Skip to content

Sword of Coming 47

บทที่ 47 เดินเพียงลำพัง

เฉินผิงอันแยกทางกับหนิงเหยาที่ซุ้มประตูหินสิบสองเสา เฉินผิงอันไปที่ตรอกหนีผิง เคาะประตูตะโกนเรียก “ซ่งจี๋ซิน อยู่บ้านไหม?”

เด็กสาวในห้องครัวที่กำลังใช้กระบวยน้ำเต้าตักน้ำเรอติดต่อกันหลายที พอดื่มน้ำลงไปแล้วสีหน้าก็สดชื่นกว่าเดิมเยอะมาก นางวางกระบวยลงแล้วเดินเยื้องย่างออกไปจากห้องครัว วิ่งไปแง้มเปิดประตูหน้าบ้านด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบกลับไปตามมารยาท “คุณชายของข้าไม่อยู่ เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเคาะประตูล่ะ เมื่อก่อนเจ้าจะคุยกับพวกเราโดยที่ยืนอยู่ในลานบ้านของตัวเองไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันพูดผ่านประตูที่กั้นระหว่างคนทั้งสอง “มีธุระนิดหน่อย”

หลังจากเปิดประตูให้อ้ากว้าง จื้อกุยก็กล่าวหยอกเย้า “แขกคนนี้ไม่ได้มาเยี่ยมหาบ่อยๆ”

นางเห็นสีหน้าของเฉินผิงอันจึงถามว่า “มาหาคุณชายข้าทำไมหรือ? หากไม่รีบก็ฝากคำพูดไว้ที่ข้าได้ แต่ถ้ารีบ เจ้าก็คงต้องไปหาเขาที่จวนผู้ตรวจการแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็เห็นกับตาแล้วว่า คุณชายของข้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับใต้เท้าซ่งผู้ตรวจการคนใหม่”

นางค้นพบว่าสองเท้าของเฉินผิงอันยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเหมือนมีรากงอก จึงกลอกตา “เข้ามาสิ จะยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นทำไม?! บ้านข้าคือบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์หรือไง หรือว่าเข้ามาดื่มน้ำสักอึกยังจะเก็บเงินเจ้า?”

พูดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ปิดปากหัวเราะคิกคักอยู่กับตัวเอง “สำหรับเจ้าแล้ว คงต้องเป็นอย่างหลังที่น่ากลัวกว่าแน่ๆ”

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก กล่าวเสียงเบา “อันที่จริงข้ามาหาเจ้าต่างหาก ก่อนหน้านี้ที่ตะโกนไปแบบนั้นเพราะกลัวว่าซ่งจี๋ซินจะเข้าใจผิด”

จื้อกุยยิ้มอย่างเข้าใจ ถามว่า “งั้นก็พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร? คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน เพื่อนบ้านก็ส่วนเพื่อนบ้าน น้ำใจก็ส่วนน้ำใจ เพราะจะอย่างไรซะข้าก็เป็นแค่สาวใช้ผู้ต่ำต้อยของตรอกหนีผิง ไหล่แบกไม่ไหว มือหิ้วไม่ขึ้น ช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่หากเจ้าเฉินผิงอันอยากจะยืมเงินเพราะคิดจะใช้เงินแก้ไขปัญหาล่ะก็ ถือว่าเจ้าโชคดี ข้าพอจะมีวิธีอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่เรื่องเงินหรอก ข้าบอกกับเจ้าตรงๆ เลยก็แล้วกัน หลิวเสี้ยนหยางถูกคนทำร้ายบาดเจ็บสาหัสอยู่บนสะพาน เถ้าแก่ร้านตระกูลหยางไปดูแล้ว แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้”

จื้อกุยมีสีหน้างงงัน “ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ หลิวเสี้ยนหยางไปมีเรื่องกับใครเข้า?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “คนต่างถิ่นที่มาจากสถานที่ที่ชื่อว่าเขาตะวันเที่ยง”

จื้อกุยถามหยั่งเชิง “เจ้าเลยคิดจะหาเส้นสายมาช่วยหลิวเสี้ยนหยางหาสถานที่ฮวงจุ้ยดีๆ ให้ฝังศพ? เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าสามารถบอกให้คุณชายของข้าไปพูดกับผู้ตรวจการได้ แล้วค่อยให้พวกพ่อบ้านหรือคนเฝ้าประตูของจวนตรวจการออกหน้าไปคุยกับตาเฒ่าเว่ยที่ตรอกเถาเย่ ให้เขาช่วยหาสถานที่ให้ ขอแค่ไม่ใช่บนภูเขาที่ทางราชสำนักสั่งปิด คิดว่าคงไม่ยาก”

ใบหน้าที่เดิมทีก็ดำเกรียมอยู่แล้วของเฉินผิงอันยิ่งดำทะมึนเข้าไปใหญ่

อาจเป็นเพราะจื้อกุยเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองคิดไปไกล จึงแยกเขี้ยวเผยให้เห็นฟันขาวใสเป็นระเบียบด้วยความเคยชิน นางเอนหลังผิงบนกำแพงที่มีกลอนคู่ติดอยู่ เอียงศีรษะ ถามด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “เฉินผิงอัน เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตใช่หรือไม่? แต่ข้าเป็นแค่สาวใช้นะ ขนาดเถ้าแก่ร้านตระกูลหยางยังทำอะไรไม่ได้ แล้วข้าจะช่วยได้ยังไง?”

