บทที่ 52 ส่ายไหว
วานรเฒ่าเดินเพียงก้าวเดียวก็มาโผล่พรวดอยู่ตรงหน้าเด็กสาว เขายกมือขึ้นกำเป็นหมัดแล้วเหวี่ยงเข้าใส่ศีรษะของนาง
เด็กสาวใช้ดาบแคบฝักสีเขียวขึ้นตั้งรับ คมดาบแทงไปที่ข้อมือของวานรเฒ่า ส่วนปลายกระบี่ยาวในมือก็จ้วงเข้าที่มุมใดมุมหนึ่งตรงหัวใจของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
คาดไม่ถึงว่าหมัดหนาใหญ่ที่เหวี่ยงลงมาของวานรเฒ่าจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นห้านิ้วที่กุมคมดาบเอาไว้ ขณะเดียวกันมีอีกข้างหนึ่งก็กำปลายกระบี่ไว้แม่นยำดั่งใจปรารถนา
เห็นได้ชัดว่าท่วงท่าดุดันหมายสังหารคนคือตัวหลอก ล่อให้เด็กสาวออกกระบี่ต่างหากที่เป็นจริง
วานรย้ายภูเขาแห่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ด้านวิชากระบี่ของแจกันสมบัติทวีปบูรพามองปราดเดียวก็รู้ถึงความไม่ธรรมดาของกระบี่เล่มนี้
ด้วยเหตุนี้วานรเฒ่าถึงกับไม่เสียดายที่ต้องระบายลมปราณเฮือกหนึ่งเป็นครั้งที่สอง
ต่อให้ปลายกระบี่จะแทงเข้ามาในผิวหนังตรงหน้าอก เหลืออีกแค่ชุ่นกว่าก็แทงถึงหัวใจแล้ว
หนิงเหยาเห็นท่าไม่ดีจึงปล่อยด้ามกระบี่อย่างเด็ดขาด ด้านหนึ่งก็ออกแรงกระชากดาบ คมดาบไถลลื่นผ่านฝ่ามือของวานรเฒ่าจนเกิดเสียงของมีคมกรีดผ่านหินโลหะแหลมดังเสียดแก้วหู
พอดึงดาบออกมาได้ เด็กสาวเอนตัวไปด้านหลัง ชักเท้าถอยกรูดออกห่างอย่างรวดเร็ว
แล้วก็จริงดังคาด วานรเฒ่าผินตัวกลับมา มือที่กุมปลายกระบี่สะบัดไปด้านหลัง กระบี่เล่มยาวจึงถูกโยนทิ้งห่างออกไปหลายสิบจั้ง
ครั้นจึงยกเท้าขึ้นถีบเด็กสาว
เดิมทีเด็กสาวกำลังยกมือขวาที่จับกระบี่ก่อนหน้านี้ขึ้น เมื่อถูกวานรเฒ่าถีบใส่ เสียงปังก็ดังสนั่นหวั่นไหว ร่างทั้งร่างของนางถูกถีบจนปลิวกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง หลังกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร่างพลิกตลบอยู่หลายทีถึงใช้ปลายดาบค้ำพื้นเอาไว้ได้ ปลายดาบปักลงบนดินลึกหนึ่งฉื่อถึงจะหยุดการกลิ้งไถลของร่างนางไว้ได้ โชคดีที่ดินบนทางเล็กริมธารน้ำเป็นดินโคลนอ่อนนุ่ม ก้อนหินบนพื้นที่มีประปรายก็กลมเกลี้ยงไม่แหลมคม แผ่นหลังของเด็กสาวถึงได้ไม่ถูกกรีดจนเกิดบาดแผลเหวอะหวะ
ไม่เปิดโอกาสให้เด็กสาวได้หายใจหายคอ เรือนกายใหญ่ยักษ์ก็ร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศสูง
คราวนี้เด็กสาวไม่มีเวลาแม้แต่จะดึงดาบแคบออกจากพื้น ได้แต่ถอยแล้วถอยอีก
วานรเฒ่าไม่ได้ไล่ตามมาฆ่าเด็กสาว หลังจากร่วงสู่พื้นแล้วก็ยืนอยู่ที่เดิม ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นสูงแล้วกระทืบลงไปบนด้ามกระบี่ที่ปักอยู่บนเส้นทาง รอจนเด็กสาวนั่งคุกเข่าข้างเดียวมองมา วานรเฒ่าก็ออกแรงที่ฝ่าเท้าเหยียบดาบแคบทั้งเล่มให้จมลงลึกสู่ใต้ดิน เห็นเพียงด้ามดาบที่อยู่ในระนาบเดียวกับพื้นดิน
บนใบหน้าของวานรเฒ่ามีลมปราณสีม่วงอมทองกระเพื่อมเป็นริ้วๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางม่านราตรีที่มืดดำจึงเห็นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขากล่าวเย้ยหยัน “ดาบก็ฝึก กระบี่ก็เรียน จะลาก็ไม่ใช่จะม้าก็ไม่เชิง หัวมังกุท้ายมังกร ถึงได้มีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้!”
