บทที่ 45 แสงอาทิตย์
จวนผู้ตรวจการมีแขกที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาเยือนสองคน คนทั้งสองต่างก็เป็นชายวัยกำลังตั้งตัว หน้าตาหล่อเหลา เรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะองดุจต้นหนัน ดุจต้นสน หลังจากคนเฝ้าประตูได้ยินว่าพวกเขามาเยี่ยมท่านชุย ก็ไม่คิดแม้แต่จะถามว่าเป็นใคร รีบพาเข้าไปในจวน พาไปยังจวนพักชั่วคราวของท่านชุยผู้นั้น หลังจากช่วยเคาะประตูให้เรียบร้อย คนเฝ้าประตูก็บอกลาจากไปอย่างนอบน้อม
คนที่มาเปิดประตูก็คือชายที่เป็นตัวแทนของลัทธิขงจื๊อซึ่งมาทวงคืนวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ ตอนที่เขาอายุยังน้อยเคยได้รับคำยกย่องดีงาม ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับตำแหน่งเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษากวานหูคนต่อไป หลังจากที่เขาเห็นคนหนุ่มสองก็ทั้งดีใจและทั้งแปลกใจ มองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งในนั้นที่ยืนเอนตัวพิงกรอบประตูพลางถามยิ้มๆ ว่า “ป้าเฉียว สหายข้างกายของเจ้าคนนี้คือ?”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าป้าเฉียวยิ้มทะเล้น “ไอ้หมอนี่หรือ ก็คือลูกหลานแซ่เฉินเมืองหลงเหว่ยของราชวงศ์ต้ายงอย่างไรล่ะ พี่ชุยท่านเรียกเขาว่าซงเฟิงก็พอ ไอ้หมอนี่ไม่ชื่นชอบทั้งสาวงามและสุรารสเลิศ มีงานอดิเรกอย่างเดียวคือแท่นหินฝนหมึกนี่แหละ ได้ยินมาว่าธารน้ำของเมืองนี้มีหลุมเก่าแก่อยู่หลายหลุม เลยคิดจะมาลองเสี่ยงดวงดู เขายังมีญาติห่างๆ อีกคนหนึ่งที่ครั้งนี้ติดตามพวกเรามาด้วย หากไม่เป็นเพราะนาง ข้าและซงเฟิงก็ไม่มีทางเข้ามาในเมืองล่าช้าขนาดนี้ เดิมทีควรจะมาถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว นางไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นจึงไปเดินเล่นในเมืองเพียงลำพัง เฮ้อ น่าเสียดายยิ่งนัก ระหว่างทางที่มา ได้ยินว่าองค์ชายคนหนึ่งของราชวงศ์สุยได้รับโชควาสนาเทียมฟ้า ได้ปลาหลีมังกรสีทองไปตัวหนึ่ง วันหน้ามีหวังที่จะกลายเป็นมังกรที่ทะยานออกจากแม่น้ำ ทำเอาพวกเราอิจฉาตาร้อนเป็นบ้า พี่ชุยท่านดูสิ ดวงตาของพวกเรามีแต่เส้นเลือดฝอยเต็มไปหมด ว่าไหม?”
เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ปัญญาชนสำนักขงจื๊อท่านนั้น ฝ่ายหลังยิ้ม ใช้มือผลักศีรษะของอีกฝ่ายออก เอ่ยเตือนว่า “หลิวป้าเฉียว ในเมื่อเดินทางมาถึงล่าช้าก็ควรจะรีบไปทำธุระให้เสร็จเรียบร้อย ยังมาเสียเวลาอยู่กับข้าทำไม? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สวนลมฟ้าทำอะไรอืดอาดชักช้าแบบนี้?”
ลูกหลานสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยผู้นั้นยิ้มเจื่อนด้วยสีหน้าขออภัย “ระหว่างที่เดินทางมาเจอกับเรื่องขัดแย้งไม่คาดฝันครั้งหนึ่ง ช่องโพรงอวัยวะในกายที่เป็นห้องเลี้ยงกระบี่ของพี่ป้าเฉียวได้รับบาดเจ็บ จำต้องเสี่ยงย้ายกระบี่แห่งชีวิตไปไว้ที่โพรงหมิงถัง หากไม่เป็นเพราะตบะของข้าไม่แข็งแกร่งพอ จึงกลายมาเป็นตัวภาระ พี่ป้าเฉียวก็คงไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ”
หลิวป้าเฉียวหัวเราะเสียงดังกังวาน “ก็แค่พวกฝึกตนอิสระที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เท่านั้น อาศัยวิชานอกรีตเล็กน้อยถึงโชคดีทำร้ายข้าผู้เป็นคุณชายได้ แต่พวกเขาก็กลายเป็นวิญญาณที่ตายด้วยคมกระบี่ของข้าไปแล้ว ไม่มีค่าพอให้พูดถึง! หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนเดินทาง ข้าผู้เป็นคุณชายคงขุดหลุมฝัง ตั้งป้ายหน้าหลุมศพเขียนไว้ว่าพวกเขาตายใต้กระบี่ของข้าหลิวป้าเฉียวในวันเดือนปีไหนด้วย วันหน้ารอให้ข้าได้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวิถีกระบี่เมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจกลายมาเป็นทิวทัศน์อีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากก็ได้ ว่าไหม?”
