูดจาระคายหูผู้นั้นก็ต้องตายบนสนามรบ อีกทั้งเขายังต้องกระโจนเข้าหาความตายอย่างไม่เกรงกลัวเหมือนกับที่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นของเขาทำ พอคิดถึงข้อนี้ ข้าก็รู้สึกว่าไม่เห็นต้องโกรธให้มากมาย แค่คำพูดไม่กี่คำที่บางเบาล่องลอย ยังหนักได้ไม่เท่าปราณกระบี่บนร่างด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าวันใดข้าอาจจะต้องสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนพวกนี้ อาจจะเป็นใครที่ช่วยใคร หรือไม่ก็เป็นใครที่ได้แต่มองใครตายไปต่อหน้าต่อตา”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นลุกขึ้นนั่งตัวตรง แล้วส่ายหน้า “แม่นางหนิง เจ้าคิดแบบนี้…”

หนิงเหยากลอกตา “ข้าไม่อยากฟังหลักการอะไรทั้งนั้น ห้ามพูดให้ข้ารำคาญ”

หลักการของคนอื่น นางจะไม่ฟังก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษหรือผู้อาวุโสในตระกูล เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าบนหัวกำแพง อาเหลียงที่เคยมาส่งตนออกจากภูเขาห้อยหัว หรือสหายวัยเดียวกันที่อยู่ข้างกาย แต่หากเฉินผิงอันเป็นคนพูด นางก็ได้ต้องทนฟังเขาให้รำคาญหูเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นไม่สู้ห้ามไม่ให้เขาพูดตั้งแต่แรกเลยยังดีกว่า

เฉินผิงอันอ้อรับหนึ่งที ฟุบตัวลงบนโต๊ะต่ออีกครั้ง แล้วก็ไม่พูดหลักการที่ยากนักกว่าตนจะอ่านเจอมาจากหนังสือตามที่หนิงเหยาต้องการจริงๆ

หนิงเหยาพลันลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง “เจ้าจะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันจึงยืดตัวขึ้นตรงตาม พยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสที่สอนวิชาหมัดข้าบอกว่า ขอแค่ขึ้นไปบนหัวกำแพงก็จะช่วยหล่อหลอมจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ ขอแค่ไม่ตายอยู่ที่นั่นก็จะได้ผลประโยชน์มหาศาล อีกอย่างไม่รู้ว่าทำไม หลังจากคราวก่อนที่ดื่มเหล้าลืมทุกข์กับคู่สามีภรรยา ข้าถึงได้มีความรู้สึกลวงตาว่าหากจะให้ขอบเขตสี่ในเวลานี้เลื่อนเป็นขอบเขตหกก็เหมือนน้ำมาคลองเสร็จ ขอแค่ข้าอยากเลื่อนขั้นก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่แน่นอนว่าข้าไม่ได้โง่ถึงขนาดปล่อยให้ตัวเองฝ่าทะลุขอบเขตไปรวดเดียวแบบนั้น เพราะหากก้าวหนึ่งเดินได้ไม่มั่นคง วันหน้าก็อย่าได้หวัง แต่ข้ามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า เมื่อดื่มสุราเลิศรสของพื้นที่มงคลหวงเหลียงไปแล้ว วันหน้าก่อนที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด สี่ถึงห้าและห้าถึงหก การฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้งนี้จะต้องง่ายดายอย่างมาก”

หนิงเหยาหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นมาแกว่งเล่น ขนตาของนางกระพือเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องขอบคุณพวกเขาที่อุตส่าห์มอบโชควาสนาครั้งนี้ให้ให้ดีล่ะ”

เฉินผิงอันพยักหน้า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ดังนั้นไปกำแพงเมืองปราณกระบี่คราวนี้ ข้าก็อยากจะลองดูว่าจะได้พบกับพวกเขาอีกครั้งหรือไม่”

หนิงเหยาคิดแล้วก็ไม่พูดอะไรให้มากความ

เฉินผิงอันรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย “แต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ถูกคนจับไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้ารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย ข้ากลัวว่าแม้แต่จะยืนก็คงยืนไม่อยู่ แล้วจะขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้อย่างไร?”