เด็กสาวลุกขึ้นยืน ฝืนกลืนเลือดในปากลงคอไป “เจ้ามีความสามารถแค่นี้เองหรือ?”
วานรเฒ่าส่ายหน้ายิ้ม “เมื่อครู่นี้ก็แค่ให้โอกาสเจ้าอีครั้งเท่านั้น”
หนิงเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กล่าวเสียงหนัก “ที่บ้านเกิดของข้า ศึกตัดสินเป็นตาย ไม่เคยกล่าวถึงว่าพ่อแม่เป็นใคร ขอแค่เจ้ามีความสามารถสังหารข้าได้อย่างเปิดเผย ก็เท่ากับว่าความสามารถข้าสู้คนอื่นไม่ได้ หากวันหน้าพ่อแม่ของข้ารู้ต้นสายปลายเหตุ อย่างมากสุดก็แค่มาที่แจกันสมบัติทวีปบูรพาเพื่อหาเรื่องเจ้าเท่านั้น ไม่มีทางลากเขาตะวันเที่ยงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเจ้าจงวางใจ ปล่อยมือสังหารข้าได้อย่างเต็มที่…”
นี่เป็นครั้งแรกที่วานรเฒ่าได้ยินเด็กสาวพูดจ้อ ซึ่งแตกต่างไปจากเด็กสาวสวมหมวกคลุมหน้าที่เคร่งขรึมไม่ช่างยิ้มไม่ช่างพูดในความทรงจำคนนั้นอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นวินาทีที่วานรเฒ่ารู้สึกเสียวสันหลังวาบที่ต้นคอด้านหลัง เขาก็พลันหันขวับกลับไป
เส้นสีขาวสายหนึ่งแฉลบผ่านข้างลำคอของเขา คมกระบี่กรีดบาดแผลเส้นหนึ่งที่ไม่ลึกนักทิ้งไว้
หากไม่หันหน้ากลับ ต่อให้ไม่สามารถแทงทะลุลำคอของวานรเฒ่าได้ในครั้งเดียว แต่ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสได้แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นย่อมไม่ต่างอะไรจากเรือล่มในคลอง (เปรียบเปรยถึงแผนที่วางไว้ล่มลงหรือเรื่องที่ทำดีมาตลอดกลับต้องผิดพลาด) ผิดก้าวหนึ่งแล้วย่อมผิดทุกก้าว พอคิดว่าหากตนเปิดเผยกายธรรมร่างจริงก่อนถึงเวลาอันควร สูญเสียจุดควบคุมสูงสุดแห่งศีลธรรมจรรยาอยู่ที่นี่ จนเป็นเหตุให้ไม่เหลือพื้นที่ต่อรองกับฉีจิ้งชุนและอาจารย์หร่วน ไม่แน่ว่าอาจเดือดร้อนให้คุณหนูของตนต้องแบกรับอันตรายต่างๆ นานาอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ ในที่สุดวานรเฒ่าแห่งเขาตะวันเที่ยงก็ถูกกระตุ้นให้เดือดดาลเป็นครั้งที่สาม
กระบี่บินไม่ได้กลับเข้าฝัก แต่บินวนอยู่รอบกายเด็กสาวอย่างรวดเร็วราวกับกำลังประจบขอความชอบจากเจ้านาย
หลังจากวานรเฒ่ามองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็เดือดจัดจนกลายเป็นหัวเราะร่าเสียงดัง “ดีๆๆ ที่เพิ่งตีมากับซ่งจ่างจิ้งเมื่อครู่นี้ยังไม่หนำใจอยู่พอดี หลังจากนี้จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าให้เต็มคราบไปเลยสักครั้ง! แต่เจ้านั่นแหละรู้หรือไม่ว่าเนื้อหนังไม่กี่จินของเจ้าจะแบกรับการทุบตีได้สักกี่ครั้ง?!”
