บทที่ 50 วงล้อแห่งชะตากรรมที่แข็งขัน
ท่ามกลางม่านราตรี หลังจากเฉินผิงอันวิ่งตะบึงหนีเข้าไปในป่าลึกได้ไม่นานเท่าไหร่ เขาก็วิ่งเข้าไปในป่าไผ่ที่พื้นดินอ่อนนุ่มมากเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงเริ่มจงใจเพิ่มน้ำหนักฝีเท้า
ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมาก็วิ่งไปถึงแถบริมขอบของป่าไผ่ แล้วทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไผ่ต้นหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือ แล้วโยกต้นไผ่ให้เอนไปหาอีกต้นหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ท่าทางเหมือนลิงยิงกว่าวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงเสียอีก หลังจากทำซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ทิ้งตัวลงบนพื้นเบาๆ เขาย่อตัวลงใช้มือลบรอยเท้าของตัวเอง เมื่อหันไปมองแล้วเห็นว่าอยู่ห่างจากต้นไผ่ต้นแรกที่ปีนขึ้นไปประมาณห้าหกจั้ง เด็กหนุ่มถึงเริ่มวิ่งตะบึงต่อไป
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็พอจะได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ เด็กหนุ่มที่วิ่งห้อเต็มเหยียดไม่เพียงแต่ไม่หยุดฝีเท้า กลับยังกระโดดขึ้นสูง ร่างทั้งร่างจมลงไปในลำธาร แต่ไม่นานเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน ที่แท้เขาร่วงลงไปบนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่คุ้นเคยกับภูเขาลำธารของพื้นที่แถบดีเป็นอย่างนี้พยายามเบิกคากว้าง อาศัยความสามารถในการมองเห็นที่ยอดเยี่ยมและความทรงจำที่โดดเด่นกว่าคนปกติกระโดดข้ามไปมาอยู่บนก้อนหินกลางธารสายเล็ก เผ่นหนีไปยังกระแสน้ำตอนล่างตลอดทาง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะไปถึงหินหลังควายตรงธารน้ำทางฝั่งทิศใต้ของเมือง ถัดจากนั้นก็คือสะพาน สุดท้ายถึงจะเป็นร้านตีเหล็กของอาจารย์หร่วน
แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้หินหลังควายมากนัก พอไล่ตามธารน้ำออกจากภูเขามาถึงช่วงที่ธารน้ำหุบแคบที่สุดดั่งเอวคอดของหญิงสาวก็ขึ้นฝั่งทางขวามือ
ไม่นานก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกขึ้นเบาๆ “เฉินผิงอัน ทางนี้”
เฉินผิงอันรีบย่อตัวลงนั่งยอง หอบหายใจฮักๆ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก
เด็กสาวชุดดำถามเสียงเบา “หลอกวานรเฒ่านั่นให้ขึ้นไปบนเขาได้จริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน “พยายามเต็มที่แล้วล่ะ”
นางก็คือหนิงเหยาที่อ้อมผ่านถนนฝูลวี่ของเมืองมาเช่นกัน แล้วมานัดพบกันที่นี่ นางเอ่ยถาม “ได้รับบาดเจ็บหรือ?”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะส่ายหน้า “บาดแผลเล็กน้อย”
เด็กสาวอารมณ์ซับซ้อน กล่าวอย่างขุ่นเคือง “กล้าเล่นแบบนี้ วานรเฒ่าไม่ได้ฆ่าเจ้าตายก็ถือว่าเจ้าโชคดีแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “เดรัจฉานเฒ่านั่นทำผิดกฎไปครั้งหนึ่ง แต่หากเจ้าลงมือช้าอีกนิด เกรงว่าข้าก็คงจบเห่แน่แล้ว”
เด็กสาวอึ้งตะลึง “สำเร็จจริงหรือนี่? ใช้ได้เลยนี่นา เฉินผิงอัน!”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ
หนิงเหยากลอกตามองบน ก่อนเอ่ยถาม “แล้วไงต่อ?”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะครุ่นคิดเล็กน้อย “แผนการที่พวกเราวางไว้ก่อนหน้านี้โดยรวมแล้วยังไม่เปลี่ยน แต่ว่ามีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องเปลี่ยนสักหน่อย วานรเฒ่านั่นร้ายกาจเกินไป”
หนิงเหยายกมือตบป้าบลงไปบนศีรษะของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ โมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าเพิ่งรู้หรือไง?”
เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “แม่นางหนิง เจ้าหันตัวไปหน่อย ข้าต้องใส่ยาสมุนไพรที่หลัง เจ้าก็ถือโอกาสดูต้นทางฝั่งธารน้ำด้วยก็แล้วกัน”
เด็กสาวหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับตอนบนของลำธารอย่างว่าง่าย
เฉินผิงอันถอดเสื้อตัวนอกที่เป็นของหลิวเสี้ยนหยางออก ปลดเสื้อเกราะไม้กระเบื้องลง หยิบขวดยาขวดหนึ่งของร้านตระกูลหยางที่ใช้ผ้าพันเอาไว้ออกมา เทน้ำยาเหนียวหนืดส่วนหนึ่งลงบนฝ่ามือข้างขวา มือซ้ายเลิกเสื้อตัวในขึ้น ใช้มือขวาป้ายยาลงบนแผ่นหลัง
ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มที่ทนความเจ็บปวดได้ดีก็ยังเหงื่อแตกอย่างห้ามไม่ได้
แม้เด็กสาวจะไม่ได้หันกลับมา แต่ก็ยังเอ่ยถามว่า “เจ็บมากหรือ?”
เด็กหนุ่มตอบยิ้มๆ “นี่จะนับเป็นอะไรได้”
เด็กสาวเบ้ปาก แล้วเจ้าจะอวดเก่งไปทำไมเล่า
—-
บ้านที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของเมือง มีหญิงที่แต่งงานนั่งอยู่บนพื้นร้องคร่ำครวญ ตบอกตัวเองพลางสะอึกสะอื้นจนตัวโยน เสื้อตัวบางมีแววว่าจะปริออกได้ทุกเมื่อ บุตรชายบุตรสาวอายุน้อยเนื้อตัวมอมแมมของนางคู่นั้นยืนอยู่ข้างมารดาอย่างทำอะไรไม่ถูก ชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อๆ คนหนึ่งนั่งถอนหายใจอยู่นอกบ้านด้วยสีหน้าจนใจ จู่ๆ หลังคาบ้านก็มีรูโหว่โผล่ขึ้นมา อากาศหนาวของวสันตฤดูยังไม่ถดถอยไปสิ้น ร่างของตนยังพอทนได้ไหว แต่ภรรยาและลูกๆ ของตัวเองเล่าจะอยู่กันต่อไปอย่างไร?
ห่างออกไปไม่ไกลพวกเพื่อนบ้านรวมตัวอยู่ด้วยกันชี้มือชี้ไม้มาที่พวกเขา บางคนบอกว่าก่อนหน้านี้ก็ได้ยินว่าเสียงดังบนหลังคาบ้านตัวเอง ตอนแรกนึกว่าแมวป่าวิ่งอยู่ข้างบนจึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็มีคนบอกว่าทิศตะวันตกของเมืองวันนี้ไม่สงบสุขนัก ดูเหมือนว่ามีเด็กคนหนึ่งเห็นเทพเซียนผู้เฒ่าสวมชุดขาวล่องลอยไปมา ก้าวเดียวของเขาก็เท่ากับหลายสิบเก้าของชาวบ้านทั่วไป ย้ำยังบินบนชายคาเดินบนผนังได้ด้วย ก็ไม่รู้ว่าเทพเจ้าที่ออกจากศาลหรือเทพภูเขาออกจากเขากันแน่
เด็กหนุ่มสวนลมฟ้าผู้ฝึกวิชากระบี่นั่งยองๆ อยู่เพียงลำพังในมุมหนึ่งด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
ก่อนหน้านี้หลิวป้าเฉียวอยู่คุยเล่นกับท่านชุยที่จวนผู้ตรวจการ หลังจากได้ข่าวเรื่องความเคลื่อนไหวที่จวนตระกูลหลี่ก็ได้กลิ่นคาวเลือดทันที ทว่าต่อให้บุรุษผู้ปรีชาสามารถแห่งสวนลมฟ้าคนนี้จะหยิ่งทระนงในตัวเองมากแค่ไหนก็ไม่กล้าไปท้าทายวานรย้ายภูเขาตัวหนึ่งถึงที่ เขาเพียงแค่ใคร่ครวญว่าจะสามารถนั่งดูไฟชายฝั่ง (การจับตาดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายศัตรูแล้วตัวเองค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ลงมือ) ไปก่อนได้หรือไม่ หากมีโอกาสก็ค่อยเล่นงานวานรเฒ่า แบบนั้นย่อมสาสมใจมากยิ่งกว่า ดังนั้นหลิวป้าเฉียวจึงมาที่ชายคาของห้องหนังสือในจวนใหญ่หลังหนึ่ง ก้มหน้าลงมองเมืองเล็ก ค้นหาความเคลื่อนไหวของวานรเฒ่า ผลกลับกลายเป็นว่าค้นพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติทางตรอกหนีผิงฝั่งตะวันตกของเมืองแทน ดังนั้นหลิวป้าเฉียวที่ใจกล้ามาตั้งแต่เกิดจึงแอบซ่อนตัวจับตามองอย่างเงียบเชียบ