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อรู้จักกับผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวิถีกระบี่ของสวนลมฟ้าคนนี้มานานมากแล้ว รู้ดีถึงนิสัยลอยชายเอาแน่เอานอนไม่ได้ของอีกฝ่าย จึงพาคนทั้งสองเข้าไปในลานกว้าง
หลิวป้าเฉียวพลันกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “พี่ชุย ท่านบอกใบ้ข้าหน่อยสิ ฟ้าดินแห่งนี้ใกล้จะพังทลายลงแล้วใช่หรือไม่? ท่านฉีของสำนักศึกษาซานหยาที่ถูกเนรเทศมาที่นี่ จะดึงดันละเมิดกฎสวรรค์จริงๆ น่ะหรือ?”
บัณฑิตแซ่ชุยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หลิวป้าเฉียวหัวเราะหึหึ ชี้ไปที่ท่านชุยผู้นั้น “ข้าเข้าใจแล้ว”
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังเหมือนผ่อนคลาย “ซงเฟิง ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปเยี่ยมท่านฉีที่โรงเรียนมาก่อน ท่านฉีเคยพูดว่าเรื่องของการฝึกตนนั้น ‘กาลเวลาไม่คอยใคร’”
ตระกูลฉีเป็นผู้ฝึกตนปกครองแว่นแคว้นที่สร้างความสงบสุขให้ใต้หล้า เมล็ดพันธ์ของเซิ่งเหรินที่มาจากสกุลชุยผู้นี้ พูดถึงแค่เรื่องผู้ฝึกตนก็เงียบเสียงไป
เดิมทีเฉินซงเฟิงนึกว่านี่คือคำพูดทักทายปราศรัยระหว่างบัณฑิตด้วยกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเขาเห็นสายตาของอีกฝ่าย ความคิดก็พลันบังเกิด เฉินซงเฟิงรับความนัยจากอีกฝ่ายได้จึงกุมมือประสานแล้วกล่าวว่า “ท่านชุย ข้าจะไปหาพี่สาวที่เป็นญาติห่างๆ คนนั้นสักหน่อย กลับมาแล้วค่อยมาขอความรู้ด้านการปกครองแคว้นจากท่าน”
คำพูดของเฉินซงเฟิงเอ่ยถึงแค่การปกครองแว่นแคว้น กระโดดข้าม “ตระกูลฉี” ไปเหมือนจะจงใจ แต่ก็เหมือนไม่ตั้งใจ
แล้วเฉินซงเฟิงก็รีบร้อนจากไป
บัณฑิตแซ่ชุยถอนหายใจ แล้วเดินไปนั่งบนโต๊ะหินข้างลานบ้านเล็กๆ พร้อมกับหลิวป้าเฉียว
หลิวป้าเฉียวยกขาขึ้นไขว่ห้าง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เฉินซงเฟิงคนนี้ฉลาดจริง แค่นิดเดียวก็เข้าใจได้แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ค่อยพิถีพิถันนัก อย่างน้อยควรจะนั่งลงแล้วพูดคุยกับท่านสักสองสามประโยคค่อยจากไปก็ยังไม่สาย ไม่เห็นต้องรีบร้อนไปขอใบไหวร่มเงาบรรพบุรุษเลยนี่นา? ข้าว่าไม่เห็นมีความจำเป็นสักหน่อย ตอนนี้แจกันสมบัติทวีปบูรพาของพวกเรา นอกจากสกุลเฉินในเมืองหลงเหว่ยแล้ว ยังมีอีกกี่ตระกูลที่สามารถออกหน้าออกตาได้? ใบไหวพวกนั้นไม่ยอมหล่นลงมาในกระเป๋าของเขาเฉินซงเฟิงแต่โดยดี หรือจะหล่นลงบนหัวของมนุษย์ธรรมดาที่เกิดและโตในเมืองแห่งนี้?”