เด็กสาวเพ่งพินิจปราณสีม่วงอมทองบนใบหน้าของวานรเฒ่าอย่างละเอียด หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ไว้ ต่อให้วานรเฒ่าจะร่ายใช้เวทอภินิหารถึงสามครั้ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีการกักเก็บพลังไว้ในระดับที่แน่นอน เป็นเหตุให้ช่องโพรงใหญ่ๆ ที่สำคัญในกายไม่ถึงขั้นพังทลายเหมือนทำนบกั้นน้ำที่พังครืน จนถูกบีบให้ต้องเผยร่างจริง แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องลดทอนอายุขัยเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงมา สำหรับวานรย้ายภูเขาตัวหนึ่งแล้วก็ย่อมต้องสร้างความเจ็บปวดให้กับเลือดเนื้อได้แน่ แต่ถึงกระนั้นกลับไม่อันตรายถึงชีวิตเหมือนกับ “คน” อื่นๆ
ปลายนิ้วของเด็กสาวสั่นไหวเล็กน้อย กระบี่ยาวก็หมุนกลับเบาๆ นางจึงคลี่ยิ้ม “มิน่าเล่าบิดาข้าถึงได้บอกว่าเขาตะวันเที่ยงแห่งแจกันสมบัติทวีปบูรพาของพวกเจ้าไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่ไรไหนมาก็เก่งแต่ปาก ไร้ฝีมือ คนก็โง่เง่าโอหัง ทว่าปราณกระบี่ตื้นเขิน”
วานรเฒ่าโกรธจนหนวดกระดิก ตวาดเดือดดาลดังก้อง “รนหาที่ตาย!”
ครั้นจึงกระโจนเข้าสังหารเด็กสาวผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
หนิงเหยาไม่คิดจะรั้งรออยู่ต่อสู้ แต่ห้อตะบึงเผ่นไปทางทิศเหนือ
ตลอดทางห้อมล้อมไปด้วยอันตรายรอบด้าน หากไม่เป็นเพราะกระบี่บินเล่มนั้นได้รับอักษรสองคำจากกรอบป้าย “ชี่ชงโต้วหนิว” ปราณและจิตแห่งกระบี่ถึงได้ทะยานพรวดพราดพร้อมกัน อีกทั้งยังเชื่อมโยงถึงใจของเด็กสาวได้อย่างฉลาดเฉลียว ทำให้นางสามารถใช้งานมันได้สมดังใจปรารถนา ปลายกระบี่ชี้ไปที่ใด ตัวกระบี่ก็เหมือนคนเอาแต่ใจที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ใด นั่นถึงทำให้การโจมตีอย่างรุนแรงดุจอสนีบาตของวานรเฒ่าถูกขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วยให้เจ้านายของมันหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิดเสียทุกครั้ง
หากเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งใช้เวลาบ่มเพาะอย่างยากลำบากมานับพันนับหมื่นปีแล้วสอดประสานตรงกับใจของเจ้านายเช่นนี้ วานรเฒ่าคงไม่ตกใจอะไรนัก แต่นี่วานรเฒ่ากลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากระบี่ยาวที่ออกจากฝักสีเขียวเล่มนี้ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเด็กสาวอย่างแน่นอน
ซ้ำนางยังทำตัวเหมือนผู้ฝึกยุทธทั่วไปในยุทธภพที่หวังเพียงแค่ได้ครอบครอง “อาวุธวิเศษ” เหมาะมือที่มีความคมมากพอเท่านั้น ไม่เคยเดินไปบนมหามรรคาแห่งผู้ฝึกระบี่ที่ต้องหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแห่งกระบี่ ฟูมฟักสติปัญญาของกระบี่เลยแม้แต่น้อย ทว่าความประหลาดของเด็กสาวคนนี้อยู่ที่นางไม่ได้มีลักษณะของผู้ฝึกยุทธไปเสียทั้งหมด เพราะสำหรับปรมาจารย์แห่งวิถีการต่อสู้ที่ต้องหล่อหลอมขัดเกลาทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมต้องแสวงหาหลักการที่ว่า “ฟ้าดินพังทลาย แต่ร่างข้าไม่เปื่อยสลาย” หากถูกอาวุธถือสิทธิแสดงบทบาทเป็นเจ้าของเสียเองก็ต้องกลายไปเป็นพวกนอกรีตนอกรอย