หนิงเหยาอธิบาย “อันที่จริงก็ไม่ได้น่ากลัวมากอย่างที่เจ้าคิด เดิมทีบนหัวกำแพงก็คือจุดที่ปราณกระบี่รุนแรงมากที่สุด หากเจ้าเดินเข้าด่านจากภูเขาห้อยหัว ค่อยๆ เดินทีละก้าวไปบนหัวกำแพง ปรับตัวไปตามลำดับช้าๆ ก็คงจะรู้สึกดีขึ้นมาก กำแพงเมืองปราณกระบี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับฟ้านอกฟ้าของใต้หล้ามืดสลัว เป็นสถานที่ที่ไร้กฎเกณฑ์ แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามบินทะยานก็ไม่ถูกห้ามไม่ให้บิน ใครก็ไม่สนใจว่าพวกเราจะเป็นหรือตาย แม้แต่วิถีสวรรค์ก็ยังไม่สนใจที่แห่งนี้ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นหลายคนจึงชอบมาฝึกประสบการณ์ มาร่วมสงครามของที่นี่ กลุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่เจ้าเห็นเหนือท้องฟ้าของถ้ำสวรรค์หลีจูคราวก่อนก็คือผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีป ครั้งนี้มีพวกเขามาช่วยรบ ภายนอกมองดูเหมือนการโจมตีสามครั้งของเผ่าปีศาจล้วนต้องกลับไปมือเปล่า ต้องทิ้งศพหลายหมื่นไว้ใต้กำแพง และทั้งหมดนั้นล้วนกลายมาเป็นต้นทุนให้พวกเราซื้อทรัพยากรจากเรือนข้ามฟากภูเขาห้อยหัว แต่ข้ากลับคิดว่าไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เชื่อว่าท่านปู่เฉินที่จับเจ้าไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ และอริยะอีกสองท่านที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ยิ่งต้องมองออก”

หนิงเหยาคลี่ยิ้ม “ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตยิ่งสูงเท่าไหร่ โดยเฉพาะห้าขอบเขตบน ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ เมื่อเข้าไปในถิ่นของคนอื่นก็ยิ่งรู้สึกไม่คุ้นชินมากเท่านั้น นี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้พื้นที่หนึ่งซึ่งอริยะเป็นผู้พิทักษ์เกิดสภาวะที่ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ยกตัวอย่างเช่นลู่เฉินเจ้าลัทธิเต๋าแห่งใต้หล้ามืดสลัวที่ก่อนหน้านี้ไปเยือนใต้หล้าไพศาล ขอบเขตที่สูงที่สุดของเขาน่าจะใช้ได้แค่ขอบเขตสิบสาม นี่คือกฎที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้เมื่อแรกเริ่ม และหากอริยะลัทธิขงจื๊อเข้าไปยังใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเหมือนกัน ระหว่างอริยะด้วยกัน แม้จะมีการช่วงชิงบนมหามรรคา แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่เคารพซึ่งกันและกัน พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ในบรรดาเผ่าปีศาจก็มีบุคคลที่ควรค่าให้ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราเคารพนับถืออยู่เช่นกัน ต่อให้พวกมันจะเป็นศัตรูที่ต้องฆ่าให้ตายยามอยู่บนสนามรบก็ตาม และในเผ่าปีศาจก็มีปีศาจใหญ่มากมายที่เคารพเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจของทางฝั่งพวกเราเช่นเดียวกัน”

“ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อย่างเช่นเจ้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ และยังมีผู้ฝึกลมปราณจากเมธีร้อยสำนัก เมื่อมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา ต่างก็รู้สึกต้องอึดอัดทรมาน เพราะการไปอยู่ที่นั่นอาจเป็นโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้า หรืออาจจะถูกปณิธานกระบี่ของที่นั่นทำลายรากฐานมหามรรคาลงอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้ มีตัวอย่างอยู่สองกรณี หนึ่งคือในประวัติศาสตร์มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งของกุรุทวีปที่ได้เดินทีละก้าวจนเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินอยู่ที่นี่ แล้วก็มีคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินของทวีปฝูเหยา เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถหาโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตได้จากที่นี่ กลับกันคือลำดับยังถดถอยไปเป็นขอบเขตก่อกำเนิดด้วย”

จู่ๆ เฉินผิงอันก็พูดขึ้นมาว่า “อาเหลียงสอนวิธีโคจรลมปราณสิบแปดหยุดให้ข้า”

หนิงเหยาตะลึงไปชั่วขณะ “หมอนั่นดีต่อเจ้าไม่น้อยเลย ทางฝั่งของพวกเรามีแค่ผู้ฝึกกระบี่ที่สร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้รับการถ่ายทอดวิธีโคจรลมปราณนี้มาจากคนบางคน และแทบทุกคนที่ได้รับการสืบทอดล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจมากที่สุด หรือไม่ก็เป็นผู้สืบทอดของตระกูล แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก สิบแปดหยุดให้ความรู้สึกเหมือนพิธีกรรมอย่างหนึ่งมากกว่า เหมือนเป็นการบอกให้รู้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีเด็กรุ่นหลังคอยสืบทอดปณิธานกระบี่ของเซียนกระบี่ยุคบรรพกาลรุ่นแรกสุดอยู่เสมอ อันที่จริงตัวสิบแปดหยุดเองไม่ถือว่าเป็นคาถากระบี่ที่สูงส่งเท่าใดนัก”

“ตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ในเมืองทางทิศเหนือ ทุกตระกูลจะต้องมีวิชากระบี่ชั้นเยี่ยมที่แท้จริงอยู่ วิชากระบี่ของตระกูลเฉินสามารถเพิ่มกระดูก วิชากระบี่ตระกูลต่งสามารถชะล้างไขกระดูก ตระกูลฉีเชี่ยวชาญการหล่อหลอมวิญญาณ ตระกูลหนิงขัดเกลาความคมของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ส่วนตระกูลเหยาให้ความสำคัญกับความจริงเท็จของปราณกระบี่ วิชากระบี่ของตระกูลน่าหลันเน้นการชดเชยกันและกันระหว่างปราณกับปณิธานกระบี่ เหล่านี้ล้วนเป็นวิชาที่ดีเยี่ยมอย่างที่ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าไม่อาจจินตนาการได้ถึง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเจ้าเรียนสิบแปดหยุดไปแล้ว เจ้าไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะปรับตัวได้เร็วขึ้น นี่คือเรื่องดี”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง

หนิงเหยาถามชวนคุย “คำนวณตามเวลาแล้ว เจ้าน่าจะเรียนมาเกือบสองปีแล้วกระมัง? ฝึกสิบแปดหยุดได้ถึงหยุดที่เท่าไหร่แล้ว? สิบห้าหยุด สิบหกหยุด? อย่างน้อยก็น่าจะผ่านสิบสองหยุดมาแล้วกระมัง หลังจากสิบสองหยุดมาก็จะไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว เพราะแต่ละหยุดจะค่อนข้างข้ามผ่านไปได้ยาก ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่คนที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากจะฝึกได้ช้าหน่อยก็ปกติมาก สหายข้างกายข้า เจ้าอ้วนใช้เวลาแปดเดือนถึงจะฝึกครบสิบแปดหยุด เสี่ยวต่งมีพรสวรรค์ดีกว่าเล็กน้อย แค่ครึ่งปีก็ผ่านได้ครบแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ประมาณเก้าเดือนถึงหนึ่งปี แต่พี่สาวของเสี่ยวต่งค่อนข้างจะร้ายกาจ นางใช้เวลาแค่สามเดือนเท่านั้น เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ตระกูลต่งปกปิดเอาไว้ ไม่ยอมเปิดเผยความจริงข้อนี้แก่คนนอก คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าที่ฝึกสิบแปดหยุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้สำเร็จมีประมาณสามสิบคน ดังนั้นคนในรุ่นของพวกเราจึงถูกมองว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดตลอดสามพันปีที่ผ่านมาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เหล่าผู้อาวุโสต่างก็พูดว่า ขอแค่ให้เวลาพวกเราอีกสักห้าสิบหกสิบปี หนึ่งพันปีหลังจากนั้น เผ่าปีศาจจะไม่มีทางได้เห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย”

สีหน้าเฉินผิงอันอึ้งค้าง

เขาลำบากยากเข็ญกว่าจะแข็งใจฝ่าธรณีประตูของเจ็ดหยุดไปได้ การที่จะเดินไปถึงช่องโพรงลมปราณที่สิบสองในรวดเดียว จากนั้นให้เริ่มใช้หิมะผนึกภูเขา ฟ้าผ่าก็ไม่สั่นคลอน กลับยิ่งทำให้รู้สึกว่าความหวังเลือนรางเหลือเกิน

หนิงเหยาเห็นสีหน้าของเฉินผิงอันแล้วก็หยุดพูด “ถ้าอย่างนั้นคงไม่ต้องพูดถึงข้าแล้ว”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ของเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่?”

หนิงเหยาหัวเราะไม่จริงใจ “หึหึ”

เฉินผิงอันยังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ “หึหึน่ะเท่าไหร่?”

หนิงเหยาอดกลั้นอยู่นาน เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีจะถอดใจยอมแพ้จึงได้แต่ตอบไปตามตรงว่า “ก็นานแค่ ‘หึหึ’ นี่แหละ ข้าเพิ่งจะฟังคาถาสิบแปดหยุดเสร็จก็ทำสำเร็จทันทีเลย”

เฉินผิงอันถอนหายใจดังเฮ้อหนึ่งที รับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าเงียบๆ หนึ่งอึก “ตอนนั้นเรียนวิชาเขย่าขุนเขา เรียนวิชาหมัดเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เรียนสิบแปดหยุด ฝึกกระบี่ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าคงไล่ตามเจ้าไม่ทันแล้วใช่ไหม แล้วจะกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ได้อย่างไร…”

แต่ยังไม่ทันรอให้หนิงเหยาได้เอ่ยอะไร เฉินผิงอันก็คิดตกด้วยตัวเองเสียก่อน “แต่ไม่เป็นไร ข้าวยังต้องกินไปทีละคำ คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็เป็นข้อดีของคนอื่นเขา แค่ตัวเองรู้ว่าตัวเองจะดีขึ้นเรื่อยๆ ก็พอแล้ว ต่อให้ช้าไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้รับปากเจ้าว่าจะฝึกหมัดให้ครบหนึ่งล้านครั้ง ตอนนั้นแม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่กล้าคิดว่าชีวิตนี้จะทำได้สำเร็จ ผลกลับกลายเป็นว่าแปบเดียวก็เหลืออีกแค่สองหมื่นหมัดแล้ว วันหน้าจะเป็นอย่างไร ใครจะรู้ได้”

หนิงเหยาถาม “คนอื่น?!”