สกุลเฉินของแจกันสมบัติทวีปบูรพามีสกุลเฉินในเมืองหลงเหว่ยเป็นหน้าเป็นตา แม้จะเงียบงันมานานหลายปี ทว่าอูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า (เปรียบเปรยว่าแม้จะตกต่ำแต่ก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน) แม้ชื่อเสียงจะไม่โด่งดัง แต่จะอย่างไรแล้วบรรพบุรุษก็เคยมีบุคคลโดดเด่นจำนวนมากโลดแล่นอยู่ในธารประวัติศาสตร์มานานนับพันปี ดังนั้นต่อให้เป็นสำนักสวนลมฟ้าที่หลิวป้าเฉียวอยู่จะมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ก็ยังไม่กล้าดูถูก คนอย่างหลิวป้าเฉียวจึงยินดีที่จะคบหาอีกฝ่าย มองอีกฝ่ายเป็นเหมือนสหายครึ่งตัว
บัณฑิตถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้ามาที่นี่เพื่อขอให้อาจารย์หร่วนผู้นั้นช่วยเจ้าหลอมกระบี่งั้นหรือ?”
หลิวป้าเฉียวอึกๆ อักๆ พูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจน
ความหมายคร่าวๆ ของเขาก็คือ มาทำธุระเรื่องหนึ่งให้กับสำนัก หากทำสำเร็จ สวนลมฟ้าจะออกหน้าขอร้องให้อาจารย์หร่วนหลอมกระบี่ให้เขา ส่วนธุระที่ว่านั้นคืออะไร ดูเหมือนว่าหลิวป้าเฉียวลำบากใจที่จะพูด
บัณฑิตกล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนของเขาตะวันเที่ยงก็มาด้วย แถมยังเป็นนายบ่าวสองคน”
หลิวป้าเฉียวตะลึงงัน กล่าวอย่างตกใจ “ข้าไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย คนของเขาตะวันเที่ยงคนไหนที่มา?”
จากนั้นชายหนุ่มผู้ฝึกวิถีกระบี่ของสวนลมฟ้าที่มีชื่อเสียงด้านความโอหังผู้นี้ก็หลับตาลง สิบนิ้วยกขึ้นพรม ท่องคาถาคล้ายกำลังสวดมนต์ภาวนา “ขออย่าให้เป็นเทพธิดาซูผู้งามล่มบ้านล่มเมืองเลย คนต่ำต้อยอย่างข้าขอคุกเข่าวิงวอนว่าอย่าให้เป็นเทพธิดาซูที่เดินทางมาเอง หาไม่แล้วข้าต้องลงมือหรือไม่ต้องลงมือ? เทพธิดาซูมองข้าครั้งเดียว ข้าก็เคลิ้มแล้ว ไฉนเลยจะทำใจเรียกกระบี่บินออกมาได้…”
บัณฑิตรู้สึกระอาใจเล็กน้อย “วางใจเถอะ ไม่ใช่เทพธิดาซูผู้อยู่ในใจของเจ้าหรอก แต่เป็นวานรขาวพิทักษ์ขุนเขา เขาคุ้มครองหลานรักของเถาขุยบรรพบุรุษกระบี่ฉุนหยางแห่งเขาตะวันเที่ยงมา”
“เหล่าชุยท่านเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ! ขอแค่ไม่ใช่เทพธิดาซูก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่หลวงแล้ว!” หลิวป้าเฉียวกระโดดโลดเต้น หัวเราะร่าเสียงดังทันที “เขามีอะไรให้น่ากลัวกัน?! ข้าน่ะหรือจะกลัวสัตว์เดรัจฉานแก่ๆ ตัวหนึ่ง?! สวนลมฟ้าของเราใครก็กลัวได้ มีเพียงเขาตะวันเที่ยงของพวกเขาเท่านั้นที่เราไม่กลัว!”
บัณฑิตลังเลเล็กน้อย “สวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยง เดิมทีก็คือสำนักกระบี่ดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน เหตุใดถึงไม่สามารถคลายเงื่อนตายออกได้?”
หลิวป้าเฉียวเก็บใบหน้ายิ้มแย้มกลับคืน กล่าวเสียงหนักว่า “ชุยหมิงหวง คำพูดแบบนี้ วันหน้าหากไปเยือนสวนลมฟ้าของพวกเราเมื่อไหร่ ห้ามพูดกับคนอื่นแม้แต่ครึ่งคำเด็ดขาด”
บัณฑิตถอนหายใจยาวเหยียด
สวนลมฟ้า เขาตะวันเที่ยง
พวกเขาทั้งสองฝ่าย นับตั้งแต่บุรพาจารย์เซียนกระบี่ไปจนถึงลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนัก แค่พูดไม่เข้าหูคำเดียว หรือแค่เจอกันโดยบังเอิญก็มักจะชักกระบี่พุ่งเข้าใส่กันทันที
คนเฝ้าประตูของจวนที่ว่าการและพ่อบ้านวัยชราพลันเดินมาถึงนอกประตูลานอย่างรีบร้อน ชุยหมิงหวงและหลิวป้าเฉียวลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
พ่อบ้านเดินเข้ามาในลาน หลังจากคำนับเรียบร้อยแล้วก็กล่าวว่า “ท่านชุย เพิ่งได้ข่าวหนึ่งมา เขาตะวันเที่ยงเพิ่งจะลงมือับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยาง”
หลิวป้าเฉียวพลันเดือดดาลอย่างหนัก “หลิวเสี้ยนหยางคนไหน?!”
