บทที่ 49 เศษกระเบื้อง
ท่ามกลางเศษกระเบื้องที่กองเป็นพะเนิน วานรเฒ่ากระดิกใบหูเพื่อรับฟังความเคลื่อนไหวอันแผ่วเบา ครั้นจึงแสยะยิ้ม ก้มตัวหยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งขึ้นมา หลังจากชั่งน้ำหนักอยู่ในมือครู่หนึ่งก็ยืดตัวขึ้นแล้วขว้างออกไป เศษกระเบื้องเป็นดั่งใบมีดหั่นก้อนเต้าหู้ที่สามารถลอดทะลวงผ่านผนังและหลังคาไปพร้อมกับเสียงแหวกอากาศได้อย่างง่ายดาย เศษกระเบื้องชิ้นนี้พุ่งเข้าหาตำแหน่งที่มีเสียงระลอกหนึ่งดังขึ้น
เสียดายก็แต่วานรเฒ่าไม่ได้เห็นร่องรอยของเด็กหนุ่ม เขาดีดปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย ร่างกำยำก็ทะลึ่งพรวดขึ้นไปเหยียบอยู่บนคานห้องเก่าๆ อาศัยแรงดีดกลับกระโดดออกไปนอกรูโหว่บนหลังคา ก่อนจะพลิ้วกายเหยียบอยู่บนสันหลังคา
วานรเฒ่ามองไปยังทิศไกล เด็กหนุ่มที่สะพายธนูไม้ไว้ด้านหลังกำลังยืนอยู่บนชายคาที่ตวัดโค้งงอนแห่งหนึ่ง เขากำลังหันหน้ามามองวานรเฒ่าชุดขาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
วานรเฒ่าเองก็รู้ว่าตัวเองคาดคะเนผิดไป เศษกระเบื้องที่ถูกขว้างไปเมื่อครู่นี้คงรุนแรงเกินไป คาดว่าคงแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว เด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นั้นถึงตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี จึงล้มเลิกความคิดที่จะอาศัยการยิงธนูในระยะประชิดมาช่วงชิงความได้เปรียบ วานรเฒ่าคลี่ยิ้มแบมือทั้งสองข้างออก บอกเป็นนัยว่าในมือของตนไม่มีสิ่งใด จากนั้นจึงกระดกนิ้วงอขึ้นบอกให้เด็กหนุ่มแสดงลูกไม้ของตัวเองต่อไป เขายินดีที่จะเล่นด้วยให้ถึงที่สุด เป็นการยืดเส้นยืดสายไปด้วย
หากจะบอกว่าผู้เฒ่ากำลังหลอกล่อก็ดูจะเป็นการใส่ร้ายวานรพิทักษ์ขุนเขาตะวันเที่ยงตัวนี้เกินไป ตบะพันปี ร่างจริงพันจั้ง และเวทคาถาอาคมของกาย ต่อให้สรรเสริญว่าเขายิ่งใหญ่ค้ำฟ้าค้ำดินก็ยังไม่เกินจริง
ในช่วงเวลาอันยาวนานบนเส้นทางการฝึกตนของวานรย้ายภูเขาตนนี้ โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มที่เขาตะวันเที่ยงตั้งสำนัก สำนักแห่งเล็กๆ ที่อ่อนแอ รอบด้านมีแต่ศัตรู ถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงหมาป่าฝูงพยัคฆ์ที่หิวโหย หลังจากที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของเขาตะวันเที่ยงตายไปในการต่อสู้ ในฐานะที่เป็นขุนพลใหญ่ มีสงครามนองเลือดใดบ้างที่วานรเฒ่าไม่เคยผ่านมาก่อน? “เรื่องเล็กๆ น้อยๆ” ที่เกิดขึ้นบนหลังคากลางตรอกเล็กในวันนี้ อันที่จริงก็มีส่วนคล้ายคลึงกับการเข่นฆ่าในอดีตอยู่มาก ท่ามกลางสงครามใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมของปีนั้น เหล่านักพรตชั้นยอดและเหล่าผู้ฝึกลมปราณที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็ได้แต่ใช้อาวุธอาคมล้ำค่ามาพันธนาการวานรเฒ่าอยู่ไกลๆ ไม่กล้าต่อสู้กับเขาซึ่งๆ หน้าเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งทหารม้าปราดเปรียวแห่งเผ่าต้าเชียงที่แล่นตะลุยอยู่บนสมรภูมิรบได้ดุจสายลม ซึ่งไม่มีทางยอมสวมใส่เสื้อเกราะหนักอึ้งของต้าหลีอย่างเด็ดขาด แต่จะเลือกตวัดดาบกรีดเนื้อศัตรูอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เล็งหาโอกาสเหมาะๆ ในการลดทอนผิวชั้นนอกของกลศึกถังเหล็กไปอย่างช้าๆ