วินาทีที่วานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงโคจรลมปราณอย่างไม่เสียดายจนหลิวป้าเฉียวโดนลูกหลงได้รับบาดเจ็บ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่จำต้องย้ายไปบำรุงอยู่ในโพรงหมิงถังกลางกายจึงหมายมั่นปั้นมือแทบจะ “หลุดออกจากฝัก” เพราะเมื่อมาอยู่ในฟ้าดินที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ความสูงต่ำของตบะและแรงกดดันจากการสยบกำราบของกฎเกณฑ์สวรรค์กลายมาเป็นอัตราสัดส่วนโดยตรง จากการคำนวณของหลิวป้าเฉียว วานรย้ายภูเขาย่อมไม่ผ่อนคลาย ต่อให้พอจะฝืนโคจรปราณแลกปราณได้ อีกทั้งหลังจบเรื่องยังใช้เรือนกายที่แข็งแกร่งหรือวิชาอภินิหารไร้เทียมทาน กลับเป็นฝ่ายข่มกำราบความเดือดพล่านของทะเลปราณที่กฎเกณฑ์สวรรค์เป็นผู้ชักนำได้ ทว่าจำนวนครั้งในการ “โกง” เช่นนี้ย่อมไม่มากแน่ หาไม่แล้วต้องแบกรับความอันตรายใหญ่หลวงดุจน้ำบ่าพังทำนบทลาย ตบะที่ฝึกตนมานานเป็นพันปีถูกทำลายลงในคราวเดียวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากถอยมาพูดอีกก้าว ทุกครั้งที่ลงมือด้วยสถานะของ “เทพเซียน” นอกฟ้าดินแห่งนี้ก็ถือเป็นความเสียหายอย่างหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงก็เหมือนกับอายุขัยของมนุษย์ธรรมดาในโลกที่ถูกบั่นให้สั้นลง
แต่เมื่อหลิวป้าเฉียวเห็นว่าจุดที่สองเท้าของวานรเฒ่าร่วงลงมาหลังจากเหยียบหลังคาให้พังถล่มเกิดเป็นหลุมใหญ่สองหลุม ผู้มากพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ของสวนลมฟ้าผู้นี้ก็เริ่มรู้สึกโชคดีที่ตนไม่ได้บุ่มบ่าม หาไม่แล้วย่อมเท่ากับชักนำไฟให้ไหม้ตัวเอง ด้วยระดับความหนาข้นของลมปราณที่สดใหม่ขุมนั้นของวานรเฒ่า หากไม่เป็นเพราะค้นพบความเคลื่อนไหวในจวนใหญ่ตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่จึงจำต้องกลับไปดูให้แน่ใจว่าเด็กหญิงของเขาตะวันเที่ยงปลอดภัยจริงๆ การไล่ฆ่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เจ้าเล่ห์ดุจสุนัขจิ้งจอกคนนั้นอาจไม่มีความมั่นใจเต็มสิบ แต่หากหันมาไล่ฆ่าตนหลิวป้าเฉียวย่อมต้องง่ายดายมากแน่ๆ
แน่นอนว่าวานรเฒ่าไม่ใช่คนตาบอด ยิ่งไม่ใช่คนโง่ ในขณะที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตนทำท่าจะบินออกมา เขาย่อมต้องสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของตนเป็นแน่
เพียงแต่ว่าหลิวป้าเฉียวที่ไปเดินวนหน้าประตูผีมาหนึ่งรอบ ความหวาดผวาที่ยังไม่คลายก็ส่วนความหวาดผวา แต่สำหรับตัวของวานรเฒ่าแล้ว เขากลับไม่ได้ หวาดกลัวสักเท่าไหร่ ไม่ว่าศักยภาพระหว่างสวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงจะแตกต่างกันมากแค่ไหน ไม่ลงมือยังถือว่าดีหน่อย แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะลงมือก็ต้องให้ตายกันไปข้าง อีกทั้งคนที่ตบะต่ำกว่าย่อมไม่มีทางโขกหัวขอร้องคู่ต่อสู้แน่นอน นี่คือเรื่องจริงที่สองสำนักกระบี่แห่งแจกันสมบัติทวีปบูรพาใช้ชีวิตคนนับไม่ถ้วนมาพิสูจน์ตลอดระยะเวลาห้าร้อยปี
แล้วนับประสาอะไรกับที่ใช่ว่าหลิวป้าเฉียวที่มาอยู่ในเมืองเล็กจะไม่มีวิธีให้รับมือภายหลัง
หลิวป้าเฉียวลุกขึ้นยืนช้าๆ ไม่ได้ตรงกลับไปที่จวนผู้ตรวจการ แต่เดินไปยังบ้านหลังเล็กทางทิศตะวันตกสุดที่พังภินท์หลังนั้น เขายืนอยู่นอกผนังดินเหลืองเตี้ยๆ ร้องเรียกดังๆ หนึ่งเสียง พอชายฉกรรจ์และภรรยาของเขาหันหน้ากลับมามองเขาแล้ว เขาก็โยนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งไปได้หญิงที่แต่งงานแล้วซึ่งกำลังหลั่งน้ำตาดุจดอกหลีที่อยู่กลางสายฝนพลางเอ่ยยิ้มๆ “พี่สาว ขอร้องเจ้าอย่าคร่ำครวญอีกเลย ข้าอยู่ไกลตั้งขนาดนั้นได้ยินแล้วยังขนลุกไปหมด!”
หญิงผู้นั้นแล้วรับเหรียญทองแดงสีทองเหรียญนั้นมา ก้มหน้าลงมองเหรียญที่ลักษณะพอๆ กับเหรียญทองแดงทั่วไป แต่สีกลับไม่เหมือนด้วยความอึ้งงันเล็กน้อย ก่อนถามเสียงเบา “ทองงั้นหรือ?”
หลิวป้าเฉียวหัวเราะร่า “ไม่ใช่ แต่กลับมีค่ากว่าทองมากนัก…”
หญิงผู้นั้นอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็เดือดดาลอย่างหนัก ขว้างเหรียญทองแดงสีทองเหรียญนั้นใส่ชายหนุ่มต่างถิ่นอย่างแรง ลุกพรวดขึ้นยืน เท้าเอวด่า “ไสหัวไปเลย! ถ้าบอกว่าทองข้ายังพอจะเชื่ออยู่บ้าง แต่นี่บอกว่ามีค่ามากกว่าทองงั้นหรือ? เจ้าคิดว่ามารดาไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อนงั้นหรือ?! มารดาก็คนเคยจับเงินมาก่อน ของเล่นของเด็กสารเลวที่ขนยังขึ้นไม่ครบ อึยังรดกางเกงก็กล้ามาวางท่าเป็นนายท่านต่อหน้ามารดางั้นหรือ ผู้ชายของข้ายังนั่งหัวโด่อยู่นี่นะ!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีที่แต่งงานแล้วก็ยิ่งโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ สาวเท้าเร็วๆ ก้าวเดินไป เอวที่หนากว่าถังน้ำไม่เท่าไหร่ถูกท่าเดินยักย้ายของนางบิดให้มีเสน่ห์ไปอีกแบบ นางถีบชายหนุ่มที่นั่งเงียบอยู่บนพื้นจนอีกฝ่ายเอียงกะเท่เร่ไปอีกฝั่ง ชายหนุ่มไม่เพียงแต่ไม่เอาคืน แม้แต่เถียงก็ยังไม่กล้า เพียงก้มตัวคลานหนีไปไกล จากนั้นก็นั่งยองๆ ต่ออีกครั้ง สายตาฉายแววขุ่นเคือง
หญิงที่แต่งงานแล้วชี้หน้าด่าสามีตัวเอง “เจ้าคนขี้ขลาดไม่เอาไหน ไม่ต่างอะไรกับตายเลยสักนิด เกิดเรื่องที่ไรก็เอาแต่แกล้งบื้อ วันๆ ดีแต่เตร็ดเตร่ไปจับปลาจับงู พอๆ กับเด็กที่ยังใส่กางเกงเปิดเป้า (กางเกงเปิดเป้าไว้ให้สำหรับเด็กเล็กสวมใส่เพื่อสะดวกในการขับถ่าย) สู้ลูกชายเจ้ายังไม่ได้ด้วยซ้ำ! อย่างน้อยเสี่ยวไหวก็ยังรู้จักขโมย…รู้จักเก็บของเล็กๆ น้อยๆ กลับมาบ้าน เจ้าเป็นพ่อทำไมไม่ยอมไปเป็นลูกจ้างร้านตระกูลหยาง รวยมากจนเลือกงานได้หรือว่าอะไร ยังจะคิดเล็กคิดน้อยกับเงินไปทำไม? ปีๆ หนึ่งไม่เห็นจะทำอะไรที่มันจริงจังเสียบ้าง…”
ตอนที่กล่าวมาถึงตรงนี้ หญิงแต่งงานแล้วที่ทิวทัศน์ตรงหน้าอกสมควรใช้คำว่า “ยิ่งใหญ่” มาบรรยายก็พลันหัวเราะ “หากไม่เป็นเพราะตอนกลางคืนพอจะเป็นงานเป็นการอยู่บ้าง มารดาจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับเจ้างั้นหรือ?!”
พวกเพื่อนบ้านที่มุงอยู่รอบด้านฮาครืน คนหนุ่มบางคนยังเป่าปากเอ่ยแซวอีกด้วย
ในที่สุดหญิงที่ออกเรือนแล้วก็ย้ายหัวหอกกลับมาเล็งที่ตัวการใหม่อีกครั้ง นางคำรามว่า “ยังไม่ใสหัวไปอีก ยังไม่หย่านมใช่ไหม?!”
หลิวป้าเฉียวไหนเลยจะเคยเจอคนปากคอเราะร้ายแบบนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถูกหยาม กลับยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ ความสนุกสนานครั้งนี้ชมได้อย่างออกรสออกชาติ ต่อให้ถูกสตรีที่ออกเรือนแล้วด่าจนไม่เหลือชิ้นนี้ แต่เขาไม่เพียงไม่โกรธกลับขำขัน ทุกครั้งที่ตนทะเลาะกับศิษย์พี่ศิษย์น้องในสวนลมฟ้า มักจะต้องรู้สึกเงียบเหงาตลอด ราวกับว่าตนเต็มไปด้วยฝีไม้ลายมืออันยอดเยี่ยม แต่กลับไม่มีคู่ต่อสู้ที่สูสี ไม่เคยคิดเลยว่าในที่สุดวันนี้ก็มีที่ให้แสดงฝีมือ ความฮึกเหิมพลันบังเกิด จึงยิ้มแต้ “ยังไม่หย่านม พี่สาวท่านช่วยได้หรือ?”
สตรีที่แต่งงานแล้วเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเย้ยหยัน “ข้ากลัวว่าถ้าไม่ทันระวังจะอุดปากเจ้าจนหายใจไม่ออกตาย เจ้าน่ะ ลองไปหาแม่เฒ่าหม่าที่ตรอกซิ่งฮวาดู รับรองว่าอิ่มแน่!”