หลังจากที่ต่อสู้กับความคิดตัวเองอยู่พักใหญ่ เฉินผิงอันก็เอ่ยเนิบช้า “หวังจู ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนปกติ วันที่หิมะตกหนักในปีนั้น ข้าเห็นเจ้าที่หน้าประตูบ้านก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่เหมือนกับพวกเรา ภายหลังเจ้าก็เป็นคนแรกที่มองออกถึงความไม่ธรรมดาของหินดีงู ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว สายตาที่เจ้าใช้มองพวกเราที่เป็นเพื่อนบ้านตรอกเดียวกันในปีนั้นไม่มีอะไรแตกต่างจากสายตาที่พวกคนต่างถิ่นมองพวกเราเลย”

เด็กสาวยิ้มกว้าง “อันที่จริงก็ต่างอยู่นะ”

ข้าไม่เพียงแต่ดูแคลนมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้า แม้แต่พวกนักพรตของตระกูลเซียน ข้าก็ดูถูกเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าประโยคนี้ จื้อกุยไม่ได้พูดออกไป

หลักการบางอย่าง เมื่อมาอยู่ที่นี่นับเป็นเรื่องสมเหตสมผล ทว่าเมื่อไปอยู่กับคนอื่น กลับกลายเป็นว่านางพยศดื้อดึง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ข้ามาหาเจ้า เพราะอยากจะถามเจ้าว่า มีทางช่วยหลิวเสี้ยนหยางหรือไม่ ข้าใช้ใบไหวใบหนึ่งที่มีอยู่ไปแล้ว ทว่าก็ได้แค่รั้งลมหายใจเฮือกสุดท้ายของหลิวเสี้ยนหยางเอาไว้ แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์มากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังพอมีได้ผลอยู่บ้าง ข้าจึงอยากจะถามว่า ที่ตัวเจ้ามีใบไหวอยู่บ้างหรือไม่ โดยเฉพาะใบไหวที่เกินมา?”

เด็กสาวชี้ที่จมูกของตัวเอง เอ่ยถาม “เจ้าจะถามว่าซ่งจี๋ซินคุณชายของข้ามีใบไหวหรือไม่ หรือจะถามสาวใช้ตัวเล็กๆ ที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่อย่างข้า?”

เฉินผิงอันจ้องไปที่เด็กสาวเขม็ง ตอบตรงไปตรงมา “ต่อให้ซ่งจี๋ซินมี เขาก็ไม่มีทางมอบให้ข้า ข้ากำลังถามเจ้า หวังจู หากเจ้ามี เจ้าจะยินดีให้ข้ายืมหรือไม่ หากเจ้าไม่มี เจ้าพอจะรู้วิธีอื่นในการช่วยหลิวเสี้ยนหยางหรือไม่?”

เด็กสาวที่ถูกเขาเรียกอยู่ตลอดเวลาว่าหวังจูใช้มือหนึ่งลูบคลำปลายคาง อีกมือหนึ่งตบไปที่หน้าท้องของตัวเองเบาๆ นางส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ ไม่หลอกเจ้าหรอก หากเจ้ามาเร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังพอเหลืออยู่สักสองสามใบ ส่วนวิธีอื่น แน่นอนว่าย่อมไม่มี ข้าไม่ใช่เทพเซียนสักหน่อย จะไปรู้วิธีที่ทำให้คนตายฟื้นคืน ทำให้โครงกระดูกมีเลือดเนื้อกลับมาได้อย่างไร ถูกไหม? เจ้าไม่ควรทำให้คนอื่นลำบากใจนะ เฮ้อ ข้าดูเจ้าผิดไปจริงๆ นึกว่าเจ้าไม่เหมือนกับพวกเขา ไม่ใช่พวกคนที่ทำดีหวังผล”

เฉินผิงอันยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “ไม่มีจริงๆ หรือ? ไม่ว่าข้าจะทำได้หรือไม่ได้ เจ้าลองพูดมาก่อนก็ได้”

จื้อกุยส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงเด็ดขาด “สรุปคือข้าไม่มีก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว”

เด็กหนุ่มหมุนตัวจากไปทันที เพียงไม่นานเรือนกายที่ผอมบางของเขาก็หายไปในตรอกหนีผิง

เด็กสาวยืนอยู่ในซอยหน้าประตูบ้าน มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆ จากไปไกลด้วยสีหน้าซับซ้อน เกิดความรู้สึกสงสารกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ ขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธเคืองที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน นางจึงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “กว่าจะได้ใบไหวมาครองไม่ใช่เรื่องง่าย จะปล่อยให้เจ้าเอาไปใช้สิ้นเปลืองทำไม? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตายไปพร้อมกับหลิวเสี้ยนหยางเลยสิ จะอย่างไรซะตายเร็วก็ไปเกิดได้เร็ว หากโชคดี ชาติหน้าอาจยังได้เป็นพี่น้องกันอีกก็ได้ ยังไงก็คงดีกว่าแมลงน่าสงสารที่แม้แต่โอกาสจะไปเกิดใหม่ก็ยังไม่มีพวกนั้น”

เด็กสาวเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน ตอนที่เดินข้ามธรณีประตูก็เรอออกมาอีกครั้งอย่างไม่ทันระวัง แล้วเอ่ยเยาะ “อิ่มแปล้เลย”

จู่ๆ นางก็สาวเท้าก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้าแล้วกระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นถึงได้ค่อยๆ นั่งลง จ้องมองงูสี่ขาสีเหลืองดินที่บนหัวมีเขางอกขึ้นมาเขาหนึ่งพลางตวาดสั่งสอน “ยืมแล้วคืน จะยืมอีกได้ไม่ยาก หากวันหน้าเดรัจฉานห้าหัวตัวน้อยอย่างพวกเจ้ากล้าชักดาบไม่จ่าย คอยดูสิว่าข้าจะจับพวกเจ้าถลกหนังดึงเส้นเอ็นออกมาตุ๋นยังไง!”