ตอนนี้หากไม่นับซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้น วานรเฒ่าก็ถือว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกมรรคาสวรรค์ของสถานที่แห่งนี้กำราบไว้รุนแรงมากที่สุด ส่วนปรมาจารย์สำนักการทหารที่ห้อยตราพยัคฆ์คนนั้น เนื่องด้วยฐานะที่พิเศษจึงได้รับ “ความโปรดปราน” ของฟ้าดินแห่งนี้ จึงเป็นเหตุให้ถึงแม้ตบะของเขาจะไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ได้รับผลกระทบชัดเจนนัก
เวลานี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มแข็งแรงซึ่งเป็นชาวบ้านที่ธรรมดาคนหนึ่งของเมืองเล็กๆ วานรเฒ่ากลับรู้สึกเบิกบานใจดุจได้อาบแช่อยู่ท่ามกลางหยาดโลหิตแห่งสงครามเหมือนปีนั้น
วานรเฒ่าไม่ปฏิเสธว่า เด็กหนุ่มสร้างความประหลาดใจและยินดีให้กับตนอย่างมาก ทั้งรู้สึกคาดคะเนจิตใจของผู้คน รู้จักวางกับดัก รู้จักใช้ความได้เปรียบด้านชัยภูมิ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความกล้าหาญ
วานรเฒ่าเงยหน้ามองสีท้องฟ้าครู่หนึ่ง ดวงตะวันคล้อยต่ำทางทิศตะวันตก โพล้เพล้เต็มทีแล้ว ยิ่งนานการมองเห็นก็ยิ่งได้รับผลกระทบ และเขาก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศของเมืองเล็กแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนั้นอาศัยในการต่อสู้ พอจะเรียกได้อย่างกล้อมแกล้มว่าเป็นยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่ง
วานรเฒ่าเริ่มวิ่งตะบึง ท่วงท่าประดุจม้าห้อ ก้าวเดียวก็กว้างจั้งกว่า น่าตะลึงพรึงเพริดอย่างยิ่ง
วินาทีที่วานรเฒ่าขยับกาย เด็กหนุ่มก็หมุนตัวห้อตะบึงไปเช่นกัน เขาไม่ได้วิ่งตามสันหลังคาที่ทอดยาวไปทางทิศเหนือ เพราะอย่างไรซะตรงนั้นก็เป็นตรอกเถาเย่กับถนนฝูลวี่ มีจวนของตระกูลใหญ่ตั้งอยู่มากมาย เป็นที่ซ่อนมังกรซุ่มพยัคฆ์ หากมีคนออกหน้าให้วานรเฒ่า เฉินผิงอันไม่คิดว่าตัวเองจะมีปัญญาหนีออกจากวงล้อมมาได้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงวิ่งไปทางทิศตะวันตกอย่างเด็ดเดียว เพราะทิศทางของสะพานที่อยู่ทางใต้สามารถมองเห็นได้กว้างไกล ไม่มีที่ให้ซ่อนตัว หากเปรียบเทียบพลังเท้าของคนทั้งสองแล้ว เฉิงผิงอันคิดว่าหากตนสูญเสียที่อำพรางตัวไป ย่อมยากมากที่จะหนีพ้นการไล่ฆ่าของวานรเฒ่า
ออกจากเมืองไปทางตะวันตกก็คือป่าเก่าแก่ภูเขาลึก มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเป็นพุ่มหน้าแน่น บนเส้นทางเล็กๆ ที่ลึกลับอีกมากมายยังมีกับดักที่นายพรานหลายคนวางไว้ด้วย
เส้นทางบนภูเขาเดินได้ยากลำบาก หากไม่เดินตามทางเก่าที่มีมาแต่เดิมก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง ข้อนี้เฉินผิงอันรู้แน่ชัดดียิ่งกว่าใคร
เด็กหนุ่มคิดไว้ไม่ผิด เพียงแต่เขาประเมินวานรเฒ่าผิดไป ต้องรู้ว่าในฐานะที่เป็นวานรพิทักษ์ภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยง ผู้เฒ่าจึงมีความเข้าใจต่อเทือกเขาลำนำไพรลึกล้ำยิ่งกว่าเด็กหนุ่มมากนัก