เสียงหัวเราะพลันดังสะเทือนไปยันชั้นฟ้า
แม้หลิวป้าเฉียวจะไม่รู้ว่าแม่เฒ่าหม่าคือเทพเจ้าจากไหน แต่ดูจากปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ฟังรอบข้างก็พอจะรู้ว่าศึกนี้ตนพ่ายอนาถ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยกนิ้วโป้งขึ้น ยิ้มสดใส “พี่สาว เจ้าร้ายจริง”
จากนั้นเขาก็ใช้สองนิ้วคีบเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญนั้นส่ายไปมา “ไม่เอาจริงๆ หรือ?”
สตรีผู้นั้นมีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด
และเวลานี้เอง ห่างออกไปไกลก็มีคนตะโกนขึ้นมาเสียงหน่ายใจ “เฉียวป้า ท่านชุยบอกให้เจ้ารีบกลับไป”
หลิวป้าเฉียวหันไปตามเสียง นั่นคือลูกหลานสกุลเฉินของเมืองหลงเหว่ย เฉินซงเฟิง ข้างกายมีหญิงสาวเรือนกายสูงโปร่งหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งยืนอยู่ มือทั้งสองข้างของนางว่างเปล่า ไม่ได้พกอาวุธใดๆ หน้าตาของนางไม่โดดเด่น ทว่ารูปร่างกลับตรงกันข้าม ขาเรียวยาวทั้งคู่นั่นถูกใจหลิวป้าเฉียวอย่างมาก นางก็คือญาติห่างๆ ของเฉินซงเฟิง ส่วนที่ว่าห่างขนาดไหนนั้น เฉินซงเฟิงไม่เคยพูดถึงมาก่อน และเด็กสาวก็เรียกชื่อของเฉินซงเฟิงตรงๆ มาโดยตลอด ตลอดทางที่เดินทางมาร่วมกัน คนทั้งสามปรองดองกันดี หลิวป้าเฉียวเองก็ไม่รู้สึกว่าเด็กสาวเย่อหยิ่ง เพียงแค่ว่านิสัยออกจะเย็นชาไปสักเล็กน้อยเท่านั้น
ในเมื่อชุยหมิงหวงเรียกตัวแล้ว หลิวป้าเฉียวก็ไม่กล้าชักช้า จึงตามคนทั้งสองเร่งรุดไปที่ถนนฝูลวี่ เพียงแต่ว่าตอนที่จากไปยังชายตาเหลือบมองชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หลายครั้ง
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนลังเลอยู่ชั่วครู่ หลังจากที่เหล่าเพื่อนบ้านแยกย้ายกันไปแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในลานบ้านเพียงลำพัง
หญิงที่ออกเรือนแล้วกำลังจะพาบุตรชายบุตรสาวตัวเองไปอาศัยอยู่บ้านแม่ด้วยความไม่เต็มใจอย่างถึงที่สุด การแต่งงานออกเรือนต้องรู้จักเลือกมองคนที่มีฐานะสูงกว่า ผู้ชายที่นางเลือกมานี้ต้องเรียกว่าตาสุนัขมองคนต่ำ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานอกจากเทศกาลปีใหม่แล้วก็ไปมาหาสู่กันน้อยครั้ง ทว่าเมื่อเจอกับหายนะที่บินมาหาเช่นนี้ หญิงที่แต่งงานแล้วก็อับจนปัญญาจริงๆ นางอยากจะดึงดันพาบุตรชายบุตรสาวไปอาศัยโรงเตี๊ยม ใช้เงินมือเติบสักหลายๆ วัน แต่จนใจที่ถุงเงินแฟบแบน ยากจนจนเสียงเหรียญเงินกระทบกันก็ไม่เคยดังให้ได้ยิน จำต้องทำหน้าหนากลับไปเจอคนบ้านแม่กลอกตาใส่ ดังนั้นก่อนจะจากไป หญิงออกเรือนแล้วที่ยิ่งคิดยิ่งโมโหจึงบิดเนื้อที่เอวของสามีตัวเองแรงๆ บิดจนชายผู้นั้นหน้าเบ้ นางถึงได้ยอมหยุดมือ เด็กสองคนเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้มาจนชินแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่กังวลใจว่าพ่อแม่จะทะเลาะกัน ยังแอบหลบไปขำอีกต่างหาก
หญิงผู้ออกเรือนแล้วตาดี มองไปเห็นชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกที่ทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงหน้าประตูจึงด่าโฉงเฉงขึ้นทันที “เจ้าคนแซ่เจิ้ง มาคาบเสื้อผ้ามารดาอีกแล้วใช่ไหม? เจ้าเกิดปีหมาหรือไง? กระต่ายยังไม่กินหญ้าข้างรังของตัวเอง (เหมือนสุภาษิตว่าสมภารไม่กินไก่วัด) ต่อให้มารดาไม่เต็มใจยอมรับอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเพราะดวงซวยมาแปดชาติ ถึงได้มาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าจะลงมือขโมยได้อย่างไรล่ะ?”
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ในใจถึงขั้นคิดอยากตายแล้วด้วยซ้ำ “พี่สะใภ้ ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าก็แค่ลืมซื้อลูกคมให้เสี่ยวไหวลูกเจ้ากิน เขาถึงได้จงใจพูดแบบนี้ พี่สะใภ้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงได้ยังไง?”
เด็กชายคนนั้นทำหน้าไร้เดียงสา
แน่นอนว่าหญิงที่แต่งงานแล้วย่อมเชื่อลูกของตัวเองมากกว่าจึงยกมือทำท่าจะตีชายฉกรรจ์คนนั้น
ฝ่ายหลังรีบหดคอวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ตะโกนให้ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองอยู่บนพื้นฟัง “ศิษย์พี่ ทำไมท่านไม่เกลี้ยกล่อมพี่สะใภ้บ้างเล่า!”
ชายผู้นั้นตอบรับมาหนึ่งคำด้วยเสียงที่ทั้งหนาใหญ่และทุ้มต่ำ “ไม่กล้าพูด”
ชายฉกรรจ์สกปรกทอดถอนใจไม่หยุด “บนโลกใบนี้ไม่มีที่ให้คนดีอยู่แล้ว”
หญิงที่แต่งงานแล้วจูงลูกสองคนไว้คนละมือเดินไปทางประตูบ้าน แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมาทิ้งสายตา ยิ้มตาหยี “เจ้าคนแซ่เจิ้ง คราวหน้าเอาเงินมาให้มากๆ หน่อย พี่สะใภ้จะขายให้เจ้าเอง หนึ่งตัวเก็บแค่ห้าสิบอีแปะ เป็นไง?”
ดวงตาของชายฉกรรจ์สภาพโกโรโกโสเป็นประกายวาบ ก่อนตอบรับอย่างขลาดๆ ว่า “แพงไปหน่อยกระมัง? เสื้อผ้าใหม่ที่ร้านตรอกซิ่งฮวาเนื้อผ้าดีมาก ก็ราคานี้เหมือนกัน..”
หญิงที่แต่งงานแล้วเปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ด่ากราดเสียงดัง “เจ้ากล้ามีความคิดชั่วร้ายแบบนี้จริงๆ หรือ?! ไปตายซะ สมควรแล้วที่โสดมาทั้งชีวิต! ชีวิตห่วยๆ ชีวิตเดียว วันไหนตายอยู่นอกประตูตะวันออกก็คงไม่มีใครเก็บศพให้…”
หลังจากที่สตรีผู้แต่งงานแล้วจากไปพร้อมกับลูกๆ ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมก็กระโดดไปข้างหลังเล็กน้อย ขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงลานบ้าน กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ศิษย์พี่ ไม่ใช่ข้าว่าเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะถูกไขมันหมูบังใจจริงๆ ถึงได้เลือกผู้หญิงปากคอเราะร้ายแบบนี้มาเป็นเมีย”
ที่แท้ชายร่างสกปรกคนนี้ก็คือคนเฝ้าประตูทางฝั่งตะวันออกของเมือง แซ่เจิ้ง โสดสนิทไร้ลูกเมีย
ชายฉกรรจ์หน้าตาซื่อๆ ที่ยังนั่งยองๆ อยู่ในลานบ้านโพล่งออกมาหนึ่งคำ “ข้าเต็มใจ”
คนเฝ้าประตูเมืองที่รับผิดชอบเก็บเงินคนต่างถิ่นเงียบคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าบอกให้ช่วงนี้ท่านอดทนสักหน่อย อย่าได้ลงมือกับคนอื่น”
คนเฝ้าประตูเงยหน้ามองหลังคาบ้านที่น่าสงสารแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “อาจารย์ยังบอกด้วยว่าหากทนไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ระบายโทสะกับภรรยาท่าน จะอย่างไรซะพี่สะใภ้ก็ไม่กลัวที่จะมีเรื่องกับท่านอยู่แล้ว นางถนัดเรื่องนี้ทีเดียว”
ชายฉกรรจ์ที่พูดไม่เก่งเงยหน้าขึ้นมองชายเนื้อตัวมอมแมมที่นั่งอยู่บนกำแพงเตี้ยๆ ฝ่ายหลังจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “ได้ๆๆ ข้าเจิ้งต้าเฟิงเป็นคนพูดเอง อาจารย์ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้”
ชายฉกรรจ์หน้าซื่อลุกขึ้นยืน เรือนกายของเขาเตี้ยล่ำ ผิวหนังสีทองแดง กล้ามเนื้อที่ปูดนูนขึ้นมาบนแขนสองข้างทำเอาแขนเสื้อตึงแน่น
อีกทั้งเขายังหลังค่อมเล็กน้อย หันไปพูดกับชายเฝ้าประตูเมืองอย่างไม่สบอารมณ์ “หากท่านอาจารย์ยอมพูดกับเจ้าเกินสิบคำ ข้าย่อมเปลี่ยนไปใช้แซ่ของเจ้าเลย”
ในใจของคนเฝ้าประตูพร่ำท่องคำสั่งของอาจารย์ จากนั้นก็ชูมือขึ้นมานับนิ้วคำนวณ ไม่ถึงสิบคำจริงๆ ด้วย! ชายร่างสกปรกคนนี้ด่าพ่อล่อแม่ก่อนหนึ่งคำ จากนั้นก็รู้สึกท้อแท้อย่างมาก เสียใจอีกเล็กน้อย ถึงขั้นเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ท่าทางจึงดูน่าเวทนาไม่น้อย
ชายหลังค่อมถาม “ยังมีธุระอีกไหม?”