การไล่ฆ่าตลอดทางที่ผ่านมา การที่วานรเฒ่าไม่สามารถจับตัวเด็กสาวได้ นอกจากกระบี่บินที่สร้างความวุ่นวายแล้ว ยังเป็นเพราะสิ่งที่เด็กสาวร่ำเรียนมานั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งวิถีกระบี่ วิชาการต่อสู้ และวิถีแห่งผู้ฝึกลมปราณ สามอย่างควบคู่กัน ลมปราณจึงทั้งบริสุทธิ์และผ่อนยาว วานรเฒ่าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าสำนักหรือตระกูลใดในแจกันสมบัติทวีปบูรพาที่สามารถฝึกอบรมเด็กรุ่นหลักออกมาได้แปลกประหลาดเช่นนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่ลงมือจึงยิ่งเป็นการหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง หวังจะแน่ใจในภูมิหลังของอีกฝ่าย
จะอย่างไรซะขอแค่ไม่เข้าไปใกล้เมืองเล็ก ไม่ว่าที่นั่นจะมีคนดีคนชั่วปะปนกันอย่างไร วานรเฒ่าที่อยู่ข้างนอกนี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว
สีหน้าของเด็กสาวที่เผ่นหนีไปสี่ทิศเริ่มซีดขาว
“กำลังเสื่อมถอยจนเป็นม้าตีนปลายแล้วสินะ!”
ผู้เฒ่ายิ้มเหี้ยม “ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะสามารถประคองตนจนหนีกลับไปถึงเมืองได้หรือไม่ ต่อให้โชคดีทำสำเร็จ มีคนมารับไป แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้อาวุโสจะฆ่าเจ้าไม่ได้?”
วานรเฒ่าไม่มัวสนใจกระบี่บินอีกต่อไป พลันกระโดดตัวขึ้นสูงก้าวข้ามผ่านศีรษะของเด็กสาวไปโผล่อยู่บนเส้นทางข้างหน้านาง หันตัวกลับมาขัดขวางไม่ให้เด็กสาวหนีไปทางทิศเหนือได้อีก ครั้นแล้วจึงปล่อยหมัดต่อยกระบี่บินเล่มนั้นกระเด็นลิ่วไปร้อยกว่าจั้ง เพียงแต่ว่ากระบี่บินที่กัดไม่ปล่อยกลับพุ่งสวบมาถึงได้ชั่วพริบตาแล้วแทงเข้าไปที่ศีรษะของวานรเฒ่าอีกครั้ง ขณะที่วานรเฒ่าพยายามหาโอกาสคว้าจับกระบี่บิน พันธนาการมันไว้ในฝ่ามือ มันกลับถอยหนีอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับล่วงรู้อนาคต ไม่มัวดึงดันจะต่อสู้ กระบี่บินไปมาดั่งสายลม ป้องกันก็ไม่ได้ ต่อให้วานรเฒ่าจะหนังหนาไม่กลัวได้รับบาดเจ็บก็ยังมีสภาพกระเซอะกระเซิงอยู่ดี
เด็กสาวไม่คิดจะดิ่งเข้าไปปะทะกับวานรเฒ่าที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งๆ หน้า จึงเบี่ยงเส้นทางเล็กน้อย วิ่งหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วานรเฒ่าย้ายเส้นทางตามในแนวขวาง คอยสร้างความสะเทือนขวัญให้เด็กสาวอยู่ตลอดเวลา
ฝ่ามือของวานรเฒ่าตบกระบี่บินที่พุ่งแฉลบมาด้านข้างเหมือนตบแมลงวัน ทำเอากระบี่บินเล่มนั้นกระเด็นปักลงพื้นลึกสองฉื่อ กระบี่บินสะบัดตัวเองเหมือนสาวน้อยส่ายเอว กว่าจะดึงตัวเองออกมาจากดินโคลนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่ก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงคล้ายแมวป่าที่เดือดดาล พริบตาเดียวก็พุ่งเข้าจ้วงแทงวานรเฒ่าด้วยพลังอำนาจกร้าวกระด้างอีกครั้ง
วานรเฒ่าหงุดหงิดเต็มที จึงอดไม่ไหวถามออกไป “เหตุใดกระบี่บินเล่มนี้ถึงมองเมินข้อความของฟ้าดินแห่งนี้ได้? เจ้าเป็นอะไรกับฉีจิ้งชุนหรือหร่วนจิ่งกันแน่?!”
