บทที่ 51 คุมเชิง
หลังกลับมาถึงถนนฝูลวี่แล้วประมือกับซ่งจ่างจิ้งอ๋องครองแคว้นต้าหลีแบบผิวเผินดุจกบที่กระโดดบนผิวน้ำไปครั้งหนึ่ง วานรเฒ่าแห่งเขาตะวันเที่ยงก็ไม่ได้รั้งรออยู่ในจวนตระกูลหลี่นานนัก เขาห้อตะบึงออกไปจากเมือง หลังหยุดชะงักอยู่ตรงจุดที่เด็กหนุ่มรองเท้าสานขึ้นเขาไปเล็กน้อย ผู้เฒ่าก็เลือกที่จะถอยกลับไปยังจุดที่ตนเองปล่อยหมัดก่อนหน้านี้เพื่อตรวจสอบระดับความตื้นลึกของรอยเท้าบนพื้นดินของเด็กหนุ่มอย่างละเอียด
นอกจากนี้วานรเฒ่ายังเห็นรอยเท้าตื้นๆ ของผู้ใหญ่ติดต่อกันเป็นพรวนอีกสายหนึ่ง วานรเฒ่าเดาเอาว่าน่าจะเป็นรอยเท้าที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแห่งสวนลมฟ้าผู้นั้นทิ้งเอาไว้ ตอนที่ตนออกหมัดต่อยเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นคิดจะปล้นสะดมตอนไฟไหม้ จึงปล่อยปราณกระบี่ออกมาข้างนอก แม้จะเก็บกลับคืนและซุกซ่อนไว้อย่างลึกล้ำในทันทีทันใด แต่เดิมทีวานรเฒ่าก็ผ่านมาร้อยสมรภูมิอยู่แล้ว ซ้ำยังอยู่ที่เขาตะวันเที่ยงซึ่ง “ปราณกระบี่ทะลวงทำลายแจกันสมบัติ” ฝึกตนมากพันปีเต็ม จึงคุ้นเคยกับปราณและปณิธานแห่งกระบี่เป็นอย่างดี
วานรพิทักษ์ขุนเขาแห่งเขาตะวันเที่ยงตัวนี้มีชีวิตอยู่มานานยิ่งนัก ความรู้จึงกว้างขวางและประสบการณ์ก็โชกโชน เคยได้เห็นว่าเซียนกระบี่คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมกระบี่บินได้ครอบครองกระบี่บินขนาดเล็กบางดุจขนวัวหลายสิบเล่ม แล้วก็เคยเห็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ใหญ่ดุจขุนเขา เพียงกระบี่เดียวตวัดฟันลงมา แม่น้ำก็ขาดสะบั้น
หลังจากรวบรวมสมาธิครุ่นคิดแล้ว เขาถึงได้เดินหน้าต่ออีกครั้ง พอเขาไปในภูเขาก็เจอกับพุ่มหญ้ารกชัฏก่อน จากนั้นถึงเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่ง บนพื้นดนิมีแต่ใบไม้แห้งที่สั่งสมไว้ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวของปีที่แล้ว เพียงแต่ว่าเนื่องจากอยู่ใกล้กับเมืองมากที่สุด ป่าไผ่จึงไม่ได้รกทึบไร้ระเบียบเกินไปนัก ไล่ตามรอยเท้าที่สังเกตเห็นได้ยากไปตลอดทาง จนกระทั่งวานรเฒ่าค้นพบว่าตัวเองใกล้จะเดินออกไปจากป่าไผ่แล้ว
วานรเฒ่าไม่ได้เดินออกจากป่าไผ่โดยตรง แต่กวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อไม่เห็นรอยเท้าของเด็กหนุ่มอยู่บนพื้นก็เลื่อนสายตาขึ้นด้านบน ไผ่เขียวรอบด้านก็ไม่มีรอยเท้าที่เห็นได้ชัด แต่วานรเฒ่าก็ยังคงไม่ได้ดิ่งขึ้นเขาไล่ตามไปโดยตรง แต่กระโดดผลุงขึ้นเหยียบบนยอดบนของไผ่เขียวที่หนาใหญ่ต้นหนึ่ง เพิ่มน้ำหนักที่ฝ่าเท้าเล็กน้อย ร่างก็เอนไปยังทางขึ้นเขา ต้นไผ่จึงโค้งงอตามไปด้วย และในขณะที่ใกล้จะหักท่อน ผู้เฒ่าพลันคลายแรงออก เรือนกายกำยำล่ำสันดุจขนนกเบาล่องลอย ไผ่เขียวที่ไม่ได้แบกรับน้ำหนักอีกจึงดีดผลึงกลับคืนไปตั้งตรงดังเดิม ผู้เฒ่าประดุจเทพเซียนที่บังคับลมให้พาตัวเองไปยืนอยู่บนยอดไม้ไผ่ ร่างก็ส่ายไหวน้อยๆ ตามต้นไผ่ที่ลู่ลม หลังจากกวาดตามองไปรอบด้านก็ก้มหน้าลงมองสี่ทิศอีกที และในที่สุดวานรเฒ่าก็พบเบาะแส เขากระตุกมุมปากขึ้น ก่อนทอดสายตามองไกลๆ ไปยังเส้นทางฝั่งซ้ายมือ หลังจากเงี่ยหูตั้งใจรับฟังก็พอจะได้ยินเสียงธารน้ำไหลแว่วๆ
