Skip to content

Sword of Coming 46

บทที่ 46 มีดทับกระโปรง

หลังจากที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะออกจากห้องไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เด็กสาวชุดเขียวก็กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง หมายจะวิ่งตามไป แต่กลับถูกชายวัยกลางคนที่เปลี่ยนจากอาจารย์หร่วนเป็นช่างหร่วนเรียกตัวเอาไว้ เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ซิ่วซิ่ว! หากเจ้าเข้าไปมีเอี่ยวด้วยตอนนี้ มีแต่จะช่วยให้ยิ่งแย่ กลับจะเป็นการทำร้ายเฉินผิงอัน เมื่อถึงเวลานั้นนั่นแหละที่จะเรียกว่าหายนะซึ่งไม่มีทางฟื้นคืนตลอดกาล”

หร่วนซิ่วไม่ได้หันตัวกลับมา เพียงสะบัดหน้า ผมหางม้าดำเป็นมันวาวเหวี่ยงตัวอยู่กลางอากาศด้วยองศาที่งดงาม สายตาของเด็กสาวคมกริบ น้ำเสียงแทบจะใกล้เคียงกับการกล่าวประณาม “ท่านพ่อ เรื่องของหลิวเสี้ยนหยางท่านเองก็ไม่ได้เข้าไปมีเอี่ยวด้วย แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร?”

ชายวัยกลางคนอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายแล้วก็สามารถข่มกลั้นไม่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์เอาไว้ได้ เขาเพียงกล่าวเสียงทุ้มหนักว่า “เชื่อพ่อเถอะ ความช่วยเหลือยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าทำให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นได้ในเวลานี้ก็คือพยายามบอกให้เขารู้ถึงความลับและกฎเกณฑ์ของถ้ำสวรรค์แห่งนี้ ให้เขาทำทุกอย่างตามกรอบที่กำหนดไว้ สวรรค์ลิขิต ชัยภูมิอำนวย มนุษย์สามัคคี ช่วงชิงมาได้มากเท่าไหร่ก็ให้มากเท่านั้น”

หร่วนซิ่วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ จึงยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ชายวัยกลางคนโบกมือ กำชับอย่างอดทน “น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ เจ้าคือลูกสาวของข้าหร่วนฉง ต่อให้ก้อนหินที่เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงโยนลงในบ่อจะใหญ่แค่ไหน น้ำที่กระเซ็นออกมาก็ย่อมต้องมีจำกัด ไม่มีทางที่จะไปรบกวนตะพาบเฒ่าใต้น้ำนั่นได้ นี่หมายความว่าทุกเรื่องยังมีโอกาสพลิกฟื้น ทว่าหากเป็นเจ้าหร่วนซิ่วกลับไม่เหมือนกัน จำเอาไว้ว่า ทุกครั้งที่พบเจอเรื่องใหญ่ต้องเยือกเย็นเข้าไว้ บอกให้เจ้าอ่านหนังสือให้มากๆ ก็ไม่ยอมฟัง! จิตใจเจ้าเทียบกับเด็กหนุ่มยากจนคนหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เสียแรงเปล่าที่เจ้าเป็นผู้ฝึกตน”

อันที่จริงตอนสุดท้ายที่ชายวัยกลางคนพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็ให้รู้สึกเสียใจภายหลัง ช่วยไม่ได้ เวลาพูดกับบุตรสาวของตัวเองทีไร ประโยคสุดท้ายของชายฉกรรจ์ก็มักจะเลื่อยขาเก้าอี้ตัวเองเสมอ ยังดีที่คราวนี้เด็กสาวไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางเพียงก้าวเร็วๆ ออกไปจากห้อง ทิ้งชายวัยกลางคนที่อารมณ์ซับซ้อนเอาไว้