งูสี่ขาที่อยู่ใต้พื้นรองเท้าของสาวใช้พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ปากก็เปล่งเสียงร้องฟ่อๆ แผ่วเบาคล้ายกำลังวิงวอนขอร้อง

หลังจากที่เฉินผิงอันออกไปจากตรอกหนีผิงก็วิ่งไปตลอดทางจนถึงโรงเรียน ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าที่รับผิดชอบปัดกวาดโรงเรียนบอกกับเขาว่า เมื่อวานท่านฉีออกจากเมืองไปขึ้นเขาพร้อมกับแขกต่างถิ่นสามคน บอกว่าจะไปตรวจสอบเหตุประหลาดบางอย่าง ไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามวัน เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความผิดหวัง ตอนที่หมุนกายเตรียมจากไป ผู้เฒ่าที่ถือไม้กวาดพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงตะโกนเรียกเด็กหนุ่ม “ใช่แล้ว ก่อนที่ท่านฉีจะจากไปได้บอกกับข้าว่า หากมีคนจากตรอกหนีผิงมาหาเขา ให้บอกเด็กหนุ่มคนนั้นว่าเขาได้อธิบายหลักการให้ฟังไปนานแล้ว ไม่ว่าวันนี้เขาจะอยู่ที่โรงเรียนหรือไม่ก็ล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบได้”

ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะรู้อยู่แล้วว่าต้องได้ผลลัพธ์เช่นนี้ สายตาจึงหม่นหมองไร้ประกายแสง

น้ำที่ตายแล้วต่อให้มีริ้วคลื่นไหวแผ่วเบา ก็ไร้สิ้นซึ่งความหวัง (เปรียบเปรยว่าในสถานการณ์ที่ไม่มีความหวังแล้ว ต่อให้มีโอกาสพลิกฟื้นเล็กน้อย ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นได้)

แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังค้อมตัวเอ่ยขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่า”

ผู้เฒ่ารีบถอยหนีไปยืนด้านข้าง โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ข้ารับคำว่า ‘ท่าน’ นี้ไม่ไหวหรอก”

ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มที่ค่อยๆ เดินจากไป พอเดินไปได้ระยะทางหนึ่งก็ดูเหมือนว่าเขาจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา

ผู้เฒ่าส่ายหน้าเบาๆ ไพล่นึกไปถึงเมล็ดพันธ์ปัญญาชนอีกสองคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กหนุ่มอย่างซ่งจี๋ซินกับจ้าวเหยา แล้วหันไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกที ชะตาชีวิตที่คนเราพบเจอ ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน

บางคนสุขสมหวัง บางคนเจอแต่ปัญหาให้ทุกข์ระทม

เฉินผิงอันไปที่ตรอกหนีผิง นำเหรียญทองแดงถุงสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในไหออกมาพร้อมกับพกถุงเงินอีกสามถุงเดินไปที่ถนนฝูลวี่ ไปตามหาผู้ตรวจการงานเตาเผา

คนเฝ้าประตูที่ได้ฟังคำแนะนำตัวเองก็มึนงงไปเล็กน้อย เพื่อนบ้านของซ่งจี๋ซินที่ตรอกหนีผิง ต้องการมาหาซ่งจี๋ซินและใต้เท้าผู้ตรวจการงั้นรึ?

เฉินผิงอันแอบยัดเหรียญแก่นทองเหรียญหนึ่งที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกใส่มืออีกฝ่ายโดยไม่พูดไม่จา คนเฝ้าประตูก้มหน้าลงมองหนึ่งครั้ง ชั่งน้ำหนักในมือหนึ่งที นิ้วทั้งคู่ลูบคลำอีกรอบก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง แต่กลับไม่รีบร้อนแสดงท่าที เด็กหนุ่มจึงส่งเหรียญสีทองอีกเหรียญหนึ่งให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว คนเฝ้าประตูคลี่ยิ้ม แต่กลับไม่ได้ยื่นมือมารับ เพียงกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นคนเข้าใจอะไรได้ดี ข้าก็วางใจที่จะช่วยเจ้า หาไม่แล้วหากข้าต้องเสียงานนี้ไปเพราะเจ้า ข้าคงดวงซวยอย่างหนัก เหรียญทองแดงในมือน่ะเก็บเอาไว้ก่อน หากพ่อบ้านของจวนตอบรับให้เจ้าเข้าไปได้ค่อยให้ข้าก็ยังไม่สาย แต่หากไม่รับปาก ข้าก็คงสุดวิสัยจะช่วย ถือซะว่าเหรียญทองแดงเหรียญนี้ไม่มีวาสนากับข้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแรงๆ

ผ่านไปไม่นานนัก พ่อบ้านวัยชราก็เดินมาพร้อมกับคนเฝ้าประตู คนเฝ้าประตูหันมาขยิบตาให้เด็กหนุ่ม บอกเป็นนัยๆ ว่าเขาห้ามหยิบเหรียญทองแดงออกมาตอนนี้เด็ดขาด รับสินบนอย่างเปิดเผยมีโทษไม่ใช่น้อยๆ ยังดีที่เด็กหนุ่มไม่ได้ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น เพียงแค่เดินตามพ่อบ้านเข้าไปในเรือนด้านหลังของจวนผู้ตรวจการ

คนเฝ้าประตูถอนหายใจ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมพอพ่อบ้านได้ยินว่าเด็กหนุ่มแซ่เฉินของตรอกหนีผิงมาเยือนก็พยักหน้าตอบรับทันที ธรณีประตูของจวนผู้ตรวจการต่ำเตี้ยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

คนเฝ้าประตูรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย อันที่จริงเมื่อครู่นี้ตอนที่ไปพบพ่อบ้าน เขาแอบเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายเป็นนัยๆ ว่าน้อยเรื่องดีกว่ามากเรื่อง ไม่ควรให้เด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามาในจวน เพียงแต่เขาไม่ได้พูดตรงๆ เชื่อว่าด้วยความลึกล้ำในการฝึกตนมานานหลายปีของพ่อบ้านชราต้องเข้าใจได้เป็นแน่

เดิมทีคนเฝ้าประตูหนุ่มดีดลูกคิดไว้ในใจแล้วว่าจะรับเงินเหรียญทองแดงเหรียญนั้นมาเปล่าๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะเสี่ยงอันตราย อีกทั้งยังรับมาได้อย่างสบายใจ