วานรเฒ่าหัวเราะหยัน “เจ้าเล่ห์เหมือนเดิมดังคาด”
วานรเฒ่าก้าวเหยียบลงบนยอดไผ่ต้นแล้วต้นเล่า ห้อตะบึงไปทางธารน้ำสายเล็กที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ ตลอดทางที่ผ่านไปไม่รู้ว่าเหยียบต้นไผ่หักไปแล้วกี่ต้น พอมาถึงธารน้ำ วานรเฒ่ากลับไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเดินเลียบธารน้ำขึ้นไปในภูเขาลึก หรือหนีไปตามธารน้ำตอนล่างกันแน่ เขาจึงนั่งยองๆ อยู่ข้างธารน้ำ หัวคิ้วขมวดเป็นปม รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย หากอยู่ในฟ้าดินด้านนอก ขอแค่เป็นภูเขาที่มีปราณวิญญาณอยู่เล็กน้อย วานรเฒ่าแค่ยกมือขึ้นคว้าก็สามารถกระชากตัวเทพเจ้าที่ที่สูญเสียที่พึ่งออกมาสอบถามถึงทิศทางไปของเด็กหนุ่มได้โดยตรง
และนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของวานรย้ายภูเขา หาไม่แล้วหากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะมีคาถาอาคมล้ำเลิศแค่ไหน มีชื่อเสียงเลื่องลือมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางชี้มือชี้ไม้สั่งองค์เทพเทวาของพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายเด็ดขาด มหามรรคามีหลายวิถี นี่ก็เหมือนกับสำนักขุนนางของราชสำนักในโลกมนุษย์ที่แม้จะเป็นถึงราชเลขาธิการแห่งกรมกลาโหมก็ยากที่จะเรียกใช้รองอธิบดีกรมการคลังตำแหน่งเล็กๆ ได้ตามใจชอบ ที่สำคัญที่สุดคือราชเลขาธิการกรมกลาโหมกับราชเลขาธิการนี้ยังไม่ได้อยู่ในราชสำนักของแคว้นเดียวกันอีกด้วย
วานรเฒ่าฟังเสียงน้ำไหล ตกอยู่ในภวังค์การครุ่นคิด
หากดูจากหลักการทั่วไป มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะขัดเกลาฝีมือและพละกำลังมาจากการขึ้นลงเขาเข้าออกป่าลึกมาตั้งแต่เด็ก ไม่แน่ว่าจะยังเคยศึกษาศาสตร์การกำหนดลมหายใจอย่างตื้นเขินมาก่อนด้วย ถึงทำให้มีร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งเกินกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้สามารถเล่นแมวจับหนูกับวานรเฒ่าบนหลังคาในตรอกแคบได้ เมื่อเป็นเช่นนี้การที่อีกฝ่ายจะไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกที่คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดีก็สมเหตุสมผล หรือหากเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ที่คิดแก้แค้นเพราะความเลือดร้อนจึงวู่วามไปชั่วขณะ พอทดลองจนรู้หนักเบาแล้วจึงเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้ แน่นอนว่าย่อมต้องเริ่มหวาดกลัว หนีไปขอการปกป้องจากอาจารย์หร่วนที่ร้านตีเหล็กทางทิศใต้ก็มีเหตุผลเช่นกัน
ข้อแรกก็แค่เสียเวลา ส่วนข้อหลังไม่เพียงแต่เสียทั้งแรงทั้งเวลา ซ้ำยังอาจจะยังถึงขั้นเผาผลาญผลบุญที่เขาตะวันเที่ยงสั่งสมมาด้วย
วานรเฒ่าหลุดปากออกมาตามความคิดที่อยู่ในใจ “เด็กหนุ่มคนนี้ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น”