คนเฝ้าประตูพยักหน้ารับ “อาจารย์บอกให้ท่านไปจัดการกับคนผู้นั้น”
ชายหลังค่อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งยองลงไปด้วยความเคยชินอีกครั้ง หันหน้าเข้าหาบ้านที่พังทลาย กล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “อาศัยอะไร?”
เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูกลอกตาพูด “สรุปก็คืออาจารย์สั่งมาอย่างนี้ ท่านอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ”
ชายฉกรรจ์ครุ่นคิดเล็กน้อย “เจ้าไปเถอะ คราวหน้าหากข้าเห็นว่าเจ้าขโมยของของพี่สะใภ้เจ้าอีก ข้าจะตัดไอ้จ้อนเจ้าทิ้งซะ”
เจิ้งต้าเฟิงผู้มีเนื้อตัวมอมแมมคำรามเดือดดาล “หลี่เอ้อร์! เจ้าพูดมาให้ดีนะ! ใครไปขโมยเสื้อผ้าของเมียเจ้ากัน?! คำพูดพล่อยๆ แบบนี้เจ้าก็เชื่อด้วยหรือไง? น้ำเข้าสมองเจ้าไปแล้วหรือ?”
ชายฉกรรจ์หันหน้ากลับไปมองศิษย์น้องร่วมสำนักที่กำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ เพียงตีหน้าเคร่งไม่พูดจา
เจิ้งต้าเฟิงเหมือนสาวน้อยผู้คับแค้นใจเพราะได้รับความไม่เป็นธรรมน้ำเสียงที่พูดจึงขุ่นเคืองอย่างถึงที่สุด “วันหน้าข้าไม่กล้าอีกแล้ว พอใจหรือยัง?!”
คนเฝ้าประตูลุกขึ้นยืน เขย่งปลายเท้าหนึ่งทีก็จากไปไกลเหมือนใบไหวใบหนึ่งที่ลอยเข้าไปยังถนน แล้วถึงได้กล้าสบถเสียงดัง “หลี่เอ้อร์ ข้าผู้อาวุโสจะไปหาพี่สะใภ้แล้วไปซื้อเสื้อชั้นในจากนางเดี๋ยวนี้เลย!”
ชายฉกรรจ์สกปรกทิ้งคำพูดน่าโมโหเอาพลางวิ่งหนีเร็วยิ่งกว่าสุนัขวิ่ง
เพียงแต่ว่าชายหน้าซื่อไม่มีที่ท่าว่าจะลุกขึ้นยืน เพียงพ่นคำออกมาสองคำ “ไอ้เลว”
—-
คนทั้งสามกลับมาถึงจวนผู้ตรวจการ ปัญญาชนสำนักขงจื๊อแห่งสำนักศึกษากวานหูชุยหมิงหวงนั่งรออยู่ในโถงหลักนานมากแล้ว พอเห็นหญิงสาวแปลกหน้า ชุยหมิงหวงก็ลุกขึ้นยืนผงกศีรษะทักทาย เด็กสาวเองก็พยักหน้ารับ สีหน้าของนางยังคงเย็นชาดุจเดิม หากใช้คำพูดของหลิวป้าเฉียวที่แอบพูดลับหลังก็คือ สีหน้าเหมือน “คนทั้งโลกล้วนติดเงินนางก้อนโต”
หลังจากที่คนทั้งสามนั่งลงแล้ว ชุยหมิงหวงถึงหันไปพูดยิ้มๆ กับหลิวป้าเฉียว “โชคดีที่เจ้าอดกลั้นไม่ลงมือ หาไม่แล้วย่อมเกิดเรื่องใหญ่แน่ เจ้าไม่เห็นว่าเมื่อครู่นี้ใต้เท้าซ่งผู้ตรวจการของเราปะทะกับวานรพิทักษ์ขุนเขาแห่งเขาตะวันเที่ยงจังๆ ที่ถนนฝูลวี่ถึงสามหมัด ครึกโครมกันไม่น้อย บอกตามตรงว่าหลังจากนี้ไม่ว่าเจ้าจะพบเจอโอกาสที่พันปียากจะพานพบแบบใดก็ตาม ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าลงมือ ห้ามรู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวยเด็ดขาด”
หลิวป้าเฉียวถามอย่างสงสัย “หรือว่าสามหมัดนั่นเจ้าเดรัจฉานเฒ่าซัดซ่งจ่างจิ้งซะหมอบไปเลย? ซ่งจ่างจิ้งกระจอกงอกง่อยถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ไหนบอกว่าเขาสัมผัสกับธรณีของขอบเขตที่สิบ ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนั้นได้แล้วอย่างไรล่ะ?”
ชุยหมิงหวงระอาใจเป็นอย่างยิ่ง “จะดีจะเลวอย่างไรพวกเราก็มาอาศัยอยู่ที่เรือนของใต้เท้าซ่ง เจ้าช่วยพูดจาให้เกรงใจกันหน่อยได้ไหม?”
เฉินซงเฟิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “เป็นใต้เท้าซ่งต่างหากที่ได้เปรียบเล็กน้อย”
ต่อให้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอ๋องเจ้าแคว้นของต้าหลีผู้นั้น แต่ขอแค่เป็นผู้ฝึกตน หลังจากได้ยินวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่นี้ก็ไม่มีทางที่จะไม่ใจสั่น!
ผู้ที่ฝึกวิชาการต่อสู้เพียงอย่างเดียวคนหนึ่งกลับสามารถใช้เรือนกายเนื้อหนังมังสามาต้านทานวานรย้ายภูเขาตัวหนึ่งได้!
ประเด็นสำคัญคือคนผู้นี้ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกด้วย!
เด็กสาวนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ด้านข้าง มือทั้งคู่วางแบอยู่บนหัวเข่า
พอได้ยินเรื่องนี้ นิ้วมือของนางก็สั่นสะท้านน้อยๆ
นางเองก็ถูกเฉินซงเฟิงรีบร้อนตามตัวมาเช่นกัน เดิมทียังคิดจะเดินเล่นอยู่ในเมืองต่อไปเรื่อยๆ
ที่นางไม่มียืนกรานที่จะเดินเล่นต่อไป แต่ตามเฉินซงเฟิงไปหาหลิวป้าเฉียวแล้วกลับมาที่จวนผู้ตรวจการ นางก็แค่เข้าเมืองตาหลิ่วจึงหลิ่วตาตามเท่านั้น
ส่วนเฉินซงเฟิงจะได้ผลประโยชน์อะไรจากต้นไหวเก่าแก่ต้นนั้นหรือไม่ จะได้รับใบไหวร่มเงาบรรพบุรุษมากี่ใบนั้น เด็กสาวที่แซ่เฉินเช่นเดียวกันกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย
แต่ว่าตอนที่เฉินซงเฟิงไปเจอนาง นางก็ยังสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นฮึกเหิมที่เด็กหนุ่มคนนี้จงใจสะกดกลั้นเอาไว้อย่างชัดเจน น่าจะเป็นเพราะได้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ จำนวนของใบไหวที่ร่วงลงมาคงเหนือกว่าที่บุรพาจารย์แซ่เฉินเมืองหลงเหว่ยคาดการณ์เอาไว้
หลิวป้าเฉียวพลันเอามือกุมท้องหัวเราะตัวงอ “คราวนี้เดรัจฉานเฒ่าอเนจอนาถจริงๆ สะใจ สะใจยิ่งนัก ถึงขนาดถูกเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งปั่นหัว จูงจมูกให้เดินไปครึ่งค่อนเมือง ฮ่าๆ นี่มันตลกสุดๆ ไปเลย พอจะให้ข้าเอาไปพูดในสวนลมฟ้าได้เป็นสิบปี! เมื่อถึงเวลานั้นด้วยสันดานแมลงสาบของพวกเขาตะวันเที่ยงต้องรีบร้อนกระโดดออกมาพูดว่าสวนลมฟ้าของเราใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ยุให้หาหลักฐานมาแสดงแน่ๆ! ข้าจะไปงัดเอาหลักฐานกับปู่เจ้าที่ไหนมา หากไม่เป็นเพราะเมืองแห่งนี้ห้ามใช้เวทอาคม ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเมื่อทำลายกฎมหาศาลเกินไป ไม่อย่างนั้นต่อให้ตายข้าก็ต้อง ‘คัดลอก’ ต้นฉบับของภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในกระจกภาพและเสียงให้จงได้”
ชุยหมิงหวงพลันหน้าเผือดสีไปเล็กน้อย ตวาดหลิวป้าเฉียวเสียงหนัก “ป้าเฉียว!”
หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน
หลิวป้าเฉียวกำลังจะถามว่าทำไมก็พลันหุบปากฉับ
ไม่นานก็มีชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินมาถึงช้าๆ หลังจากข้ามธรณีประตูมาแล้วก็ยิ้มตาหยีถามหลิวป้าเฉียว “เรื่องอะไรน่าขำถึงเพียงนี้ สนุกคนเดียวไม่สู้ทุกคนสนุกด้วยกัน เล่าให้ข้าผู้เป็นอ๋องสนุกบ้างสิ?”