ตอนนี้เขาแค่หวังว่าเด็กหนุ่มผู้ยากจนคนนั้นจะไม่สร้างเรื่องก่อราวอะไรก็พอ

ในห้องโถงหลักของเรือนด้านหลังจวนผู้ตรวจการ ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวผู้นั้นกำลังนั่งดื่มชาอยู่ตรงตำแหน่งประธาน

ซ่งจี๋ซินนั่งอยู่บนเก้าอี้แขกทางฝั่งซ้ายมือ มือข้างหนึ่งสะบัดพัดพับที่ทำมาจากไม้ไผ่ให้คลี่ออกแล้วหุบเข้าซ้ำไปซ้ำมา หันหน้ามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ถูกนำตัวเข้ามายิ้มๆ

เก้าอี้สีนิล ชุดคลุมสีขาวหิมะ เป็นความขัดแย้งที่เด่นชัด

พ่อบ้านถอยออกไป ชายที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานวางถ้วยชาลง กล่าวกับเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “เฉินผิงอัน เชิญนั่งตามสบาย อันที่จริงก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกันที่ตรอกหนีผิงมาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้าจำเจ้าไม่ได้ หาไม่คงได้ทักทายกันไปนานแล้ว”

ซ่งจี๋ซินรู้สึกขำ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ายามที่ชายผู้นี้เรียกตัวเองว่า “ข้า” อีกฝ่ายพูดได้ไม่คล่องปากสักเท่าไหร่

เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับซ่งจี๋ซิน

ชายหนุ่มจึงถามตรงเข้าประเด็นทันที “เฉินผิงอัน เจ้ามาที่นี่ด้วยเรื่องที่หลิวเสี้ยนหยางถูกทำร้ายบาดเจ็บหรือ?”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นตอบ “ข้าหวังว่าใต้เท้าซ่งจะลงโทษฆาตกรจากเขาตะวันเที่ยงอย่างเข้มงวด ไม่ใช่เพียงแค่ขับไล่เขาออกไปจากที่นี่เท่านั้น”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “อันที่จริงเมืองแห่งนี้คือ ‘สถานที่ไร้กฎ’ ความหมายก็คือว่าที่นี่ไม่มีกฎหมายใดๆ ของราชสำนักให้ใช้ เดิมทีมาเป็นผู้ตรวจการของที่นี่ก็ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนอยู่แล้ว เพราะไม่มีอำนาจให้ยุ่งวุ่นวายกับกิจธุระของท้องถิ่น อีกอย่างก็คือแต่ไหนแต่ไรมาเมืองแห่งนี้ก็ปฏิบัติตามกฎที่ว่า แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่หากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่เรียกร้องขอความเป็นธรรม ก็ไม่อาจซักไซ้เอาเรื่องกับคนที่กระทำผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ทุบตีข้าทาสสาวใช้จนตาย หรือตระกูลเล็กต่อยตีมีคนได้รับบาดเจ็บก็ไม่เคยมีธรรมเนียมว่าจะต้องมาตีกลองร้องทุกข์ที่จวนผู้ตรวจการงานเผาเครื่องปั้น ดังนั้น เฉินผิงอัน เจ้าถือหัวหมูมาผิดศาล ไหว้พระโพธิสัตว์ผิดองค์แล้ว”

ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือกิริยาของชายหนุ่มล้วนอ่อนโยนเป็นมิตร บนร่างไม่มีกลิ่นอายของความเย่อหยิ่งจองหองอยู่แม้แต่น้อย

เฉินผิงอันหยิบถุงเงินสามถุงออกมาวางไว้บนตั่งสูงข้างเก้าอี้ จากนั้นก็หันไปพูดกับชายหนุ่มด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติว่า “ใต้เท้าซ่ง ข้ารู้ว่าท่านร้ายกาจมาก ข้าอยากรู้ว่าท่านช่วยหลิวเสี้ยนหยางได้หรือไม่ ต่อให้ช่วยชีวิตไม่ได้ ก็ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้เขา ไม่ปล่อยให้ฆาตกรที่ฆ่าคนเสร็จแล้วได้เดินออกไปจากเมืองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง “ข้าร้ายกาจมาก? แม่นางชุดดำที่บ้านเจ้าเป็นคนบอกเจ้าสินะ? อืม พอจะมองออกว่าพรสวรรค์ในการฝึกวิทยายุทธของนางต้องดีเยี่ยม ดีกว่าเพื่อนของเจ้าที่ชื่อหลิวเสี้ยนหยางนั่นมากนัก บอกกับเจ้าตามตรงก็แล้วกัน ข้าฆ่าคนเป็นอย่างเดียว ไม่ถนัดช่วยเหลือคนจริงๆ อีกอย่างทำไมข้าต้องทำผิดกฎใหญ่ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นพันปีเพียงเพื่อเด็กหนุ่มที่เจอหน้ากันแค่ครั้งเดียวด้วย?”

ชายหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ก็ชี้ไปที่ถุงเงินเหรียญทองแดงทั้งสามถุง “หากหลิวเสี้ยนหยางไม่มีคัมภีร์กระบี่และเสื้อเกราะวิเศษ ชีวิตของเขาก็ไม่มีค่ามากถึงเงินจำนวนนี้ ส่วนเรื่องที่คิดจะซื้อน้ำใจจากข้า เงินเหล่านี้ก็อยู่ไกลเกินกว่าจะพอมากนัก ต้าหลีของข้าแตกหักกับเขาตะวันเที่ยงเพียงเพราะเงินสามถุงนี้น่ะหรือ? ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพา เฉินผิงอัน ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดพวกนี้มากนัก แต่วันหน้าหากมีโอกาสได้ออกไปข้างนอก เจ้าก็จะเข้าใจเองว่านี่คือความจริง”

เฉินผิงอันกัดฟันพูด “ใต้เท้าซ่ง ท่านช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไรท่านถึงจะลงมือ? ต่อให้ท่านรู้สึกว่าต่อให้ตายข้าก็ทำไม่ได้ แต่ขอใต้เท้าซ่งโปรดบอกด้วยเถิด”

ชายหนุ่มไม่รู้สึกว่าตัวเองเปิดเผยพิรุธใดๆ ออกไป พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ ดวงตาของอ๋องเจ้าแคว้นผู้มีอำนาจจึงมีประกายประหลาดใจปรากฎ ก่อนยิ้มบางๆ “เฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้าหรือจงใจทำให้เจ้าลำบากใจ ตรงกันข้ามกันเลย ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่น่าสนใจมาก ถึงได้ยอมเสียเวลาอธิบายหลักการของการแลกเปลี่ยนให้เจ้าฟังอย่างอดทน เข้าใจหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ท่านั่งของซ่งจี๋ซินไม่สง่างาม เพราะยกขานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ เคาะพัดที่หุบรวบบนเข่าของตัวเองเบาๆ

ดูไฟชายฝั่ง ไม่ใช่ธุระของตนจึงนิ่งเฉย

ซ่งจ่างจิ้งไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความไม่เอาไหนของซ่งจี๋ซิน ในเมืองแห่งนี้ ข้อมูลจำนวนมากที่อยู่ในมือของอ๋องเจ้าแคว้นอย่างเขาแพ้ให้แค่ฉีจิ้งชุนคนเดียวเท่านั้น ในที่สุดคำพูดประโยคถัดมาของเขาจึงเปิดเผยให้เห็นถึงเจตนารมณ์สวรรค์ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดมากเกินไป เข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนเจ้าตายเพราะเจ้า แท้จริงแล้วหลิวเสี้ยนหยางตกอยู่ในสถานะที่ต้องตายมานานแล้ว ขอแค่เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ยอมมอบคัมภีร์กระบี่ออกมา เขาก็มีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น เพราะเขาตะวันเที่ยงต้องการให้เขาตาย ไม่ว่าฉีจิ้งชุนหรืออาจารย์หร่วน ใครก็ไม่ขวางไม่อยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครจัดการกับวานรเฒ่าผู้นั้นได้ แค่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล จึงไม่คุ้มค่าคุ้มราคา”

ชายหนุ่มดื่มชาหนึ่งคำ กล่าวเสียงเรียบเรื่อย “เฉินผิงอัน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ทำไมแม้แต่เจ้าที่ไม่ควรได้รับการอวยพรจากร่มเงาบรรพบุรุษก็ยังได้ใบไหวมาใบหนึ่ง แต่หลิวเสี้ยนหยางที่มีพรสวรรค์มีฐานกระดูกดีถึงเพียงนั้นกลับไม่ได้ใบไหวแม้แต่ใบเดียว เจ้าเคยคิดถึงปัญหาข้อนี้หรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าว “รบกวนใต้เท้าซ่งแล้ว”

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเก็บถุงเงินทั้งสามกลับคืน บอกลาใต้เท้าผู้ตรวจการงานเตาเผาตรงหน้าแล้วจากไป

แม้ซ่งจ่างจิ้งจะไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ ซ้ำยังลุกขึ้นเดินไปส่งด้วยตัวเอง ส่วนซ่งจี๋ซินที่เตรียมจะลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจกลับเห็นว่าท่านอาส่ายหน้าน้อยๆ จึงถือโอกาสนั่งแปะลงไปที่เดิม เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ต่ออย่างสบายอารมณ์

ตอนที่เดินไปถึงธรณีประตู จู่ๆ ซ่งจ่างจิ้งก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “มีสองเรื่องที่ข้าทำได้ แต่กลับไม่อาจลงมือทำ ดังนั้นขอแค่เจ้าทำเรื่องหนึ่งในนั้นได้ ข้าก็จะลองพิจารณาเรื่องที่จะสั่งสอนวานรเฒ่าผู้นั้นดู”

เด็กหนุ่มรีบหยุดฝีเท้า หันตัวกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

ชายหนุ่มกล่าวอย่างเฉยเมย “เรื่องหนึ่งคือหาโอกาสจับตัวเด็กหญิงของเขาตะวันเที่ยงที่อยู่ข้างกายวานรเฒ่าผู้นั้นมา ทำให้จิตใจเขาวุ่นวาย บีบให้วานรเฒ่าฝืนใจอยู่ต่อในเมือง อีกเรื่องหนึ่งก็คือตอนกลางคืนแอบไปฟันต้นไหวเก่าแก่ต้นนั้นให้โค่นลง จากนั้นก็ดึงโซ่เหล็กที่อยู่ในบ่อโซ่เหล็กขึ้นมา เจ้าจะทำทั้งสองเรื่องก็ได้ หรือจะทำแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ หากทำเรื่องหนึ่งสำเร็จ ข้าจะลงมือช่วยเจ้าโจมตีฆาตรกรให้บาดเจ็บสาหัส หากทำได้ทั้งสองเรื่อง ข้าก็จะช่วยเจ้าฆ่าวานรเฒ่าแห่งเขาตะวันเที่ยง”

ซ่งจ่างจิ้งยิ้มบางๆ พร้อมให้คำมั่นสัญญา “เมื่อพูดออกมาแล้ว ข้าย่อมไม่คืนคำ!”

แล้วจู่ๆ อ๋องเจ้าแคว้นของต้าหลีผู้มีอำนาจเทียมฟ้าก็เอ่ยประโยคนี้ตามมา “เฉินผิงอัน ข้าเชื่อว่าเจ้าสัมผัสได้ว่าประโยคไหนเป็นจริงหรือเป็นเท็จ”

เด็กหนุ่มจากไปอย่างเงียบเชียบ

แม้ไม่ได้ยินเด็กหนุ่มตบอกรับรองด้วยคำพูดใหญ่โต แต่ซ่งจ่างจิ้งกลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก เขายืนอยู่หน้าประตู หันหลังให้ซ่งจี๋ซินที่อยู่ในห้อง ถามว่า “เจ้าค่อนข้างสนิทกับเขา คิดว่าเขาจะทำอย่างที่ข้าบอกหรือไม่?”

