บทที่ 48 ปล่อยเหยื่อ
หลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมาส่งจดหมายที่ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่บ่อยๆ แทบทุกครัวเรือนจึงรู้จักคนส่งจดหมายผู้นี้แล้ว ดังนั้นการที่เขาโผล่มาจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร บวกกับที่สีหน้าของเด็กหนุ่มเป็นธรรมชาติเหมือนทุกครั้งที่วิ่งเหยาะๆ อยู่บนแผ่นหินสีเขียว ต่อให้มีคนเดินผ่านมาแล้วเห็นเขาก็ไม่คิดอะไรมาก เฉินผิงอันเดินไปใกล้ประตูหน้าของบ้านหลังหนึ่ง หน้าประตูวางหินสือก่านตัง (ป้ายหินขนาดเล็กหรือหินแกะสลักที่วางไว้ตรงหน้าบ้านหรือหน้าปากซอยคล้ายเป็นยันต์กันภัย) สยบความชั่วร้ายเอาไว้ ขนาดสูงครึ่งตัวคน ลักษณะองอาจห้าวหาญ เฉินผิงอันรู้ว่าที่นี่คือบ้านตระกูลหลี่ ตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยแทบทุกบ้านที่ตั้งอยู่บนถนนฝูลวี่มีวิธีสยบเสนียดจัญไรแตกต่างกันออกไป แม้แต่ภาพเทพทวารบาลที่ติดหน้าประตูใหญ่ก็ยังมีแบ่งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ดังนั้นจึงแยกแยะได้ง่ายมาก
เขากวาดตามองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินหน้าต่ออีกครั้ง ข้างหน้าก็คือบ้านตระกูลซ่ง ผ่านบ้านตระกูลซ่งไปก็คือจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาแล้ว ด้านนอกกำแพงที่แบ่งเขตบ้านตระกูลหลี่และตระกูลซ่งมีต้นไหวอยู่ต้นหนึ่ง กิ่งก้านแก่แห้ง แต่ใบดกเป็นพุ่มหนา แม้จะเทียบกับต้นไหวเก่าแก่ประจำเมืองที่มีกลิ่นอายของการผ่านกาลเวลามายาวนานไม่ได้ แต่ก็ทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดา
คนเฒ่าคนแก่เล่าลือกันว่าต้นไหวต้นนี้กับต้นไหวโบราณสูงเสียดฟ้าที่ฝังรากอยู่ใจกลางเมืองสืบทอดมาจากสายเดียวกัน ต้นไหวต้นนั้นถูกเรียกว่าจู่จงไหว (ไหวบรรพบุรุษ) ส่วนต้นที่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเรียกว่าจื่อซุนไหว (ไหวลูกหลาน)
การที่เฉินผิงอันมาที่ตระกูลหลี่ แต่ไม่ได้ไปที่ตระกูลหลูของหลูเจิ้งฉุนก็เพราะก่อนที่เด็กหนุ่มจะออกมาจากจวนผู้ตรวจการ พ่อบ้านวัยชราที่เดินมาส่งตลอดทางได้พูดเรื่องสัพเพเหระบางอย่างเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจว่า จ้าวเหยาเมล็ดพันธ์ปัญญาชนของตระกูลจ้าวที่อยู่บนถนนอะไรสักอย่างนั่นได้ออกจากเมืองไปแล้ว วันหน้าไม่แน่ว่าอาจมีชะตาได้เป็นจอมหงวนเป็นขุนนางใหญ่ ตระกูลซ่งบ้านข้างๆ ก็มีคุณหนูคนไหนสักคนที่ถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่กลับทำงานเย็บปักถักร้อยอะไรไม่เป็นสักอย่าง ดีแต่ชอบระบำดาบรำทวน เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่เสียที่ไหน เจ้าว่าตลกไหมล่ะ? ท่ามกลางเรื่องจุกจิกหาสาระไม่ได้จำนวนมากที่ผู้เฒ่าเอ่ยถึงยังสอดแทรกข้อมูลอย่างหนึ่งที่เล็กน้อยจนแทบไม่มีความสำคัญไว้ว่า ตระกูลหลี่เพิ่งจะรับแขกฐานะสูงศักดิ์คนหนึ่ง เด็กหญิงหน้าตาดุจหยกแกะสลัก ประหนึ่งเครื่องเคลือบลายครามชิ้นหนึ่งที่เชื้อพระวงศ์ชอบใช้ วันหน้าเมื่อเติบใหญ่ต้องเป็นโฉมสะคราญคนหนึ่งแน่นอน ก็ไม่รู้ว่าอนาคตบ้านไหนจะโชคดีได้แต่งสะใภ้คนนี้เข้าบ้าน
ตลอดทางหลังออกมาจากจวนผู้ตรวจการ เด็กหนุ่มที่แต่เดิมเพียงรับฟังไม่พูดจาชะลอฝีเท้าเดินช้าเหมือนตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งยังสังเกตลักษณะการจัดวางสิ่งปลูกสร้างของจวนผู้ตรวจการอย่างละเอียด สุดท้ายถามนอกเรื่องไปสองประโยคคล้ายเด็กยากจนที่อยากรู้อยากเห็นในความร่ำรวยอู้ฟู่ของตระกูลใหญ่ พ่อบ้านวัยชราตอบทุกเรื่องที่ตัวเองรู้โดยไม่มีหมกเม็ด อธิบายให้เด็กหนุ่มเข้าใจถึงการจัดวางและกฎเกณฑ์ต่างๆ ของสิ่งปลูกสร้างในตระกูลใหญ่โดยยกตระกูลซ่งที่อยู่ติดกันและตระกูลหลี่ที่อยู่ห่างออกไปเป็นตัวอย่าง
และเด็กหนุ่มเองก็รู้ดีถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของพ่อบ้านวัยชรา
เพียงแต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันไม่ได้คิดจะทำตามความประสงค์ของพวกเขา
