บทที่ 2 เปิดประตู
ฟ้าเริ่มสาง ทว่าไก่ยังไม่ทันขันเฉินผิงอันก็ลุกจากที่นอนแล้ว ผ้าห่มผืนบางไม่อาจรั้งไอร้อนเอาไว้ได้ อีกทั้งตอนที่เฉินผิงอันเรียนเผาเครื่องปั้นยังฝึกตื่นเช้าจนชิน เป็นนิสัยแล้ว เฉินผิงอันเปิดประตูห้อง เดินมาหยุดอยู่ในลานบ้านเล็กๆ ที่มีดินร่วนอ่อนซุย หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เขาก็ยืดแขนบิดขี้เกียจแล้วเดินออกมานอกลาน พอหันหน้ากลับไปมองก็เห็นเรือนกายบอบบางของคนผู้หนึ่งกำลังก้มตัว ใช้มือสองข้างหิ้วถังไม้ใบหนึ่ง เอาไหล่ดันประตูบ้านให้เปิดออก นั่นก็คือสาวใช้ของ ซ่งจี๋ซิน นางน่าจะเพิ่งไปตักน้ำกลับมาจากบ่อโซ่เหล็กข้างตรอกซิ่งฮวา
เฉินผิงอันดึงสายตากลับ วิ่งเหยาะๆ ผ่านถนนและตรอกซอกซอยไปยัง ฝั่งตะวันออกของเมือง ตรอกหนีผิงอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง ประตูเมือง ฝั่งตะวันออกจะมีคนรับผิดชอบคอยตรวจตราพวกพ่อค้าที่เข้านอกออกในเมือง รวมไปถึงลาดตระเวนในยามค่ำคืน บางครั้งก็คอยรับส่งจดหมายให้กับคนที่อยู่ นอกเมือง สิ่งที่เฉินผิงอันจะทำในลำดับถัดไปก็คือ นำจดหมายเหล่านั้นไปส่งให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ในเมือง ค่าตอบแทนคือหนึ่งอีแปะต่อจดหมายหนึ่งฉบับ นี่คือช่องทางหาเงินที่เขาแสวงหามาได้อย่างยากลำบาก เฉินผิงอันตกลงกับทางฝั่งนั้นแล้วว่าหลังจากวันขึ้นสองค่ำเดือนสองมังกรเชิดหัว[1] เขาจะเริ่มรับทำงานนี้
หากจะใช้คำพูดของซ่งจี๋ซินก็คือ เกิดมามีชะตาชีวิตยากจนข้นแค้น ต่อให้จะมี โชคดีมาเยือน เขาเฉินผิงอันก็ไม่อาจรั้งไว้ได้นาน ซ่งจี๋ซินมักจะพูดด้วยประโยคที่ยากจะทำความเข้าใจ ซึ่งอีกฝ่ายคงยกมาจากในตำราบางเล่ม เฉินผิงอันมักจะฟังไม่รู้เรื่อง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสองวันก่อนที่อีกฝ่ายบ่นพึมพำว่าลมหนาวแรกฤดูใบไม้ผลิ เยียบเย็นพอจะทำให้เด็กแข็งตายอะไรสักอย่าง เฉินผิงอันไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันหมายความว่าทุกปีเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป ช่วงเวลา ต้นฤดูใบไม้ผลิมักจะกลับกลายเป็นว่าอากาศยิ่งหนาวเย็น ต่อให้เด็กๆ หรือหนุ่มสาว ที่ร่างกายไม่กลัวความหนาวก็ยังต้องระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษ
ซ่งจี๋ซินบอกว่านี่คืออากาศหนาวพิเศษหลังเข้าฤดูใบไม้ผลิ ร้ายกาจพอๆ กับ การแว้งกลับมาโจมตีข้าศึกที่ไล่กวดมาบนสนามรบอย่างฉับพลัน ดังนั้นหลายคน จึงมักจะตายในช่วงเวลานี้
เมืองเล็กแห่งนี้ไม่มีกำแพงโอบล้อม เพราะอย่าว่าแต่พวกโจรพเนจรเลย แม้แต่หัวขโมยก็ยังแทบจะไม่มี ดังนั้นแม้ในนามจะเรียกมันว่ากำแพงเมือง แต่ในความ เป็นจริงแล้วมันกลับเป็นแค่รั้วเก่าแก่ที่เอียงกะเท่เร่เท่านั้น แค่มีช่องทางที่เว้นไว้ให้ คนและรถผ่านก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของเมืองเล็กแห่งนี้แล้ว