ชายที่ชื่อจริงคือหร่วนฉงยกเก้าอี้มานั่ง กุมข้อมือของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ จังหวะชีพจรของอีกฝ่ายวุ่นวายและย่ำแย่ถึงขีดสุด ชายฉกรรจ์ที่เดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วสีหน้ายิ่งดำคล้ำ เริ่มบ่นพึมพำ “ฉีจิ้งชุนก็จริงๆ เลย เขาตะวันเที่ยงฉวยโอกาสอย่างนี้ ต่อให้ไม่สามารถทำตามกฎขับไล่พวกเขาออกไปจากพื้นที่ได้ อย่างน้อยก็ควรจะสั่งสอน ควรจะเชือดไก่ให้ลิงดูซะบ้าง ต่อให้ฆ่าไม่ได้ ตีสักสองสามทีจะมีปัญหาอะไร? หาไม่แล้วหากวันหน้าสถานที่แห่งนี้มีคนหน้าใหม่แห่เข้ามากันเรื่อยๆ คนดีคนเลวก็ยิ่งปะปนกันมั่วเข้าไปใหญ่ แบบนั้นจะไม่ยิ่งวุ่นวายหรอกหรือ? ทำไม เพราะคิดว่าจะอย่างไรซะอีกไม่กี่วันก็ต้องลาออกแล้ว อย่างมากก็แค่ทิ้งกองปัญหาไว้ให้ข้างั้นหรือ? ไหนบอกว่าบัณฑิตมีความรับผิดชอบอย่างไรล่ะ…”

หมอเฒ่าไร้ความสามารถที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวังย่อมไม่กล้าสอดปาก เพราะไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ผู้เฒ่าแค่กล้านินทาอยู่ในใจเท่านั้นว่า ไหนใครบอกว่าทุกครั้งที่พบเจอเรื่องใหญ่ต้องเยือกเย็นเข้าไว้ไงล่ะ?

หร่วนฉงบ่นจบสุดท้ายก็ถอนหายใจหนึ่งที “ฉีจิ้งชุนไม่อาจทำทุกอย่างได้ดั่งใจปรารถนาก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ คำพูดก่อนหน้านี้เจ้าคิดซะว่าเป็นลมที่พัดผ่านหูไปก็แล้วกัน แต่ประโยคนี้เจ้าห้ามทำเป็นไม่ได้ยินเชียวนะ”

อันที่จริงเถ้าแก่ชราร้านตระกูลหยางเงี่ยหูแอบฟังมาโดยตลอด พอฟังอีกฝ่ายกล่าวจบก็พลันเกิดความนับถือ ในใจคิดว่าไม่เสียแรงที่เป็นเซิ่งเหรินผู้รับหน้าที่พิทักษ์ถ้ำสวรรค์คนถัดไป หนังหน้าหนาจนต้านรับกระบี่บินได้เลย

หร่วนฉงพลันหันมามองผู้เฒ่า ถามว่า “เคยได้ยินคนพูดว่าบุตรสาวที่ออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป นี่ขนาดนางยังไม่ได้แต่งงานห่าเหวอะไรเลยนะ แต่ดันยื่นแขนออกไปหาคนนอกแล้วรึ?”

ผู้เฒ่าเก็บปากเก็บคำมานานแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าควรจะพูดเตือนด้วยความหวังดีสักหน่อย หาไม่แล้วคงผิดต่อคุณธรรมอันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าในใจตน ดังนั้นจึงปลุกระดมความกล้าเอ่ยว่า “อาจารย์หร่วน เป็นเพราะสายตาของข้าผู้อาวุโสพร่าเลือนหรือไม่? ถึงได้รู้สึกว่าดูเหมือนเด็กหนุ่มนั่นจะไม่ได้ชอบซิ่วซิ่วของท่านสักเท่าไหร่เลย”

หร่วนฉงมองผู้เฒ่าด้วยสายตาเวทนา กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย เจ้าแก่จนหูตาพร่าเลือนแล้วจริงๆ นั่นแหละ!”