เมื่อเด็กหนุ่มกระโดดลงจากหลังคาบ้านหลังสุดท้ายร่วงสู่พื้น เขาก็งอเข่าทั้งคู่ขึ้นเพื่อตัดแรงกระแทกส่วนหนึ่งออกได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ก่อนจะหันมามองภาพด้านหลังตัวองเร็วๆ แล้วค้อมตัววิ่งทะยานไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง
ระหว่างทางที่วิ่งไป ธนูไม้และกระบอกลูกศรต่างก็หายไปอย่างไม่รู้ร่องรอยแล้ว
อยู่ในป่าเขา หากเฉินผิงอันละทิ้งเส้นทางเล็กๆ ที่บรรพบุรุษหลายรุ่นเดินเข้าเดินออก เปลี่ยนมาเป็น “ไม่เลือกเส้นทางด้วยความลนลาน” แทน ถ้าอย่างนั้นพวกมันต้องกลายมาเป็นภาระของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มคิดจะเป็นดั่งปลาหนีชิวที่พุ่งลงน้ำ อารมณ์ของวานรเฒ่าก็หงุดหงิดเล็กน้อย หันกลับไปมองทิศทางของจวนตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่แวบหนึ่ง อันที่จริงหากเข้าไปในภูเขา วานรเฒ่าไม่กล้าพูดว่าตัวเองต้องได้เปรียบด้านชัยภูมิ แต่อย่างไรก็ต้องคล่องแคล่วยิ่งกว่าเจ้าลูกหมาน้อยที่วิ่งสะเปะสะปะไปทั่วเหนือใต้ออกตกแน่ๆ
วานรเฒ่าตัดสินใจชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสูดเอา “ลมหายใจสดใหม่” เข้าปอดลึกๆ หนึ่งคำไม่มากไม่น้อยเกินไป ราวกับว่าเมื่อไม่มีความต่างที่มากเกินไปก็ย่อมสามารถฆ่าคนได้พอดี เห็นเพียงว่าใบหน้าของวานรเฒ่ามีริ้วคลื่นสีเขียวและม่วงกระเพื่อมแผ่ออกมาเป็นระลอก เรือนกายกำยำทะยานพรวดขึ้นสูงอย่างไม่มีสัญญาณบอกเหตุ บ้านที่น่าสงสารใต้ฝ่าเท้าของเขาหลังนั้นถูกแรงดีดของฝ่าเท้าเหยียบจนพังครืนลงไปเกินครึ่ง ยังดีที่คนที่อยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองล้วนมีแต่พวกคนจน บ้านเรือนเปราะบางกว่าอาคารที่ถนนฝูลวี่อยู่มาก ยกตัวอย่างเช่นไม้ที่นำมาทำเป็นเสาค้ำคานบ้านที่บอบบางอย่างยิ่ง คนสี่คนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นยังถือว่าโชคดีในความโชคร้าย เพราะเวลานี้ต่างก็ไม่มีใครอยู่ในบ้าน
วานรเฒ่ากระโดดขึ้นสูง ตวัดให้เกิดเส้นโค้งขนาดใหญ่ยักษ์อยู่กลางอากาศ ตอนที่ร่วงลงพื้นก็มายืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มพอดี เท้าสองข้างที่เหยียบลงบนพื้นดินทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ ดินโคลนในช่วงวสันตฤดูที่อ่อนนุ่มกระจายว่อนไปสี่ทิศ
วานรเฒ่าเหวี่ยงหมัดต่อยลงบนหัวใจด้านหลังของเด็กหนุ่ม
แผ่นหลังของมนุษย์มีเส้นชีพจรหยางอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเส้นชีพจรหรืออวัยวะภายในก็ล้วนเชื่อมโยงกันอยู่ตรงแผ่นหลัง โดยเฉพาะตรงหัวใจด้านหลังที่ห่างจากหัวใจแค่ไม่กี่องคุลีจึงเป็นจุดที่เปราะบางมากที่สุด
เป็นเพียงเส้นบางๆ ที่กั้นขวางชีวิตกับความตายเอาไว้
เด็กหนุ่มที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างกายพลันเพิ่มแรง เมื่อเทียบกับครั้งที่ล่อให้วานรเฒ่าเหยียบลงบนหลังคาผุพังก่อนหน้านี้แล้วยังเร็วกว่าเดิมถึงสองสามเท่า!