ตอนที่เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ผ่านตรอกซิ่งฮวาไป เขาเห็นเด็กๆ และเหล่าสตรีแต่งงานแล้วจำนวนไม่น้อยยืนมุงอยู่ข้างบ่อเหล็ก เสียงรอกชักน้ำลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดอยู่ ตลอดเวลา
เมื่อเดินผ่านถนนไปอีกเส้นหนึ่ง เฉินผิงอันก็ได้ยินเสียงท่องหนังสือที่คุ้นเคย ดังแว่วมาแต่ไกล ที่นั่นมีโรงเรียนอยู่แห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนที่พวกคนมีเงินของเมืองนี้ร่วมกันระดมเงินสร้างขึ้นมา อาจารย์ผู้สอนเป็นคนต่างถิ่น ตอนที่เฉินผิงอันยังเด็กมักจะชอบแอบไปหลบนั่งยองเงี่ยหูฟังอยู่นอกหน้าต่างเป็นประจำ แม้ว่าตอนที่ สอนหนังสือ อาจารย์ผู้นั้นจะเข้มงวดมาก แต่เขากลับไม่เคยตำหนิหรือห้ามปราม เด็กที่ ‘นั่งยองเรียนหนังสือ’ อย่างเฉินผิงอัน ภายหลังเมื่อเฉินผิงอันไปฝึกเรียนเป็นศิษย์ที่เตาเผานอกเมือง เขาก็ไม่เคยไปที่โรงเรียนแห่งนี้อีกเลย
พอขยับมาข้างหน้าอีกหน่อย เฉินผิงอันก็เดินผ่านซุ้มประตูหินแห่งหนึ่ง เนื่องจากซุ้มประตูหินแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยเสาหินสิบสองต้น คนท้องถิ่นจึงมักจะชอบเรียกมันว่าซุ้มประตูก้ามปู ทว่าชื่อจริงของประตูหินแห่งนี้ ซ่งจี๋ซินและหลิวเสี้ยนหยางกลับเรียกไม่เหมือนกัน ซ่งจี๋ซินพูดอย่างมาดมั่นว่าในตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ชื่อว่าอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น เรียกที่แห่งนี้ว่าประตูมหาบัณฑิต เป็นประตูที่องค์จักรพรรดิประทานให้เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งที่มีคุณูปการทั้งทางด้านบุ๋นและบู๊ ทว่าหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับเฉินผิงอันกลับเรียกที่แห่งนี้ว่าประตูก้ามปู เขาบอกว่าชื่อนี้เรียกกันมาหลายร้อยปีแล้ว
ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเปลี่ยนไปเรียกประตูมหาบัณฑิตให้ยุ่งยาก หลิวเสี้ยนหยาง ยังถามซ่งจี๋ซินด้วยว่า “หมวกขุนนางของมหาบัณฑิตใหญ่แค่ไหน ใหญ่กว่าปากบ่อของบ่อโซ่เหล็กเลยหรือเปล่า” เล่นเอาซ่งจี๋ซินที่ถูกถามหน้าแดงก่ำ
เวลานี้เฉินผิงอันเดินผ่านเสาทั้งสิบสองต้นมาแล้วรอบหนึ่ง ทุกหน้าเสาล้วนสลักด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว ประโยคเหล่านี้ประหลาดมาก เพราะเห็นได้ชัดว่าความหมายของพวกมันไม่สอดคล้องกันอย่างสิ้นเชิง แบ่งออกเป็น “ตังเหรินปู้รั่ง (ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ)” “ซีเหยียนจื้อหรัน (พูดอ้างหลักการธรรมชาติให้น้อย)” “โม่เซี่ยงว่ายฉิว (ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกาย)” และ “ชี่ชงโต้วหนิว (พลังอำนาจสะท้านฟ้า)” จากคำบอกของซ่งจี๋ซิน นอกจากประโยคสี่อักษรเหล่านี้แล้ว ตัวอักษรบนกรอบป้ายหินอีกสามตำแหน่งบ้างก็ถูกลบทิ้ง บ้างก็ถูกเปลี่ยนแปลง เฉินผิงอันผู้ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรไม่เคยคิดอย่างลึกซึ้งมาก่อน แน่นอนว่าต่อให้ เด็กหนุ่มคิดจะสืบค้นจนถึงต้นตอก็เป็นเรื่องที่เปลืองแรงเปล่า เพราะแม้แต่อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นที่ซ่งจี๋ซินมักจะพูดติดปากเป็นประจำคืออะไร เขาก็ยังไม่รู้เลย
ผ่านซุ้มประตูหินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาก็มองเห็นต้นไหวเก่าแก่ที่มีพุ่มใบรกครึ้มต้นหนึ่ง ใต้ต้นไม้มีท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่ถูกโค่นลงซึ่งไม่รู้ว่าใครย้ายเอามาไว้ตรงนี้ ปลายทั้งสองฝั่งของท่อนไม้มีหินสองก้อนค้ำยันอยู่ ท่อนไม้นี้จึงกลายมาเป็นม้านั่ง ตัวยาวแบบง่ายๆ ช่วงฤดูร้อนของทุกปี พวกชาวบ้านในเมืองจะชอบมานั่งเล่นอยู่ ตรงนี้ หากเป็นบ้านที่มีเงินหน่อย พวกผู้ใหญ่ก็มักจะหยิบเอาผลแตงเย็นฉ่ำออกจากตะกร้ามาแจกจ่ายให้ลูกหลานได้กิน พอเด็กๆ กินอิ่มหนำสำราญก็จะจับกลุ่มกัน วิ่งเล่นอยู่ใต้ร่มไม้
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปอย่างชินทางจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูรั้วที่มีบ้านดินหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตอนที่มาถึงหัวใจเขาเต้นกระหน่ำ หอบหายใจดังฮักๆ ไม่หยุด
คนต่างถิ่นที่มาเยือนเมืองเล็กแห่งนี้มีไม่มากนัก ตามหลักแล้วเมื่อต้นเงินต้นทองอย่างกิจการเผาเครื่องปั้นถูกโค่นล้มลงก็ยิ่งไม่ควรมีใบหน้าใหม่ๆ แวะมาเยี่ยมเยือน ที่แห่งนี้ ตอนที่ผู้เฒ่าเหยายังอยู่มักจะโอ้อวดกับลูกศิษย์อย่างเฉินผิงอันและ หลิวเสี้ยนหยางอยู่หลายครั้งว่า กิจการเตาทางการ (เตาทางการ เตาหลวง เตาราชสำนักหมายถึง หน้าที่ผลิตภาชนะสำหรับราชสำนัก) ที่พวกเขาทำอยู่นี้ มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้า คือการทำภาชนะให้ฮ่องเต้และฮองเฮาใช้โดยเฉพาะ ต่อให้ชาวบ้านร้านตลาดจะมีเงินมากแค่ไหน หรือใครเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โตเท่าไหร่ หากกล้าแตะต้องก็มีแต่จะต้องโดนตัดหัว สีหน้าที่ผู้เฒ่าเหยาพูดประโยคนี้ในวันนั้นผิดแผกไปจากปกติเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้เฉินผิงอันมองไปนอกรั้วกลับเห็นว่ามีคนไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดคนมายืนรออยู่หน้าประตูเมือง มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีทั้งคนหนุ่มคนแก่