เฉินผิงอันที่พูดผิดมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ได้แต่หัวเราะแห้งๆ

หนิงเหยาคิดแล้วก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้เร็วหน่อยดีไหม?”

เฉินผิงอันปลดแผ่นหยกที่อยู่ตรงเอวลงมา กล่าวอย่างลังเลใจว่า “แต่ข้าน่าจะผ่านด่านได้ก็ต่อเมื่อถึงยามจื่อของวันพรุ่งนี้”

หนิงเหยากลับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วฉับไว “เจ้าเก็บของซะ ข้าจะพาเจ้าไป เจียวหลงเจินจวินอะไรนั่นบอกเองไม่ใช่หรือว่ามีเรื่องอะไรให้ไปหาพวกเขา ภูเขาห้อยหัวเป็นคนพูดเองก็ไม่ควรจะผิดคำพูด ไปกันเถอะ”

ที่ภูเขาห้อยหัวไม่มีอะไรให้เฉินผิงอันต้องเป็นพะวงอยู่แล้ว คิดว่าไปฝึกหมัดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน จึงเก็บของทั้งหมดที่วางบนโต๊ะใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ ตอนที่หนิงเหยาได้เห็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้อีกครั้ง นางเอ่ยเตือนว่า “เป็นทั้งกระบี่บิน แล้วก็เป็นทั้งวัตถุฟางชุ่น หาได้ยากมาก ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี”

ของที่ขนาดหนิงเหยายังรู้สึกว่า ‘หาได้ยาก’ นั่นแสดงว่าต้องมีมูลค่าควรเมืองที่ไม่ธรรมดา เฉินผิงอันจึงพยักหน้ารับและจดจำเอาไว้

เฉินผิงอันไปบอกให้จินซู่รู้ก่อนว่าจะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ล่วงหน้า

แม่นางกุ้ยฮวาผู้นั้นยืนอยู่หน้าประตูห้องตัวเองด้วยความคิดที่ประเดประดังเข้าหา สุดท้ายนางยิ้มบางๆ กล่าวอำลาเฉินผิงอันและแม่นางหนิง

ออกจากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่อยู่ทางแถบท่าเรือจัวฟ่าง หนิงเหยาก็พาเฉินผิงอันไปที่ภูเขาเดียวดาย ผลคือพอนักพรตเด็กที่ครอบครองเก้าอี้ลำดับสองของภูเขาห้อยหัวได้อย่างมั่นคงชำเลืองตามาเห็นป้ายหยกผ่านด่านที่ไม่ถูกกฎของเด็กหนุ่ม แล้วหันมามองนังหนูที่มีสีหน้าท่าทางปกติราวกับว่าสิ่งที่ตนทำอยู่สมเหตุสมผล นักพรตน้อยก็โมโหจนกระโดดผางขึ้นมาจากเบาะนั่งอีกครั้ง ยังดีที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเอ่ยอธิบายเสียก่อน “ท่านเซียนผู้นี้ ก่อนหน้านั้นพวกเราเจอกับเจียวหลงเจินจวินที่หอเหลยเจ๋อ เขาบอกกับแม่นางหนิงว่า อาจารย์ของท่านผู้อาวุโสเฒ่าได้กำชับมาแล้วว่าสามารถให้แม่นางหนิงเป็นกรณียกเว้น หากท่านเซียนไม่วางใจก็ไปปรึกษากับเจินจวินผู้เฒ่าได้ หากไม่ได้จริงๆ คืนพรุ่งนี้ข้าค่อยมาที่ประตูนี้ใหม่ก็ได้”

นักพรตน้อยชำเลืองหางตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเป็นใคร คนรักของแม่นางน้อยคนนี้รึ?”