ชุยหมิงหวงลุกขึ้นยืนนานแล้ว กำลังคิดจะเปิดปากพูดยกเก้าอี้ตำแหน่งประธานให้อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีผู้นี้นั่ง
ซ่งจ่างจิ้งส่ายหน้าคลี่ยิ้มให้แก่บัณฑิตสำนักศึกษากวานหูผู้นี้ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องมากพิธี เขาดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งข้างกายหลิวป้าเฉียวอย่างง่ายๆ จึงเท่ากับแบ่งฝั่งซ้ายขวานั่งตรงข้ามกับเฉินซงเฟิงและหญิงสาวผู้นั้น
แม้หลิวป้าเฉียวจะมีภาพลักษณ์เสเพลไม่เอาไหน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธที่เล่าลือกันว่ามีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตที่สิบในระยะประชิดขนาดนี้ โดยเฉพาะไอ้หมอนี่ยังมีชื่อเสียงด้านความชั่วร้ายเป็นที่เลื่องลือ หากแค่เรื่องชมทิวทัศน์บนเนินกระดูกก็ยังพอทำเนา แต่เรื่องที่เขาชอบฆ่าผู้มีพรสวรรค์กลับทำให้คนขนลุกขนชันได้ดีจริงๆ ดังนั้นอย่าเห็นว่าตอนที่อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีท่านนี้ไม่อยู่ หลิวป้าเฉียวจะเรียกซ่งจ่างจิ้งได้อย่างคล่องปาก พอมาเจอตัวเข้าจริงๆ หลิวป้าเฉียวกลับอดที่จะร้อนตัวไม่ได้
ยังดีที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่เคยแยแสเรื่องหน้าตาตัวเองอยู่แล้ว จึงยิ้มประจบ “ปรมาจารย์ใหญ่ซ่ง ข้ากำลังพูดถึงเรื่องสุดยอดการต่อสู้ระหว่างท่านผู้อาวุโสกับเดรัจฉานเฒ่าเขาตะวันเที่ยงผู้นั้นอยู่พอดี ช่างเป็นศึกที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินจนเทพและผีต้องร่ำไห้จริงๆ ท่านอ๋องผู้อาวุโสปล่อยหมัดประดุจมังกร หากไม่เป็นเพราะยั้งไมตรี วานรพิทักษ์ภูเขาตัวนั้นต้องตายคาที่ศพไม่สมบูรณ์อยู่บนถนนฝูลวี่แน่ๆ วรยุทธของใต้เท้าซ่งสูงส่ง คุณธรรมก็เลิศล้ำ ข้าผู้น้อยอยากประจบแทบไม่ทัน!”
ซ่งจ่างจิ้งเพียงอมยิ้มไม่เอ่ยอะไร
หน้าผากของหลิวป้าเฉียวหลั่งเหงื่อเย็น แผ่นหลังก็มีเหงื่อซึมออกมา ในที่สุดก็พูดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว ได้แต่หุบปากปิดสนิทอย่างขลาดๆ
ซ่งจ่างจิ้งพลันหันไปมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาใคร่ครวญ เอ่ยถามด้วยความสนใจ “เจ้าเองก็เป็นลูกหลานสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยหรือ?”
เด็กสาวส่ายหน้า ตอบเนิบช้า “ไม่ใช่”
ซ่งจ่างจิ้งอ้อรับหนึ่งทีแล้วทำท่าครุ่นคิด
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วน
จนกระทั่งซ่งจี๋ซินมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตู เด็กหนุ่มเห็นว่าในห้องไม่มีที่นั่งจึงนั่งลงบนธรณีประตูอย่างไม่ใส่ใจ หันหน้ามองทุกคนในห้อง
ซ่งจ่างจิ้งไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน เพียงหันมาคลี่ยิ้มให้หลิวป้าเฉียว “อันที่จริงการที่เด็กหนุ่มรอดชีวิตมาได้ เจ้าก็คือหนึ่งในผู้มีพระคุณ”
หากไม่เป็นเพราะแรกเริ่มวานรย้ายภูเขาเข้าใจไปว่าเด็กหนุ่มมาท้าทายตนเพราะได้รับคำยุยงจากคนอื่น และคนในเมืองเล็กแห่งนี้ที่กล้าวางแผนเล่นงานเขาตะวันเที่ยงล้วนไม่ใช่คนโง่ มีแต่พวกที่ถนัดวางแผนแล้วค่อยลงมือ ดังนั้นวานรเฒ่าจึงรู้สึกว่านกขมิ้นที่จับจ้องอยู่ข้างหลังตั๊กแตนกับจั๊กจั่นย่อมต้องมีฐานะไม่ต่ำ ฝีมือไม่อ่อนด้อย นี่จึงเป็นเหตุให้วานรเฒ่าที่ไม่ยินดีเผยช่องโหว่แม้แต่เสี้ยวเดียวมีสภาพกระเซอะกระเซิงไม่น้อยในแถบตรอกหนีผิง
และเมื่อวานรเฒ่าแน่ใจแล้วว่ารอบด้านตรอกหนีผิงไปจนถึงบ้านแถบตะวันตกที่สุดไม่มีนักฆ่าซ่อนตัวอยู่จริงๆ เขาถึงได้เริ่มปล่อยฝีมือลายมือโดยการต่อยหนึ่งหมัดเข้าที่หัวใจด้านหลังของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ
หลิวป้าเฉียวหัวเราะแห้งๆ “แม้ว่าเรื่องจริงจะเป็นเช่นนี้ แต่ผู้มีพระคุณแบบนี้ ข้าไม่กล้ารับหรอก”
ซ่างจ่างจิ้งเพียงยิ้มรับเรียบๆ
เด็กสาวหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งอยู่บนธรณีประตู
เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆ ให้นาง
นางจึงหันหน้ากลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เด็กหนุ่มเบ้ปาก เริ่มชื่นชมขาเรียวยาวทั้งคู่ของนางอย่างเปิดเผย นางอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี หน้าตาพอไปวัดไปวา แต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่านางมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
หญิงสาวหันหน้ากลับมา สายตาเยียบเย็น เอ่ยเสียงแหบพร่า “เจ้าอยากตายรึ?”
ซ่งจี๋ซินชี้มาที่ตัวเอง ทำสีหน้าไร้เดียงสากวนประสาทอย่างมาก “ข้าหรือ?”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ชี้ไปที่อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีซ่งจ่างจิ้ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องถามเขาก่อนถึงจะได้”
หญิงสาวเตรียมจะลุกขึ้นยืน
ซ่งจ่างจิ้งพลันหรี่ตาลง
ในห้องโถงใหญ่ พลานุภาพสยบที่ยิ่งใหญ่ไพศาลขุมหนึ่งดุจห่าฝนที่กระแทกใส่หัวของทุกคนอย่างรุนแรง ไร้ที่ให้หลบซ่อน ผิวหนังของทุกคนพลันเกิดความเจ็บปวดดุจถูกเข็มทิ่มแทงจริงๆ
มีเพียงซ่งจี๋ซินที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูเพียงลำพังเท่านั้นที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วย
เฉินซงเฟิงเอ่ยปากอย่างยากลำบาก ทว่าน้ำเสียงกลับไม่ยอมลงให้ “ท่านอ๋อง แม่นางคนนี้หาใช่คนของแจกันสมบัติทวีปบูรพาไม่ หวังว่าท่านอ๋องจะทำอะไรด้วยความระมัดระวัง!”
หญิงสาวคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน “เจ้าฆ่าข้า? ไม่กลัวว่าต้าหลีของพวกเจ้าจะถูกล่มแคว้นหรือ?”
ชุยหมิงหวงกำลังจะห้ามปราม
เห็นเพียงว่าร่างทั้งร่างของหญิงสาวกระเด็น ไม่เพียงแต่เก้าอี้ด้านหลังที่ระเบิดเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ เรือนกายสูงโปร่งของนางก็จมลงไปในผนัง ราวกับเป็นวัตถุที่ถูกฝังเลื่อมอยู่ในนั้น
ซ่งจ่างจิ้งมาโผล่อยู่ใต้ผนังอย่างลึกลับ เอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองหญิงสาวที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด กล่าวยิ้มๆ ว่า “นังหนู เพราะรู้สึกว่าผู้อาวุโสหรือบุรพาจารย์ของเจ้าร้ายกาจอย่างมาก พออยู่ต่อหน้าข้าผู้เป็นอ๋องจึงมีคุณสมบัติมาพูดจาวาง…คำนั้นพูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”
อ๋องเจ้าแคว้นหันหน้าไปมองหลานตัวเองยิ้มๆ เด็กหนุ่มยิ้มตาหยีตอบกลับ “อ้อ วางโตโอหัง”
ซ่งจ่างจิ้งยิ้มรับ หันหน้ากลับมามองเด็กสาวต่อ ฝ่ายหลังแม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่สายตากลับเด็ดเดี่ยว ไม่มีแววว่าจะขอร้องหรือยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ซ่งจ่างจิ้งจึงกล่าวว่า “ไปเกิดใหม่ชาติหน้า อย่าได้มาพบเจอกับข้าผู้เป็นอ๋องอีกเลย”
เฉินซงเฟิงปวดร้าวเจียนขาดใจ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ร่างทั้งร่างจมอยู่ในอารมณ์อันซับซ้อนถึงขีดสุด ทั้งเดือดดาลอย่างหนัก ทั้งคละเคล้าไปด้วยความหวาดกลัวล้ำลึก กำลังจะอ้าปากพูด
ทว่าชุยหมิงหวงกลับชิงปราดขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว กุมมือประสานขออภัย ก้มหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ท่านอ๋อง โปรดเห็นแก่หน้าข้า อย่าได้ถือสานางเลยได้หรือไม่”
ซ่งจ่างจิ้งกระตุกยิ้มมุมปากเต็มไปด้วยความดูหมิ่น
หญิงสาวที่ประสานสายตากับอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีพลันหลับตาลงเหมือนยอมรับชะตากรรม
และเวลานี้เอง เด็กหนุ่มที่ยังอยู่บนธรณีประตูถึงได้หัวเราะฮ่าๆ “ท่านอา! ช่างเถอะ รังแกพวกผู้หญิง หากเรื่องแพร่ออกไปมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของท่านเสียหาย”
เรือนกายของซ่งจ่างจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย เล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น ต่อให้เป็นชุยหมิงหวงกับหลิวป้าเฉียวก็ยังรู้สึกว่าสีหน้าสังหารนั้นของเขาไม่มีริ้วคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ซ่งจ่างจิ้งเอียงศีรษะ ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาดีดหนึ่งครั้งตรงหัวไหล่คล้ายปัดฝุ่น
หลิวป้าเฉียวบุคคลอันดับหนึ่งของเด็กรุ่นเยาว์สวนลมฟ้าอึ้งงันเป็นไก่ไม้
ชุยหมิงหวงเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เฉินซงเฟิงเหมือนร่วงลงสู่ทะเลเมฆหมอกมองไม่เห็นทิศทาง ไม่เข้าใจสิ่งใด
ซ่งจ่างจิ้งหันไปยิ้มให้หลิวป้าเฉียว “ไอ้หนู ไม่เลว ข้าผู้เป็นอ๋องชื่นชมเจ้า”
หญิงสาวลืมตา “งัดตัวเอง” ออกมาจากผนัง พอเท้าเหยียบลงพื้น ร่างก็ส่ายโงนเงนหนึ่งครั้ง พูดกับแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้า “บทเรียนวันนี้ เฉินตุ้ยจดจำได้ขึ้นใจแล้ว”
ซ่งจ่างจิ้งไม่สนใจนาง เพียงพูดกับหลิวป้าเฉียว “หลังออกจากเมืองไปหาข้าผู้เป็นอ๋องที่เมืองหลวงต้าหลี มีของบางอย่างจะมอบให้เจ้า ต้องดูแค่ว่าเจ้าจะถือได้ไหว เคลื่อนย้ายไปได้สำเร็จหรือไม่”
หลิวป้าเฉียวหลุดปากถาม “กระบี่อาญาสิทธิ์!”
ผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างก็รู้ว่ากระบี่อาญาสิทธิ์คือหนึ่งในอาวุธอาคมที่สำคัญของลัทธิเต๋า ทว่าหากกระบี่เล่มหนึ่งสามารถได้ใช้นามว่า “กระบี่อาญาสิทธิ์” อีกทั้งผู้คนทั่วโลกล้วนรับรู้ ก็พอจะจินตนาการได้ว่ากระบี่เล่มนี้น่าอัศจรรย์ใจมากแค่ไหน
ซ่งจ่างจิ้งและซ่งจี๋วินเดินออกไปจากเรือนหลังนี้ ชายหนุ่มถึงถามยิ้มๆ “ความอึดอัดขับข้องใจที่สุมอกขุมนั้นระบายออกหมดหรือยัง?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “พอประมาณแล้ว”
ก่อนหน้านี้ด้วยเรื่องของเฉินผิงอัน แม้แต่หลานชายแท้ๆ ของตัวเอง ชายผู้นี้ก็ยังหักหลังได้ลงคอ แน่นอนว่าซ่งจี๋ซินย่อมอึดอัดคับแค้น
แล้วทันใดนั้นซ่งจี๋ซินก็ขมวดคิ้วถาม “ผู้หญิงคนนั้นแค่มองก็รู้ว่ามีภูมิหลังใหญ่โต ท่านอาไม่กลัวว่าเรื่องเล็กน้อยจะนำปัญหาใหญ่มาให้ไม่จบสิ้นหรือ? หากอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นไม่ได้โกหก ข้าก็รู้ว่าตาแก่สารเลวพวกนั้นร้ายกาจถึงขนาดไหน เมื่อถึงเวลานี้ต้าหลีของพวกเราจะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ?”
เพียงประโยคเดียวของชายหนุ่มก็ทำให้เด็กหนุ่มสงบลงได้
“เจ้าประเมินสามคำว่าซ่งจ่างจิ้งนี้ต่ำเกินไปแล้ว”
ในห้องโถงใหญ่ ชุยหมิงหวงกลับไปนั่งที่เดิมด้วยสีหน้าไม่เปิดเผยอารมณ์
หลิวป้าเฉียวนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว น้ำเสียงที่พูดยังหวาดหวั่นไม่หาย “คุณพระช่วย ความต่างระหว่างขอบเขตที่เจ็ด ขอบเขตที่แปดกับขอบเขตที่เก้านี่มีมากขนาดนี้เชียวหรือ?”
สวนลมฟ้ามีผู้ฝึกยุทธขอบเขตที่เจ็ดและขอบเขตที่แปดอย่างละหนึ่งคน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับหลิวป้าเฉียวด้วย
ชุยหมิงหวงส่ายหน้า “ในการเล่นหมากล้อม ผู้เล่นระดับชาติเก้าขั้นก็มีการแบ่งแข็งแกร่งและอ่อนด้อย ความต่างนั้นมีมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีซ่งจ่างจิ้งก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตที่เก้าอยู่แล้ว”
จากนั้นชุยหมิงหวงก็มองไปยังหญิงสาวผู้มีนามว่าเฉินตุ้ยแล้วถามอย่างห่วงใย “แม่นางเฉิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หญิงสาวก็เป็นคนใจเด็ดเหมือนกัน แม้สีหน้าจะซีดขาว แต่กลับยังยิ้มได้อย่างเปิดเผย “ไม่เป็นอะไร”
ดูเหมือนว่าเฉินซงเฟิงจะหวาดหวั่นไม่เป็นสุขยิ่งกว่าญาติห่างๆ ที่เป็นผู้ประสบเคราะห์ในครั้งนี้เสียอีก
ชุยหมิงหวงถอนหายใจอยู่ในใจ วันหน้าเกรงว่าสกุลเฉินในเมืองหลงเหว่ายคงยากที่จะโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางสงครามใหญ่ที่วุ่นวายได้อีก
หลิวป้าเฉียวจุ๊ปากชื่นชม “เพียงแค่ดีดนิ้วก็สามารถดีดใช้กระบี่บินของข้าเด้งกลับเข้าไปในช่องโพรง โดยที่ไม่ทำลายวิญญาณเทพของข้าแม้แต่น้อย ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”
ชุยหมิงหวงกล่าวด้วยน้ำเสียงสนใจ “ตอนนี้คงรู้แล้วสินะว่านอกภูเขายังมีภูเขา เหนือคนยังมีคนน่ะ?”
หลิวป้าเฉียวสันดานสุนัขไม่เลิกกินอาจม เขายังคงหัวเราะชั่วร้าย “เหนือคนยังมีคน? ท่านชุย ท่านนี้ไม่ใช่สุภาพชนเอาเสียเลย!”
ชุยหมิงหวงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วก็คร้านจะสนใจคนเลอะเลือนผู้นี้
หลิวป้าเฉียวครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ออกปากปลอบใจหญิงสาวท่าทางประหลาดผู้นั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้นางคิดไม่ตก ดึงดันจะใช้ไข่กระแทกหิน ไปหาเรื่องซ่งจ่างจิ้ง เมื่อถึงเวลาคนทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้ย่อมต้องซวยถูกลูกหลงไปด้วย “พี่หญิงเฉิน แม้ว่าการที่ข้าพูดเช่นนี้จะทำกับช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้ผู้อื่น แต่ทำลายความน่ายำเกรงของตัวเอง ทว่าเมื่อเจอกับคนอย่างซ่งจ่างจิ้ง ยอมก้มหัวลงหน่อย ยอมถอยสักก้าว ก็ไม่น่าอายหรอก”
เฉินซงเฟิงทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
ทว่าหญิงสาวกลับอืมรับหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ซ่งจ่างจิ้งมีคุณสมบัตินี้อยู่จริง ใช่ว่าข้าไม่ยอมแพ้ เพียงแต่ใจไม่อยากจะยินยอมเท่าใดนัก”
หลิวป้าเฉียวกล่าวไม่ใส่ใจ “อันที่จริงก็ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องไม่ยินยอม ดูอย่างข้าสิ ตอนนี้อารมณ์ดีจะตายไป วันหน้าเมื่อกลับไปถึงสวนลมฟ้ายังมีเรื่องให้โม้ได้อีกสิบปี ถึงขนาดเคยประมือกับซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี ต่อให้เป็นเพียงแค่กระบวนท่าเดียว แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วข้าหลิวป้าเฉียวก็ไม่ได้บาดเจ็บใดๆ! แน่นอนว่า หากข้าสามารถไปเอากระบี่อาญาสิทธิ์ที่เมืองหลวงของต้าหลีมาได้จริงๆ โม้สักร้อยปีก็ยังได้!”
ความคิดของหญิงสาวย้ายไปเรื่องอื่น
จู่ๆ นางก็หวนนึกถึงเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนธรณีประตูคนนั้น เด็กหนุ่มที่เพียงเอ่ยคำเดียวก็ห้ามปรามไม่ให้ซ่งจ่างจิ้งลงมือฆ่าคนได้
—-
หลังกลับมาถึงในเมือง เถาแก่ร้านตระกูลหยางก็ตรงดิ่งไปที่เรือนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ด้านหลังร้านของตัวเอง เป็นที่พักอาศัยให้กับลูกจ้างระยะยาวในร้านสามคนได้พอดี
เถ้าแก่ผลักประตูห้องหลังของเรือนด้านหลังให้เปิดออกจึงเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังเคาะกระบอกยาสูบอันเก่าที่แห้งขอดของตัวเอง หลังจากปิดประตูลง เถ้าแก่ก็เอ่ยเรียกว่าเหล่าหยางโถว ผู้เฒ่าจึงรีบวางกระบอกยาสูบไม้ไผ่เก่าๆ ของตัวเองลง รินชาหนึ่งถ้วย ถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านแก่ มีคนรีบใช้ยาหรือ? ต้องให้ข้าขึ้นเขากลางดึกหรือไม่?”
เถ้าแก่วัยชรามองตาเฒ่าที่อายุพอๆ กันพลางส่ายหน้า ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “วันนี้ที่ร้านอาจารย์หร่วนเรียกให้ไปช่วยดูคนป่วยคนหนึ่ง ก็คือเด็กหนุ่มที่แซ่หลิวผู้นั้น เขาถูกคนต่างถิ่นต่อยจนเกือบตาย ข้าใจคอไม่ดีนัก เลยอยากมานั่งคุยกับเจ้าคลายอารมณ์สักหน่อย”
เหล่าหยางโถวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยดุจเปลือกต้นไหวโบราณเอ่ยยิ้มๆ “เถ้าแก่เชิญนั่งตามสบายเถิด คนกันเองทั้งนั้น”
เถ้าแก่พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว เหล่าหยางโถว เมื่อหลายปีก่อนเจ้าเคยช่วยเด็กคนหนึ่ง เด็กที่อยู่ตรอกหนีผิงน่ะ เด็กน่าสงสารที่ซื้อยาต้มยาให้แม่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาชื่อเฉินผิงอันใช่ไหม?”
เหล่าหยางโถวแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว สุดท้ายแม่ของเด็กคนนั้นก็จากไปอยู่ดี ถ้าจำไม่ผิด น่าจะไม่รอดพ้นฤดูหนาวปีนั้น หลังจากนั้นมาก็ยังได้เจอกับเด็กคนนั้นอยู่อีกไม่กี่ครั้ง ปีนั้นข้าทนสงสารไม่ไหว ยังบอกตำรับพื้นบ้านที่ไม่มีราคาค่างวดให้เขาไปตำรับหนึ่ง ทำไมหรือ? เด็กคนนี้ถูกคนอื่นทำร้ายบาดเจ็บงั้นหรือ?”