อีกทั้งยังเป็นคนแปลกหน้าทั้งหมด หากเป็นคนในหมู่บ้านที่จะเข้าออกเมือง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ออกไปเผาเครื่องปั้นหรือออกไปทำไร่ทำนา น้อยครั้งที่จะเดินออกจากประตูตะวันออก เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะตลอดเส้นทางที่ทอดยาวออกไปจากประตูตะวันออกไม่มีโรงเผาเครื่องปั้นหรือที่นาใดๆ
เวลานี้เฉินผิงอันกับพวกคนต่างถิ่นเหล่านั้นต่างก็มองหน้ากันผ่านรั้วไม้ที่กั้นขวาง
นาทีนั้นเด็กหนุ่มที่สวมเพียงรองเท้าแตะสานอดรู้สึกไม่ได้ว่าเสื้อผ้าหนาชิ้นที่ สวมอยู่บนร่างของคนเหล่านั้นต้องสามารถต้านทานความหนาวได้ดีและอุ่นมากแน่ๆ
เห็นได้ชัดว่าพวกคนที่อยู่นอกประตูแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ไม่ได้เป็น พวกเดียวกัน แต่คนส่วนใหญ่ที่มองมายังเด็กหนุ่มผอมบางซึ่งอยู่ฝั่งด้านในของประตูล้วนมีสีหน้าเฉยชา จะมีบ้างก็แค่คนสองคนที่เส้นสายตามองเลยผ่านเรือนกายของ เด็กหนุ่มเข้าไปยังจุดไกลในเมืองเล็กๆ
เฉินผิงอันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หรือคนพวกนี้ยังไม่รู้ว่าทางการสั่งปิดเตาเผา ทุกเตาไปแล้ว? หรือจะบอกว่าเป็นเพราะพวกเขารู้ความจริง ถึงได้รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย?
มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมกวาน (กวาน 冠เครื่องประดับบนศีรษะคล้ายรัดเกล้าที่ใช้ครอบมวยผม) ทรงสูงแปลกประหลาด เรือนกายสูงโปร่ง ตรงเอวห้อยหยกประดับ สีเขียวมรกตชิ้นหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะรอนานจนเริ่มหงุดหงิดจึงเดินออกมาจาก กลุ่มคนเพียงลำพัง หมายจะผลักประตูใหญ่ของรั้วที่เดิมทีก็ไม่ได้ลั่นดาลเอาไว้ เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่นิ้วมือจะแตะโดนประตูใหญ่ เขากลับหยุดชะงักในฉับพลัน แล้วจึงค่อยๆ ชักมือกลับ เอามือทั้งคู่ไพล่หลัง ยิ้มตาหยีมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ โดยไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว
หางตาของเฉินผิงอันเหลือบไปเห็นสีหน้าของพวกกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มคนนั้นโดยบังเอิญ บางคนมีท่าทางผิดหวัง บางคนเหมือนกำลังมองเรื่องสนุก บางคนขมวดคิ้ว บางคนเหยียดหยาม สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันหลากหลาย
และเวลานี้เองที่ชายฉกรรจ์วัยกลางคนผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งผลักประตูบ้านให้เปิดออกแล้วหันมาผรุสวาทใส่เฉินผิงอัน “ไอ้ลูกเต่า ในสายตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง? ถึงได้แล่นแหกขี้ตามาแต่เช้าขนาดนี้ จะรีบไปเกิดเพื่อไปพบหน้าผีพ่อผีแม่ของเจ้า ที่ตายไปงั้นรึ?!”