ซ่งจี๋ซินส่ายหน้า “บอกยาก หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ จะให้เขาทำเรื่องที่ผิดต่อใจตัวเอง ถือว่ายากยิ่ง แต่หากทำเพื่อหลิวเสี้ยนหยางล่ะก็ น่าจะพอมีลุ้นอยู่บ้าง”

ชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้า ถามต่อ “สมมติว่าเด็กหนุ่มคนนั้นทำเรื่องยินดีที่น่าประหลาดใจจริงๆ ข้าผู้เป็นอ๋องจะอาศัยโอกาสนี้ยื่นมือเข้าแทรก ไม่ว่าจะผูกมิตรกับเขาตะวันเที่ยง หรือเป็นพันธมิตรกับสวนลมฟ้า ก็เลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซ้ำยังยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ผูกปมแค้นกับอีกฝ่ายที่เหลือ เมื่อเทียบกับการที่ข้าผู้เป็นอ๋องนิ่งดูดาย ปล่อยให้สองขั้วอำนาจของต้าหลีแตกหักกันตลอดไปโดยไม่ยินดียินร้าย สำหรับต้าหลีของพวกเราแล้ว เจ้าคิดว่าผลลัพธ์แบบไหนดีกว่ากัน?”

ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นยืน ใช้พัดพับเคาะลงบนฝ่ามือข้างหนึ่งพลางก้าวเดินช้าๆ หลังจากครุ่นคิดดีแล้วจึงกล่าวว่า “สันติภาพและรุ่งเรืองเลือกอย่างหลัง ประจวบเหมาะกับโกลาหลเลือกอย่างแรก”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็คลี่ยิ้ม “ไม่ว่าจะฟ้าดินนอกเมืองจะรุ่งเรืองหรือโกลาหล ดูท่าอย่างน้อยท่านอาก็คงเลือกด้วยตัวเองไปแล้ว”

ซ่งจ่างจิ้งหลุดหัวเราะพรืด “ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธที่ย่ำอยู่บนสมรภูมิรบ ในยุคสันติภาพรุ่งเรืองจะทำอะไรได้? เป็นสุนัขสงบเสงี่ยมคอยเฝ้าบ้านให้พวกบัณฑิตอย่างนั้นหรือ?”

ซ่งจ่างจิ้งหันไปมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าแข็งทื่อ “ข้าผู้เป็นอ๋องมองออกแล้วว่า เด็กหนุ่มคนนี้ต่างหากที่เป็นปมในใจของเจ้าอย่างแท้จริง แล้วก็ยากที่เจ้าจะคลายปมนี้ออกในเวลาสั้นๆ หากทิ้งปมนี้ไว้แล้วออกไปจากเมือง จะส่งผลเสียต่อการฝึกตนในวันหน้าของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงมองดูกับตาตัวเองว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดิมทีมีหัวใจบริสุทธิ์กลายมาเป็นคนที่เหี้ยมโหดและหยาบคายได้อย่างไร เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้สึกเองว่าการมัวมาขุ่นเคืองอยู่กับคนแบบนี้ช่างไร้ความหมาย”

ซ่งจี๋ซินเผยอปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ เพียงจมสู่ภวังค์ของการขบคิดอย่างลึกซึ้ง

ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้อง นั่งลงบนตำแหน่งประธาน เงยหน้ากระดกชาที่อยู่ในถ้วยดื่มหมดรวดเดียว “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่ข้าผู้เป็นอ๋องลดตัวลงมาใช้อุบายไร้สาระพวกนี้ นอกจากเพื่อหาเหตุผลห่วยๆ ให้สะดวกจับปลาในน้ำขุ่นแล้ว (เปรียบเปรยถึงการฉวยโอกาสในขณะที่เหตุการณ์ชุลมุน) ยังเป็นเพราะต้องการให้เจ้าเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง นั่นก็คือบนเส้นทางของการฝึกตนที่เจ้าต้องเดินนับจากนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนกลายมาเป็นศัตรูของเจ้าได้ทั้งสิ้น…ยกตัวอย่างเช่นอาแท้ๆ ของเจ้าอย่างข้า ซ่งจ่างจิ้ง”

เด็กหนุ่มตะลึงพรึงเพริด

ซ่งจ่างจิ้งหัวเราะหยัน “หากไม่กำจัดจิตมารที่เป็นปมในใจให้สิ้นซากด้วยตัวเอง ภัยร้ายที่อาจจะตามมาในภายหลังย่อมมากมายนับไม่ถ้วน ประหนึ่งหญ้าบนทุ่งกว้างที่เพียงลมวสันต์พัดมาก็งอกงามได้อีกครั้ง”

ซ่งจ่างจิ้งเอ่ยเสียดสีอย่างดูแคลน “ซ่งจี๋ซินที่กำลังจะได้เป็นองค์ชายแห่งต้าหลีผู้สูงศักดิ์ เจ้าเจ็บแค้นมากเลยใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้เจ้าจะทำอะไรได้? เจ้าคิดว่าตัวเองดีกว่าเฉินผิงอันที่เป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือคนนั้นสักแค่ไหนกันเชียว?”