ผู้เฒ่าเองก็ใช้สายตาเวทนามองชายฉกรรจ์

คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป

หร่วนซิ่วไล่ตามไปทันเฉินผิงอันตรงบ่อน้ำ นางเองก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน คล้ายไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร

เฉินผิงอันหันไปยิ้มให้นาง จำได้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรกบนหินหลังควาย ยังนึกไปว่านางเป็นใบ้ หรือไม่ก็ไม่สามารถพูดภาษาถิ่นของเมืองเล็กแห่งนี้ได้ ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้นางก็แค่ไม่ชอบพูดเท่านั้น

นางเดินตามรอยเท้าของเด็กหนุ่ม มุ่งหน้าไปทางสะพาน และในที่สุดเด็กสาวที่ปลุกความกล้าให้ตัวเองได้แล้วก็พูดว่า “เฉินผิงอัน ข้าชื่อหร่วนซิ่ว บิดาข้าชื่อหร่วนฉง เป็นช่างหลอมกระบี่คนหนึ่ง ข้าฝึกตีเหล็กหลอมกระบี่กับบิดามาตั้งแต่เล็ก ครั้งนี้มาที่เมืองของพวกเจ้า บิดาข้าบอกว่าเพราะได้รับคำไหว้วานจากสำนัก บวกกับที่ดินและน้ำของที่นี่เหมาะกับการหลอมกระบี่มากที่สุด ดังนั้นถึงได้เหยียบเข้ามาในน้ำขุ่นบ่อนี้ อันที่จริงในใจข้ารู้ดีว่า บิดาต้องการหาโชควาสนาให้แก่ข้า เขาเป็นคนที่ต่อให้ตายก็ต้องรักษาหน้าไว้ก่อน ก็เหมือนกับหลิวเสี้ยนหยางเพื่อนของเจ้า อันจริงที่บิดาข้าอยากรับเขาเป็นศิษย์มากๆ บางทีเจ้าอาจไม่รู้ว่า หากในอนาคตบิดาข้าเลือกที่จะตั้งสำนักอยู่ที่นี่ ตัวเลือกของคนที่จะมาเป็นศิษย์ใหญ่เปิดสำนักนั้นสำคัญมาก ดังนั้นใช่ว่าเขาเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย เจ้าอย่าได้โทษเขาเลย…”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้โทษพ่อเจ้า”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็หยุดชะงักไปครู่ ใช้หลังมือถูปลายคาง กล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “รู้ว่าไม่ควรจะโทษคนอื่น แต่อันที่จริงในใจกลับโกรธมาก โกรธมากที่ทำไมพ่อเจ้าถึงไม่รับหลิวเสี้ยนหยางเป็นศิษย์เร็วกว่านี้ โกรธที่ทำไมตอนหลิวเสี้ยนหยางเกิดเรื่องถึงไม่มีคนช่วยห้าม ต่อให้รู้ว่าคิดแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ข้าก็ยังโกรธมากอยู่ดี”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “นี่เป็นอารมณ์ของคนปกติ”

เฉินผิงอันไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่จึงถามว่า “แม่นางหร่วน เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

หร่วนซิ่วถามอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้เจ้าคงไม่ได้คิดจะไปแก้แค้นคนของเขาตะวันเที่ยงหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันไม่ตอบ ทั้งไม่ปฏิเสธแล้วก็ไม่ยอมรับ

เดิมทีเด็กสาวก็ไม่ใช่คนที่ถนัดเลือกใช้คำพูดอยู่แล้ว ดังนั้นพอคิดถึงอะไรได้นางก็พูดมันออกมาเลย “เจ้าอย่ามุทะลุเด็ดขาด เดิมทีเขาตะวันเที่ยงก็เป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเราอยู่แล้ว อันที่จริงสถานะของวานรเฒ่าตัวนั้นไม่ได้แตกต่างจากบุรพาจารย์ของเขาตะวันเที่ยงเลย ต่อให้เมื่ออยู่ที่นี่ วานรเฒ่าจะไม่สามารถใช้เวทคาถาใดๆ ได้ แต่หากคิดจะจัดการกับเจ้ากลับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก! อีกอย่างหลังจากที่เขาทำร้ายหลิวเสี้ยนหยางจนบาดเจ็บสาหัสแล้ว ท่านฉีต้องลงโทษเขาแน่นอน อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเรื่องนี้จะถูกมองเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…”

เฉินผิงอันตัดบทคำพูดของเด็กสาว “คำว่าลงโทษที่แม่นางหร่วนพูด หมายถึงฆาตกรที่ฆ่าคนจะถูกขับออกจากเมืองใช่ไหม?”