เวลานี้กำลังวิ่งเหยาะๆ ไปตามริมถนนอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันที่เห็นว่ารอบด้านไม่มีคนก็พลันออกแรงเพิ่มความเร็วของฝีเท้า วิ่งตรงดิ่งไปยังต้นไหวต้นนั้นแล้วกระโดดผลุงขึ้น เขาไต่เหยียบขึ้นไปบนลำต้นได้ถึงสี่ก้าว ก่อนจะมีแววว่าจะร่วงลงมา เพียงแต่ว่าเวลานั้นเรือนกายที่แข็งแกร่งของเด็กหนุ่มได้เอื้อมมือคว้าจับกิ่งหนึ่งของต้นไหวไว้ได้แล้ว แผล็บเดียวเด็กหนุ่มที่ปราดเปรียวดุจวานรในภูเขาลึกก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา จากนั้นก็ลุกยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะไต่สูงขึ้นไปอีก เวลาเพียงชั่วพริบตา เฉินผิงอันก็ขึ้นไปนั่งยองอยู่บนกิ่งไหวที่โน้มเอนกิ่งหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่ากำแพงบ้านถึงสองจั้ง หลังจากซ่อนตัวอยู่ในพุ่มใบดกหนาของต้นไหวแล้ว เด็กหนุ่มก็กลั้นหายใจทำสมาธิ หรี่ตาเพ่งมองไปเบื้องหน้า ไม่รีบร้อนจะลอบซ่อนตัวเข้าไปข้างในจวนเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างทางที่เดินจากสะพานกลับมาในเมืองพร้อมกับหนิงเหยา เฉินผิงอันสอบถามนางหลายอย่าง
ยกตัวอย่างเช่นภายใต้สถานการณ์ปกติ หากอยู่ในเมืองแห่งนี้ วานรเฒ่าแห่งเขาตะวันเที่ยงผู้นั้นวิ่งได้เร็วแค่ไหน กระโดดได้สูงเท่าไหร่? เรือนกายของเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มีหนังทองแดงกระดูกเหล็กยังไง? หากข้าต่อยไปหนึ่งหมัด ไม่ต้องสงสัยว่าคงได้แค่ทำให้วานรเฒ่าคันเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นหนังสติ๊กหรือธนูไม้ ในระยะห่างยี่สิบก้าวหรือสี่สิบก้าว จะสร้างอาการบาดเจ็บได้เท่าไหร่บ้าง? “เทพเซียน” อย่างวานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยงผู้นี้มีจุดอ่อนที่ถึงแก่ชีวิตบ้างหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นดวงตา เป้ากางเกง ลำคอ? หากอีกฝ่ายยอมบาดเจ็บเพื่อแลกกับการสังหารคนให้จงได้ ข้าจะต้องตายสถานเดียวเลยหรือไม่?
เด็กหนุ่มซักถามจนหนิงเหยาแทบอยากจะให้ตัวเองหูหนวกเป็นใบ้ไปซะตอนนั้น
ตามคำบอกของเด็กสาวชุดดำ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ที่ฝึกยุทธอย่างเดียว ยิ่งขอบเขตสูงล้ำมากเท่าไหร่ แรงกดดันที่ได้รับในที่แห่งนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ก็เหมือนกับทหารม้าเฝ้าหน้าด่านที่ได้แต่เฝ้าพิทักษ์จนตัวตาย มีเพียงลมหายใจเฮือกเดียวให้ประคับประคองชีวิตไปอย่างช้าๆ หากอ้าปากเมื่อไหร่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บดุจถูกคลื่นทะเลซัดย้อนกลับ ลองจินตนาการภาพดูว่า เมื่อต้องเผชิญกับน้ำป่าไหลทะลักเข้าใส่ แล้วเจ้าไปยืนอ้าปากอยู่บนสันเขื่อนจะเป็นเช่นไร?
แต่สุดท้ายหนิงเหยาก็ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า หากเด็กหนุ่มคิดจะต่อสู้พัวพันหวังสังหารวานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยง เฉินผิงอันก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะแม้แต่เสี้ยวเดียว
ท่ามกลางร่มเงาใบไหว สายตาของเด็กหนุ่มเด็ดเดี่ยว สีหน้าเย็นชา ปากพึมพำว่า “อย่าให้วานรเฒ่าเข้าใกล้เกินสิบก้าว อย่างน้อยที่สุดต้องเว้นระยะห่างให้ได้สิบก้าว”
หนิงเหยาเคยบอกว่า ขอแค่วานรเฒ่าไม่ทำตัวเป็นสุนัขจนตรอก เขาก็มีโอกาสรอดชีวิต
แต่คำตอบของเฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่า ต้องบีบให้วานรเฒ่าลงมือสังหารตัวเองให้ได้ หาไม่แล้วก็ไม่มีความหมาย
ต้องบีบให้วานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยงระเบิดโทสะ ทำให้วานรเฒ่าตัวนี้ดึงปราณแท้ในร่างมาใช้อย่างไม่เสียดายถึงจะสามารถเผาผลาญตบะที่เขาสั่งสมอย่างยากลำบากมานานนับพันปีได้อย่างแท้จริง บางทีวานรเฒ่าอาจจะรู้สึกว่าชีวิตของชาวบ้านในเมืองเล็กๆ อย่างเขากับหลิวเสี้ยนหยางไม่มีค่าใด แต่เฉินผิงอันอยากจะรู้นักว่า เมื่อถึงเวลาที่วานรเฒ่าต้องเห็นตบะสลายหายไปคาตาของตัวเอง เขาจะรู้สึกเสียดาย จะรู้สึกว่ามันมีค่าหรือไม่
แน่นอนว่าก่อนหน้าที่จะทำอย่างนั้นได้ ตนต้องไม่ถูกอีกฝ่ายต่อยตายในหมัดเดียวทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันเสียก่อน
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองผู้คนในเรือนใหญ่ที่เดินลอดระเบียงไปมา พึมพำกับตัวเองว่า “ต่อให้หนีไม่รอดก็ต้องต่อยให้ได้หลายๆ หมัดหน่อย”