ซ๋งจี๋ซินจ้องเขม็งไปยังชายที่กล่าวประโยคเหยียดหยามเขาด้วยสีหน้าสบายอารมณ์ นิ้วทั้งห้าของเด็กหนุ่มที่กำด้ามพัดจิกเกร็งจนเส้นเอ็นปูดโปน

ชายหนุ่มนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ สายตาฉายแววลึกล้ำทอดมองไปนอกห้องพลางพึมพำเหมือนเอ่ยกับตัวเอง “วันหน้ายิ่งเจ้าได้พบเจอผู้คนมากเท่าไหร่ก็จะค้นพบเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว มีบุญคุณต้องตอบแทนมีความแค้นต้องชำระ เมื่อโทสะบันดาลคนสามัญก็ชักดาบฟันเลือดกระเด็นสามฉื่อ หรือจะเป็นคำว่าอัจฉริยะคู่หญิงงาม ผู้ที่มีรักแท้ได้ครองคู่กันตลอดกาลอะไรเทือกนั้น ล้วนเป็นวลีที่ถึงอกถึงใจสำหรับพวกสวะเพ้อเจ้อเท่านั้น ดังนั้นหมัดของเจ้าต้องแข็งมากพอ คิดจะอาศัยข้าผู้เป็นอ๋อง? อาศัยบิดามารดาแท้ๆ ของเจ้า? ข้าแนะนำว่าเจ้าควรตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ หาไม่แล้วการพาเจ้าออกไปจากเมือง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการนำศพของเจ้าไปโยนทิ้งไว้ในสุสานไร้ญาติ เกิดมาในครอบครัวของจักรพรรดิก็ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเองให้ได้”

เม็ดเหงื่อหลั่งรินลงมาตามแนวสันหลังของเด็กหนุ่ม เขานั่งห่อเหี่ยวอยู่บนเก้าอี้

แม้หลังจากที่เด็กหนุ่มรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแล้วจะซุกซ่อนความลำพองใจและภาคภูมิใจไว้อย่างลึกล้ำ ยามพบเจอผู้คนในจวนผู้ตรวจการก็ยังคงวางตัวเป็นปกติ ทว่าเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของอ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้งแล้วกลับเหมือนภูตผีที่เพิ่งจำแลงร่างเป็นมนุษย์ซึ่งถูกสาดสะท้อนให้เห็นอยู่ในกระจกส่องมาร เพียงแค่พูดจา ร่างก็แหลกสลายเป็นผุยผง

ซ่งจ่างจิ้งทอดสายฟ้ามองไปยังทิศไกล ดูเหมือนว่าเส้นสายตาจะมองไปยังทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพาอันเป็นที่ตั้งของนครมังกรเฒ่าที่ห่างไกลอยู่ตลอดเวลา

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อ๋องเจ้าแคว้นผู้นี้ถึงนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา “ใจคนเป็นดั่งกระจก ยิ่งแต่เดิมสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่อาจต้านรับการทดสอบหยั่งเชิงได้มากเท่านั้น”

ซ่งจ่างจิ้งรู้สึกว่าถึงแม้พวกบัณฑิตในราชสำนักจะดีแต่พร่ำพูดจนเป็นที่น่ารังเกียจของทั้งเทพและผี แต่บางครั้งหลักการยิ่งใหญ่ที่พวกเขาพูดออกมา คนฝ่ายบู๊ที่ดีแต่ถือดาบจับกระบี่อย่างพวกเขา ต่อให้มีชีวิตอยู่ได้เป็นพันปีก็คิดไม่ออก แล้วก็อธิบายไม่ได้จริงๆ

ซ่งจ่างจิ้งเก็บความคิดทั้งหมดกลับคืน ชี้นิ้วไปทางทิศใต้ ปลายนิ้วส่งประกายเฉียบคมดุจปลายทวนปลายง้าว “ซ่งจี๋ซิน หากเจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ข้าผู้เป็นอ๋องพูดในวันนี้ไม่ถูกต้อง ย่อมได้ แต่จงข่มกลั้นเอาไว้ ขอแค่วันหน้าไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้ว พวกเราสองคนได้เปลี่ยนตำแหน่งกันนั่ง ข้าผู้เป็นอ๋องถึงจะพิจารณาว่าควรจะล้างหูตั้งใจเชื่อฟังเจ้าด้วยความนับถือหรือไม่!”

อารมณ์ของซ่งจี๋ซินองค์ชายต้าหลีกลับคืนเป็นปกติดังเดิมแล้ว จึงคลี่ยิ้มรับ “จะคอยดูก็แล้วกัน”

หน้าประตูจวนผู้ตรวจการ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะส่งเหรียญทองเหรียญที่สองให้คนเฝ้าประตูตามสัญญา

—-

ตรงซุ้มประตูหินสิบสองเสา เฉินผิงหันเห็นเงาร่างของเด็กสาวชุดดำจึงวิ่งเร็วๆ เข้าไปหา

หนิงเหยาที่ยืนอยู่ใต้กรอบป้าย “ชี่ชงโต้วหนิว” อ้าปากถาม “เป็นยังไงบ้าง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไปหามาครบทั้งสามคนแล้ว ได้เจอแค่สองคน ไม่เจอท่านฉี แต่ข้าก็รู้คำตอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

สุภาพชนไม่ช่วย

ก่อนหน้านี้ท่านฉีเคยพูดประโยคนี้ไว้จริงๆ

หนิงเหยาขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

เฉินผิงอันบอกเด็กสาวว่าให้ระวังตัวด้วย จากนั้นตัวเขาก็เริ่มวิ่งตะบึงจากไป

ไปถึงร้านของตระกูลหยางก่อนเป็นอันดับแรก เขาใช้เหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งซื้อยาขวด ยาทาและยาสมุนไพรกองโตที่สามารถรักษาบาดแผลภายนอกและอาการบาดเจ็บภายในมาจากผู้เฒ่าคนหนึ่งที่รู้เรื่องยาเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เอาไปใช้อย่างไร ต้มด้วยวิธีใด เด็กหนุ่มล้วนคุ้นเคยและเชี่ยวชาญ การเผาเครื่องปั้นที่เตาเผามังกรเป็นงานที่ต้องอาศัยแรงงานแลกข้าว จึงมักจะมีอุบัติเหตุหลากหลายชนิดเกิดขึ้นเป็นประจำ แม้ผู้เฒ่าเหยาจะไม่ชอบขี้หน้าเฉินผิงอันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ได้เพียงครึ่งตัวคนนี้ แต่ก็จำต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มมือเท้าคล่องตัว แล้วก็ไม่มีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย ดังนั้นงานหลายอย่างที่ต้องใช้กำลังขาและต้องจ่ายเงินจึงล้วนยกให้เฉินผิงอันเป็นคนทำ ยกตัวอย่างเช่นการไปซื้อยาแล้วเอายามาต้มให้กับพวกคนที่ได้รับบาดเจ็บจากหน้าเตา