เฉินผิงอันกลอกตามองสูง สำหรับคำพูดระคายหูเช่นนี้ เด็กหนุ่มไม่เก็บมาใส่ใจ หนึ่งก็เพราะการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านป่าที่ทั้งเมืองมีตำราอยู่แค่ไม่กี่เล่มแห่งนี้ หากโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเพียงเพราะถูกคนด่าก็ควรรีบไปกระโดดน้ำตายแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องทนฟัง สองก็เพราะชายวัยกลางคนโสดสนิทที่เฝ้าประตูผู้นี้คือ คนที่ถูกพวกชาวบ้านในเมืองกลั่นแกล้งหยอกล้อด้วยเป็นประจำ โดยเฉพาะหญิงแต่งงานแล้วนิสัยใจกล้า เผ็ดร้อนบางคนที่ไม่เพียงแต่ปากด่าเขา ยังเคยลงมือลงไม้กับเขาบ่อยๆ บวกกับที่ คนผู้นี้ชอบคุยโม้กับเด็กเล็กๆ ด้วยประโยคอย่างเช่นว่า
ปีนั้นข้าผู้อาวุโสเคยผ่านสมรภูมิการต่อสู้ที่หน้าประตูเมืองมาก่อน ข้าเคยต่อย ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ห้าหกคนให้ฟันร่วงกราว เลือดนองเต็มพื้นจนเส้นทางกว้างสองจั้งหน้าประตูเมืองฉ่ำแฉะเหมือนเวลาที่ฝนตกลงบนถนนดินโคลน!
ชายวัยกลางคนหันมาพูดกับเฉินผิงอันอย่างใส่อารมณ์ “งานกระจอกๆ นั่นของเจ้า อีกเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”
คนในเมืองไม่มีใครแยแสเจ้าหมอนี่
แต่คนต่างถิ่นจะสามารถเข้ามาในเมืองได้หรือไม่ อำนาจใหญ่กลับกุมอยู่ในมือของชายผู้นี้
เขาเดินไปทางประตูรั้วไม้พลางเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง
หลังจากที่ชายผู้ซึ่งหันหลังให้แก่เฉินผิงอันเปิดประตูออก เขาก็คอยรับถุงเงินเล็กๆ เข้ามาเก็บในชายแขนเสื้อของตัวเองเป็นระยะพลางปล่อยให้คนที่อยู่ข้างนอกได้เข้ามาข้างใน
เฉินผิงอันยืนหลบทางรอตั้งแต่แรกแล้ว มีคนแปดคนที่น่าจะแบ่งเป็นห้ากลุ่ม เดินเข้าไปในเมือง นอกจากชายหนุ่มคนที่สวมกวานสูงและห้อยหยกเขียวไว้ ตรงเอวแล้ว ยังมีเด็กวัยเจ็ดแปดขวบอีกสองคนที่ทยอยกันเดินผ่านไป เด็กชายสวมชุดสีแดงสดใส ส่วนเด็กหญิงนั้นผิวขาวอมชมพูเหมือนกระเบื้องเคลือบเนื้อดี
เด็กชายตัวเตี้ยกว่าเฉินผิงอันเกินครึ่งศีรษะ ตอนที่เด็กชายเดินผ่านร่างของเขาไป เขาอ้าปากกว้าง แม้จะไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่ดูจากรูปปากแล้วน่าจะพูดคำสองคำที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
หญิงแต่งงานแล้วที่จูงมือเด็กชายกระแอมเบาๆ หนึ่งที เด็กชายคนนี้ถึงยอมทำตัวสำรวมสงบเสงี่ยม
เด็กหญิงที่อยู่ด้านหลังหญิงแต่งงานแล้วกับเด็กชายถูกจับจูงโดยผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่มีเส้นผมสีหิมะขาวโพลนทั้งศีรษะ นางหันมาพูดกับเฉินผิงอันยืดยาว และยังไม่ลืมหันไปตำหนิเด็กชายวัยเดียวกันที่เดินนำอยู่ข้างหน้าด้วย
เฉินผิงอันไม่เข้าใจว่าเด็กหญิงพูดอะไร แต่พอจะเดาได้ว่านางน่าจะกำลังฟ้องอะไรบางอย่างกับเขา
ผู้เฒ่าร่างบึกบึนเหลือบตามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะแวบหนึ่ง
เพียงแค่ถูกคนมองอย่างเจตนาแต่ก็เหมือนไม่เจตนาครั้งเดียว เฉินผิงอันก็ถึงกับก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ราวกับหนูที่เจอแมว
พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เด็กหญิงที่เดิมทีกำลังพูดเจื้อยแจ้วเหมือนนกกระจิบตัวเล็กๆ ก็พลันหมดสิ้นซึ่งความสนใจ นางหันขวับกลับไปโดยไม่คิดจะมองเฉินผิงอันอีก ราวกับว่าหากมองนานอีกหน่อยจะทำให้ดวงตาของนางสกปรกอย่างไรอย่างนั้น
แม้เด็กหนุ่มเฉินผิงอันจะไม่มีประสบการณ์ในชีวิตโชกโชนนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดมองสีหน้าคนไม่ออก
รอจนคนกลุ่มนี้เดินจากไปไกลแล้ว ชายเฝ้าประตูจึงหันมาถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “อยากรู้หรือไม่ว่าพวกเขาพูดว่าอะไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อยากรู้สิ”
ชายโสดวัยกลางคนอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด พูดพลางหัวเราะร่า “พวกเขาชมว่า เจ้าหน้าตาดี มีแต่คนพูดชมเจ้ากันทั้งนั้น”
เฉินผิงอันเบ้ปาก ในใจคิดว่า เจ้านึกว่าข้าโง่หรือไง?