เฉินผิงอันไม่พูด แค่กะพริบตาปริบๆ ทำตัวแสร้งโง่ใส่นักพรตน้อย

นักพรตน้อยพูดคุยกับเจียวหลงเจินจวินซึ่งหากนับตามศักดิ์แล้วถือเป็นศิษย์หลานของเขาผ่านทางจิต จากนั้นก็มองประเมินทั้งหนิงเหยาและเฉินผิงอันอีกครั้ง “พวกเจ้าสามารถผ่านด่านไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แล้ว”

ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว นักพรตน้อยจึงไม่สร้างความลำบากใจให้คนทั้งสองอีก เขานั่งแปะกลับลงไปบนเบาะ และคงรู้สึกว่าแม่นางน้อยน่าโมโหเกินไป จึงทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง กางแขนกางขา นอนอ้าซ่าอยู่บนเบาะ จากนั้นก็เปิดตำราของลัทธิเต๋าแล้วเอามาวางปิดหน้าตัวเอง สายตามองไม่เห็น จิตใจจะได้ไม่ขุ่นเคือง

หนิงเหยายื่นมือมาจับมือของเฉินผิงอันพลางพูดเบาๆ “จำไว้ว่า หลังข้ามเข้าไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว การถูกน้ำทะเลปราณกระบี่กรอกเทเข้ามาในช่องโพรงลมปราณคือเรื่องปกติ เจ้าจะร้อนรนไม่ได้ ยิ่งร้อนใจลมปราณก็ยิ่งยุ่งเหยิง มีแต่จะทำให้แย่ยิ่งขึ้นไปอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว จะคิดว่าข้ากำลังปั้นดินขึ้นรูป ขอแค่จิตใจมั่นคง ทุกอย่างก็มั่นคงตามไปด้วย”

หนิงเหยากลอกตา “คนบ้านนอก!”

เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมมือของนาง

หนิงเหยาสาวเท้าเร็วๆ ลากเฉินผิงอันก้าวเข้าไปในประตูกระจกอย่างรีบร้อน

ชายฉกรรจ์กอดดาบที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้าจุ๊ปากพูด “เด็กหนุ่มของที่นั่นคงมีคนบ้าคลั่งกันไม่น้อย สิ่งที่เจ้าเด็กโง่คนนี้จะได้รับหลังจากนี้ เกรงว่าคงไม่ดีไปกว่าเผ่าปีศาจสักเท่าไหร่”

นักพรตน้อยที่ใบหน้าถูกปิดทับด้วยหนังสือกล่าวอย่างอัดอั้น “แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยชอบนิสัยเอาแต่ใจของนังหนูนั่นสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่านางถูกเด็กโง่คนหนึ่งหลอกก็อดสงสารไม่ได้ หนึ่งฟ้าหนึ่งดิน สองคนนี้จะมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่การจับคู่ยวนยางส่งเดชหรอกหรือ ใครเป็นคนผูกด้ายแดง? แสดงตัวออกมาเลย ข้าจะแทงให้เจ้าเฒ่าจันทราเฮงซวยผู้นี้ตายซะเลย อืม ไม่สิ เอาแค่กึ่งตายก็พอ อีกครึ่งชีวิตที่เหลือจะได้เอาไว้ให้ข้าด่าจนตาย”

บนยอดหอสูงของภูเขาเดียวดาย หนึ่งในสามกระดิ่งตรีวิสุทธิ์ส่งเสียงดังติ๊ง เพียงแต่ว่าเบามากจนแทบไม่ได้ยิน ไม่ได้ดังก้องไปทั่วทั้งภูเขาห้อยหัวเพื่อป่าวประกาศให้ผู้คนใต้หล้ารับรู้

จากนั้นลมปราณขุมหนึ่งก็พุ่งผ่านสมองของนักพรตน้อยเข้าไปยังตำรา แล้วหนังสือเล่มนั้นก็เหมือนมีจิตวิญญาณเข้าสิง จึงประกบเข้าหากันดังเพี๊ยะ จากนั้นก็ตบซ้ายตบขวาลงบนใบหน้าของนักพรตน้อย เกิดเป็นเสียงดังกังวาน

นักพรตน้อยที่ไม่ทันได้หลบเลี่ยงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แล้วก็พลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง รีบกุมหัวร้องวิงวอน “อาจารย์อา ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…”

……

พอก้าวเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หัวใจของหนิงเหยาหดเกร็ง แต่ไม่นานก็ปล่อยวางได้

ที่แท้หลังจากนางพาเฉินผิงอันข้ามผ่านกระจกฝั่งของภูเขาห้อยหัวมา ก็ไม่ได้ปรากฏตัวใกล้กับบริเวณหน้าประตูใหญ่ที่มีผู้เฒ่าน่าหลันและนักพรตหญิงซือเตาเฝ้าอยู่ แต่ตรงมาที่หัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยตรง ข้ามผ่านระยะทางยาวไกลสองช่วงที่ต้องลอดผ่านตัวเมืองและช่วงเดินขึ้นหัวกำแพงเมืองมาแล้ว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าเฉินผิงอันคงต้องทรมานมากเป็นแน่

แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คาด

เฉินผิงอันที่มาเยือนหัวกำแพงเมืองกะทันหันใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้าเขียว สุดท้ายคือสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