พอพูดประโยคนี้จบ วานรเฒ่าก็ไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป เขาเลือกที่จะไล่ตามไปยังธารน้ำตอนล่าง
—-
ทางทิศใต้ของเมืองมีถนนดินเหลืองเส้นเล็กที่เลื้อยลดคดเคี้ยวอยู่เส้นหนึ่ง สองข้างทางคือไร่นาที่ชาวบ้านในเมืองมาปลูกเอาไว้ หากเดินได้ครึ่งทางจะเจอวัดเล็กๆ กำแพงสีขาวกระเบื้องสีดำเก่าโทรมอยู่หลังหนึ่ง บอกว่าเป็นวัด แต่แท้ที่จริงแล้วคือสถานที่ที่เอาไว้ให้พวกชาวบ้านพักเท้า โดยเฉพาะในช่วงฤดูทำนา ช่วงหน้าแล้งหรือช่วงที่มีฝนฟ้าคะนอง การมีหรือไม่มีที่ให้หลบแดดหลบฝนนั้น เรียกว่าเป็นความต่างราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
เวลานี้เฉินผิงอันกับหนิงเหยากำลังพักผ่อนและนั่งปรึกษากันอยู่ที่นี่
นับตั้งแต่เกิดมาหนิงเหยาก็รู้กระจ่างชัดถึงจิตใจของกระบี่ การมองเห็นในยามค่ำคืนเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับนาง นั่นจึงทำให้นางค้นพบว่าบนผนังทรุดโทรมเต็มไปด้วยรอยถ่านที่ถูกขีดเขียนด้วยฝีมือของเด็ก ส่วนใหญ่แล้วคือชื่อคน ช่วงล่างของผนังเกินครึ่งเป็นรอยกระดำกระด่างมองเห็นได้ไม่ชัด บ้างก็ถูกคนลบหรือแก้ไข บ้างก็เขียนทับซ้อนลงไป มีเพียงตำแหน่งที่สูงหน่อยเท่านั้นที่พอจะมองเห็นชื่อได้ชัดเจนอยู่บ้าง ซ่งจี๋ซิน จื้อกุย จ้าวเหยา เซี่ยสือ เฉาซี…ติดกันเป็นพรืดยาวเหยียด คาดว่าตอนนั้นคนเขียนคงต้องขี่คอคนอื่น หรืออาจถึงขั้นยืนอยู่บนไหล่ของเพื่อนถึงจะเขียนได้ หนิงเหยายังถึงขั้นมองเห็นชื่อหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันและกู้ช่านสามคนที่รวมกันอยู่ตรงมุมซ้ายสูงสุด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เข้าพวกด้วย
หนิงเหยาดึงสายตากลับคืนมา เอ่ยถาม “ไม่ว่าจะอย่างไร ก้าวแรกก็ทำได้แล้ว บีบให้วานรเฒ่าระบายลมปราณครั้งแรกได้แล้ว อันดับต่อไปเจ้าจะกลับไปเก็บธนูไม้ในเมืองจริงๆ หรือ? จะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า? หากวานรเฒ่าระมัดระวังตัวมาก ไม่ได้ขึ้นเขาไปหาเรื่องเจ้า นั่นก็ไม่เท่ากับว่าเจ้าส่งแกะเข้าปากเสือหรอกหรือ?”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ความหนักเบาและสั้นยาวของลมหายใจไม่ได้มีกำหนดที่แน่นอน ทุกอย่างล้วนดูแค่ความรู้สึก หวังให้อยู่ในสภาวะที่ “สบายมากที่สุด” พอได้ยินเสียงของหนิงเหยา เขาก็ตอบด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “ช่วยไม่ได้ จำเป็นต้องเก็บธนูไม้กลับมา ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้พวกเราก็เปลืองแรงเปล่า! อีกอย่างตอนที่ข้าอยู่ที่ตรอกหนีผิงได้ยินแสกหน้าวานรเฒ่าไปหนึ่งดอก เหมือนกับที่แม่นางหนิงพูดไว้เลย ต่อให้อยู่ในระยะใกล้ขนาดนั้น แต่ขอแค่ไม่ได้ยินโดนตา สร้างบาดแผลให้วานรเฒ่า ก็ล้วนมองข้ามไปได้”
หนิงเหยาพูดมีโทสะเล็กน้อย “บอกตั้งแต่แรกแล้วไงว่าอุบายเล็กๆ พวกนั้นของเจ้าใช้ไม่ได้ผล! ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เชื่อ แถมยังไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าทำตามใจ แต่ตอนนี้ในเมื่อเจ้าเชื่อแล้วก็ควรทำตามวิธีการของข้าได้แล้วกระมัง?”