เถ้าแก่ดื่มชาหนึ่งอึก ยิ้มหน่าย “เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้วไงว่าเด็กคนนั้นแซ่หลิว เหล่าหยางโถว เจ้าเองก็จริงๆ เลยนะ ความจำอะไรอย่งานี้!”
เหล่าหยางโถวหัวเราะร่า ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง
เถ้าแก่ชราจึงถามหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “เหล่าหยางโถว ร้านของพวกเราควรจะทำอะไรสักหน่อยไหม?”
เหล่าหยางโถวหยิบกระบอกยาสูบเก่าแก่ที่ทำจากไผ่หนัน (ไผ่หนันหรือ 楠竹 หนึ่งในไผ่ขนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มีมูลค่ามากที่สุด) ต้นเล็กขึ้นมาเขย่า “เถ้าแก่ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ”
เถ้าแก่ชราเหมือนได้กินยาสงบใจ จึงพยักหน้ารับ “แบบนี้ก็ดีๆ เหล่าหยางโถว เจ้าทำธุระของตัวเองไปเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ”
เหล่าหยางโถวเตรียมจะลุกขึ้นไปส่ง เถ้าแก่ชรารีบเกลี้ยกล่อม “ไม่ต้องส่งๆ”
หลังจากเถ้าแก่ชราเดินลงบันได้ไปแล้วก็หันหน้ากลับไปมอง เหล่าหยางโถวกำลังจะปิดประตู เมื่อประสานสายตากันเขาก็ยิ้มกว้างส่งมาให้ เถ้าแก่ชราจึงรีบหันหน้ากลับแล้วจากไป
เมื่อครั้งที่เถ้าแก่ชรารับช่วงต่อดูแลร้านตอนวัยกลางคน คำสั่งเสียสุดท้ายที่บิดาซึ่งนอนป่วยติดเตียงมานานบอกไว้กลับเป็นคำพูดประหลาดบางอย่างว่า “‘ยามใดที่ร้านเจอเรื่องใหญ่ ให้ไปหาเหล่าหยางโถวแล้วทำตามที่เขาบอก’ ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะสืบทอดมาตั้งแต่ปู่ของปู่เจ้าแล้ว วันหน้าตอนที่เจ้ายกร้านนี้ให้แก่คนรุ่นถัดไปห้ามลืมพูดประโยคเหล่านี้เด็ดขาด ห้ามลืมเด็ดขาดเลย!”
ตอนนี้เถ้าแก่ชราพยักหน้ารับอย่างแรง บิดาเฒ่าถึงได้กลืนลมหายใจเฮือกสดท้ายลงไปแล้วหลับตาจากไปอย่างสงบ
สีท้องฟ้าเริ่มเข้มมากขึ้น
เหล่าหยางโถวจุดไฟตะเกียงดวงหนึ่ง
เคาะกล้องสูบยาเส้นเสียงดังป๊อกๆๆ ผู้เฒ่าหวนนึกถึงเรื่องบางอย่างในอดีตที่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องไม่มีใครสนใจใยดี
—-
บ้านบรรพบุรุษหลังหนึ่งสืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ด้านในถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูไม่เหมือนบ้านของคนในตรอกหนีผิงเลยแม้แต่น้อย
ชายท่าทางซื่อตรงคนหนึ่งนั่งยองอยู่หน้าประตูบ้าน มองเด็กชายหน้าตางดงามใสพิสุทธิ์คนหนึ่งพลางถามยิ้มๆ “ลูกชาย ปีใหม่ผ่านไปแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือไม่?”
เด็กชายชูมือขึ้นข้างหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาร่าเริง “ท่านพ่อ ข้าห้าขวบ เป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเมื่อพ่อไม่อยู่แล้ว คงต้องฝากท่านแม่ให้เจ้าช่วยดูแล เจ้าทำได้หรือไม่?”
เด็กชายยืดเอวตรงอกผาย “ได้!
ชายหนุ่มยิ้มพลางยื่นมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยด้านออกมา “เกี่ยวก้อยกัน”
เด็กชายรีบยื่นมือน้อยขาวนวลออกมา เอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เกี่ยวก้อยแล้ว ร้อยปีก็ห้ามเปลี่ยน!”
พ่อลูกสองคนคล้องนิ้วก้อยเกี่ยวกัน แล้วพลิกมือขึ้นเอานิ้วหัวแม่มือชนกันแนบแน่น
หลังจากชายหนุ่มปล่อยมือก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ หันหน้าไปมองเงาร่างบอบบางที่กำลังง่วนอยู่ในบ้านแวบหนึ่งแล้วพลันก้าวยาวๆ จากไป
เด็กชายที่อยู่ด้านหลังตะโกนขึ้นว่า “ท่านพ่อ พุทราเชื่อมอร่อยจริงๆ”
ริมฝีปากชายหนุ่มสั่นระริก หันหน้ากลับไป เค้นรอยยิ้มส่งให้บุตรชาย “พ่อรู้แล้ว!”
จะอย่างไรแล้วเด็กชายก็เป็นเด็กรู้ประสา กะพริบตาปริบๆ “แต่อันเล็กอร่อยกว่า”
ชายหนุ่มหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองลูกชายของตัวเองอีก เขาสาวเท้าเดินหน้าต่อไปพลางพึมพำว่า “ลูกชาย พ่อไปแล้วนะ!”
—-
เด็กน้อยคนหนึ่งมักจะมาซื้อยาที่ร้านตระกูลหยางทุกๆ สามวันห้าวัน วันนี้ถูกลูกจ้างนิสัยขี้หงิดหงุดคนหนึ่งผลักออกมาจากร้าน ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นสบถด่า “บอกกับเจ้าตั้งกี่รอบแล้วว่าเม็ดเงินแค่นี้ แม้แต่กากยาก็ยังซื้อไม่ได้! ทำไมถึงมีคนที่น่ารำคาญขนาดเจ้าได้นะ มาดักรออยู่ที่นี่เป็นครึ่งค่อนวัน ร้านพวกเราคือร้านยา ต้องทำมาหากิน ไม่ใช่วัด ไม่มีพระพุทธรูปให้เจ้ากราบไหว้! หากไม่เป็นเพราะเห็น่าเจ้าอายุยังน้อย ข้าผู้อาวุโสคงลงมือตีคนเข้าจริงๆ แล้ว ไปๆๆ!”
เด็กชายกำถุงเงินที่แฟบแบนถุงนั้นไว้แน่น อยากจะร้องไห้แต่กลับพยายามอดกลั้นไม่ร้องออกมา และยังคงพูดประโยคเดิมนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนนับครั้งไม่ถ้วน “ท่านแม่ข้ายังรอให้ข้าไปต้มยาให้ นางรอนานมากแล้ว ที่บ้านข้าไม่มีเงินจริงๆ แต่ท่านแม่ข้าป่วยหนักมาก…”
ลูกจ้างร้านเอื้อมมือไปหยิบไม้กวาดด้ามหนึ่งขึ้นมาตั้งท่าจะตีคน
เด็กชายที่ยืนอยู่นอกธรณีประตูตกใจรีบย่อตัวลงนั่งยอง ยกมือสองข้างกุมหัว ทว่ามือซ้ายกลับยังไม่ลืมที่จะกำถุงเงินเอาไว้แน่น
ผ่านไปพักใหญ่ เด็กชายเงยหน้าขึ้นจึงพบว่ามีท่านปู่หน้าดุคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ประสานสายตากับเขา
ลูกจ้างหนุ่มวางไม้กวาดลงอย่างขลาดกลัว ก่อนจะรีบไปทำธุระของตัวเอง
ผู้เฒ่ายื่นมือข้างหนึ่งออกมา “ซื้อของต้องจ่ายเงิน คนค้าขายต้องหาเงิน นี่เป็นเรื่องถูกต้องที่สมเหตุสมผล ส่วนข้อที่ว่าจะได้เงินมากหรือน้อยก็ต้องดูที่ใจเมตตา แต่มีหลักการว่าห้ามขาดทุนเด็ดขาด ดังนั้นเจ้าจงมอบถุงเงินนั้นให้ข้า เม็ดเงินพวกนั้นข้าจะรับไว้ ตัวยาที่แม่ของเจ้าต้องใช้รักษาโรคในวันนี้ ข้าจะให้เชื่อไว้ก่อน แต่วันหน้าเจ้ายังต้องคืนเงิน ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียว ไอ้หนู เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่?”
เด็กชายกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยังยื่นถุงเงินส่งมาให้
สุดท้ายผู้เฒ่าต้องพยายามเขย่งยื่นตัวออกมาจากโต๊ะสินค้าสุดปลายเท้าถึงจะมองเห็นเด็กชายที่ตัวเล็กจนแทบจะมองไม่เห็นศีรษะคนนั้น แล้วถามว่า “รู้หรือไม่ว่าต้องต้มยาอย่างไร?”
เด็กชายพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกข้าวสาร “รู้!”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “รู้จริงๆ หรือ?”