เฉินผิงอันกลับมาถึงบ้านของตัวเองในตรอกหนีผิง หลังจากปิดประตูเรียบร้อยก็เริ่มต้มยาก่อน เป็นตำรับยาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายใน ช่วงเวลาว่างที่รอไฟก็เอาเสื้อตัวหนึ่งที่ถูกซักจนซีดแต่สะอาดสะอ้านมาวางบนโต๊ะ แล้วฉีกออกเป็นเส้นๆ ไว้ใช้รัดพัน สำหรับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้มีชื่อเสียงด้านความขี้เหนียวแล้ว เขาในเวลานี้กลับไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย นอกจากจะมัดมีดทับกระโปรงที่หนิงเหยาให้ยืมไว้บนแขน เด็กหนุ่มยังมัดผ้าฝ้ายเส้นเล็กทบไว้บนน่องขาล่างกับข้อมือของตัวเองอีกหลายชั้น

เฉินผิงอันปลดธนูไม้ทำเองที่แขวนไว้บนผนังลงมา ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ล้มเลิกความคิดที่จะพกมันไปด้วยชั่วคราว แต่กลับเดินไปหยิบหนังสติ๊กและก้อนหินถุงจากขอบหน้าต่าง

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้ แต่ก็ยังยืนกรานจะทำ ต่อให้พุ่งชนกำแพงติดต่อกันถึงสามครั้งก็ยังไม่เสียใจ นี่ก็คือความดื้อรั้นของเด็กหนุ่ม

หากไม่ทดลองทำดู เด็กหนุ่มก็ไม่มีทางถอดใจ ก็เหมือนครั้งสุดท้ายตอนอยู่ในร้านตีเหล็กที่เด็กหนุ่มขอร้องให้เถ้าแก่ร้านยาลองดูอีกครั้ง คือหลักการเดียวกัน

ที่ไปหาจื้อกุยผู้มีสถานะแปลกประหลาดก่อนก็เพราะหวังว่าจะหาโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งให้แก่หลิวเสี้ยนหยาง หลังจากนั้นที่ไปหาท่านฉีก็เพราะใจหวังว่าจะโชคดี หวังว่าเขาจะช่วยทวงคืนความยุติธรรม สุดท้ายไปหาปรมาจารย์วิถีแห่งการต่อสู้ตามที่หนิงเหยาเรียกขาน หรือผู้ตรวจการใต้เท้าซ่ง ก็เพื่อทำการแลกเปลี่ยนที่ชัดเจนว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายล้มละลาย

เด็กหนุ่มคิดได้อย่างแจ่มชัดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้จะผิดหวังมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกร้าวรานใจสักเท่าไหร่

อันที่จริงทั้งอ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้งและซ่งจี๋ซินผู้เป็นเพื่อนบ้านต่างก็ไม่รู้จักเฉินผิงอันดี

เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ตายก็ต้องทำ แต่เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ตายก็ไม่อาจทำได้

เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่ตรงมุมกำแพง รอคอยให้ยาต้มเสร็จเงียบๆ ยาหม้อนี้ประหลาดอย่างยิ่ง มันไม่มีสรรพคุณในด้านอื่น เพียงแค่ยับยั้งอาการเจ็บปวดเท่านั้น ที่เตาเผามังกรเคยมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งป่วยเป็นโรคประหลาด ไม่เพียงแต่นอนทรมานอยู่บนเตียงเป็นครึ่งๆ วันด้วยอาการร่อแร่เต็มที ยิ่งไปกว่านั้นยังเจ็บปวดจนเกร็งกระตุกตั้งแต่ใบหน้าลามไปทั่วร่าง ภายหลังร้านตระกูลหยางเจียดยาตำรับนี้มาให้ เพียงไม่นานชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ตายไป ทว่าเขาจากไปอย่างไม่ทรมาน ซ้ำยังมีแรงเหลือลุกขึ้นมานั่งสั่งเสียก่อนตาย สุดท้ายผู้เฒ่าเหยายังช่วยประคองเขาไปดูเตาเผาเป็นครั้งสุดท้ายด้วย

เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองก็น่าจะต้องได้ใช้

เด็กหนุ่มมองเห็นว่าบนโต๊ะยังมีเศษผ้าเหลืออยู่จึงถอดรองเท้าแตะสภาพอนาถเต็มทีคู่นั้นออก หยิบรองเท้าคู่ใหม่ที่ไม่เคยตัดใจเอาออกมาสวมได้มาสวมแทนที่ เคลื่อนไหมาไว้ตรงหน้าแล้วหยิบเศษกระเบื้องที่อยู่ด้านในออกมา

ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง เด็กหนุ่มที่ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เปิดประตูบ้านแล้วเดินออกไปจากตรอกหนีผิงอย่างเงียบเชียบ

ใกล้ยามสนธยา แสงแดดจึงไม่บาดตาอีกต่อไป ตรงขอบฟ้ามีเมฆสีแดงเพลิงทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ งดงามจับตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เด็กหนุ่มเดินไปทางถนนฝูลวี่

บนทางที่ปูไว้ด้วยแผ่นหินสีเขียวไร้ผู้คนสัญจร เด็กหนุ่มเดินอยู่เพียงลำพัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version