อันที่จริงสำหรับเรื่องที่ว่าควรจะรับมือกับวานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยงอย่างไร ตอนที่เด็กหนุ่มเด็กสาวปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่บนสะพาน แรกสุดตัดสินใจว่าจะทำตามวิธีของใครของมัน เฉินผิงอันแค่ให้เด็กสาวรอเขากลับมาหลังจากไปหาคนสามคนในเมือง แต่ภายหลังจู่ๆ เด็กหนุ่มกลับเปลี่ยนความคิด ก่อนที่หนิงเหยาจะเดินลงสะพานทางฝั่งทิศเหนือจึงเดินไล่ตามนางไป
ภายหลังคนทั้งสองเกิดความเห็นขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทีแรกเด็กสาวที่พกทั้งดาบพกทั้งกระบี่ยืนกรานเสียงแข็งว่าเจ้าเฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกตน ซ้ำร้ายแม้แต่กระบวนท่าหมัดก็ยังเรียนไม่เป็น ขออยู่ข้างๆ รอชมละคนก็พอแล้ว อย่างมากสุดก็แค่ช่วยโบกธงร้องให้กำลังใจ ใหนางเป็นคนเด็ดหัววานรเฒ่า แก้แค้นให้กับหลิวเสี้ยนหยาง ระบายความอาฆาตในใจแทน แต่พอเฉินผิงอันถามนางว่าจะฆ่าวานรเฒ่าอย่างไร ถามให้ตายหนิงเหยาก็ไม่ยอมบอก บอกแค่ว่านางมีความสามารถที่เก็บซ่อนไว้ใต้กรุ การที่นางเดินทางไปทั่วหล้า ขึ้นเขาลงห้วย เดินเพียงลำพังอยู่บนทางสายใหญ่จะไม่มีท่าไม้ตายที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลเลยได้อย่างไร
เฉินผิงอันจึงไม่ตอบรับ
ตอนหลังเฉินผิงอันถึงได้ไปหาคนสามคน
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน บิดเอวโดยไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าติดขัดให้เห็นแม้แต่น้อย “ข้าพักผ่อนได้พอสมควรแล้ว”
หนิงเหยาตะลึง “ของร้านตระกูลหยางใช้ดีขนาดนี้เชียวหรือ?”
สายตาของเฉินผิงอันฉายความหม่นหมองอยู่ชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานก็พยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช้ดีมากเลยล่ะ”
หนิงเหยาเอ่ยถาม “วานรเฒ่าจะมองเส้นทางการหนีของเจ้าออกได้โดยตรงเลยหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดก่อนตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่แน่ว่าอาจจะได้”
หนิงเหยาใช้ฝักดาบวาดวงกลมสองวงและเส้นตรงหนึ่งเส้นบนพื้น แล้วถาม “นี่คือเส้นทางระหว่างวัดกับจวนตระกูลหลี่ถนนฝูลวี่ ธนูไม้ของเจ้าซ่อนไว้ตรงไหน?”
เฉินผิงอันย่อตัวลงวาดวงกลมวงหนึ่ง “ติดกับฝั่งตะวันออก น่าจะประมาณตรงนี้ ห่างจากตรอกหนีผิงไม่ไกลนัก”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ดี ต่อให้วานรเฒ่าตามมาถึงวัดเล็กแห่งนี้โดยตรง ข้าก็จะรั้งตัวเขาเอาไว้ ถ่วงเวลาที่มากพอให้แก่เจ้า”
เฉินผิงอันลบเส้นตรงที่อยู่ตรงกลางเส้นนั้นออก แล้วใช้นิ้วมือวาดวงกลมเล็กๆ หนึ่งวง “หากเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดแบบนี้จริงๆ แม่นางหนิงช่วยล่อเขามาตรงนี้ได้หรือไม่? ก็คือจุดที่ข้าขึ้นเขาไปตอนแรก แบบนี้พอข้าได้ธนูไม้มาแล้วตามไปที่นั่นย่อมใช้เวลาไม่นาน”
เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้มวางดาบลงบนพื้น กล่าวอย่างทระนงตน “ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นข้าอาจจะถือหัววานรเฒ่าไปหาเจ้าที่นั่นก็ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าอวดเก่ง ต้องระวังตัวให้มาก!”