หนิงเหยาเกือบถูกฝ่ามือของวานรเฒ่าตบลงบนหน้าผาก ร่างจึงผงะหงายไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมาคว้าด้ามจับของกระบี่บิน จากนั้นก็กระบี่บินกระชากพาออกห่างจากรัศมีฝ่ามือของวานรเฒ่า ร่างทั้งร่างเหมือนถูกคนกระชากแขนพาไถลลื่นออกไปข้างหลัง
หลังถูกกระบี่บินลากตัวออกมาได้ระยะหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมเด็กสาวถึงไม่ยืมใช้โอกาสนี้ถอยกลับเข้าไปในเมือง แต่กลับหยุดยืนตัวตรง เอียงศีรษะพ่นเลือดออกมาหนึ่งคำ กระบี่บินลอยอยู่ข้างกายของเด็กสาวส่งเสียงหวึ่งๆ เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจการกระทำของผู้อาวุโสจึงพูดจ้อซักถามไม่หยุด
มือขวาของเด็กสาวยกขึ้นกดลงบนไหล่ซ้าย
วานรเฒ่าพลันชะลอฝีเท้า หัวเราะเสียงดังกระหึ่ม “เป็นดังคาด กระบี่บินที่รับเจ้าเป็นนายเล่มนี้สามารถมองข้ามกฎเกณฑ์ได้จริงๆ แต่จะอย่างไรซะกระบี่บินก็เป็นแค่กระบี่บิน ต่อให้จะฉลาดเฉลียวสักเพียงใดก็ยังต้องให้แม่นางน้อยอย่างเจ้าคอยออกคำสั่งกับมัน น่าเสียดายที่ร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าต่างก็เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนอยู่ในเมือง และก็ยังไม่หายดี เป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นเหตุให้การจู่โจมอย่างไม่ประติดประต่อนั้นมีมันเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง จะอย่างไรซะเจ้าก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายข้าให้บาดเจ็บสาหัสอย่างแท้จริง เพียงแค่ใช้กระบวนท่าป้องกันตัวมารักษาชีวิตไว้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จำเป็นต้องใช้จิตของเจ้ามาควบคุมกระบี่บิน”
ในที่สุดเด็กสาวก็เปิดปากพูดอีกครั้ง “เจ้านี่พูดมากจริงๆ”
ริมฝีปากของนางแดงปลั่ง สีหน้าขาวดุจหิมะ สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้ม
เมื่อมาอยู่ยามครึ่งค่อนคืนเช่นนี้ เด็กสาวก็เหมือนวิญญาณภูตสาวที่เดินย่ำอยู่กลางป่าลึก
วานรเฒ่าเดินขยับไปข้างหน้าทีละก้าว จุ๊ปากเอ่ย “เสียแรงที่มีกระบี่ดีในครอบครอง น่าเสียดายที่ร่างกายและจิตใจอ่อนแอเกินไป ต้นอ่อนก้านแข็ง (เปรียบเปรยว่าผู้เป็นนายอ่อนแอ ลูกน้องแข็งแกร่งกว่า) น่าสงสารจริงๆ! เจ้ากับเด็กหนุ่มจากตรอกเล็กผู้นั้นคิดทำทุกวิถีทางเพื่อให้ข้าผู้อาวุโสระบายลมปราณ จะได้ชักนำการลงโทษจากฟ้าดินแห่งนี้ แม่นางน้อย ตอนนี้เจ้าไม่ลองเดาดูล่ะว่า รอให้ข้าผู้อาวุโสใช้ลมปราณที่สามนี้หมดเส้น เพื่อแลกมาด้วยลมหายใจเฮือกใหม่ จะสามารถทำให้ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่นเดือดดาลได้หรือไม่? และสุดท้ายแล้วข้าผู้อาวุโสจะต้านทานการรุกรานดุจน้ำทะเลหนุนทะลักสู่แผ่นดินได้หรือไม่?”