หร่วนซิ่วตะลึงงัน

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม กลับเป็นฝ่ายปลอบใจเด็กสาวเสียเอง สายตาของเขาจริงใจ ใสกระจ่างดุจน้ำในลำธาร “แม่นางหร่วน ความหวังดีของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว แน่นอนว่าข้าย่อมไม่โง่ถึงขนาดบุกเข้าไปแลกชีวิตกับเทพเซียนประเภทนั้นโดยตรง”

หร่วนซิ่วรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงตบอกตัวเองเบาๆ ด้วยความเคยชิน บางทีนางอาจรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองเด็กเกินไป ไม่สง่างามมากพอ ไม่เหมือนกับคุณหนูตระกูลใหญ่ รอยยิ้มของเด็กสาวที่มัดผมหางม้าจึงดูกระดากใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันยิ้มตามนางไปด้วย ก่อนที่เขาจะพูดว่า “คราวก่อนให้ปลาเจ้าไปแค่สามตัว ข้าขี้เหนียวเกินไปจริงๆ”

หร่วนซิ่วเขินอายเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ถามอย่างเป็นกังวลมากว่า “มือซ้ายของเจ้า?”

เฉินผิงอันยกมือซ้ายที่พันแผลไว้อย่างแน่นหนาขึ้นมา “ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ”

หร่วนซิ่วปรับอารมณ์ของตัวเองอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “เฉินผิงอัน อย่าบุ่มบ่ามเด็ดขาด ตอนนี้สภาพการณ์ของท่านฉีก็ค่อนข้างจะยากลำบาก อีกทั้งตอนที่ท่านฉีเปลี่ยนมือกับบิดาของข้า อาจมีความเป็นไปได้มากว่าเมืองเล็กแห่งนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์พลิกฟ้าพลิกดินอย่างใหม่ จะดีหรือร้าย ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้ จึงควรอยู่อย่างสงบ ไม่ควรบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

หร่วนซิ่วกลับรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก

หากจะสืบสาวกันถึงแก่นแล้วคงเป็นเพราะตัวนางเป็นคนใจร้อนมากเกินไป เพราะหากดูตามนิสัยของนาง เดิมทีเวลานี้นางอาจบุกไปฆ่าวานรเฒ่าของเขาตะวันเที่ยงผู้นั้นแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับต้องมาพูดจาเกลี้ยกล่อมไม่ให้เด็กหนุ่มไปเสี่ยงอันตราย นี่ผิดไปจากความตั้งใจเดิมของนางมาก แต่ปัญหาก็อย่างที่นางบอกไปก่อนหน้านี้ จากแนวโน้มของสถานการณ์ในเวลานี้ ผู้คนควรนิ่งเฉยไม่ควรเคลื่อนไหวกันจริงๆ และนี่ก็เป็นลางสังหรณ์ของตัวนางเองด้วย

หากนางหร่วนซิ่วแล่นไปทวงความยุติธรรมให้คนอื่น ต่อให้จะสร้างปัญหาที่ใหญ่จนทะลุแผ่นฟ้า แต่บิดานางก็ไม่มีทางที่จะนิ่งดูดาย ซ้ำยังอาจจะสยบเรื่องทั้งหมดลงได้

แต่เฉินผิงอันที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ จะเป็นหรือตาย เขากลับต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมด

เฉินผิงอันบอกลากับหร่วนซิ่วแล้ววิ่งไปทางสะพานเพียงลำพัง

เมื่อบอกลากับเด็กสาวคนหนึ่งมา ก็ได้มาเจอกับเด็กสาวอีกคน

บนขั้นบันไดหินทางทิศใต้ของสะพานมีเด็กสาวที่วางกระบี่กับดาบทับซ้อนกันนั่งอยู่คนหนึ่ง สีหน้าของนางเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้ม คิ้วทั้งคู่ดุจกระบี่เรียวยาว ริมฝีปากอิ่มเต็มเม้มแน่น ข้างกายมีถุงผ้าปักดิ้นสีทองงดงามสองถุงวางเอาไว้