ทว่าสายตาของเฉินผิงอันกลับยังคงใสกระจ่างดุจน้ำในบ่อโบราณที่ไร้คลื่นกระเพื่อม

คราวก่อนหน้านั้นกะทันหันเกินไป คราวนี้พอจะเตรียมใจมาก่อนบ้างแล้ว ต่อให้เดินขึ้นฟ้าแค่ก้าวเดียว มาถึงหัวกำแพงที่ปราณกระบี่เข้มข้นรุนแรงที่สุดโดยตรง แต่เฉินผิงอันก็เคยชินกับการทนรับความยากลำบากมานานแล้ว ครั้งนี้ก็แค่เหมือนกลับไปบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่เท่านั้น ขอแค่ไม่ตายคาที่ จิตใจของเฉินผิงอันก็เป็นเหมือนเสาผูกม้า เหมือนเสาหินที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำ

บริเวณใกล้เคียงหัวกำแพงช่วงที่คนทั้งสองยืนอยู่นี้ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ที่เดินลาดตระเวนหรือกำลังขัดเกลาวิถีกระบี่

ผู้เฒ่าหลังค่อมผอมบางผู้หนึ่งเดินหนึ่งก้าวจากตำแหน่งเดิมของตัวเองมาถึงที่แห่งนี้ เขายิ้มมองหนิงเหยา หนิงเหยาจึงหน้าแดงเล็กน้อย

ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม เอาสองมือไพล่หลัง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมองตัวตนของเด็กหนุ่มจากต้าหลีออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่วันนี้เขาก็ยังปั่นหัวเฉินผิงอันอีกรอบ เขาพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นอย่างนี้จริงด้วย”

จากนั้นผู้เฒ่าก็พึมพำด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ต่อให้อาเหลียงอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยปี จิตวิญญาณบัณฑิตเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่บนร่างนั่นก็ยังถูกขัดเกลาไม่เอี่ยม หาไม่แล้วพอได้กระบี่เล่มนั้นมา ฝีมือของเขากับเต๋าเหล่าเอ้อร์ก็ต้องสูสีกันครึ่งต่อครึ่งแล้ว แต่นี่กลับยอมสละทรัพย์สินของตัวเอง อยู่ฟ้านอกฟ้าใช้แค่หมัดอย่างเดียว นี่จะมีความหมายอะไร มีอย่างที่ไหนเป็นผู้ฝึกกระบี่แต่ดันไม่มีกระบี่ นักพรตคนหนึ่งก็ดันทำตัวเหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว…แต่จะว่าไปแล้วด้วยนิสัยของนาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมติดตามอาเหลียง…แต่มาเลือกเด็กหนุ่มที่ธรรมดาคนนี้ก็มองดูไม่มีเหตุผลเหมือนกัน หรือว่าเป็นการดิ้นรนก่อนตาย เพราะไม่อยากสาบสูญไปจากฟ้าดินแห่งนี้? ไม่ถูกสิ ด้วยนิสัยของนางต้องไม่ได้คิดแบบนี้แน่ นางหยิ่งทระนงในตัวเองจะตาย ก็คล้าย…พูดอย่างนี้ไม่ถูก ต้องพูดว่าเหมือนนางสุดๆ ถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นใครกันที่เป็นคนโน้มน้าวนางได้สำเร็จ? ฉีจิ้งชุนสายของเหวินเซิ่ง? ฉีจิ้งชุนเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ความรู้เขาน่าจะสูงมากก็จริง แต่เดิมทีเขากับนางก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน ตามหลักแล้วน่าจะโน้มน้าวนางไม่ได้…แปลกใจจริง…”

แม้ว่าผู้เฒ่าแซ่เฉินคนนี้จะอยู่ใกล้กับหนิงเหยาในระยะประชิด อีกทั้งผู้เฒ่ายังไม่ได้พูดในใจ แต่เอ่ยออกมายาวเหยียด ทว่าหนิงเหยากลับไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าคิดไม่ออกเลยไม่คิดให้มากความอีก

เรื่องราวในใต้หล้ามีมากมายเกินไป ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวย่อมไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ

แล้วนี่แม่งยังไม่ใช่แค่เรื่องของใต้หล้าแห่งเดียวด้วย

เซียนกระบี่ผู้เฒ่ารู้สึกว่าต้องคิดเรื่องที่สามารถทำให้ตัวเองดีใจได้สักหน่อย ดังนั้นจึงหันไปมองแม่นางน้อยหนิงเหยาด้วยรอยยิ้ม แม่นางคนนี้ดีมากจริงๆ

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่รุ่นนี้มีพรสวรรค์โดดเด่น เป็นภาพปรากฏการณ์ไม่เคยมีมาตลอดสามพันปีที่ผ่านมา

ตัวนางเองได้เริ่มฉายแววว่าจะเป็นไม้สูงที่เด่นเกินไพรแล้ว

ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่สลักอักษรลงบนกำแพงเมืองเกินหนึ่งตัวท่านนี้ก็ยังคาดหวังอยากจะเห็นวันที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนางออกจากเตามาเผยกายบนโลก