เด็กสาวพลันคลี่ยิ้มมีเลศนัย แตะปลายเท้าเบาๆ กระโดดไปด้านหลัง สูงไม่เกินหนึ่งจั้ง ไกลไม่เกินครึ่งจั้ง
วานรเฒ่าที่เดิมทีคิดจะไล่ตามต่อไปรู้สึกประหลาดใจ กลัวว่าจะมีกับดักจึงเดินตามไปช้าๆ ตัดสินใจว่าจะรอดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ไปก่อน
จากนั้นเด็กสาวที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศก็แตะปลายเท้าอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มกำลังเท้าเล็กน้อย ทั้งยังบิดข้อเท้าด้วย ร่างของนางจึงไม่ได้กระโดดหงายไปด้านหลังในแนวตรงอีก แต่เอนมาทางฝั่งขวามือ
ไม่รอให้ร่างของเด็กสาวร่วงลงพื้น กระบี่บินก็พุ่งเข้ามาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเด็กสาวในช่วงเวลาที่นางกระโดดอยู่ในจุดสูงสุด ดังนั้นเด็กสาวจึงสามารถอาศัยแรงส่งดีดตัวหนีไปข้างหลังและสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง
แม้แต่วานรเฒ่าที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็ยังมองเซ่อไปเล็กน้อย เพราะภาพเหตุการณ์นี้ประหลาดและน่าขบขันเกินไป
เด็กสาวเหมือนกวางน้อยที่กระโดดเล่นตั้งเต ร่างจึงกระโดดเด้งดึ๋งๆ ไปอย่างต่อเนื่อง เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเขาเบาบางปราดเปรียว เพียงไม่นานก็หายไปท่ามกลางม่านราตรี
น่าจะเป็นเพราะกังวลว่าวานรเฒ่าจะลอบโจมตีระหว่างทาง จึงเห็นได้ชัดว่ารูปแบบการกระโดดของเด็กสาวไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เดี๋ยวหน้าเดี๋ยวหลัง
วานรเฒ่ากระตุกริมฝีปาก สายตาฉายแววซับซ้อน “ละมั่งแขวนเขาตัวดี” (เวลานอนตอนกลางคืน ละมั่งจะเอาเขาเกี่ยวแขวนกับกิ่งไม้ เท้าลอยจากพื้น เพื่อเป็นการหลบภัย ในสมัยโบราณประโยคนี้ใช้เป็นการเปรียบเปรยถึงบทกลอนที่เขียนได้อย่างโดดเด่นงดงาม)
แต่วานรเฒ่าก็ไม่ได้นิ่งเฉยมองเด็กสาวหนีไปไกลคาตาตัวเอง แต่เขย่งปลายเท้าขึ้น หยิบหินก้อนหนึ่งมากำไว้ในมือแล้วขว้างออกไปอย่างแรง
จากนั้นวานรเฒ่าก็หยิบหินอีกหลายก้อนขึ้นมาจากบนพื้น สุดท้ายเขามือของเขาก็โบกสะบัดด้วยท่วงท่าดุจพายุกระหน่ำสายฟ้าคำรณขว้างปาหินทั้งหมดออกไป
แม้ว่าก้อนหินส่วนใหญ่จะร่วงหล่นบนความว่างเปล่า แต่ก็มีหินอีกเจ็ดแปดก้อนที่สร้างภัยคุกคามอย่างรุนแรงให้แก่เด็กสาว เป็นเหตุให้นางจำต้องควบคุมกระบี่บินพุ่งชนก้อนหินให้แตกกระจาย
กลางอากาศราตรีเกิดเสียงปังๆ ติดต่อกันดุจเสียงอสนีบาตในวสัตฤดู
สายตาของวานรเฒ่ามืดทะมึน