อย่างน้อยนี่ก็หมายความว่าเด็กหนุ่มอำพรางพละกำลังมาตั้งแต่ต้น
นี่จึงเป็นเหตุให้หมัดนั้นของวานรเฒ่าไม่เพียงแต่ไม่สามารถทะลวงหัวใจด้านหลังของเด็กหนุ่ม ไม่สามารถต่อยให้หัวใจดวงนั้นของเขาแหลกเหลวได้ กลับยังได้แค่ “เฉียด” แผ่นหลังจุดที่ห่างจากหัวใจมาทางด้านล่างหนึ่งชุ่นของเด็กหนุ่มเท่านั้น
แม้ว่าจะได้ต้องแบกรับหมัดนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังเหมือนระฆังที่ถูกไม้ใหญ่ตี สองเท้าจึงพ้นจากพื้นร่างทั้งร่างกระเด็นละลิ่วออกไป
ภาพเหตุการณ์ถัดมาก็คือ ความปราดเปรียวแข็งแกร่งอันน่าชื่นชมของเรือนกายเด็กหนุ่มที่แสดงออกมาอย่างถึงอกถึงใจ
เห็นเพียงว่าหลังจากปลิวไปเพราะหนึ่งหมัด เด็กหนุ่มที่มีคราบเลือดไหลมาตรงมุมปากซึ่งเดิมทีควรจะมีจุดจบเป็นหัวทิ่มขี้หมาบนพื้น เวลานี้กลับยืนแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า วินาทีที่มือแตะสัมผัสพื้น เขาก็งอข้อศอกแล้วเพิ่มแรงอีกครั้ง ร่างทั้งร่างพลิกลับอยู่กลางอากาศรวดเร็ว เปลี่ยนมาเป็นสองเท้ายืนอยู่บนพื้น จากนั้นจึงอาศัยแรงเฉื่อยที่พุ่งไปข้างหน้าวิ่งตะบึงเผ่นหนีไปอีกครั้งด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง
ต่อให้เป็นวานรเฒ่าที่มีประสบการณ์โชกโชนผ่านมานับร้อยสมรภูมิที่พอได้เห็นความแกร่งกร้าวของเด็กหนุ่มก็ยังอดรู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้
วานรเฒ่ายกมือขึ้น หลังมือโชกไปด้วยเลือด
บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ ผู้เฒ่าจึงแค่คลี่ยิ้ม ทว่ากลับยิ่งยืนกรานใจที่คิดจะสังหารเด็กหนุ่มมากขึ้น
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาถึงได้รับบาดเจ็บ กลับไม่มีอะไรซับซ้อน
อากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็นอยู่น้อยๆ เด็กหนุ่มยากจนที่เดิมทีสวมเสื้อผ้าบางๆ วันนี้ตอนนี้ปรากฎอยู่ต่อหน้าของวานรเฒ่ากลับสวมเสื้อผ้าหนาชั้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด นอกจากสวมเสื้อผ้าของตัวเองแล้ว เขายังไปหาเสื้อเก่าตัวใหญ่ของหลิวเสี้ยนหยางที่มีร่างสูงใหญ่มาสวมทับไว้นอกสุดชั้นหนึ่ง ระหว่างอาภรณ์สองชิ้นได้ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ ที่แท้เด็กหนุ่มก็ทำ “เสื้อกระเบื้องไม้” ให้กับตัวเองตัวหนึ่ง โดยการเอาแผ่นไม้ยาวๆ หกชิ้นที่เจาะเป็นรูแล้วใช้เชือกป่านร้อยเข้าด้วยกันแล้วดึงให้แน่น ตรงหน้าอกมีไม้สามชิ้น ด้านหลังมีอีกสามชิ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือบนเสื้อเกราะไม้ที่เรียบง่ายตัวนี้ยังฝังเลื่อมเศษกระเบื้องชิ้นเล็กชิ้นน้อยไว้อีกแน่นขนัด
ในเวลานี้ความรู้สึกของวานรเฒ่าย่ำแย่อย่างยิ่ง เหมือนกับเจ้าขุนมูลนายผู้สูงศักดิ์เหยียบขี้หมาเหม็นโฉ่โดยไม่ทันระวัง โดยที่ยังไม่อาจสลัดทิ้งได้ในทันที
