Skip to content

Sword of Coming 203

บทที่ 203 เด็กหนุ่มผีขี้เหล้า

ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามาหยุดยืนอยู่ริมหน้าผา ข้างกายเฉินผิงอัน ถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม ผ่านด่านใหญ่มาได้แล้วก็เลยหวนรำลึกถึงอดีตอันขมขื่น และขอบคุณ ปัจจุบัน ที่หอมหวนอย่างนั้นรึ?”

เฉินผิงอันถูกขัดจังหวะความคิด หลังคืนสติแล้วก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก หันหน้ามาพูดยิ้มๆ “แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม?”

ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านสีขาวเนื้อหยาบ ดูสะอาดเอี่ยมแปลกตาไปจากเดิม “ไม่ค่อยดี? ดียิ่งนักล่ะ คนมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีความหวัง ชีวิตก็คงไร้รสชาติ ทนความลำบากได้ แต่ก็ต้องก็รู้จักหาความสุขใส่ตัว นี่ต่างหากถึงเรียกว่าวีรบุรุษที่แท้จริง ยามที่ยากลำบากอย่าเอาแต่บ่นกับทุกคนที่พบเจอว่าชีวิตข้าลำบากแสนเข็ญยิ่งนัก นั่นไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง เวลาที่เสวยสุขก็จงรับไปอย่างสบายใจ ในเมื่อเป็นวันเวลาดีๆ ที่ช่วงชิงมาได้โดยอาศัยความสามารถของตัวเอง แล้วทำไมจะต้องเอาแต่แอบมีความสุขอยู่ใต้ผ้าห่มคนเดียวด้วย?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บางคำพูดหากพูดออกมา ท่านผู้อาวุโสอาจจะไม่ชอบใจนัก แต่นั่นเป็นความรู้สึกในใจข้าจริงๆ ท่านผู้อาวุโสอยากจะฟังหรือไม่? ข้าไม่เคยพูดกับใครเลย ต่อให้เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของข้าอย่างหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เคยได้ฟัง”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งยองอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ “อ้อ? เรื่องน่าอเนจอนาถที่เจ้าเจอมาตอนเด็กงั้นรึ? ได้สิ ไหนลองพูดให้ข้าผู้อาวุโสอารมณ์ดีหน่อยสิ”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก ไม่ได้ขุ่นเคือง เขายื่นน้ำเต้าสีชาดมาให้ ผู้เฒ่าโบกมือบอกว่ารังเกียจเหล้าชั้นต่ำ เฉินผิงอันจึงเริ่มพูดเปิดใจช้าๆ “ต่อให้ทุกวันที่ข้าฝึกวิชาหมัดจะต้องร้องโหยหวน แถมยังแอบร้องไห้อยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าจะถูกท่านผู้อาวุโสต่อยจนตาย แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าก็ยังรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดในชีวิตก็คือตอนเด็ก มีครั้งหนึ่งข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพียงลำพัง ข้าจำได้อย่างชัดเจน วันนั้นแดดแรงมาก ข้าแบกตะกร้าใบใหญ่ที่สูงพอๆ กับตัวของข้า ตอนนั้นข้าโลภมาก คิดว่าเมื่อสะพายตะกร้าใบใหญ่ก็จะใส่สมุนไพรไว้ได้เยอะๆ ท่านแม่ข้าก็จะหายป่วยเร็วขึ้น แต่พอเดินไปเดินมา หนังบนไหล่พอถูกเชือกเสียดสีก็ถลอก พอถูกแดดส่อง เหงื่อไหลทับก็ยิ่งปวดแสบปวดร้อน ประเด็นสำคัญก็คือตอนนั้นข้าเพิ่งจะเดินออกจากเมืองเล็ก พอคิดว่าหากต้องเจ็บปวดแบบนี้ไปครึ่งวันหรือทั้งวัน ข้าก็เริ่มมีใจคิดอยากตายแล้ว”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด

เขาไม่ได้หัวเราะเฉินผิงอัน แต่หัวเราะเพราะนึกถึงลูกหลานสกุลชุยที่มีชีวิตสุขสบาย สวมอาภรณ์ผ้าแพร กินอาหารรสเลิศ สืบทอดตำแหน่งขุนนางกันมาทุกยุคทุกสมัย เป็นตระกูลชนชั้นสูงของแจกันสมบัติทวีป แต่เวลาที่เจ้าลูกหมาพวกนั้นฝึกหมัด เพิ่งจะฝึกยืนนิ่ง แต่ละคนก็ทำท่าเหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างรุนแรง กลับไปถึงบ้านตัวเองก็ฟ้องพ่อฟ้องแม่ หรือไม่พอถึงช่วงหน้าหนาว สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกห่อตัวเหมือนบะจ่าง พอต้องไปนั่งเรียนคาบเช้ากลับรู้สึกว่าตัวเองเจอกับความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ถึงคืนวันสิ้นปีก็ดีแต่จะออดอ้อนขอเงินอั่งเปาจากผู้อาวุโสในบ้านซองใหญ่ๆ ผู้เฒ่าเห็นแล้วขัดหูขัดตา แต่พวกพี่ๆ น้องๆ วัยเดียวกันกับเขากลับติดกับ ถึงได้พูดกันอย่างไรล่ะว่าเด็กที่ร้องไห้เป็นมักจะมีลูกอมให้กิน

เฉินผิงอันพูดต่อ “ครั้งที่สองคือความหิวโหย ข้าวสารในบ้านเหลือก้นถังแล้ว ของที่ขายได้ก็เอาไปขายหมดแล้ว หิวมาทั้งวัน แต่ก็หน้าบางเกินกว่าจะไปขอร้องคนอื่น จึงเดินไปเดินมาอยู่ในตรอก คิดว่าหากมีใครมาทักข้า ถามข้าว่าอยากกินข้าวไหม ข้าก็จะถือโอกาสไปกินด้วย หน้าหนาวปีนั้นหนาวมากจริงๆ นะ ช่วงฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิยังไม่เป็นอะไร เพราะต่อให้บ้านจะยากจนแค่ไหน มีเสื้อผ้าน้อยก็ไม่เป็นไร อีกอย่างยังสามารถขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหาเงินมาได้ ทุกครั้งที่เก็บสมุนไพรก็ยังเก็บเอาผักป่า ผลไม้ป่าติดมือกลับบ้านมาด้วย หรือไม่ก็ไปขอยืมค้อนเหล็กจากเพื่อนบ้าน เอาไปตีหินในแม่น้ำ ปลาน้อยที่ซ่อนอยู่ใต้หินก็จะถูกแรงสะเทือนมึนงงจนลอยขึ้นมาให้จับ กลับบ้านเอามาตากบนกำแพง ไม่ต้องทาน้ำมันหรือโรยเกลือ แค่ตากให้แห้งก็กินได้แล้ว แถมอร่อยด้วย แต่นั่นเป็นหน้าหนาว ช่วยไม่ได้จริงๆ หากไม่ไปขอคนอื่นก็ต้องหิวตาย จะทำอย่างไรดี ตอนแรกยังหน้าบาง พร่ำบอกกับตัวเองว่า เฉินผิงอัน เจ้ารับปากท่านแม่แล้วว่าวันหน้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี แต่นี่พ่อแม่เพิ่งจะจากไปได้แค่ปีเดียวจะทำตัวไม่ต่างจากขอทานได้อย่างไร? ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงนอนอยู่บนเตียง คิดว่าทนเอาหน่อยเดี๋ยวความหิวก็จะหายไป ไหนเลยจะรู้ว่าหิวก็คือหิว ไม่มีหรอกที่หิวแล้วจะหมดสติ กลับกลายเป็นว่ายิ่งหิวก็ยิ่งมีสติแจ่มชัด ช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากบ้าน เริ่มไปเดินเตร่อยู่ในซอยอีกรอบ มีหลายครั้งที่อยากจะเคาะประตู แต่ก็หดมือกลับไปเหมือนเดิม ให้ตายก็เปิดปากพูดขอร้องใครไม่ได้ ภายหลังข้าจึงบอกกับตัวเองว่า จะเดินจากหน้าตรอกไปถึงท้ายตรอกหนีผิงเป็นครั้งสุดท้าย หากยังไม่มีใครเปิดประตูมาพูดกับข้าว่า ผิงอันน้อย ดึกขนาดนี้แล้วกินข้าวหรือยัง ถ้ายังไม่กินก็เข้ามากินข้าวเถอะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปเคาะประตูขอร้องคนอื่นจริงๆ แล้ว เพียงแต่ข้าสาบานกับตัวเองในใจเงียบๆ ว่า โตขึ้นเมื่อไหร่ จะต้องตอบแทนคนที่ให้ข้าวข้ากินเป็นอย่างดี สุดท้ายข้าจึงเริ่มเดินจากทางฝั่งบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ผลกลับกลายเป็นว่าเดินไปถึงปลายอีกฝั่งที่เป็นบ้านของกู้ช่านก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ พูดอย่างไม่คิดจะเห็นใจกันแม้แต่น้อย “ยังไงล่ะ สุดท้ายไปเคาะประตูบ้านของใครเข้า? เขายอมเปิดรับเจ้าให้เข้าไปกินข้าวที่บ้านไหม?”

เฉินผิงอันกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้ากลับไม่ได้ห่อเหี่ยวสักเท่าไหร่ กลับกันยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา คล้ายเพิ่งดื่มเหล้ารสเลิศที่อร่อยที่สุดเข้าไป “ข้าเลยได้แต่เดินร้องไห้กลับบ้าน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว สุดท้ายประตูบ้านด้านหลังมีเสียงแอดดังขึ้น ตอนแรกข้ายังไม่กล้าหันกลับไป แต่มีคนเอ่ยทักข้า ข้าเลยรีบปาดน้ำตา หันหน้ากลับไป เห็นว่าในมือของเพื่อนบ้านถือกระถางไฟใบหนึ่ง ก็คือกระถางไฟใบเล็กที่ผิวด้านนอกทำจากทองแดงมีหูหิ้วทำจากไม้ไผ่ถักน่ะ แบบที่สามารถหิ้วเดินไปมาได้ นางเห็นข้าแล้วก็เหมือนว่าจะแปลกใจมากเหมือนกัน”

ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “สวรรค์มีทางออกให้คนเสมอ เจ้าก็เลยได้กินข้าวอิ่มไปหนึ่งมื้อ?”

เฉินผิงอันเช็ดหน้าตัวเองอย่างแรง บนใบหน้ามีแต่น้ำตา แต่เขากลับยิ้มกว้าง “เปล่าสักหน่อย เพื่อนบ้านคนนั้นคิดแล้วก็ถามข้ายิ้มๆ ว่า ผิงอันน้อย เจ้าเข้าไปเก็บสมุนไพรในภูเขาได้ เจ้ารู้จักสมุนไพรจริงๆ หรือ? แน่นอนข้าต้องตอบว่ารู้จัก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้โม้จริงๆ สองปีนั้นข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรทุกๆ สองสามวัน จึงชินทางยิ่งกว่าเดินในตรอกหนีผิงซะอีก นางเลยยิ้ม กวักมือเรียกข้า พูดเสียงดังว่า ‘แบบนั้นก็ดีเลย ผิงอันน้อย เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า ร่างกายข้าทนความหนาวไม่ได้ จำเป็นต้องใช้สมุนไพรสองสามชนิดมาต้มเป็นยาบำรุงร่างกาย แต่คนร้านตระกูลหยางใจดำเกินไป ขายยาแพงเกินไป ข้าซื้อไม่ไหวหรอก ผิงอันน้อยหลังเริ่มฤดูใบไม้ผลิเจ้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะให้เงินเจ้า แต่ราคาอาจจะต่ำสักหน่อย’”

เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “ข้าเลยเดินไปหานาง พูดคุยตกลงกับนาง นางยื่นกระถางไฟส่งมาให้ข้า พอคุยกันเสร็จ นางเห็นว่าข้าไม่ขยับเท้าจึงถามยิ้มๆ ว่า ทำไม ยังไม่ได้กินข้าวเลยคิดจะมาหลอกกินเปล่าๆ งั้นสิ? ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะคิดรวมกับค่ายาสมุนไพร ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ให้เจ้าเข้าประตูบ้านนี้มาหรอก!”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ทอดสายตามองไปไกลๆ “หลังจากที่พ่อแม่ของข้าตายไป สายตาแบบไหนบ้างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน คนวัยเดียวกันมักจะด่าว่าข้าเป็นตัวหายนะพิฆาตให้พ่อแม่ของตัวเองตาย ต่อให้ข้าแค่มองพวกเขาเล่นว่าวอยู่ไกลๆ หรือลงน้ำไปจับปลาก็ยังถูกบางคนหยิบหินมาขว้างใส่ และยังมีผู้ใหญ่บางคนที่ชอบด่าข้าว่าลูกไม่มีพ่อ บอกว่าเด็กต่ำตมอย่างข้า ต่อให้ไปเป็นวัวเป็นม้าบ้านคนรวยเขาก็ยังรังเกียจว่าสกปรก ขัดหูขัดตาผู้คนยิ่งกว่าเศษกระเบื้องแตกๆ บนภูเขากระเบื้องเสียอีก แต่วันนั้นที่ผู้หญิงคนนั้นคุยกับข้า บอกข้าว่าต้องจ่ายเงินถึงจะกินข้าวได้ ท่านผู้อาวุโสคงไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าดีใจแค่ไหน ตอนที่เข้าไปกินข้าวในบ้านของนาง น้ำตาข้าไหลเต็มหน้าอย่างไม่เอาไหน นางจึงพูดล้อว่า โอ้โห ผิงอันน้อย ฝีมือทำอาหารของข้าดีเกินไปหรือแย่เกินไปกันแน่เนี่ย ถึงขนาดทำให้คนกินน้ำตาไหลได้? ตอนนั้นข้าได้แต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว พูดว่าอร่อย”

ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ก่อนเอ่ยเตือนว่า “ตอนนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า อันที่จริงเพื่อนบ้านคนนั้นอยากช่วยเจ้า? แต่แค่เปลี่ยนมาใช้วิธีที่ดีกว่า”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนแรกก็ไม่คิด ภายหลังบัญชีกินข้าวถูกจดไว้หลายครั้งเข้า ข้าก็เริ่มเข้าใจ”

เพื่อนบ้านคนนั้นก็คือมารดาของกู้ช่าน

ทุกครั้งที่มารดากู้ช่านทะเลาะกับคนอื่น เฉินผิงอันจะยืนดูอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่ทะเลาะกันแรงไป นางจะต้องถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งโอบล้อมรุมเข้าไปข่วนหน้าจิกผม ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันก็จะวิ่งออกไปปกป้องนาง ปล่อยให้ผู้หญิงทั้งหลายระบายความโมโหใส่ตัวเองแทนโดยไม่คิดจะตอบโต้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีเกินเหตุ

ไม่ว่าชื่อเสียงของมารดากู้ช่านในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาจะแย่แค่ไหน แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วนางก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ หากคนดีแบบนี้ เขายังไม่รู้จักคิดตอบแทน เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนแล้ว

ยกปลาหนีชิวตัวน้อยให้กู้ช่านไปตัวหนึ่งจะทำไม แล้วพอรู้ว่ามันคือโชควาสนาครั้งใหญ่แล้วจะทำไม

เฉินผิงอันไม่เคยเสียดายแม้แต่น้อย

เมื่อโลกใบนี้มอบความหวังดีให้กับตนก็ควรรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่า ไม่ว่าความโชคดีนั้นจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม

ดังนั้นตอนที่ผู้เฒ่าเหยาซึ่งถือว่าเป็นอาจารย์สอนเผาเครื่องปั้นของเขาครึ่งตัวเอ่ยประโยคนั้น เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่านั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในใต้หล้า

หากเป็นของเจ้าก็คว้าเอาไว้ให้ดี แต่หากไม่ใช่ของเจ้าก็ไม่ต้องคิดให้มากความ

ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ติดค้างเจ้า แต่หากเจ้าติดค้างคนอื่นก็อย่าทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ภายหลังเฉินผิงอันก็ยังปฏิบัติต่อหลิวเสี้ยนหยางในแบบเดียวกัน

ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรไม่เหมาะที่จะใช้เป็นแผนในระยะยาว เป็นหลิวเสี้ยนหยางที่สอนเฉินผิงอันว่าควรจะวางกับดักดักสัตว์อย่างไร ควรจะทำธนูอย่างไร ควรจะตกปลาอย่างไร พอไปเป็นช่างปั้นในเตาเผามังกรก็ยังเป็นหลิวเสี้ยนหยางซึ่งอายุมากกว่าเล็กน้อยที่คอยปกป้องเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันมีชีวิตยากลำบากตั้งแต่เด็กน้อยมาจนเป็นเด็กหนุ่ม มีชีวิตอยู่รอดจนถึงวัยที่เลี้ยงตัวเองได้ แม้เขาจะเต็มใจใช้เหตุผลกับคนอื่น แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกู้ช่านหรือหลิวเสี้ยนหยาง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของวานรย้ายภูเขาในครั้งนั้น เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะใช้เหตุผลห่าเหวอะไรทั้งนั้น ขอแค่ความสามารถมากพอ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยอมตายเพื่อสิ่งนี้

เฉินผิงอันเคยพูดกับแม่นางต่างถิ่นคนหนึ่งว่า หากวันหน้าตนเจอผู้หญิงที่ดีได้อย่างมารดาของตน ต่อให้นางจะถูกมรรคาจารย์เต๋าอะไรนั่นรังแก เขาก็จะยังม้วนแขนเสื้อพร้อมมีเรื่องเพื่อนาง จะสู้ได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เต็มใจสู้เพื่อภรรยาของตัวเองหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่งผู้หญิงที่ดีขนาดนั้นมาเป็นภรรยา แต่กลับไม่รู้จักถนอมนาง เฉินผิงอันให้รู้สึกละอายใจ