หนิงเหยาอยากจะหยิบฝักดาบขึ้นมาตีหัวคนตรงหน้าจริงๆ ใครกันแน่ที่อวดเก่ง?
นางถลึงตา “นี่! คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า คือข้าหนิงเหยา อนาคตเซียนกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า เข้าใจไหม?!”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงตรวจสอบถุงผ้าสองถุงตรงเอวของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันจึงขยับสายรัดให้แน่นอีกครั้ง พอเงยหน้าก็เอ่ยยิ้มๆ “เข้าใจแล้วๆ เพราะฉะนั้นจะอย่างไรก็ห้ามมาตายในสถานที่เล็กๆ แบบนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ วันหน้ารอให้เจ้าได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เมื่อไหร่ ในฐานะเพื่อน ข้าก็จะได้อาศัยใบบุญด้วย”
หนิงเหยากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เฉินผิงอัน เจ้านี่มันร่ำรี้ร่ำไรไม่เด็ดขาดเอาเสียเลย ข้าว่าวันหน้าเจ้าแต่งภรรยาหรอก แต่ออกเรือนไปกับผู้หญิงสักคนก็พอแล้ว”
เด็กหนุ่มหัวเราะหึหนึ่งที แล้วก็ไม่ตอบโต้ ขณะที่กำลังจะเดินออกจากวัด หนิงเหยาก็พูดว่า “ข้าจะไปส่งเจ้าที่ธารน้ำก่อน หลังจากนั้นข้าจะเดินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสักช่วงระยะทางหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้วานรเฒ่ากังวลถึงความปลอดภัยของเด็กหญิง พอออกจากป่าไผ่มาแล้วไม่พบร่องรอยของเจ้าก็ล้มเลิกการไล่ล่าอย่างเด็ดขาดแล้วหันวกกลับไปในเมือง”
เฉินผิงอันคิดตาม แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เด็กหนุ่มเด็กสาวจึงห้อตะบึงไปทางธารน้ำพร้อมกัน ลมหายใจที่มองไม่เห็นของเด็กสาวประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ที่ระดับน้ำลึกเกินจะเอ่ย กระแสน้ำก็ซัดบ่า ส่วนลมหายใจของเด็กหนุ่มกลับเหมือนลำธารเส้นเล็กที่ไหลเอื่อยทอดยาว
ต่างคนต่างบรรยากาศ
จู่ๆ หนิงเหยาที่อดไม่ไหวก็ถามขึ้นว่า “” สมุนไพรที่เจ้าทาไว้บนลูกดอก จะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มตอบกลับ “จะอย่างไรซะก็ใช้ได้ผลกับหมูป่าที่หนักสองร้อยกว่าจิน สำหรับวานรเฒ่าตัวนั้นก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน”
หนิงเหยาจึงไม่พูดอีก
คนทั้งสองขยับเข้าไปใกล้ธารน้ำเส้นเล็ก ซึ่งก็คือจุดที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะขึ้นฝั่งมาตอนนั้น เด็กหนุ่มและเด็กสาวระเบิดกำลังเท้ากระแทกพื้น กระโดดตัวขึ้นสูงข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามแทบจะเวลาเดียวกัน
พอเหยียบลงพื้น เด็กสาวก็กุมฝักกระบี่ ชะลอฝีเท้าลง ส่วนเด็กหนุ่มที่กระโดดขึ้นสูง ทะยานก้าวใหญ่ข้ามแม่น้ำ พอร่วงลงพื้นกลับวิ่งตะบึงต่อไปรวดเดียว เพียงชั่วพริบตาก็สวนผ่านไหลเด็กสาวไป เฉินผิงอันกำลังจะหันหน้ากลับมา เด็กสาวจึงชิงพูดก่อนว่า “เจ้าไปที่เมืองก่อนเลย ไม่ต้องสนข้า”
เด็กหนุ่มวิ่งไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง วิ่งพลางหันหน้ากลับมาเอ่ยเตือน “ข้าจะเดินอ้อมเล็กน้อย เลือกเข้าเมืองจากตรอกที่อยู่ไกล อาจจะถึงดึกหน่อย”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ หลังจากเงาร่างของเฉินผิงอันหายไป นางก็ไม่กุมด้ามกระบี่อีก แต่เริ่มเดินเนิบช้าไปทางทิศตะวันตก
ไม่นานนัก เด็กสาวก็หยุดเดิน หรี่ตามองไกลไปยังธารน้ำตอนบน
เรือนกายกำยำเรือนกายหนึ่งพลันดีดตัวพรวดจากก้อนหินใหญ่กลางน้ำขึ้นมาบนฝั่งทิศเหนือ มาหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้าเด็กสาวไปประมาณยี่สิบกว่าก้าว ตั้งท่าวางอำนาจบาตรใหญ่
วานรเฒ่าแปลกใจเล็กน้อย รอบด้านไม่มีลมหายใจของเด็กหนุ่มที่จงใจอำพรางตัวอยู่ จึงเหลือบมองกระบี่ยาวฝักขาวตรงเอวของเด็กสาวเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ตั้งใจ ก่อนกล่าวยิ้มๆ ว่า “แม่นางน้อย ก่อนหน้านี้คนที่ไปสร้างความวุ่นวายที่ถนนฝูลวี่คงเป็นเจ้ากระมัง?”