วานรเฒ่ากำหมัดแน่น กลั้นลมหายใจทำสมาธิยืนอยู่ที่เดิม ข่มกลั้นปราณมหาศมาลที่พลิกตลบปั่นป่วนอยู่ในกายลงไป ริ้วคลื่นสีเขียวสีม่วงที่กระเพื่อมบนหน้าแปรเปลี่ยนมาเป็นสีทอง แวบเดียวก็หายไป
วานรเฒ่าเดือดดาลอย่างหนัก เพราะเวลานี้จู่ๆ ก็มีหินก้อนหนึ่งถูกยิงออกมาจากพุ่มไม้
วานรเฒ่ายื่นมือไปกุมหินที่แข็งกระด้างเป็นพิเศษซึ่งมีขนาดเท่าเล็บมือก้อนนั้นเอาไว้
จากนั้นเสียงสวบสาบก็ดังขึ้นมาเป็นระลอก เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มกำลังวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก
สีหน้าของวานรเฒ่ามืดทะมึนอย่างถึงที่สุด
หันหน้ากลับไปมองเมืองเล็กที่ถูกปกคลุมไว้ใต้ม่านราตรีทแวบหนึ่ง
กลัวว่านี่ต่างหากที่เป็นแผนล่อเสือออกจากภูเขาของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
แต่ลางสังหรณ์บอกกับวานรเฒ่าว่า ทางที่ดีที่สุดควรรีบสังหารเด็กหนุ่มรองเท้าแตะให้ตายอยู่ในภูเขานี่ซะ
—-
ก่อนหน้านี้ต้นจื่อซุนไหว (ต้นไหวลูกหลาน) บนถนนฝูลวี่เพิ่งจะถูกนักฆ่าหนุ่มป่ายปีนขึ้นไป กิ่งไม้ที่สูงที่สุดซึ่งสามารถซึ่งสามารถแบกรับน้ำหนักของคนคนหนึ่งซึ่งมีตำแหน่งอยู่เหนือหลังคาไปมากตอนนี้มีนักฆ่าที่ไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่อีกคนหนึ่ง ขยับลงมาข้างล่างเล็กน้อยยังมีคนยืนอยู่อีกหนึ่งคน
การปรากฎตัวอย่างกะทันหันของคนทั้งสองทำให้คนในจวนตระกูลหลี่ที่ตกอยู่ในความพรั่นพรึงจำต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะชายชุดขาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็คือใต้เท้าผู้ตรวจการ เขาพาซ่งจี๋ซินมาที่ต้นจื่อซุนไหว บอกว่าจะให้เขาได้ดูอะไรสนุกๆ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเป็นช่วงปลายของยามสนธยาแล้ว สายตาของซ่งจี๋ซินไม่ได้ ได้แต่ฟังซ่งจ่างจิ้งอธิบายให้เขาฟังถึงการไล่ฆ่าซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากหลังคาของตรอกหนีผิงอันน่าขันนั่น
มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มเท้าเอว อีกมือหนึ่งเท้าคาง หันมองไปยังทิศไกล ระหว่างที่เล่าให้ฟังถึงการไล่ฆ่าก็จะสอดแทรกความลับบางอย่างของเมืองเล็กที่ไม่มีใครรู้ หรือไม่ก็อธิบายถึงความเข้าใจต่อการฝึกตนของตัวเองไปด้วย
“หากไม่พูดถึงโชควาสนา พูดถึงแค่สมบัติอาคมที่จับต้องได้จริง คัมภีร์กระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมานานเล่มนั้น เวลานั้นสามารถถือว่าเป็นสามอันดับแรกของเมือง หากยืดเวลาออกไปให้นานอีกหน่อย นำไปไว้ในช่วงประวัติศาสตร์สามพันปีของเมือง คาดว่าสิบอันดับแรกคงยากสักหน่อย แต่ยี่สิบอันดับแรกย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน อย่านึกว่าลำดับเท่านี้ต่ำมาก เพราะในความเป็นจริงถือว่าสูงมากแล้ว”