ชายฉกรรจ์รู้ว่าเด็กหนุ่มคิดอย่างไร เสียงหัวเราะจึงยิ่งเบิกบานมากกว่าเก่า “หากเจ้าไม่โง่ ข้าจะให้เจ้ามาส่งจดหมายหรือไง?”
เฉินผิงอันไม่กล้าตอบโต้ กลัวว่าจะไปทำให้เจ้าหมอนี่หงุดหงิดแล้ว เหรียญทองแดงที่กำลังจะหล่นมาอยู่ในมือปลิวหายไป
ชายฉกรรจ์หันกลับไปมองคนเหล่านั้นพลางยกนิ้วลูบคลำปลายคางที่อยู่ใต้ หนวดเครารุงรัง ปากก็เอ่ยเสียงแผ่วต่ำไปด้วยว่า “ขาสองข้างของแม่นางคนเมื่อกี้นี้ รัดคนตายได้เลยนะนั่น”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความแปลกใจ “ฮูหยินผู้นั้นเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนหรือ?”
ชายฉกรรจ์อึ้งงัน แล้วจึงก้มหน้ามองเด็กหนุ่ม พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้านี่มันโง่จริงๆ”
เด็กหนุ่มมึนงงไม่เข้าใจ
เขาให้เฉินผิงอันรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองก้าวยาวๆ เข้าไปในห้อง ตอนที่กลับออกมา ในมือมีจดหมายเพิ่มมาหนึ่งปึก ไม่หนาไม่บาง กะดูแล้วประมาณสิบกว่าฉบับ ชายฉกรรจ์ส่งให้เฉินผิงอันแล้วถามว่า “คนโง่ก็มีโชคของคนโง่ คนทำดีย่อมได้ดี ตอบแทน เจ้าเชื่อหรือไม่?”
มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันยื่นออกไปรับจดหมายปึกนั้น ส่วนมืออีกข้างแบออก กะพริบตาปริบๆ พูดว่า “ตกลงกันไว้แล้วว่าหนึ่งอีแปะต่อจดหมายหนึ่งฉบับ”
ชายฉกรรจ์อับอายจนพานมาเป็นความโกรธ หลังจากยัดเงินห้าอีแปะที่เตรียมไว้แต่แรกใส่มือของเด็กหนุ่มแรงๆ เขาก็โบกมือพูดด้วยน้ำเสียงเผด็จการว่า “อีกห้าอีแปะติดไว้ก่อน!”
………………
[1] วันมังกรเชิดหัวเป็นวันเทศกาลที่สืบทอดกันมาของคนจีนคือ วันขึ้นสองค่ำเดือนสองตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี การเฉลิมฉลองในวันมังกรเชิดหัวเป็น การแสดงความเคารพแก่มังกรและเป็นการขอฝนเพื่อให้เทพเจ้าช่วยให้มีผลผลิต เก็บเกี่ยวได้ดี