เฉินผิงอันไม่เคยคิดว่าจะฆ่าวานรเฒ่าได้ ยิ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดกลับไป
—-
เรือนใหญ่ตระกูลหลี่ ในฐานะที่เป็นหลานสาวของบุรพาจารย์ตระกูลเถา เด็กหญิงที่มาจากเขาตะวันเที่ยงจึงถูกผู้คนทั้งบนและล่างของตระกูลหลี่ปรนนิบัติดุจพระโพธิสัตว์ นอกจากตระกูลหลี่จะจัดหาสาวใช้ลำดับหนึ่งและลำดับสองจากเรือนอื่นมาเพิ่มให้แล้ว ในฐานะที่เป็นข้ารับใช้ซึ่งเติบโตในเรือน เด็กสาวเหล่านี้จึงมือเท้าสะอาด ทำอะไรคล่องแคล่ว ที่สำคัญที่สุดคือรู้ภูมิหลัง ชาติกำเนิดไร้มลทิน เป็นข้าทาสที่ภักดีต่อตระกูลหลี่มาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ
ตำแหน่งของเรือนหลังนี้ไม่อยู่ติดกับถนนฝูลวี่
เด็กหญิงมีนามว่าเถาจื่อ (陶紫) ชื่อเล่นเถาจื่อ (桃子 อ่านเหมือนกับชื่อจริง แต่คนละตัวอักษร เถาจื่อที่เป็นชื่อเล่นนี้มีความหมายว่าลูกท้อ) เป็นดั่งผลไม้แห่งความสุขสำหรับเหล่าบุรพาจารย์เซียนกระบี่ทั้งหลายของเขาตะวันเที่ยง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอาศัยหน้าตาไร้เดียงสาและนิสัยที่น่ารักร่าเริง แต่เป็นเพราะระดับความสูงแห่งวิถีกระบี่ในอนาคตของนางมีคุณสมบัติมากพอจะทำให้เขาตะวันเที่ยงยอมทุ่มต้นทุนและทรัพยากรมหาศาลดุจมหาสมุทรให้กับนางอย่างไม่เสียดาย
ห้าร้อยปีนับแต่นี้ ฐานกระดูก พรสวรรค์ นิสัยและโชควาสนา สี่ประการนี้ของเถาจื่อจะต้องโดดเด่นเป็นลำดับต้นๆ ในบรรดาบุรพาจารย์แต่ละยอดเขาของเขาตะวันเที่ยงตลอดช่วงเวลาหลายยุคหลายสมัย พูดง่ายๆ ก็คือเด็กหญิงเถาจื่อคนนี้คือบุคคลมหัศจรรย์ที่มีข้อดียาวเหยียด แต่กลับไม่มีข้อเสียใดๆ แม้แต่ข้อเดียว
นี่ต่างหากคือคนมากพรสวรรค์ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้งอย่างแท้จริง หาใช่เป็นเพียงแค่คำสรรเสริญเยินยอที่ใช้ดาษดื่นในงานเฉลิมฉลองข้างทางไม่
ตอนนี้เด็กหญิงไม่มีวานรย้ายขุนเขาอยู่ข้างกาย นางอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิงเพียงลำพัง อาจไม่ถึงกับหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก แต่ก็ออกจะเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แล้วก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ฟังจากน้ำเสียงของท่านปู่หยวน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีวิธีย้ายภูเขาของที่นี่ออกไป นี่จึงทำให้เด็กหญิงเซื่องซึมอย่างมาก ตอนที่พี่หญิงซูของเขาตะวันเที่ยงเลื่อนไปอยู่ห้าขอบเขตกลาง บุรพาจารย์ได้มอบภูเขาลูกหนึ่งให้เป็นของขวัญ กลายเป็นสถานที่ส่วนตัวของพี่หญิงซู ภูเขาลูกนั้นท่านปู่หยวนแบกขึ้นหลังกลับมาที่เขาตะวันเที่ยงด้วยระยะทางยาวไกลนับหมื่นลี้ด้วยตัวเอง แล้วจึงนำไปวางไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขาตะวันเที่ยง แม้ขนาดไม่ใหญ่ แต่เด็กหญิงก็รู้สึกอิจฉาอีกฝ่ายมาโดยตลอด
นางรู้สึกว่าในห้องหนังสือค่อนข้างอุดอู้จึงเดินไปที่ห้องโถงหลัก เอามือทั้งคู่ไพล่หลัง แหงนหน้ามองกรอบป้ายด้วยท่าทางเหมือนคนแก่อยู่เป็นนาน
ด้านหลังเด็กหญิงมีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มสองคนติดตามอยู่ตลอดเวลา หนึ่งในนั้นตระกูลหลี่ค้นพบว่ามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดามาตั้งแต่เด็กจึงปลูกฝังด้านวรยุทธเป็นพิเศษ เลยพอมีฝีมืออยู่บ้างเล็กน้อย อันที่จริงสำหรับลูกหลานสายตรงตระกูลหลี่แล้ว การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการเลี้ยงนกเลี้ยงปลาหรือปลูกต้นไม้ดอกไม้ เพราะไม่ได้หวังว่าวันหน้าเด็กสาวคนนี้จะกลายมาเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ ในกำแพงสูงของจวนตระกูลใหญ่ ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่บ่าวรังแกนาย แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น[1] หากวิสัยทัศน์ของบ่าวไพร่กว้างไกลเกินไป พลังแฝงมากเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของตระกูล
เด็กหญิงเดินไปที่ประตูใหญ่แล้ววิ่งเล่นอยู่ในลานกว้าง นางไม่ได้ออกไปจากเรือนโดยพลการให้คนอื่นต้องลำบากใจ ท่านปู่หยวนเตือนนางไว้แล้วว่า คนของสวนลมฟ้าก็อยู่ในเมืองเหมือนกัน หากเขายังจัดการไม่เรียบร้อยก็ห้ามนางออกไปจากเรือนนี้ แม้เด็กหญิงจะยังเยาว์ แต่ก็เคยได้ยินและได้เห็นความลี้ลับสุดจะหยั่งของการฝึกตนบนภูเขา รู้ว่ามีอันตรายซ่อนอยู่รอบด้าน อีกทั้งทางตระกูลยังอบรมอย่างเข้มงวด จึงเป็นเหตุให้นางไม่ได้เป็นเด็กดื้อรั้นที่ทำให้พวกผู้ใหญ่วางใจไม่ลง
สุดท้ายเด็กหญิงที่สุดแสนจะเบื่อหน่ายก็ไปนอนฟุบอยู่บนโต๊ะหิน บนโต๊ะวางกรงนกไว้กรงหนึ่ง ด้านในมีนกที่ดูเหมือนจะชื่อว่าเหยี่ยวจับงูอยู่หนึ่งตัว หัวของมันลู่ลง ท่าทางเซื่องซึม ขนเป็นสีเทาหม่นไม่มีประกาย รูปร่างหน้าตาไม่น่ามองเลยแม้แต่นิดเดียว ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเด็กหญิงจะหยอกมันเล่นอย่างไร เหยี่ยวจับงูตัวนี้ก็ไม่สนใจนาง นางถึงได้รู้สึกหมดสนุก ทว่าตอนนี้นางไม่มีอะไรทำแล้วจริงๆ ถึงได้หันไปเป่าลมผิวปากใส่สัตว์หน้าขนตัวนี้
ในกรงมีขวดใส่อาหารนกสองขวดซึ่งเป็นเครื่องเคลือบที่หลอมจากเตาเผามังกรส่วนตัวของตระกูลหลี่ ขนาดเล็กกะทัดรัด ขวดหนึ่งใส่น้ำสะอาด อีกขวดใส่อาหารสด
เพียงแต่ว่าหลังจากถูกคนจับมา เหยี่ยวจับงูตัวนี้ก็ไม่แตะน้ำสักหยด ไม่กินข้าวสักเม็ดมาเกือบสองวันแล้ว
ในเมืองแห่งนี้น้อยครั้งนักที่เหยี่ยวจับงูจะถูกคนจับได้ หากบังเอิญถูกคนจับมา ไม่ว่าจะยังเป็นลูกนกหรือเป็นเหยี่ยวจับงูที่โตเต็มวัยแล้ว ก็ล้วนอดอาหารตายหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ว่าอย่างไรก็เลี้ยงไม่รอด ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะให้พวกมันกลายมาเป็นเหยี่ยวนักล่าที่ถูกคนบงการเลย
เด็กหญิงที่กำลังผิวปากเห็นว่าเหยี่ยวจับงูยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ในที่สุดก็หมดสิ้นซึ่งความอดทน ลุกขึ้นยืนแล้วหมุนกายจากไป
เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
ขวดอาหารนกขวดหนึ่งในกรงถูกแรงสะเทือนแตกละเอียด
เด็กหญิงอึ้งค้างก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ดึงสาวใช้ร่างสูงโปร่งคนหนึ่งมายืนบังอยู่หน้าตัวเองตามสัญชาตญาณ
สาวใช้ร่างสูงอวบอิ่มรู้สึกเพียงว่าข้อมือของตัวเองถูกเส้นเหล็กรัดเค้น เจ็บปวดจนแทบจะกรีดเสียงร้องออกมา
กลับเป็นสาวใช้ร่างเตี้ยกว่าเล็กน้อยที่สายตาเฉียบไว ขยับมายืนอยู่หน้าเด็กหญิงด้วยตัวเองในทันที แล้วจึงกวาดสายตามองไปรอบด้านเร็วๆ
ขวดใส่อาหารนกขวดที่สองในกรงระเบิดแตกดังปัง เสียงดั่งไม้ไผ่ระเบิดที่ดังอยู่บนโต๊ะหิน
“มีนักฆ่า อยู่บนหลังคาทางฝั่งเรือนชิงซิน!” คราวนี้ในที่สุดสาวใช้ที่ฝึกวรยุทธสำเร็จในระดับหนึ่งก็จับเงาร่างนั้นได้เสียที เงาร่างนั้นนั่งยองโผล่ให้เห็นครึ่งตัวอยู่บนสันหลังคาของลานกว้างในเรือนที่อยู่ติดกัน
สาวใช้ผู้นี้เริ่มออกตัววิ่ง กำแพงของเรือนอีกแห่งหนึ่งไม่สูงนัก นางไต่เหยียบขึ้นด้านบน สองมือคว้าจับขอบกำแพง จากนั้นก็อาศัยกำลังกายที่โดดเด่นเหนือคนอื่นปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างรวดเร็ว
ช่วงแรกเริ่มนางยังทุลักทุเลอยู่บ้าง เรือนหลังนี้กับเรือนชิงซินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามห่างกันไม่มาก แต่ตำแหน่งของนักฆ่าคนนั้นอยู่บนหลังคาเรือนหลักของเรือนชิงซิน ซ้ำเรือนชิงซินยังอยู่ติดกับถนนฝูลวี่ คนผู้นี้สามารถปีนกำแพงออกไปได้อย่างง่ายดาย นางจึงตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดในเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ ไม่ได้กระโดดลงกำแพงวิ่งไปทางเรือนชิงซิน แต่ค้อมตัวลงต่ำวิ่งไปบนกำแพง ก่อนจะกระโดดขึ้นบนสันหลังคาของเรือนตัวเอง ระหว่างนี้สาวใช้ก็คอยระวังการลอบโจมตีจากนักฆ่าคนนั้นอยู่ตลอดเวลา
ประหลาดมากที่นักฆ่าคนนั้นไม่ได้ขัดขวางนาง แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีไปในทันทีด้วย
ระหว่างชายคาของเรือนทั้งสองมีระยะห่างอยู่ประมาณสามจั้ง
สาวใช้คอยจ้องมองความเคลื่อนไหวของนักฆ่าที่อยู่อีกฝั่งพลางก้าวถอยหลังอยู่บนสันหลังคาไปด้วย สุดท้ายนางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งเพื่อเตรียมจะออกตัววิ่ง
หัวใจของสาวใช้สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ด้วยนึกไม่ถึงว่านักฆ่าที่คุมเชิงกับตนอยู่ใกล้ๆ นี้จะเป็นเพียงเด็กหนุ่มผอมแห้งแต่งกายมอซอคนหนึ่ง?!