“บวกกับเสื้อเกราะโหวจื่อตัวนั้น หากเจ้าเด็กแซ่หลิวผู้นั้นสามารถเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น ข้าผู้เป็นอ๋องก็คิดว่าโชควาสนาของเขาไม่แย่ไปกว่าพวกเจ้าห้าคนเลยแม้แต่นิดเดียว”
ซ่งจี๋ซินไม่ได้เงยหน้า เพราะใครบางคนห้อยเท้าอยู่เหนือศีรษะของเขา เด็กหนุ่มจึงเพียงแค่ถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมเขาถึงยังไม่ถูกวานรเฒ่าแห่งเขาตะวันเที่ยงต่อยตายเสียที?”
ซ่งจ่างจิ้งกล่าวพร้อมกลั้วหัวเราะเบาๆ “โชคดีเกินไปจนน่าอิจฉา ซ้ำยังไม่มีที่พึ่ง เข้าใจได้ยากนักหรือ?”
ซ่งจี๋ซินถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้นทำไมตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิง ท่านถึงไม่โน้มน้าวใจเขาให้เด็ดขาดกว่านั้นสักหน่อยล่ะ?”
อ๋องเจ้าแคว้นแห่งต้าหลีที่นั่งอยู่เหนือศีรษะของเด็กหนุ่มหัวเราะร่าด้วยความเบิกบานใจสุดขีด เป็นนานกว่าจะเอ่ยขึ้นว่า “สำหรับพวกคนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่อยู่บนภูเขา ข้าผู้เป็นอ๋อง…สรุปคือรอเจ้าออกไปแล้วได้ยินสมญานามบางอย่างของข้าผู้เป็นอ๋องเมื่อไหร่ เจ้าก็จะเข้าใจต้นสายปลายเหตุเอง”
ซ่งจ่างจิ้งพลันลุกขึ้นยืน สายตายังคงมองไปไกล หน้าของเขาเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย มือข้างหนึ่งลูบคลำเข็มขัดหยกตรงเอวเบาๆ สายตาฉายประกายร้อนแรง
เมื่อในสายตาของปรมาจารย์วิถีแห่งการต่อสู้ที่มีวรยุทธแทบจะใกล้เคียงกับคำว่า “ปีนป่ายสู่ยอดเขา ข้าก็คือยอดเขาที่สูงสุด” ผู้นี้เห็นว่าวานรเฒ่าย้ายภูเขาทำผิดกฎ วินาทีที่ปราณในร่างของเขาแผ่กระเพื่อมไม่หยุด จนเป็นเหตุให้อากาศในพื้นที่นั้นปั่นป่วนวุ่นวายเหมือนเศษกระเบื้องที่ปลิวกระจายหลังระเบิดแตก
ซ่างจ่างจิ้งก็กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าอาจแปลกใจอย่างมากว่าเหตุใดคนต่างถิ่นเหล่านั้นถึงมองคนอื่นด้วยสายตาเหมือนมองมดเหมือนแมลงไปเสียหมด เจ้าคิดจริงๆ หรือว่านี่เป็นแค่เพราะความหยิ่งทระนงตามนิสัยดั้งเดิมของพวกเขา? เพราะสายตาพวกเขาสูงอยู่บนฟ้า? นิสัยเป็นเพียงแค่สาเหตุส่วนเล็กส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่มากกว่านั้นคือแนวโน้มของสถานการณ์ เจ้าไม่เคยเดินออกจากเมืองมาก่อน จึงไม่รู้ถึงตำแหน่งสูงส่งเหนือล้ำในโลกภายนอกของเซียนซือ (เซียนซือคือคำเรียกขานเหล่าเซียน หรือคำที่ใช้เรียกยกย่องพวกนักพรต) เหล่านี้”
ซ่งจี๋ซินตอบรับ “ข้าไม่เห็นจะแปลกใจเลยสักนิดเดียว”
“คุยกับพวกบัณฑิตนี่ช่างเปลืองแรงจริงๆ”