ก่อนหน้านั้นตอนที่เดินทางไกลมีครั้งหนึ่งหนิงเหยาเกือบจะเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใด เป็นเหตุให้เกิดภาพปรากฎการณ์ที่ผิดปกติ เนื่องจากการดำรงอยู่ของค่ายกลลับบางอย่างในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้มีฟ้าดินขนาดเล็กหนึ่งแห่งและสองใต้หล้าใหญ่กั้นขวาง เขากับพวกตาเฒ่าหลายคนบนหัวกำแพงก็ยังสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คนที่นิสัยเจ้าอารมณ์ที่สุดเกือบจะแหกกฎบุกเข้าไปในใต้หล้าไพศาลอยู่รอมร่อ

ยังดีที่นังหนูคนนี้รั้งม้าตรงหน้าผาได้ทันเวลา (เปรียบเปรยว่ากลับตัวกลับใจได้ทันเวลา) ถึงไม่ได้ทำลายรากฐานมหามรรคาของตัวเอง

หนิงเหยาถามเบาๆ “ท่านปู่เฉิน เขาคงไม่เป็นอะไรกระมัง?”

เผชิญหน้ากับหนิงเหยา เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มกลับไม่เคยตระหนี่รอยยิ้ม เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากเกิดเรื่องอะไรกับเขา เกรงว่าคงต้องเกิดเรื่องกับปู่เฉินด้วยกระมัง?”

หนิงเหยาถลึงตาใส่ผู้เฒ่าหนึ่งที

ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ในที่สุดก็มีท่าทางของเด็กสาวบ้างแล้ว ดูท่าคงเป็นความดีความชอบของเจ้าเด็กต่างถิ่นผู้นี้สินะ”

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าไม่พูดแซวแม่นางน้อยอีกต่อไป “รากฐานวิถีวรยุทธ์ของเจ้าเด็กนี่ปูมาดีมาก จิตใจก็มั่นคง ไม่เลวๆ ต้องผ่านไปได้แน่ วางใจเถอะ ช่วงเวลานี้ให้เขาทนปรับตัวอยู่บนหัวกำแพงนี่แหละ ตอนนั้นเฉาสือเพื่อนบ้านน้อยของข้าก็ค่อยๆ เดินไปทีละก้าวแบบนี้เหมือนกัน อย่าได้พาเขาไปตัวเมืองทางทิศเหนือเด็ดขาด มีแต่บรรยากาศเสื่อมทรามเต็มไปด้วยพิษร้าย ต่อให้เป็นต้นกล้าที่ดีแค่ไหนก็ล้วนถูกทำลายได้หมด”

ผู้เฒ่ากล่าวจบก็หมุนตัวกลับ เดินไปข้างหน้าช้าๆ คราวนี้ไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารย่อพื้นที่อีก

ผู้เฒ่าเฝ้าหัวกำแพงเงียบๆ มาอย่างนี้

ไม่รู้ว่ากี่พันปีแล้ว

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้เวลาห้าชั่วยามถึงจะเริ่มขยับเท้าได้อย่างเชื่องช้า

แล้วก็ผ่านไปอีกห้าชั่วยาม เขาถึงเริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวได้ ท่าเดินค่อนข้างจะติดขัดเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งหัดเรียนวิชาหมัดครั้งแรก

ทุกวันหนิงเหยาจะต้องมาที่นี่หลายรอบ ไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็จะกลับไปยังตระกูลที่อยู่ในเมืองทางทิศเหนือ

การเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอันเริ่มคล่องแคล่วขึ้น

และเขาก็ออกหมัดพลางเดินไปทางซ้ายมืออยู่อย่างนี้ แม้จะเชื่องช้า แต่ว่ามั่นคง หนึ่งเค่อก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรง เขาจะต้องเปลี่ยนมาเป็นท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยืนนิ่งไม่ขยับ

ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้ เฉินผิงอันไม่กล้าขยับเข้าใกล้ผนังของกำแพงเมืองมากนัก ได้แต่เดินไปบนทางเดินม้า

ว่ากันว่าทางทิศใต้ของกำแพงก็คือใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว

อีกทั้งเมื่อถึงยามค่ำคืน ใต้หล้าแห่งนั้นจะมีดวงจันทร์ลอยกลางนภาถึงสามดวง

เฉินผิงอันปล่อยหมัดหนึ่งร้อยครั้งบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขารู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าตอนปล่อยหลายพันหมัดที่ใต้หล้าไพศาลซะอีก

เดินๆ หยุดๆ อยู่แบบนี้จนถึงวันที่สาม ขณะที่เฉินผิงอันพอจะมองเห็นเค้าโครงของกระท่อมเล็กใหญ่สองหลังได้รางๆ เขาก็มองเห็นเฉาสือ อีกฝ่ายอยู่บนหัวกำแพงห่างออกไปหนึ่งลี้ เขาเองก็กำลังฝึกหมัดอยู่เช่นกัน ฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว ออกหมัดแต่ละทีเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ต่อให้เฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ แต่เป็นคนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญสายตาตื้นเขิน ก็ต้องอดชื่นชมท่าหมัดของเฉาสือด้วยความจริงใจไม่ได้ว่า…สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!