ตรงเอวของเด็กหนุ่มผูกห่อสัมภาระเล็กๆ ไว้สองห่อ ในมือมองไม่เห็นอาวุธใดๆ น่าจะเก็บซ่อนไว้แล้ว สาวใช้เดาเอาว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นหนังสติ๊ก
นางเองก็สงสัยอย่างมาก หากอีกฝ่ายโจมตีมาที่ศีรษะของตน ไม่กล้าพูดว่าต้องตายคาที่ในทันที แต่ก็ย่อมต้องบาดเจ็บไม่เบา การโจมตีทั้งสองครั้งแม่นยำจนแทบจะเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวของเด็กหนุ่มล้วนจงใจเล็งให้ขวดใส่อาหารนกแตก ไม่ได้ตั้งใจเล็งมาที่ตนหรือแม่นางน้อยของเขาตะวันเที่ยงคนนั้นจริงๆ หรือ?
ในลานกว้าง เด็กหญิงแผดเสียงอย่างเดือดดาล “บ่าวโง่! ระวังจะโดนแผนล่อเสือออกจากภูเขา! รีบกลับมาเร็วเข้า!”
การจับนักฆ่าให้รับสารภาพแล้วลงโทษสำคัญมากก็จริง แต่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน การรักษาชีวิตไว้ได้ย่อมสำคัญยิ่งกว่า
หลังจากคลายมือออกจากแขนของสาวใช้ร่างสูงใหญ่ เด็กหญิงก็ยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าสาวใช้ที่ยืนทื่ออย่างแรงเพื่อปลุกให้คืนสติ “ยังมีเจ้าอีกคน รีบเอาข่าวไปแจ้งเดี๋ยวนี้! รู้หรือไม่ว่าหากข้าตาย ทุกคนที่อยู่ในจวนหลังนี้ก็ต้องตายกันหมด!”
สาวใช้ที่อยู่บนหลังคาไม่ได้กระโดดเข้ามาในลานทันที แต่ตะโกนเสียงดัง “มีนักฆ่า!”
จากนั้นนางก็เริ่มวิ่งห้อไปถึงขอบชายคา ก่อนจะดีดตัวกระโดดพาร่างทั้งร่างทะยานข้ามไปยังสันหลังคาเรือนชิงซินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
อาศัยท่าทางการป่ายปีนและวิ่งห้อเต็มเหยียดที่ติดต่อกันเป็นทอดๆ เด็กหนุ่มนักฆ่าจึงพอจะวิเคราะห์กำลังสะโพก กำลังขาและพละกำลังของสาวใช้ได้คร่าวๆ เขาจึงย่อตัวลงหยิบเศษกระเบื้องขึ้นมาสองชิ้น มือขวาที่ถูกเหวี่ยงนำไปก่อนกระแทกโดนศีรษะของเด็กสาวอย่างจัง เด็กสาวที่ยังทะยานตัวอยู่กลางอากาศยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาบังหน้าศีรษะตามจิตใต้สำนึก จากนั้นเสียงปั่กๆ ก็ดังสองครั้งติดกัน แรงกระแทกที่ได้รับไม่เพียงแต่ทำเอาสาวใช้เจ็บร้าวไปถึงกระดูก พละกำลังที่ส่งมานั้นยังเกินกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก ร่างทั้งร่างที่พุ่งกระโจนมาข้างหน้าจึงถูกสกัดกั้นให้ชะงักค้างอย่างแรง และขณะที่นางกำลังรู้สึกเสียใจกับความอวดเก่งของตัวเองอยู่นั้น
สาวใช้ที่เดิมทีควรจะร่วงลงไปบนหลังคาฝั่งตรงข้ามอย่างถูไถ ตอนนี้หน้าท้องกลับถูกต่อยเข้ามาหนึ่งหมัดจึงผงะหงายล้มกระแทกไปด้านหลัง
เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ นักฆ่าคนนั้นก็คว้าข้อเท้าข้างหนึ่งของนางเอาไว้ หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มถึงได้ปล่อยมือ
สาวใช้ไม่ถือว่าหล่นลงพื้นได้อย่างปลอดภัย แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
นางรู้สึกมึนงงเหมือนสมองกลายมาเป็นแป้งเปียก
หางตาของเด็กหนุ่มยังคงกวาดตามองประเมินสถานการณ์รอบด้านอยู่ตลอดเวลา หลังจากค้นพบว่าบริเวณโดยรอบมีจุดดำๆ เพิ่มขึ้นจึงเริ่มหมุนตัววิ่งหนีไป
การหลบหนีที่รวดเร็ว การก้าวเท้าที่กว้างยาว จังหวะที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้งที่สอดคล้องกันอย่างพอดิบพอดี หากสาวใช้คนนั้นมองเห็นต้องรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้เรียนศาสตร์การต่อสู้มาหลายปี จมจ่อมอยู่กับการฝึกฝนมานานเหมือนกับนาง ไม่มีทางเป็นพวกมือใหม่นอกวงการแน่นอน
แผล็บเดียวเงาร่างของเด็กหนุ่มบนหลังคาก็หายไปคล้ายนกปราดเปรียว คล้ายเหยี่ยวจับงูตัวหนึ่งที่โผบินออกจากกรง
—-
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ผู้เฒ่าร่างกำยำก็รีบร้อนกลับมาถึงจวนใหญ่ตระกูลหลี่พร้อมปราณสังหารเดือดพล่าน
นับตั้งแต่หลี่หงเจ้าประมุขตระกูลหลี่มาจนถึงสาวใช้ในเรือนต่างก็ไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดัง โดยเฉพาะสาวใช้ฝึกวรยุทธคนนั้นที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ซีกแก้มทั้งสองข้างแดงเป่งบวมฉึ่ง สาวใช้ไม่เอ่ยคำใด แล้วก็ยิ่งไม่กล้าเผยสีหน้าเคียดแค้นไม่พอใจ
หลังจากได้เห็นผู้เฒ่า เด็กหญิงที่อารมณ์กลับมานิ่งสงบเป็นปกติดีแล้วก็ถอนหายใจ ส่ายหน้าเอ่ยสั่งสอน “ท่านปู่หยวน คนตระกูลหลี่มีแต่พวกเศษสวะไร้ค่าทั้งนั้น ท่านกล้าฝากฝังข้าไว้ให้กับพวกเขาได้อย่างไร?”