พ่อบ้านค่อนข้างเคารพนอบน้อมต่อท่านชุย ส่วนคุณชายตรงหน้าที่ไม่รู้ชื่อแซ่ท่านนี้ อันที่จริงผู้เฒ่ากลับไม่หวาดกลัว จึงตอบรับไปเรียบๆ ว่า “เรียนคุณชายท่านนี้ ในเมืองของเรามีคนชื่อหลิวเสี้ยนหยางเพียงคนเดียว”
สีหน้าของหลิวป้าเฉียวแปรเปลี่ยนในฉับพลัน เขาหัวเราะเสียงเหี้ยม “ดีนักนะไอ้พวกเขาตะวันเที่ยง รังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
สีหน้าของชุยหมิงหวงยังคงราบเรียบดังเดิม เอ่ยถามว่า “ท่านฉีออกหน้าหรือไม่?”
พ่อบ้านส่ายหน้า “ยังขอรับ ได้ยินว่าเด็กหนุ่มคนนั้นถูกพาตัวไปที่ร้านกระบี่ของอาจารย์หร่วน คาดว่าต่อให้ไม่ตายก็คงเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้าย มีคนเห็นกับตาตัวเองว่าหน้าอกของเด็กหนุ่มคนนั้นถูกต่อยจนแหลกเละ จะมีชีวิตรอดไปได้อย่างไร”
ชุยหมิงหวงคลี่ยิ้ม “ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่บอกเรื่องนี้”
พ่อบ้านวัยชรารีบโบกมือปฏิเสธ “มิกล้า มิกล้า เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว รบกวนท่านชุยแล้ว”
หลังจากที่พ่อบ้านพาคนเฝ้าประตูจากไปพร้อมกัน ชุยหมิงหวงเห็นว่าหลิวป้าเฉียวนั่งแปะลงไปบนม้านั่งหินก็ถามด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าเจ้ามาเพราะเด็กคนนั้น?”
สีหน้าของหลิวป้าเฉียวเดี๋ยวดีเดี๋ยวเสีย “ถือว่าใช่ครึ่งหนึ่งล่ะมั้ง อันดับต่อไปจะยุ่งยากมาก ยุ่งยากมากๆ เลยล่ะ”
ชุยหมิงหวงถามว่า “ไม่ใช่แค่เกี่ยวพันกับบุญคุณความแค้นระหว่างสวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงกระมัง?”
หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ “อยู่ไกลเกินกว่านั้นมากนัก”
บัณฑิตเก็บมือไว้ในชายแขนเสื้อแล้วนั่งลง เอ่ยเบาๆ ว่า “ต้นไม้อยากอยู่นิ่ง แต่ลมไม่หยุดพัด ดูท่าข้าควรไปเอาเครื่องหยกสี่เหลี่ยมชิ้นนั้นกลับคืนมาได้แล้ว ต่อให้จะถูกท่านฉีเข้าใจผิดคิดว่าสำนักศึกษากวานหูของพวกเราฉวยโอกาสซ้ำเติมผู้อื่น ก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
ชุยหมิงหวงลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปที่โรงเรียนสักหน่อย ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
หลังจากที่เขาออกมาจากจวนบนถนนฝูลวี่ก็เดินผ่านซุ้มประตูหินสิบสองเสา จึงหยุดชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองกรอบป้ายสี่คำที่เขียนว่า “ตังเหรินปู้รั่ง” (ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ)
ภายใต้แสงตะวัน บัณฑิตยกมือขึ้นวางเหนือหน้าผากเพื่อบังแดด
หลังจากที่เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก็เลือกที่จะหมุนตัวกลับไปที่จวนผู้ตรวจการอีกครั้ง
—-
ผู้เฒ่าร่างกำยำผมขาวจูงมือเด็กหญิงหน้าตาดุจดั่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ประณีตงดงามเดินอยู่บนถนนฝูลวี่ แต่เขาไม่ได้กลับไปจวนใหญ่ของตระกูลหลู แต่ไปที่ตระกูลหลี่ มีคนมายืนรออยู่หน้าประตูเพื่อรับคนทั้ง สองเข้าไปในบ้านนานแล้วและหลังจากที่เข้าไปในห้องโถงหลักซึ่งมีกรอบป้ายคำว่า “กานลู่ถัง” (โถงน้ำค้าง) แขวนอยู่ ผู้เฒ่าที่ดูมีบารมีคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เดินมารับตรงหน้าประตู กุมมือประสานพลางกล่าวว่า “หลี่หงคารวะผู้อาวุโสหยวน”
วานรเฒ่าย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงพยักหน้าให้กับประมุขตระกูลหลี่อย่างไม่ใส่ใจ เขาปล่อยมือเล็กๆ ของเด็กหญิงออก ก่อนก้มหน้าลงพูดเสียงอ่อนโยนกับนางว่า “คุณหนู บ่าวเฒ่าจะไปรอท่านที่ยอดเขา”
เด็กหญิงกำลังนั่งอยู่บนธรณีประตูของห้องโถงด้วยท่าทางขุ่นเคืองไม่ยอมพูดยอมจา