ซ่งจ่างจิ้งไม่รู้สึกแปลกใจ ยังคงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “เพราะว่ามีเส้นเส้นหนึ่งที่กั้นขวางอยู่ระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขา เส้นนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ สำหรับบางคนแล้วยังเทียบกับร่องน้ำเล็กๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ขอแค่เจอมันก็สามารถข้ามผ่านไปได้ ก็เหมือนเจ้ากับหลิวเสี้ยนหยาง แล้วก็จ้าวเหยาบัณฑิตที่ถูกปรมาจารย์ใหญ่ของลัทธิเต๋าในทวีปอื่นหมายตาคนนั้นที่ล้วนถือเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น แต่จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก คนส่วนใหญ่ในเมืองที่หากเจอกับเส้นนั้นก็เหมือนกับเผชิญหน้ากับปราการแห่งสวรรค์ แม้แต่ความปรารถนาที่จะก้าวข้ามผ่านไปก็ยังไม่มี”
“ระยะห่างระหว่างกันของคนสองกลุ่มที่ถูกกั้นขวางไว้ด้วยเส้นเส้นนั้น อันที่จริงแล้วก็เหมือนกับ…คนและพืชหญ้ากระมัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ห่างกันคนละโลก ซ้ำอาจจะห่างไปยิ่งกว่านั้นด้วย”
ตอนที่พูดมาถึงตรงนี้ อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีก็ร้องเอ๊ะด้วยความแปลกใจขึ้นมาหนึ่งที จากนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “คราวนี้เจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่านั่นดวงซวยไม่น้อยเลยแหะ ดันมามีเรื่องกับเจ้าเม่นน้อยที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้ซะได้ ซ่งจี๋ซิน ตอนนี้ข้าผู้เป็นอ๋องเริ่มจะเข้าใจเจ้าบ้างแล้ว ใครมาเจอกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ก็คงอึดอัดใจกันทั้งนั้น นอกจากจะต่อยให้ตายด้วยหนึ่งหมัดอย่างฉับไวแล้ว ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะเป็นเรื่องยุ่งยากน่าหน่ายใจ”
สีหน้าของซ่งจี๋ซินไม่สบอารมณ์
จวนตระกูลหลี่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพลันมีเสียงตวาดดังลั่น ซ้ำร่มโพธิ์ร่มไทรของตระกูลที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดก็ได้ลงมืออย่างเดือดดาลแล้ว
เด็กหนุ่มคนนั้นได้รับการตอบรับจากกำลังเสริมแล้ว
ซ้ำยังไม่ใช่คนธรรมดาเสียด้วย
ซ่งจ่างจิ้งคลี่ยิ้ม ต่อให้เงาร่างของนักฆ่าคนนั้นจะพุ่งฉิวผ่านไปใต้ต้นจื่อซุนไหว อ๋องเจ้าแคว้นท่านนี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะขัดขวาง
ในสายตาของเขามองเห็นเรือนกายกำยำของวานรเฒ่าก้าวยาวๆ กลับมาจากทางทิศตะวันตก “กระโดดขึ้นๆ ลงๆ” อยู่ในเมืองเล็กไม่หยุด ส่วนตอนที่ร่างร่วงลงพื้นนั้นจะเหยียบบ้านเรียนให้พังทลาย ทำลายข้าวของในเรือนคนอื่นหรือไม่ เขากลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าวานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยงผู้นั้นจะหมายหัวคนที่จะระบายอารมณ์ตัวเองเอาไว้แล้ว