หากเด็กสาวไม่เสียสติก็คือประสาทกลับไปแล้ว ทั้งๆ ที่นางสามารถควบคุมให้กระบี่บินทะยานตัวขึ้นสูงกว่าก้อนหินที่พุ่งมาได้
แต่นางกลับเลือกที่จะรักษาระดับสูงเท่าเดิมเอาไว้ ราวกับกำลังขี่ม้าเที่ยวเล่นอยู่ริมขอบของสมรภูมิรบเพื่อหลอกล่อให้มือธนูฝั่งศัตรูเผาผลาญลูกธนูและกำลังแขนอย่างต่อเนื่อง
โดยไม่ทันรู้ตัวก็ขยับเข้ามาใกล้ทางทิศตะวันตกของเมือง
วานรเฒ่าชั่งน้ำหนักดูคร่าวๆ ก็รู้ว่าลมปราณเหลืออยู่อีกไม่มาก จึงจงใจเลือกหินก้อนใหญ่ขนาดเท่ากำปั้นเด็กขึ้นมาสองก้อน กำไว้ในมือข้างละก้อน ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เมื่อแขนเหวี่ยงออกไป กล้ามเนื้อที่ปูดนูนขึ้นสูงมองดูแล้วน่าพรั่นพรึง จุดที่หินบินที่ขว้างจากมือแหวกอากาศออกไปถึงกับเกิดเสียงดังสวบๆๆ พร้อมกับประกายไฟที่แลบยาวติดกันเป็นทอดๆ แตกต่างจากหินก้อนอื่นๆ ที่ขว้างไปก่อนหน้านี้ มองดูคล้ายมังกรเพลิงตัวเรียวยาวที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
วานรเฒ่าตวาดก้อง “ลงมาให้ข้า!”
กลางอากาศสูงมีประกายแสงสายฟ้าสว่างวาบขึ้นครู่หนึ่ง จากนั้นถึงตามมาด้วยเสียงระเบิดดุจอสนีบาตในฤดูวสันต์
เด็กสาวร้องอู้อี้ ร่างทั้งร่างเริ่มร่วงดิ่งลงมา
กระบี่บินที่เอียงกะเท่เร่เหมือนคนเมาส่งเสียงร้องหวีดๆ ไม่หยุด แต่กระนั้นก็ยังพยายามสุดชีวิตเพื่อพุ่งไปเราเจ้านาย
วานรเฒ่าไม่แม้แต่จะชายตามองเด็กสาวและกระบี่บิน กลับหรี่ตามองไปยังหลังคาทางฝั่งตะวันตกของเมือง เมื่อเงาดำเงาหนึ่งเคลื่อนไหว วานรเฒ่าก็ก้าวเท้าเหยียบลงพื้นหนักๆ อีกหนึ่งก้าว ก้อนหินที่เหลืออยู่ในมืออีกข้างพุ่งฉิวออกไป แล้วจึงหัวเราะร่าอย่างสะใจ “คนช่วยตายก่อน!”
เด็กสาวกระอักเลือดตะโกนดังลั่น “อย่าออกมานะ!”
เด็กสาวที่เดิมทีก็บาดเจ็บไม่เอาอดใจไม่ไหวจึงหันไปมอง นาทีนั้นนางรู้สึกสิ้นหวัง คว้าด้ามกระบี่ไว้อย่างยากลำบาก เมื่อมือข้างนี้สั่นสะท้านจนใกล้จะถือไว้ไม่ไหวก็รีบเปลี่ยนมืออีกข้าง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อชะลออัตราความเร็วในการร่วงดิ่งอย่างต่อเนื่อง
หนิงเหยาคาดไม่ถึงว่าการที่นางทำตัวอวดฉลาดจะทำร้ายเด็กหนุ่มผู้นั้นจนถึงตาย
เด็กหนุ่มที่สวมรองเท้าฟาง แบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง ตรงเอวรัดข้องใส่ปลาเป็นเหมือนสายลมที่พัดโชย ทุกวันเขาจะไปมาอย่างรีบร้อน ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการหาเงินและต้มยา
หนิงเหยารู้สึกว่าหากชายหนุ่มที่เป็นเช่นนี้ต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ แบบนี้มันไม่ถูก!