ประมุขตระกูลหลี่เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ สกุลหลี่ของพวกเราจะต้องส่งคุณหนูเถาออกไปจากเมืองอย่างปลอดภัยแน่นอน”
วานรเฒ่าอืมรับหนึ่งคำ “ครั้งนี้รบกวนพวกเจ้าดูแลคุณหนูด้วย ถือว่าเขาตะวันเที่ยงติดค้างบุญคุณของพวกเจ้าครั้งหนึ่ง ขอข้าพูดคุยกับคุณหนูหน่อย”
ผู้เฒ่าคนนั้นออกไปจากห้องโถงหลักทันที ทั้งยังออกคำสั่งให้คนในตระกูลทั้งหมดอยู่ห่างจากโถงน้ำค้างหนึ่งร้อยก้าว
วานรเฒ่าเองก็นั่งลงบนธรณีประตู ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “คุณหนู คำพูดบางอย่าง เดิมทีไม่ควรพูดกับท่าน เพียงแต่ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ปิดบังต่อไปก็ไม่มีความหมาย บ่าวเฒ่าจึงจะพูดกับท่านทุกอย่าง การเดินทางมาเมืองเล็กครั้งนี้ สถานการณ์เกินครึ่งเกิดจากการวางแผนอย่างตั้งใจของใครบางคน หญิงตระกูลซวี่ของนครลมเย็นย่อมเป็นคนหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่านางอาจจะไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุด ความร้ายกาจของหลุมพรางนี้อยู่ที่บ่าวเฒ่ามีลางสังหรณ์ได้แล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจไม่โดดลงไป คุณหนูคงไม่รู้ว่า เจ้าของคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นเคยเป็นศิษย์ผู้ทรยศของเขาตะวันเที่ยง เขาเป็นคนสร้างคัมภีร์นั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง ตามคำบอกของปู่ท่าน ความล้ำค่าที่สุดของคัมภีร์กระบี่เล่มนี้อยู่ที่ว่า แม้ว่าความสำเร็จสุดท้ายบนวิถีแห่งกระบี่ของคนที่เขียนคัมภีร์เล่มนี้จะเป็นแค่การได้สัมผัสธรณีประตูของการเป็นเซียนกระบี่เท่านั้น แต่เนื้อหาของคัมภีร์กระบี่ชี้ตรงไปยังมหามรรค คุณหนูท่านลองคิดดูนะว่าบุรพาจารย์ตระกูลเซี่ยที่สนิทสนมกับเขาตะวันเที่ยงของพวกเรามีวิสัยทัศน์กว้างไกลถึงเพียงไหน และต่อให้เป็นเขาก็ยังวิเคราะห์คัมภีร์เล่มนี้ด้วยสองคำว่า ‘ยอดเยี่ยม’”
ประโยคถัดมาน้ำเสียงของผู้เฒ่าเปลี่ยนมาเป็นเย็นชาอยู่หลายส่วน “และในขณะที่อัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ซึ่งหลอกลวงลบล้างบรรพาจารย์คนนั้นเดินไปถึงทางตัน เขาก็เลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อสวนลมฟ้าศัตรูคู่อาฆาตของเขาตะวันเที่ยงเรา และสวนลมฟ้าก็สามารถปกป้องคนผู้นี้ได้เกินครึ่งชีวิตจริงๆ เขาทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองมาเกินครึ่งชีวิต ภายหลังเพื่อพิสูจน์คัมภีร์กระบี่เล่มนั้นจึงแอบออกมาจากสวนลมฟ้าเงียบๆ แล้วจึงตามหามหาเซียนกระบี่หลายท่านเพื่อให้ช่วยพิสูจน์ ยกตัวอย่างเช่นบุรพาจารย์ตระกูลเซี่ยที่ต่อให้จะดูแคลนพฤติการณ์ของคนผู้นี้ แต่ก็ยังเอ่ยชมคัมภีร์กระบี่ที่เขาเขียนไม่ขาดปาก บุรพาจารย์ตระกูลเซี่ยเคยพูดเป็นการส่วนตัวว่า คัมภีร์กระบี่เล่มนั้นผสานรวมจิตวิญญาณแห่งวิถีกระบี่ของทั้งเขาตะวันเที่ยงและของสวนลมฟ้า หากฝ่ายไหนมีคนฝึกสำเร็จ ถ้าอย่างนั้นเมื่อสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยเวทคาถา สุดท้ายแล้วใครจะชนะก็ยังไม่อาจรู้แน่”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “ดังนั้นหากบ่าวเฒ่าได้คัมภีร์กระบี่เล่มนี้มาครอง และมอบให้คุณหนูเป็นผู้ฝึกฝน ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และต่อให้เขาตะวันเที่ยงของพวกเราไม่ได้มาครอง แต่เป็นพวกคนหนุ่มสาวของนครมังกรเฒ่าหรือเขาเมฆาเรืองที่โชคดีได้ไป เขาตะวันเที่ยงของพวกเราก็ยังพอทนได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่อาจถอยให้ได้แม้แต่ครึ่งก้าว นั่นก็คือปล่อยให้พวกเศษสวะอย่างสวนลมฟ้าได้คัมภีร์กระบี่เล่มนั้นไปครอง!”