เด็กสาวใช้สองมือกดด้ามกระบี่และด้ามดาบ ไม่ปริปากสนทนากับอีกฝ่าย
วานรเฒ่าจึงถามต่ออย่างใคร่รู้ “แม่นางน้อย ก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทางมาที่เมือง แม้เจ้าจะเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ข้ากลับรู้ว่าที่มาของเจ้าไม่ธรรมดา ย่อมไม่เหมือนพวกไร้ค่าสองคนจากนครลมเย็นและนครมังกรเฒ่านั่นแน่ เพียงแต่ข้าแปลกใจมาก เจ้ากับข้ามีบุญคุณความแค้นอันใดกัน เจ้าถึงต้องทำเช่นนี้? หรือจะบอกว่าตระกูลหรือสำนักของเจ้าเคยมีความขัดแย้งกับเขาตะวันเที่ยงมาก่อน?”
หนิงเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่และดาบที่ห้อยอยู่ตรงเอวก็ออกจากฝักพร้อมกัน ร่างก็กระโจนพรวดออกไป
ดาบแคบพุ่งไปถึงก่อน คมดาบฟันแสกหน้าบุรพาจารย์ย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยง วานรเฒ่าเพียงแค่ยกมือขึ้นอย่างง่ายๆ ใช้มือที่แข็งแกร่งดีดแสงคมดาบให้กระเด็นออกไป
เด็กสาวอาศัยจังหวะหมุนตัวปาดกระบี่ในแนวนอนไปที่ลำคอของวานรเฒ่า
วานรเฒ่าก็ยังคงใช้พละกำลังมือกระแทกคมกระบี่กลับคืนมา
สองกระบวนท่าแรกของเด็กสาวไม่เข้าเป้า นางก็ไม่คิดจะต่อสู้ประชิดตัว จึงถอยห่างมาจากวานรเฒ่าระยะหนึ่งถึงเริ่มเดินเนิบช้า
หลังจากที่วานรเฒ่าใช้เนื้อหนังอันแข็งแกร่งวัดระดับความแหลมคมของอาวุธทั้งสองชิ้นนั้นแล้วก็มองเมินแขนด้านนอกที่ถูกกรีดจนหลั่งเลือด เพียงกล่าวยิ้มๆ “อาวุธไม่เลวเลยจริงๆ อีกทั้งยังกล้าพกติดตัวถึงสองเล่ม แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์บนเขาที่ตั้งตระกูลมานานนับพันปี หาไม่แล้วก็คงเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลล่างเขา ข้าเกือบจะนึกไปว่าเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ของสวนลมฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเสียอีก”
หนิงเหยาทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ยังคงสอดส่ายสายตามองหาจุดอ่อนที่แท้จริงของวานรเฒ่าตัวนี้อยู่ตลอดเวลา
จะอย่างไรซะนางก็ไม่ใช่อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีที่ได้สัมผัสธรณีของขอบเขตที่สิบซึ่งสามารถปะทะกับวานรย้ายภูเขาซึ่งๆ หน้าได้ผู้นั้น
วานรเฒ่าที่คิดว่าตัวเองยอมถอยให้มากพอแล้วพลันหัวเราะหยัน “ในเมื่อไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่นเช่นนี้ ก็ตามใจเจ้าแล้วกัน”