วานรย้ายภูเขานั่งคุกเข่าข้างเดียวก็ยังสูงกว่าเด็กหญิง ผู้เฒ่าผมขาวกล่าวอย่างละอายใจว่า “คุณหนู บ่าวเฒ่าผิดไปแล้ว”
ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมาตวาดเสียงหนัก “หลี่หง!”
เจ้าประมุขสกุลหลี่ของเมืองพอจะเข้าใจภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปบูรพาอยู่บ้าง และผู้ฝึกตนของเขาตะวันเที่ยงก็ใช้ภาษานี้พอดี ชายผู้มีถ้อยคำหนักแน่นดุจกระถางเก้าใบ (หมายถึงบุคคลที่พูดจามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ) สำหรับตระกูลแห่งนี้ได้แต่ยิ้มขื่น กล่าวขออภัย “ครั้งนี้เป็นความผิดที่ตระกูลหลี่ของข้าไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ ดูจากข้อมูลที่พวกเราได้มาในตอนนี้ คือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่น่าจะใช่ผู้ฝึกตน ทางฝ่ายของจวนผู้ตรวจการยังไม่มีรายงานที่มีประโยชน์ส่งมาให้ แค่บอกว่าจะเพิ่มกำลังคนมาช่วยคุ้มกันที่จวนทั้งกลางวันและกลางคืนเท่านั้น”
เถาจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “นักฆ่าคนนั้นไม่เหมือนว่าจะมาสังหารข้า”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้”
หัวใจที่เพิ่งวางลงได้ของประมุขตระกูลหลี่พลันกลับมาแขวนอยู่ที่ลำคออีกครั้ง
ป๋ายหยวนขมวดคิ้วถาม “เด็กหนุ่มคนนั้นใช่คนตัวผอมๆ ผิวดำเกรียม ตัวสูงแค่ประมาณนี้หรือเปล่า อืม แล้วยังสวมรองเท้าแตะด้วยใช่ไหม?”
สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพยักหน้ารับแรงๆ
ป๋ายหยวนแสยะยิ้ม ดวงตาอึมครึม “เจ้าตัวดี! ที่แท้ก็มาอวดเบ่งท้าทายนี่เอง!”
เขาโบกมือกล่าว “เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งแล้ว ข้ารู้แล้วว่านักฆ่าคนนั้นเป็นใคร เขาคือเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งของตรอกหนีผิง”
เด็กหญิงพูดเบาๆ “ท่านปู่หยวน อย่าประมาทเด็ดขาดเลยนะ”
วานรย้ายภูเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน หันไปสั่งความเจ้าประมุขสกุลหลี่ “ไปบอกให้จวนผู้ตรวจการนำเอกสารสำมะโนครัวมาที่จวนตระกูลหลี่ ตรวจสอบประวัติความเป็นมาของบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเด็กหนุ่มคนนั้นให้ชัดเจน ในด้านของคนที่มาคุ้มครองจวนแห่งนี้ให้เลือกสรรแต่คนมีฝีมือ แม้จะได้น้อยก็ดีกว่าได้คนไร้ฝีมือมาจำนวนมาก!”
ผู้เฒ่าเพิ่มน้ำหนักเสียง หัวเราะหยัน “หลี่หง ข้าแนะนำว่าเจ้าควรอัญเชิญเสาค้ำสมุทรที่ตระกูลเจ้าใช้พิทักษ์เมืองแห่งนี้ออกมาด้วยจะดีกว่า อย่าคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูของข้าที่นี่จริงๆ แม้แต่เดรัจฉานเฒ่าในสายตาพวกเจ้าอย่างข้าก็ยังแบกรับไม่ไหว สกุลหลี่ของเจ้าจะแบกรับได้ไหวกระนั้นหรือ?”
ประมุขสกุลหลี่รีบยกมือคำนับขออภัย กล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “บุรพาจารย์หยวนอย่าได้บั่นอายุตระกูลหลี่ของเราเลย”
วานรย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยงจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด เขาพูดพึมพำว่า “เจ้าเด็กสวนลมฟ้าผู้นั้นฉวยโอกาสหาเรื่องงั้นหรือ? หรือว่าเป็นแผนการของซ่งจ่างจิ้งแห่งจวนผู้ตรวจการ?”