หลังจากเด็กสาวที่ร่างส่ายไปส่ายมาร่วงลงสู่พื้นนางก็ประกบสองนิ้วเป็นกระบี่กดไปที่หว่างคิ้วตรงหน้าผาก พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ออกมา! จงฟันฟ้าดินแห่งนี้ออกให้ข้า!”
เส้นสีทองเล็กๆ เส้นหนึ่งปรากฏที่หว่างคิ้วของเด็กสาวจากบนลงล่าง แล้วค่อยๆ ขยายออกไป
ประหนึ่งเทพเซียนกำลังเปิดดวงตาสวรรค์!
เบื้องใต้สะพานโค้งเก่าแก่ กลางสะพานข้ามแม่น้ำในปัจจุบัน มีกระบี่โบราณขึ้นสนิมเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามีอายุกี่พันปี ปลายกระบี่ชี้ลงไปยังบ่อน้ำเบื้องล่าง เวลานี้กลับเหมือนคนอ้าปากหาวเพราะเพิ่งตื่นจากการหลับสนิท
ปลายกระบี่ที่ขึ้นสนิมส่ายไหวเบาๆ
สะพานข้ามแม่น้ำจึงส่ายไหว
ฟ้าดินเล็กๆ ทั้งใบก็ส่ายโคลงเคลงตามไปด้วย
กลางภูเขาลึกลูกหนึ่ง ฉีจิ้งชุนที่ดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางเดินออกจากภูเขาพร้อมคนสองสามคน หลังจากยกเท้าขึ้นแล้วเพิ่งจะวางลงไป อาจารย์สอนหนังสือที่เดินอยู่บนทางภูเขาท่านนี้ก็คลี่ยิ้ม ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง
เหล่าหยางโถวที่อยู่ในเรือนด้านหลังร้านตระกูลหยางนั่งงีบหลับอยู่ข้างตะเกียงน้ำมัน หลังจากสะดุ้งตกใจก็หยิบกระบอกยาสูบเก่าแก่ขึ้นมาเคาะบนโตะ
ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีกระทืบเท้าด่าพ่อล่อแม่อยู่ในจวนผู้ตรวจการอย่างไร้สาเหตุ
ในห้องหลอมกระบี่ห้องหนึ่งของร้านตีเหล็ก หร่วนฉงที่รับผิดชอบทุบเหล็กกลับเหวี่ยงค้อนทุบวืดลงบนความว่างเปล่า สีหน้าของเด็กสาวผมม้าที่จับด้ามกระบี่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
หม่าขู่เสวียนเด็กหนุ่มแห่งตรอกซิ่งฮวาที่ทุกคนมองว่าเป็นคนโง่ เดิมทีกำลังนอนอยู่บนหลังคามองท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับลุกพรวดขึ้นนั่ง แผ่ปราณสังหารเดือดพล่าน
และเวลานี้เองน้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอย่างร้อนรน และเริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ “แม่นางหนิง เจ้ายืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม?! วิ่งสิ! ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย นั่นมันชุดที่ข้าถอดทิ้งไว้! เดรัจฉานเฒ่าเบาปัญญา เจ้าก็โง่ตามเขาอีกคนหนึ่งหรือ?”
เด็กสาวใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกเหมือนว่าในขณะที่พิธีการป่าวประกาศคุณความชอบกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จู่ๆ ร่างทั้งร่างก็ลอยหวือขึ้นเพราะถูกคนแบกขึ้นไหล่พาวิ่งหนีเข้าไปในตรอกของเมืองเล็ก
หนิงเหยาพลันคืนสติ ร่างกระเด้งกระดอนไม่หยุดอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ที่มากกว่านั้นคือความกระอักกระอ่วน เหตุการณ์นี้ทำให้นางสับสนมึนงงไปหมด “เอ๊ะ?”