เฉินผิงอันวิ่งเร็วๆ ไปทางสะพาน เพิ่งมาถึงตีนบันไดหิน เด็กสาวหนิงเหยาก็โยนถุงเงินสองถุงมาให้เขา เอ่ยเสียงเรียบเฉย “คืนให้เจ้า”

เฉินผิงอันยืนอยู่ล่างบันได มือทั้งสองข้างยื่นไปรับถุงเงินทั้งสองเอาไว้ ฉับพลันนั้นเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

หนิงเหยากล่าวสีหน้าเคร่งเครียด “ตกลงกันไว้แล้วว่าจะต้องคุ้มครองความปลอดภัยของหลิวเสี้ยนหยาง ตอนนี้ข้าไม่อาจทำได้ เป็นข้าหนิงเหยาที่ผิดต่อเจ้าเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยาง!”

เด็กสาวรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เด็กหนุ่มในเมืองแห่งนี้ที่มีเรือนกายและจิตวิญญาณของคนธรรมดา เมื่อถูกบุคคลของตระกูลเซียนต่อยจนหน้าอกแหลกเละไปแล้ว ใครก็ไม่อาจช่วยได้ อีกอย่างหากหลิวเสี้ยนหยางรอด ต่อให้มีโอกาสเพียงเสี้ยวเดียว ด้วยนิสัยคนดีเกินเหตุของเฉินผิงอัน เกรงว่าคงรออยู่ที่ร้านตีเหล็กตลอดเวลา ต่อให้ถูกคนตัดหัวก็ไม่มีทางเดินออกห่างจากที่นั่นแม้แต่ครึ่งก้าว

เฉินผิงอันเดินขึ้นบันไดมานั่งยองๆ อยู่ห่างจากนางไปไม่ไกล ส่งถุงเงินทั้งสองคืนให้เด็กสาว พูดเบาๆ ว่า “แม่นางหนิง เงิน เจ้าเก็บไว้เถอะ บวกกับถุงที่อยู่ในบ้านข้าที่ตรอกหนีผิงนั่นด้วย เจ้าเอาไปให้หมดเลย ข้าไม่ต้องการพวกมันอีกแล้ว วันหน้าหากเป็นไปได้ หวังว่าเจ้าจะช่วยนำเงินเหล่านี้ไปจ้างคนให้มาช่วยดูแลบ้านของข้าและหลิวเสี้ยนหยางบ้างก็พอ”

เด็กสาวไม่ได้รับถุงเงินมา นางโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าช่วยเจ้าติดกลอนคู่และภาพเทพทวารบาลทุกตรุษจีนด้วยหรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หากทำได้ย่อมดีที่สุด”

เด็กสาวโกรธจนควันแทบออกจากทวารทั้งเจ็ด ถึงกับผรุสวาทเสียงดัง “ตอนเด็กเคยถูกหางวัวฟาดหน้า นึกว่าเก่งนักใช่ไหม?! นึกว่าจะทำเรื่องโง่ๆ ได้อย่างมีเหตุผลแล้วล่ะสิ? มันน่าโมโหนัก! สรุปเลยก็คือเรื่องนี้เจ้าเฉินผิงอันไม่ต้องมายุ่ง เจ้านึกว่าแค่ฝีมือกระจอกๆ ของเจ้าจะสามารถรับมือกับวานรย้ายภูเขาตัวหนึ่งของเขาตะวันเที่ยงได้งั้นหรือ? บ้านเก่าๆ หลังนั้นของหลิวเสี้ยนหยางวันหน้าเจ้าก็ดูแลเอาเองเถอะ กลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลหน้าประตูบ้านเจ้า เจ้าก็ไสหัวไปซื้อมาเอง! ข้าหนิงเหยาไม่รับใช้เจ้าหรอก!”