สุดท้ายผู้เฒ่าส่ายหน้าเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระน่าตลกเกินไป “ไม่ว่าใครจะยุยงให้เขาพาตัวมาตาย พวกเจ้าก็ไม่รู้จักหาตัวหมากดีๆ เสียบ้างเลย ตั๊กแตนตัวน้อยที่มีเนื้อแค่ไม่กี่ตำลึงจะยัดซอกฟันได้มิดหรือไร? ก็ดี กำลังกลุ้มอยู่ทีเดียวว่าไม่มีโอกาสฆ่าคน ข้อแก้ตัวนี้มาได้ถูกเวลายิ่งนัก ฆ่าเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงคนนั้นก่อน แล้วค่อยจัดการกับเจ้าลูกผสมสวนลมฟ้าอย่างเจ้าไปพร้อมกันทีเดียว”
ผู้เฒ่าหันไปเอ่ยกับเด็กหญิงยิ้มๆ “คุณหนู คราวนี้บ่าวเฒ่าต้องช่วยท่านเก็บกวาดเรื่องเละเทะพวกนี้ให้สะอาดเอี่ยม ไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอีกเป็นแน่”
เด็กสาวยิ้มหวาน ชูหมัดโบกให้กำลังใจวานรเฒ่าย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยง
ก่อนจะจากไป ผู้เฒ่าหันมามองประมุขสกุลหลี่อีกที ฝ่ายหลังจึงได้แต่กล่าวพร้อมยิ้มเจื่อนๆ “ข้าจะไปเชิญให้ท่านบุรพาจารย์ออกมาจากภูเขาเดี๋ยวนี้ และจะทำหน้าที่ยิ่งใหญ่เฝ้ารับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูเถาด้วยตัวเอง”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ ครั้นจึงก้าวยาวๆ จากไป
ผู้เฒ่ายอมงับเหยื่อล่ออย่างเต็มใจ แล้วจึงไล่ตามสายเบ็ดไปยังตรอกหนีผิงโดยตรง
แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าข้าติดเบ็ดแล้ว เจ้ามาฆ่าได้ตามสบาย
หากอยู่นอกเมือง วานรเฒ่าย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงคงไม่กล้าไม่เห็นหัวใครอยู่ในสายตาอย่างนี้ ทว่าการที่ฟ้าดินแห่งนี้ห้ามใช้เวทอาคมและอาวุธวิเศษทุกชนิดกลับกลายเป็นทำให้เขาได้เปรียบอย่างใหญ่หลวง และนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมเขาตะวันเที่ยงถึงไม่ได้ส่งตัวบุรพาจารย์เซียนกระบี่มาที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว
วานรเฒ่าเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งขยับเข้าใกล้ตรอกหนีผิง นั่นถึงทำให้เขาตระหนักได้ถึงข้อหนึ่ง “เด็กหนุ่มของตรอกนั้นคงจะไม่ได้แค่เพื่อแก้แค้นให้กับเพื่อนอย่างเดียวหรอกกระมัง?”
ก่อนหน้านี้เรื่องที่วานรเฒ่าครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับแผนการชั่วร้ายซึ่งซุกซ่อนกลอุบายไว้มากมาย ตอนนี้พอจู่ๆ ตระหนักได้ถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ก็รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี
วานรเฒ่าหัวเราะ ไม่นานก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุ “หากเป็นเช่นนี้ก็ยังพอจะเข้าใจได้ ก็จริงนะ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนย่อมไม่กลัวตายอยู่แล้ว เพราะอย่างไรซะก็แค่ชีวิตกระจอกๆ ชีวิตหนึ่งเท่านั้น”
ทว่ากันไว้ย่อมดีกว่าแก้ วานรเฒ่าจึงไม่ได้เดินอาดๆ ดิ่งเข้าไปในตรอกหนีผิง
ไม่ว่าจะอย่างไร การมาครั้งนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าย่อมไม่มาเสียเที่ยว เจ้าลูกผสมที่สวนลมฟ้าให้ความสำคัญคนนั้นก็แค่มีชีวิตอยู่ได้นานกว่าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงเล็กน้อยเท่านั้น
เดินอ้อมมาวงใหญ่ วานรเฒ่าก็เลือกจะเดินเข้าตรอกหนีผิงผ่านทางหัวเลี้ยวซอยเล็กที่อยู่ใกล้กับบ้านกู้ช่าน
อันที่จริงวานรเฒ่าเองก็สงสัยมากว่าเด็กหนุ่มนักฆ่าคนนั้นมีความกล้ามากพอที่จะรอความตายอยู่ในบ้านของตัวเองหรือไม่
หากฉลาดสักหน่อยก็อาจจะตายหลังเด็กหนุ่มของสวนลมฟ้าก็เป็นได้
วานรเฒ่ายิ้มเหี้ยม
ทว่ารอยยิ้มของเขากลับแข็งค้างในชั่วพริบตา
เส้นทางเล็กๆ ของตรอกหนีผิงยามสนธยาดูมืดสลัวอย่างเห็นได้ชัด
ผู้เฒ่าร่างกำยำพลันเงยหน้าขึ้น
เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งมายืนอยู่บนที่สูงด้านหน้าของตรอกเล็กตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เท้าทั้งคู่ของเขาเหยียบอยู่บนโพรงผนังสองข้างที่เพิ่งถูกขุดออกได้ไม่นาน ซึ่งสามารถใช้เป็นแรงหนุนได้พอดี
ด้านหลังของเด็กหนุ่มสะพายกระบอกใส่ลูกธนู ในมือถือธนูไม้ กำลังเหนี่ยวลูกธนูขึ้นสายสุดแรง ปลายลูกดอกเล็งมาที่ดวงตาข้างหนึ่งของวานรเฒ่า
เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ เหนี่ยวลูกธนูขึ้นสายเต็มกำลังจนธนูง้างกลมดั่งพระจันทร์เต็มดวง ดูเหมือนว่าแม้แต่ลมหายใจที่แผ่วเบาที่สุดก็ยังหายไปด้วย
เป็นเหตุให้ปรมาจารย์แห่งการพิทักษ์ขุนเขาของเขาตะวันเที่ยงผู้นี้ได้แต่อาศัยการรับสัมผัสที่เฉียบไวต่ออันตรายเท่านั้นถึงจะรู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มยืนอยู่เหนือศีรษะของตัวเอง