สีหน้าของผู้เฒ่าเขียวคล้ำดุร้าย “คุณหนู อย่าลืมล่ะว่าในช่วงเวลาที่เขาตะวันเที่ยงอ่อนแอมากที่สุด บุรพาจารย์ท่านนั้นของเขาตะวันเที่ยงพวกเรา ซึ่งก็คือบรรพบุรุษสายของคุณหนู นางได้ลุกขึ้นมาท้ารบกับเจ้าสวนลมฟ้าอย่างกล้าหาญ ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อนางรบตายอยู่บนลานประลองกระบี่ที่อยู่ในจุดลึกสุดกลางสวนของสวนลมฟ้า ศพของนางไม่เพียงแต่ไม่ถูกสวนลมฟ้าส่งกลับมาฝังที่เขาตะวันเที่ยงตามมารยาท แต่พวกเขายังปล่อยให้ศพของนางตากแดดตากลม ซ้ำในหัวของนางยังมีกระบี่เล่มยาวของสวนลมฟ้าเล่มหนึ่งเสียบคาอยู่ ด้วยจงใจปล่อยให้ทุกคนที่ผ่านมาเห็นตลกขบขัน!”
“สามร้อยปีแล้ว สามร้อยปีเต็มมาแล้ว ต่อให้เขาตะวันเที่ยงจะได้รับการยอมรับว่ามีคนเก่งกล้ามากมาย แต่สุดท้ายแล้วแม้แต่กระบี่เล่มเดียวของสวนลมฟ้า เราก็ยังไม่อาจดึงออกมาได้! ผู้ฝึกกระบี่ของเขาตะวันเที่ยงหลายรุ่นต้องแบกรับความอัปยศใหญ่หลวงนี้ หนึ่งวันที่เขาตะวันเที่ยงไม่ทำลายสวนลมฟ้า ก็เป็นหนึ่งวันที่เราต้องตกเป็นตัวตลกของคนทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพา”
“เหตุใดทุกครั้งที่บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของเขาตะวันเที่ยงได้กลายเป็นเซียนกระบี่ผู้สูงศักดิ์แล้ว ถึงไม่ยอมทำพิธีเฉลิมฉลองเพื่อป่าวประกาศให้ใต้หล้ารับรู้?!”
เรื่องราวในอดีตเหล่านี้ อันที่จริงเด็กหญิงรู้ชัดเจนอยู่แก่ใจมานานแล้ว และก็ฟังจนหูเปียกหูแฉะแล้วเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เวลาที่ญาติหรือผู้อาวุโสเอ่ยถึง มักจะพยายามพูดถึงบุญคุณความแค้นช่วงนี้ด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่เหมือนกับวานรย้ายภูเขาที่ใช้น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นโกรธเคือง
เด็กหญิงถามด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ท่านปู่ป๋ายหยวน แล้วทำไมท่านถึงไม่ฉวยโอกาสต่อยให้เด็กหนุ่มที่ร่อแร่เต็มทีคนนั้นให้ตายไปในหมัดเดียวเลยล่ะ? แม้จะบอกว่าตอนนี้ชีพจรของเขาแตกหัก ลมปราณแหลกสลายวุ่นวายแล้ว แน่นอนว่าคัมภีร์กระบี่ก็ย่อมต้องถูกทำลายตามไปด้วย ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ไม่อาจทำให้มันฟื้นคืนกลับมาดังเดิมได้ แต่กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ หากมีคนมาช่วยเขา หากมีคนได้รับคัมภีร์กระบี่ไป ถ้าอย่างนั้นเขาตะวันเที่ยงของพวกเราจะทำอย่างไร?”
วิธีการสืบทอดของคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นมีความมหัศจรรย์ที่พิเศษมาก เพราะไม่อาจถ่ายทอดได้ด้วยคำพูด ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษสกุลหลิวจะเขียนอักษรลงบนกำแพง หรือไม่ก็ศิษย์ทรยศของขุนเขาตะวันเที่ยงคนนั้นทิ้งปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่ไหลวนไม่หยุดนิ่งไว้ในร่างกายของลูกหลาน และสืบทอดต่อกันมาเช่นนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า รอวันที่ลูกหลานซึ่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำปรากฏตัว ถึงจะสามารถควบคุมเนื้อหาและปราณกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ในคัมภีร์กระบี่เล่มนี้ได้
ดังนั้นขอแค่เด็กหนุ่มตายไป คนซื้อเครื่องปั้นของเขาและสวนลมฟ้าก็จบเห่อย่างสิ้นเชิง คัมภีร์กระบี่ที่ไม่เคยปรากฎบนโลกอย่างแท้จริงเล่มนั้นก็จะสลายหายไปนับแต่บัดนี้
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “หากบ่าวเฒ่าฆ่าเด็กหนุ่มคนนั้นตายคาที่ก็จะต้องถูกขับไล่ออกจากฟ้าดินเล็กๆ แห่งนี้ในทันที เมื่อถึงเวลานั้นคุณหนูจะทำอย่างไร หรือว่าจะให้คุณหนูต้องเผชิญกับคนของสวนลมฟ้าเพียงลำพัง? อีกอย่างสถานที่แห่งนี้ยังห้ามใช้เวทลับทุกชนิด อาจารย์หร่วนสามารถหลอมกระบี่ สามารถฆ่าคน แต่ความสามารถในการช่วยคนนั้น ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ นอกจากนี้แล้ว ฉีจิ้งชุนจะลงมือหรือ? ไม่มีทางแน่นอน เขาในเวลานี้ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอด อีกอย่างหากทำให้บ่าวเฒ่าโมโหเข้าจริงๆ อย่างมากก็แค่เผยร่างจริง บ่าวเฒ่าเองก็อยากจะรู้นักว่า ฟ้าดินแห่งนี้จะรองรับร่างจริงที่ใหญ่พันจั้งของบ่าวเฒ่าได้ไหวหรือไม่!”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนด้วยพลังอำนาจที่เปี่ยมไพศาล “คุณหนู เรื่องเด็กหนุ่มบนสะพาน ท่านไม่ต้องสนใจแล้ว ปล่อยให้บ่าวเฒ่าสังหารคนของสวนลมฟ้า แล้วข้าจะไปรอท่านที่นอกประตูบนยอดเขา หากฉีจิ้งชุนผู้นั้นรู้อะไรควรไม่ควรก็ต้องทำแค่มองดูอยู่ห่างๆ หากเขากล้าสอดมือ บ่าวเฒ่าก็กล้าชนให้ร่างของเขาแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ต่อให้อาจารย์หร่วนลงมือเอง บ่าวเฒ่าก็แค่สู้ให้เต็มที่เท่านั้น การเดินทางมาครั้งนี้ถึงจะไม่ถือว่าเสียเปล่า!”
เด็กหญิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มกว้าง “ท่านปู่ป๋ายหยวน ท่านไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างสง่างาม “คุณหนูก็ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงบ่าวเฒ่าเลย”
—-
ในห้องแห่งหนึ่งของร้านตีเหล็กข้างธารน้ำอบอวลเป็นด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น น้ำเลือดหลายอ่างถูกยกออกไป จากนั้นก็ยกกลับมาแทนด้วยน้ำสะอาด
ผู้เฒ่าคนหนึ่งถูกเด็กสาวชุดเขียวหิ้วเข้ามาเหมือนลูกเจี๊ยบ เขาก็คือเถ้าแก่ร้านยาตระกูลหยาง ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กตรงหน้าต่าง ยื่นมือออกไปล้างคราบเลือดทิ้ง หน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ส่ายหน้ากล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์หร่วน อาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มคนนี้สาหัสเกินไป หากอยู่นอกเมือง…”
อาจารย์หร่วนที่ยกมือสองข้างขึ้นกอดอกตีหน้าเคร่ง “คำพูดไร้สาระไม่ต้องพูด”
ผู้เฒ่าได้แต่ยิ้มเจื่อน
ตนพูดเรื่องไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ หากอยู่นอกเมืองก็ไม่มีทางที่ตนต้องลงมือเองอย่างนี้
หร่วนซิ่วเด็กสาวชุดเขียวจ้องเขม็งไปยังใบไหวหม่นแสงซึ่งวางไว้บนหน้าผากของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง ตอนนี้สีเขียวยังคงเป็นสีเขียว แต่กลับไม่มีความมีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย นางพลันหันหน้ากลับมาถามอย่างโกรธแค้นว่า “ไหนพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วไงว่า ถ้าเฉินผิงอันเอาใบไหวของเขาออกมา หลิวเสี้ยนหยางจะมีโอกาสรอดชีวิตครึ่งหนึ่ง?”