ซ่งจ่างจิ้งพลันขมวดคิ้ว จากนั้นก็คลายออก และพริบตาเดียวก็ระเบิดปณิธานแห่งการต่อสู้อย่างห้าวเหิม
ในชีวิตของซ่งจ่างจิ้งนักสู้แห่งต้าหลีมีเรื่องที่ชื่นชอบอยู่สามอย่าง สร้างเนินฝังศพ ฆ่าผู้มีพรสวรรค์ รบเทพเซียน
นาทีถัดมา ซ่งจี๋ซินก็เบิกตาโต ไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะถึงพลิ้วกายลงบนถนนฝูลวี่ แล้ววิ่งเข้าใส่ผู้เฒ่าร่างกำยำที่ห้อตะบึงมาจากทิศไกลอย่างเรียบง่ายจนแทบจะเรียกได้ว่าป่าเถื่อน
อ๋องเจ้าแคว้นแห่งต้าหลีกับวานรเฒ่าย้ายขุนเขา
หนึ่งคนหนึ่งหมัดผลัดเปลี่ยนกระแทกเข้าใส่หน้าอกของฝ่ายตรงข้าม
ซ่งจ่างจิ้งไม่เพียงไม่ถอย กลับรุกคืนไปข้างหน้าหนึ่งก้าว วานรเฒ่าจึงจำต้องถอยหลังก้าวหนึ่งเสียเอง
ต่างฝ่ายต่างแลกกันอีกคนละหมัด คราวนี้กระแทกลงบนหว่างคิ้วของทั้งคู่
ซ่งจ่างจิ้งก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า หนนี้มีแต่เขาที่ปล่อยหมัดออกไป
ชายผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะทั้งตัว ยามเหวี่ยงหมัดชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของเขาก็โบกสะบัด ส่วนใต้ฝ่าเท้ากลับเต็มไปด้วยแผ่นหินสีเขียวที่ปริแตก
หนึ่งหมัดพุ่งดิ่งออกไป
วานรเฒ่าจำต้องยื่นฝ่ามือออกมาบังรับหมัดของซ่งจ่างจิ้ง
ทันใดนั้นระหว่างฟ้าดินก็เหมือนจะมีเสียงปริแตกดังขึ้นไล่เลี่ยกันสองครั้ง
วานรเฒ่าลื่นไถลออกไปหลายสิบจั้ง แผ่นหินสีเขียวถูกไถคราดจนเกิดเป็นร่องลึกน่าสะพรึงกลัว
ซ่งจ่างจิ้งสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเท้าเข็มขัดหยกขาวตรงช่วงเอว ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ฉีจิ้งชุน ขนาดนี้เจ้ายังไม่คิดจะออกหน้ามาขัดขวางอีกรึ? หรือว่าเห็นว่าไหแตกแล้วเลยคิดจะทุบให้ละเอียดไปเสียเลย? อย่าน่า ทนอีกสักหน่อยสิ”
วานรเฒ่าพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที
ซ่งจ่างจิ้งยกฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งขึ้นแล้วโบกพลางคลี่ยิ้ม “รอให้ข้าผู้เป็นอ๋องออกไปแล้วค่อยมาสู้กัน ตอนนี้ต่างคนต่างไปจัดการกับธุระของตัวเองก่อนเถอะ”
วานรเฒ่าแสยะยิ้ม “ซ่งจ่างจิ้ง ทางที่ดีที่สุดเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าควรเอาชนะข้าให้ได้ หาไม่แล้วกองทัพฝั่งทิศใต้ของต้าหลีคงอยู่กันไม่เป็นสุขนัก”
ซ่งจ่างจิ้งยิ้มบางๆ “ขอให้เจ้าสมปรารถนา”
วานรเฒ่าแค่นเสียงเย็นหนึ่งที ก่อนเดินเข้าไปในจวนใหญ่ตระกูลหลี่ เมื่อเห็นว่าคุณหนูปลอดภัยดี ซ้ำยังไม่มีอาการตกใจขวัญเสีย หลังจากที่เข้าใจเหตุการณ์โดยละเอียดรอบหนึ่ง วานรเฒ่าที่ค้นพบว่าเป็นเพียงแค่กลอุบายหยาบๆ ครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก็ยิ้มเหี้ยมแล้วรีบไล่ตามไปยังทิศตะวันตกของเมืองทันที
ขึ้นเขาไปล่าเหยื่อ