ไม่มอบโอกาสให้วานรเฒ่าได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ลูกธนูแล่นออกจากสายพร้อมเสียงหวีดแหวกอากาศที่ก่อให้เกิดลมพัด มาพร้อมพละกำลังหนักอึ้ง
หลักจากยิงธนูออกมาหนึ่งดอก เด็กหนุ่มก็ไม่มัวรีรอ เขาเบี่ยงคอเหวี่ยงธนูไม้แขวนเอียงไว้บนไหล่อย่างรวดเร็ว เพิ่มน้ำหนักที่ปลายเท้า อาศัยผนังสองฝั่งเป็นแรงส่งดีดตัวขึ้นบนหลังคาแล้วหมุนตัวหนีไปในเสี้ยววินาที
วานรเฒ่าหดฝ่ามือข้างที่ยกขึ้นบังหน้าผากกลับมา เห็นเพียงว่าลูกศรดอกนั้นปักเข้ามาที่ใจกลางฝ่ามือ ไม่ลึกนัก แต่ก็ยังมองเห็นบาดแผลที่ปริแตกได้รำไร
ทว่าวานรเฒ่ากลับรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย
หากเขาถูกคนยิงลูกธนูใส่ตาในระยะประชิดกลางเมืองแห่งนี้ สภาพก็คงน่าอนาถอย่างที่เรียกได้ว่าเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบอย่างแท้จริง
เขากระชากลูกธนูออกแล้วหักทิ้ง ก่อนจะโยนลงบนพื้นตรอกหนีผิงอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้เฒ่ากำหมัดทั้งสองข้างแน่น เงยหน้ามองท้องฟ้าจากตรอกเล็กด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ลำคอขยับขึ้นลง ก่อนเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ด้วยความอัดอั้นคล้ายสัตว์ร้ายยุคบรรพกาลที่กำลังเดือดดาลอย่างถึงที่สุด
ผู้เฒ่าใช้ทั้งมือทั้งเท้าไต่ผนังปีนพรวดๆ ขึ้นไปบนหลังคา ทว่าเพียงแค่โผล่หัวออกไป ธนูลูกที่สองก็พุ่งมาถึงในทันที
ผู้เฒ่าที่เตรียมตัวมาก่อนแล้วแค่ยกมือขึ้นปล่อยให้ลูกดอกแทงเข้ามาที่ฝ่ามืออย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงแสยะยิ้มก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
เด็กหนุ่มที่เก็บธนูไม้หมุนตัววิ่งหนีไปอีกครั้ง
นหลังคาแถบหนึ่งที่ทอดยาวติดกันของตรอกหนีผิงมีเสียงระเบิดแตกดังติดต่อกัน
จะอย่างไรซะฝีเท้าของผู้เฒ่าก็ใหญ่กว่าเด็กหนุ่ม ระยะห่างจึงค่อยๆ ย่นเข้ามา และเพียงไม่นานก็ไล่ตามไปทันเด็กหนุ่มผอมแห้งที่นับว่าปราดเปรียวมากพอแล้วดังที่คาดไว้
ผู้เฒ่าพลันออกแรง ร่างทั้งร่างทะยานขึ้นกลางอากาศกระโจนโฉบไปข้างหน้า มือใหญ่ยักษ์ราวใบลานยื่นตบเข้าที่ศีรษะของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มเหมือนมีตาหลังอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายเฉียดมาใกล้ เขากลับบิดเอวค้อมตัวลงต่ำ แล้วจากนั้นก็หมุนตัวกลับกระโดดข้ามไปยังหลังคาของตรอกเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
หลังจากร่วงลงพื้นเบาๆ ก็วิ่งตะบึงไปเบื้องหน้าต่ออีกครั้ง
วานรเฒ่าก็ฉับไวอย่างยิ่ง เขาเองก็หมุนตัวกลับไปทางหลังคาอีกฝั่งหนึ่งของตรอกที่อยู่ทางขวามือเช่นกัน
เด็กหนุ่มพลันหยุดชะงัก
ในขณะที่วานรเฒ่าตระหนักได้ถึงความผิดปกติก็สายไปเสียแล้ว
ที่แท้หลังคาฝั่งนั้นไม่มีคนอยู่อาศัย ไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานปีจึงเก่าโทรมมานานแล้ว ไฉนเลยจะสามารถแบกรับแรงกระโดดจากวานรเฒ่าที่หนักสองร้อยกว่าจินผู้นี้ได้
พรวด! ทั้งคนทั้งกระเบื้องหลังคาร่วงหล่นลงไปในบ้าน
ร่างวานรเฒ่ากระแทกลงพื้นอย่างแรง หลังจากใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นไว้ได้แล้วก็เบี่ยงศีรษะหลบลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาอย่างประสงค์ร้ายพ้นแบบหวุดหวิด
ลูกธนูจึงปักตรึงลงบนพื้นดิน
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะกำลังของเด็กหนุ่มไม่มากพอ แต่เป็นเพราะหนังของวานรเฒ่าหนาเกินไป
เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงริมขอบของหลุมกว้างบนหลังคา เก็บธนูไม้ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ยกนิ้วกลางชูให้วานรเฒ่า พลางตวาดด่า “เดรัจฉานเฒ่า! ไอ้แม่เ..!”
สีหน้าของเด็กหนุ่มพลันเหยเก แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเอง พึมพำเสียงเบา “เดี๋ยวก็เสียเปรียบซะกัน!”
วานรเฒ่าลุกพรวดขึ้นยืน เด็กหนุ่มรีบหมุนกายจากไปไกลอีกครั้ง
—-
[1] ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น เปรียบเปรยว่าหากคนคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย แล้วคุณให้ความช่วยเหลือเขาเล็กน้อย เขาจะซาบซึ้งใจ เห็นเป็นพระคุณ แต่หากคุณให้ความช่วยเหลือเขามากไป จนเขาเกิดเป็นความเคยชิน วันใดคุณหยุดให้ความช่วยเหลือเขา เขาก็จะมีแต่แค้นเคืองคุณ