เฉินผิงอันขยับจากขวามาซ้าย ส่วนเฉาสือที่พักอยู่ในกระท่อมหลังเล็กขยับจากซ้ายมาขวา

สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน ไม่มีทีท่าว่าใครจะหยุดการฝึกฝน ต่างคนต่างเดินหน้าต่อ สุดท้ายสวนทางกันอยู่ไกลๆ

ตอนนี้ปณิธานหมัดบนร่างของเฉินผิงอันเบาบางมาก เพราะส่วนใหญ่ถูกปราณกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ข่มทับไว้จนกระดุกกระดิกไม่ได้

บนร่างเฉาสือกลับสร้างพายุหมัดที่โถมกระหน่ำซึ่งไหลทะลักทลายออกมาข้างนอก มองด้วยตาเปล่าก็ยังเห็น ราวกับว่าเขากลับเป็นฝ่ายที่สยบกำราบปราณกระบี่รอบหัวกำแพงเสียเอง

ในขณะที่เฉินผิงอันเดินนิ่งไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายขยับเข้าใกล้กระท่อมที่พักของเซียนกระบี่ผู้เฒ่า เฉาสือก็ต่อยหมัดครบหนึ่งรอบและตามมาทันเฉินผิงอันพอดี

จากนั้นเฉินผิงอันก็มองเห็นหนิงเหยาที่ยืนอยู่ข้างเซียนกระบี่ผู้เฒ่า

ส่วนเฉาสือก็มองเห็นเผยเปยราชครูต้าตวน เทพีแห่งการต่อสู้ อาจารย์ของตนที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่า

หลังจากแน่ใจแล้วว่าการฝึกหมัดของเฉินผิงอันมีการพัฒนา หนิงเหยาถึงได้นำพาเขาให้เดินมาทางกำแพงทางทิศเหนือบริเวณใกล้เคียงกับกระท่อมของผู้เฒ่าอย่างวางใจ ตอนนี้นางพาเขากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง มองไปยังที่ตั้งของเมือง บอกเขาว่าบ้านของตัวเองอยู่ตรงไหน เพื่อนๆ ของนางอาศัยอยู่ตรงไหนกันบ้าง

และห่างจากด้านหลังของพวกเขาไปไม่ไกล เฉาสือกำลังฝึกหมัดท่าใหม่ ส่วนเทพีแห่งการต่อสู้ก็ยิ้มบางๆ มองอยู่ด้านข้าง คอยชี้แนะข้อบกพร่องบางจุดของวิชาหมัดให้เขาเป็นระยะ

คืนนั้นเทพีแห่งการต่อสู้ยืนหลับตาทำสมาธิอยู่บนหัวกำแพง

เฉาสือฝึกหมัดตลอดทั้งคืน

เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งถึงกลางดึก ครึ่งคืนหลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงทิศเหนือ ค้างอยู่ในท่าเจี้ยนหลู ค่อยๆ เข้าสู่นิทรา

เช้าตรู่วันที่สอง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ามาหาทั้งสองฝ่ายแล้วเสนอแนะให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้กัน

เฉาสือยังไงก็ได้

เฉินผิงอันเองก็ไม่มีความเห็นต่าง

ดังนั้นผู้เฒ่าจึงใช้นิ้วแทนกระบี่แหวกเปิดฟ้าดินขนาดเล็กซึ่งมีรัศมีขนาดสิบจั้งไว้ชั่วคราว

เทพีแห่งการต่อสู้ที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ข้างๆ กลับรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย

วันนี้เมื่อไม่มีพันธนาการจากตราผนึกใดๆ คนทั้งสองจึงเหมือนอยู่บนสนามต่อสู้ทั่วไปของใต้หล้าไพศาล กระบี่บิน สมบัติอาคม วิชาหมัด ขอแค่ทั้งสองฝ่ายยินดีล้วนเอาออกมาใช้ได้หมด

อีกทั้งก่อนจะประลองฝีมือกัน เซียนกระบี่ผู้เฒ่ายังบอกเด็กหนุ่มสองคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เหมือนกันด้วยว่า ทางที่ดีที่สุดควรลืมไปซะว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีทางตายอยู่บนกำแพงเมืองแห่งนี้ ให้คิดว่านี่คือศึกที่ตัดสินเป็นตายอย่างแท้จริง

เฉินผิงอันลงมือเต็มที่ สามศึกล้วนพ่ายแพ้

ไม่รู้ว่าเฉาสือต้องกักเก็บพลังที่แท้จริงไว้เท่าไหร่ สรุปคือสามศึกชนะทุกศึก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version