เฉินผิงอันมองเด็กสาวพลางพูดว่า “แม่นางหนิง แม้ข้าจะเพิ่งรู้จักเจ้าได้ไม่นาน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าแน่ใจมากก็คือ หากเจ้ามั่นใจว่าสามารถช่วยหลิวเสี้ยนหยางแก้แค้นได้ เจ้าย่อมไม่มีทางคืนเงินสองถุงนี้ให้แก่ข้าแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้”

เฉินผิงอันวางถุงเงินสองใบไว้บนขั้นบันไดระหว่างคนทั้งสอง “แม่นางหนิง นี่มันเวลาอะไรแล้ว เจ้ารู้สึกว่าข้ายังมีอารมณ์มาพูดเกรงใจกับเจ้าอีกงั้นหรือ? เจ้ากับข้าและหลิวเสี้ยนหยางก็แค่ทำข้อตกลงร่วมกันครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าตั้งใจขุดหลุมเล่นงานพวกเราเสียหน่อย เพียงแต่ว่าเมื่อต้องมาเจอกับหายนะจากสวรรค์ภัยพิบัติจากมนุษย์เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง แล้วจะให้เจ้าต้องเอาชีวิตมาชดใช้ได้อย่างไร? เชื่อข้าเถอะ ไม่ใช่แค่ข้าเฉินผิงอันที่ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ แม้แต่เจ้าโง่หลิวเสี้ยนหยางนั่นก็ไม่ต้องการเหมือนกัน หากเขาสามารถพูดได้ คงพูดว่าเรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงไม่ต้องมายุ่ง…”

เด็กหนุ่มพลันยิ้มกว้าง “แน่นอนว่าหากเป็นข้าย่อมไม่กล้าพูดแบบนี้กับแม่นางหนิง”

มือทั้งคู่ของหนิงเหยาวางทาบลงบนกระบี่ยาวฝักขาว หรี่ตาลง “ประโยคของข้าก่อนหน้านี้ครึ่งหนึ่งคือคำพูด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือความละอายใจ นอกจากนั้นก็คือนับตั้งแต่ที่เดินทางจากบ้านของตัวเองมา ข้าหนิงเหยาพเนจรไปทั่วหล้า ไม่มีหลุมอุปสรรคใดที่พบเจอแล้วข้าจะเดินอ้อมไป!”

เด็กสาวยื่นนิ้วโป้งชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “ตรงนี้ก็เหมือนกัน!”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “แม่นางหนิง ก่อนที่เจ้าจะลงมือ ให้ข้าไปหาคนสามคนก่อนได้หรือไม่? หลังจากนั้นพวกเราค่อยมาจัดการธุระของใครของมัน!”

หนิงเหยาถาม “ใช้เวลานานแค่ไหน?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “มากสุดครึ่งวัน!”

หนิงเหยาถามอีก “นอกจากฉีจิ้งชุนแล้ว อีกสองคนคือใคร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แม่นางหนิง เจ้าอย่าถามอีกเลย”

หนิงเหยาขมวดคิ้วพูด “ผู้ตรวจการที่ดูแลกิจการงานเตาเผาไม่อาจช่วยอะไรได้ เจ้านึกว่านี่เป็นเรื่องเล็กอย่างขโมยไก่ จับหมา ชนวัวบนถนนอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันทำท่าจะลุกขึ้นยืน หนิงเหยากลับตวาดเสียงหนักขึ้นมาเสียก่อน “เอาเงินไปด้วย!”

เฉินผิงอันจึงได้แต่เก็บถุงเงินไป

“เฉินผิงอัน! เจ้ารอเดี๋ยว หมุนตัวกลับไปก่อน”

พอบอกให้เฉินผิงอันหมุนตัวกลับไปแล้ว หนิงเหยาก็พลันโน้มตัวลง เลิกกระโปรงขึ้น ปลดเอามีดสั้นลักษณะโบราณแต่เรียบง่ายเล่มหนึ่งที่รัดไว้ตรงน่องขาล่างออกมา พอยืนขึ้นก็ส่งมันให้กับเด็กหนุ่มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างถึงที่สุด “นี่คือมีดทับกระโปรงที่มีเฉพาะในบ้านเกิดของข้า ผู้หญิงทุกคนจะต้องมีพกติดตัว ในเมื่อสถานการณ์คับขัน ย่อมต้องดูที่ความสะดวกเป็นหลัก ข้าจึงไม่มัวมาเคร่งครัดกับขนบธรรมเนียมอะไรอีกแล้ว แต่เจ้าอย่าลืมว่า มีดเล่มนี้ให้เจ้ายืมเท่านั้น ไม่ได้ยกให้เลย!”