เถ้าแก่ร้านยาตระกูลหยางถอนหายใจกล่าวว่า “หากเจ้าของใบไหวได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยตัวเอง จากนั้นได้รับร่มเงาแห่งบรรพบุรุษของใบไหวคุ้มครอง แน่นอนว่าย่อมต้องมีโอกาสรอดห้าส่วน ทว่าหากนำใบไหวของคนอื่นมาใช้แทน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
หร่วนซิ่วตวาดเดือดดาล “เจ้าคนแซ่หยาง! แล้วทำไมก่อนหน้านี้เจ้าถึงพูดจาเหลวไหล บอกว่ามีความหวังห้าส่วน?! ทำไมไม่บอกแบบนี้ตั้งแต่แรก!”
ผู้เฒ่าหน้าม่อย รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุด “หากตอนนั้นข้าผู้อาวุโสไม่พูดอย่างนี้ เกรงว่าเด็กหนุ่มยังไม่ตาย ข้าผู้อาวุโสคงถูกเจ้าตีจนตายทั้งเป็นไปซะก่อน”
หร่วนซิ่วสีหน้าซีดขาว กำลังจะอ้าปากด่าคน
ชายวัยกลางคนกลับเอ่ยเสียงหนักขึ้นมาซะก่อน “ซิ่วซิ่ว ห้ามไร้มารยาทกับเถ้าแก่หยาง”
หร่วนซิ่วกัดฟันแน่น ไม่เอ่ยคำใดอีก
ชายวัยกลางคนเงียบไปครู่ ปรายตามองเถ้าแก่ชราที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ ไม่ยอมลงมือทำอะไรสักที ทันใดนั้นความเกรี้ยวกราดก็ไหลบ่าขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาจึงเริ่มด่ากราดเสียงดัง “เถ้าแก่หยาง เจ้านั่งบื้อเหมือนท่อนไม้หามารดาเจ้าหรือ กำลังรอความตายอยู่หรือไง?!”
มาเจอพ่อลูกคู่นี้ ผู้เฒ่าอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออกจริงๆ แต่ประเด็นคือเขาไม่กล้าเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา ได้แต่แข็งใจดันทุรังรักษาต่อไป
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะไม่เคยร้องโวยวายเสียงดัง แล้วก็ไม่คร่ำครวญหวนไห้ ทำเพียงแค่คอยยกอ่างน้ำเข้าๆ ออกๆ เปลี่ยนน้ำเลือดให้กลายเป็นน้ำสะอาดอ่างแล้วอ่างเล่า
หลังจากผ่านไปได้หนึ่งเค่อ เถ้าแก่ร้านยาก็หงุดหงิดอย่างถึงที่สุด ก้มหน้าลงมองน้ำสะอาดอ่างนั้นแล้วพลันตบฉาดลงไปในน้ำจนหยดน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว จากนั้นก็เงยหน้ามองอาจารย์หร่วน กล่าวด้วยความขุ่นเคืองอย่างหนัก “อาจารย์หร่วน! ท่านเอากระบี่มาแทงข้าให้ตายไปเลยดีกว่า ข้าผู้อาวุโสแค่ขายยา ไม่ใช่หมอเทวดาที่ทำให้คนฟื้นคืนชีพจากความตายได้สักหน่อย!”
ชายฉกรรจ์ช่างตีเหล็กเริ่มขมวดคิ้วทีละนิด
ผู้เฒ่าหดคอทันที
ในที่สุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “เถ้าแก่หยาง ลองดูอีกครั้งเถอะ”
พอผู้เฒ่าหันกลับไปมองเด็กหนุ่มก็เห็นดวงตาที่ใสบริสุทธิ์ของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มจึงเพิ่มระดับน้ำเสียงอีกเล็กน้อย “ลองอีกครั้ง!”
ผู้เฒ่าพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที พูดอย่างอดสงสารไม่ได้ว่า “เจ้าลูกชาย ข้าผู้อาวุโสมีใจแต่ไร้ความสามารถจริงๆ”
เด็กหนุ่มเค้นรอยยิ้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง “เถ้าแก่หยาง ขอร้องท่านล่ะ”
ใบหน้าผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ยังคงส่ายหน้า
ประกายแห่งความหวังเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในดวงตาเด็กหนุ่มจึงหายวับไปด้วย
เขาย่อตัวลงวางอ่างน้ำ ขยับไปนั่งข้างเตียง กุมมือที่ค่อนข้างเย็นของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจะกลับมา”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง พอเดินไปถึงธรณีประตู เขาพลันหันตัวกลับมามองพ่อลูกตระกูลหร่วนและเถ้าแก่ชรา แล้วจึงโค้งตัวขอบคุณคนทั้งสามที่ยุ่งวุ่นวายมาจนถึงตอนนี้
เด็กหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูออกไป
แสงอาทิตย์ค่อนข้างจะแยงตา หลังจากที่ชะงักเท้าไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
สวรรค์ไม่ให้ความยุติธรรม ไม่เป็นไร ข้าไปหามาเอง หาได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น