คราวนี้เด็กชายแค่พยักหน้ารับเบาๆ
ลูกจ้างคนนั้นพูดกลั้วหัวเราะอยู่ไกลๆ “ตอนนั้นอาจารย์หลิวของพวกเราไปตรวจโรคให้แม่ของเขาที่ตรอกหนีผิงมาครั้งหนึ่ง แล้วก็สอนเจ้าหนูต้มยาไปรอบหนึ่ง ภายหลังไม่วางใจจึงอยู่ดีเจ้าหนูต้มยาด้วยตัวเอง แปลกมากที่เด็กตัวแค่นี้กลับทำตามได้ทุกขั้นตอนไม่ผิดเพี้ยน อาจารย์หลิวบอกเอง ไม่น่าจะผิดแน่”
ผู้เฒ่าจึงโบกมือให้เด็กชาย “ไปเถอะ”
เด็กชายถือห่อกระดาษน้ำมันสีเหลืองบรรจุยาสมุนไพรห่อใหญ่วิ่งกลับไปที่ตรอกหนีผิงอย่างรวดเร็วด้วยความยินดีเหลือแสน
แม่ของเขานอนอยู่บนเตียงไม้ หลังจากที่เด็กชายย่องเข้ามาในห้องเงียบๆ แล้วพบว่าแม่ของเขายังหลับอยู่จึงเดินไปลูบหน้าผากของนาง เมื่อเห็นว่าไม่ร้อนก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก จากนั้นเด็กชายก็ใช้มือข้างหนึ่งดึงผ้าห่มกลับขึ้นมาห่มให้แม่ของเขาเงียบๆ
เด็กชายไปที่ห้องครัวที่อยู่นอกบ้าน เริ่มใช้หม้อต้มยา และช่วงเวลาว่างระหว่างนั้นก็เริ่มทำกับข้าวไปด้วย
เด็กชายจำเป็นต้องเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็กถึงจะได้
เด็กชายออกแรงพลิกตะหลิวผัดกับข้าวในกระทะ ไอร้อนที่ระเหยเป็นควันขโมงทำเอาเขาสำลักอย่างรุนแรง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะท่องไปด้วยว่า “ต้องผัดให้อร่อย ต้องอร่อย! ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านแม่จะไม่อยากอาหารอีก…”
—-
เด็กชายที่อายุเพียงห้าขวบแบกตะกร้าไม้ไผ่ที่ใหญ่กว่าตัวเขาเองไว้บนหลังพลางวิ่งออกนอกเมืองไปขึ้นเขา
นี่เป็นครั้งที่สองที่เด็กชายขึ้นเขา ครั้งแรกเหล่าหยางโถวของร้านตระกูลหยางเป็นคนนำพาเขาไป เมื่อเห็นว่ากำลังเท้าของเด็กชายยังอ่อนแรงจึงจงใจเดินให้ช้า บวกกับที่ผู้เฒ่าแค่สอนให้เด็กชายเก็บสมุนไพรเพียงไม่กี่ชนิด ซ้ำผู้เฒ่ายังเป็นคนแบกตะกร้าด้วยตัวเอง ดังนั้นการขึ้นเขาครั้งที่แล้วจึงนับว่าผ่อนคลายอยู่มาก ทว่าวันนี้กลับต่างออกไป เด็กชายแบกตะกร้าไม้ไผ่เดินไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ร้อนแผดเผา แผ่นหลังจึงเกิดอาการเจ็บแปลบเหมือนถูกไฟลวกผุดขึ้นเป็นระยะ
เด็กชายร้องไห้พลางกัดฟันเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ครั้งนั้นกว่าเด็กชายจะกลับมาถึงร้านตระกูลหยางฟ้าก็มืดแล้ว ในตะกร้าไม้ไผ่มีเพียงแค่สมุนไพรหร็อมแหร็มหนึ่งชั้น
หยางเหล่าโถวเดือดดาลอย่างหนัก
เด็กชายจึงพูดเสียงสะอื้นว่า ในบ้านเขาเหลือแม่แค่คนเดียว เขากลัวว่าท่านแม่จะหิว ไม่อย่างนั้นคงไม่หาสมุนไพรมาได้แค่นี้ พรุ่งนี้เช้าเขายังขึ้นเขาไปอีกได้
ผู้เฒ่าเงียบงัน หมุนกายได้ก็จากไปทันที เพียงทิ้งประโยคหนึ่งว่าจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง
ภายหลังไม่ถึงสองเดือน ทั้งมือและเท้าของเด็กชายก็เต็มไปด้วยรอยด้าน
—-
วันหนึ่งจู่ๆ พายุฝนก็พัดกระหน่ำอย่างไม่มีวี่แวว ทำให้เด็กชายที่เก็บสมุนไพรอยู่บนเขาจนลืมเวลาถูกกั้นขวางอยู่ริมธารน้ำสายหนึ่ง
มองน้ำท่วมที่ไหลทะลักรุนแรง เด็กชายก็แผดเสียงร้องไห้จ้าอยู่กลางสายฝน
สุดท้ายเมื่อเด็กชายทนไม่ไหวจนคิดจะกระโดดลงไปในแม่น้ำ
เวลานั้นจู่ๆ หยางเหล่าโถวก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม เดินก้าวหนึ่งข้ามธารน้ำสายเล็กมา เดินอีกก้าวก็หิ้วเด็กชายกลับไปอีกฝั่ง
เม็ดฝนใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบลงบนกาย ทว่าเด็กชายที่อยู่บนเส้นทางเดินลงเขากลับยิ้มอย่างเบิกบานใจ
หลังออกมาจากภูเขา ผู้เฒ่าก็เอ่ยว่า “เสี่ยวผิงอัน เจ้าช่วยข้าทำกระบอกสูบยาอันหนึ่ง ข้าจะสอนเคล็ดลับเล็กๆ ว่าทำอย่างไรถึงจะปีนเขาโดยไม่เหนื่อยให้เจ้า”
เด็กชายยื่นมือขึ้นมาปาดน้ำฝนที่อยู่บนใบหน้าลวก กล่าวรับด้วยรอยยิ้มสดใส “ได้เลย!”
—-
เด็กชายเดินกระโดดโลดเต้นกลับตรอกหนีผิงอย่างร่าเริง วันนี้เขาเก็บสมุนไพรมีชื่อที่หายากได้ต้นหนึ่ง ร้านตระกูลหยางจึงให้ยาที่แม่เขาต้องใช้รักษาตัวมาเพิ่ม
เดินไปเดินมาเด็กชายที่ไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันพลันรู้สึกปวดท้องเหมือนถูกบีบเค้น
นาทีนั้นเด็กชายก็รู้แล้วว่าตัวเองกินของแสลงบางอย่างตอนอยู่บนภูเขา
ความเจ็บปวดเริ่มจากตรงท้อง ลามไปที่มือและเท้า สุดท้ายก็ที่ศีรษะ
เด็กชายนั่งยองๆ ลงอย่างระมัดระวังก่อนเป็นอันดับแรก ปลดตะกร้าลง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานนั้นเอาไว้
ทว่าอาการปวดแสบปวดร้อนที่ผุดขึ้นระลอกหนึ่ง ก่อนที่ความหนาวเยือกจะผุดขึ้นมากลบทับสลับไปสลับมา ทำให้สุดท้ายแล้วเด็กชายก็ปวดจนลงไปนอนกลิ้งอยู่ในตรอกเล็ก
ตั้งแต่แรกเริ่มมีอาการจนถึงตอนลงไปนอนกลิ้ง เด็กชายไม่กล้าร้องส่งเสียง
ไม่ว่าศีรษะจะพุ่งชนผนังของตรอกเล็กอย่างไร เด็กชายก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ
เพราะอยู่ใกล้บ้านเกินไป
เด็กชายกลัวว่าแม่ที่นอนอยู่บนเตียงจะเป็นห่วง
ในช่วงเวลานั้น เด็กชายที่สติพร่าเลือนได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นกระหน่ำดุจมีใครมารัวกลองอยู่ข้างหู
—-
ที่ตรอกซิ่งฮวา เด็กชายคนหนึ่งมานั่งยองๆ อยู่ไม่ไกลจากร้านขายพุทราเชื่อม ทุกครั้งที่นั่งลงจะใช้เวลาไม่นานนัก ทว่าเจ้าของร้านกลับจดจำใบหน้าเล็กๆ ดำเกรียมได้แล้ว
ในที่สุดมีอยู่ครั้งหนึ่ง ชายที่ขายพุทราเชื่อมจึงหยิบพุทราเชื่อมไม้หนึ่งออกมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ให้เจ้า ไม่เก็บเงินหรอก”
เด็กชายรีบลุกขึ้นยืน เขาส่ายหน้า ยิ้มอายๆ แล้ววิ่งหนีไป
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เห็นเงาร่างของเด็กชายคนนั้นอีก
—-
ฤดูหนาวปีนั้น
หญิงที่นอนป่วยอยู่บนเตียงผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าย่อมแห้งตอบจนดูอัปลักษณ์
เด็กชายที่เพิ่งกลับมาจากขอพรที่รูปปั้นองค์เทพผุพังไปตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็กในตรอกซิ่งฮวา พอกลับมาถึงก็มานั่งลงบนม้านั่งเล็กๆ ข้างเตียง พบว่าแม่ของเขาตื่นแล้วจึงถามเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
หญิงสาวยิ้มอย่างยากลำบาก “ดีมากแล้ว ไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว”
เด็กชายดีใจอย่างยิ่งยวด “ท่านแม่ ขอพรจากเหล่าพระโพธิสัตว์ได้ผลจริงด้วย!”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ยื่นมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาออกมา เด็กชายรีบคว้าจับมือของแม่เขาไว้
หญิงสาวพลิกตัวกลับมาด้วยความเจ็บปวดและยากลำบาก นางจ้องมองดวงหน้าน้อยๆ ของบุตรชายตนเอง ใบหน้าของหญิงสาวที่ทุกข์ทรมานเพราะโรครุมเร้าพลันมีประกายแห่งความสุขอาบล้นออกมา นางพึมพำเบาๆ ว่า “เหตุใดใต้หล้าถึงได้มีเด็กที่ดีได้ถึงปานนี้ แล้วเหตุใดถึงต้องมาเป็นลูกชายของข้าพอดีด้วยนะ?”
—-
ฤดูหนาวในปีนั้น ท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวก็ไม่อาจรอดชีวิตพ้นช่วงปีใหม่ ไม่ทันรอให้ลูกชายได้ติดกลอนคู่และภาพเทพทวารบาลที่หน้าประตู นางก็ตายแล้ว
ก่อนที่นางจะหลับตาลง ในเมืองมีหิมะตกพอดี นางจึงให้ลูกชายออกไปดูหิมะ
หญิงสาวฟังเสียงฝีเท้าของบุตรชายที่วิ่งออกไปนอกห้อง หลับตาลง พร่ำท่องด้วยใจศรัทธา “สุ้ยสุ้ยผิง สุ้ยสุ้ยอัน สุ้ยสุ้ยผิงอัน ขอให้เสี่ยวผิงอันของข้าปลอดภัยสงบสุขทุกปี ไร้ทุกข์ไร้กังวลตลอดไป…”
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉินผิงอันก็กลายเป็นเด็กกำพร้า
เพียงแต่ว่าเขาได้เปลี่ยนจากเด็กชาย กลายมาเป็นเด็กหนุ่ม