เฉินผิงอันมึนงงเล็กน้อย แต่ก็ยังยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับมีดสั้นเล่มนั้นมา

เด็กสาวกล่าวขุ่นเคือง “ใช้สองมือ! รู้จักมารยาทเล็กๆ น้อยๆ บ้างได้ไหม?!”

เด็กหนุ่มรีบยกมืออีกข้างขึ้น แต่ก็ยังฉงนสนเท่ห์อยู่ดี

หนิงเหยาพูดไม่สบอารมณ์ “เจ้านึกว่าอาศัยแค่เศษกระเบื้องไม่กี่ชิ้นจะสามารถฆ่าวานรย้ายภูเขาตัวนั้นได้หรือ? ไช่จินเจี่ยนก็แค่คนที่ยังเดินบนเส้นทางของการฝึกตนได้ไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดรัจฉานเฒ่าของเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นเกิดมาก็ประหลาดเกินผู้อื่น หนังหนาเป็นที่สุด อย่าว่าแต่เศษกระเบื้องเลย ต่อให้เป็นอาวุธของตระกูลเซียนทั่วไปก็ยังไม่สามารถทำร้ายเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นได้แม้แต่รอยขีดข่วน หากตัวเองต้องตาย แต่อีกฝ่ายมีรอยแผลแค่สองเส้นจะมีความหมายอะไร? ไม่ต่างจากผายลมที่ไร้ประโยชน์!”

เด็กหนุ่มที่ใช้สองมือรับมีดสั้นมา แต่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร สีหน้าจึงเหยเกไปเล็กน้อย

หนิงเหยาถลึงตาใส่ “จะถือมีดไปฟันคนอยู่แล้ว แต่ฟังคำด่าสองสามคำไม่ได้งั้นรึ?!”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ ไม่รู้ว่าทำไม เด็กหนุ่มถึงนั่งกลับลงไปตำแหน่งเดิมบนบันไดหิน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าทางทิศใต้

เด็กสาวยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม

เฉินผิงอันพูดเกลี้ยกล่อมเป็นครั้งสุดท้าย “จะต้องมีคนตายจริงๆ นะ”

เด็กสาวยกมือสองข้างขึ้นกอดอก เอวด้านหนึ่งพกกระบี่ อีกด้านหนึ่งห้อยดาบ นางกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้าเคยเห็นคนตายมากกว่าที่เจ้าเคยเห็นคนเป็นซะอีก”

จากนั้นนางก็จงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้าสบายอารมณ์ “มีดทับกระโปรงเล่มนั้น เจ้าสามารถรัดไว้ที่แขน ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

แล้วเฉินผิงอันก็ตบเข่าตัวเองแรงๆ หนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน พูดขึ้นกะทันหันว่า “ได้รู้จักกับพวกเจ้า ข้าดีใจมาก”

เด็กสาวหมุนตัวเดินนำขึ้นไปบนสะพานก่อน

เด็กสาวท่วงท่าองอาจน่าประทับใจ เรือนกายข้างหนึ่งพกกระบี่ยาวฝักสีขาวราวหิมะ ส่วนอีกข้างหนึ่งพกดาบแคบฝักสีเขียวอ่อน

เงาร่างของนางในเวลานี้คือภาพที่งดงามที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มเคยพบเจอมาในชีวิต ไม่มีสิ่งใดมาเทียบเทียม

บัดนี้เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่า ต่อให้ตัวเองสามารถเดินออกไปจากเมืองแห่งนี้ได้ก็คงไม่มีทางได้พบภาพเหตุการณ์ที่น่าประทับใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ชีวิตนี้เกิดมาไม่เสียเปล่า

ดังนั้นเด็กหนุ่มที่เดิมทีได้ฟังคำพูดของนักพรตลู่จึงกลายมาเป็นคนที่กลัวตายและรักชีวิตมากขึ้น บัดนี้จึงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่กลัวตายเลยแม้แต่น้อย

ตายก็ตายสิ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version