แน่นอนว่าแม่นางที่ดีแบบนั้น เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองหาเจอแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกให้นางรู้ ดังนั้นหลังจากนี้จึงต้องเดินทางท่องยุทธภพสักครั้ง

เขาจะต้องสะพายกระบี่สองเล่มที่ตัวเองแอบตั้งชื่อให้ว่า ‘กำจัดปีศาจ’ ‘ปราบมาร’ เดินไปหยุดตรงหน้านาง ปลุกความกล้าบอกกับนางดังๆ ว่า “แม่นางหนิง หนิงเหยา! ไม่ว่าเจ้าจะชอบข้าหรือไม่ ข้าก็ชอบเจ้า ชอบเจ้ามาก!”

ส่วนเรื่องที่ว่าจะโดนตบ หรือเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกต่อไป ก็ขอให้เขาบากหน้าหนาๆ ไปพูดกับนางก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

ผู้เฒ่าแย่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาจากมือเฉินผิงอัน เงยหน้ากรอกเข้าปากอึกใหญ่ แต่กลับไม่ได้โยนคืนให้เฉินผิงอันในทันที เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เหล้านี่ห่วยแตกจริงๆ เจ้าพูดต่อสิ เรื่องหยุมหยิมที่ถูกดองเก็บมานานปีก็ได้แค่คู่ควรจะเป็นกับแกล้มเหล้าชั้นเลวกานี้นี่แหละ”

เฉินผิงอันครุ่นคิด สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ “หลังผ่านหน้าหนาวปีนั้นไปได้ก็เหมือนว่าข้าจะฉลาดขึ้น หนังหน้าหนาขึ้น หากหิวจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะไปขอข้าวคนอื่นกิน จากนั้นก็จำไว้ขึ้นใจทุกครั้ง คิดว่าหลังผ่านหน้าหนาวไปแล้วก็ขึ้นเขาไปหาเงินมาคืนให้พวกเขาได้แล้ว แล้วพอมีคนแก่ใจดีบางคนเอาเสื้อผ้าเก่าๆ มามอบให้ข้า ข้าก็ไม่รู้สึกลำบากใจ ไม่พูดว่าที่บ้านไม่ขาดของอีกต่อไป แต่รับมาไว้โดยดี หลายปีนั้นข้าพยายามขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรให้ได้มากที่สุด แต่เงินที่หามาได้ก็ยังน้อยมาก เพราะว่าเรี่ยวแรงมีน้อยเกินไป แถมสมุนไพรดีๆ ที่ร้านตระกูลหยางต้องการก็หายากมาก นี่เป็นเรื่องปกติ สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ ไหนเลยจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้ข้าได้ ถูกไหม? ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนมาเป็นให้ความช่วยเหลือพวกเพื่อนบ้านแทน ตอนเช้าไปช่วยตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็กให้พวกเขา พอเป็นช่วงฤดูทำนาก็จะไปช่วย ตอนกลางคืนข้าจะต้องไปนั่งเฝ้าช่วยแย่งน้ำมาให้พวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นมาตัดช่องทางน้ำ ข้าไม่กล้าทำให้ใครเห็นโจ่งแจ้ง จำเป็นต้องไปหลบอยู่ไกลๆ รอให้พวกชายฉกรรจ์จากไปเสียก่อน ถึงได้กล้าขุดร่องดินดึงน้ำเข้ามาในนาของเพื่อนบ้าน เฝ้ารอจนน้ำเต็มในนาแล้วถึงจะเอาดินกลบกลับคืนในร่องน้ำน้อยนั่นอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้ข้ายังเคยถูกคนไล่ตีอยู่หลายครั้ง ยังดีที่ข้าอายุน้อยแต่วิ่งได้เร็ว จึงเสียเปรียบแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น”

ผู้เฒ่าไม่สวมรองเท้าดื่มเหล้าเนิบช้า ปากพูดว่าเหล้ารสชาติแย่ แต่กลับดื่มติดๆ กันไม่ขาดปาก เงี่ยหูตั้งใจฟังเรื่องเล็กน้อยในหมู่ชาวบ้านที่ผ่านมานานปีไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ผู้เฒ่ากลับไม่รำคาญใจแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันได้พูดเรื่องที่อยู่ในใจอย่างหมดเปลือกก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เขายื่นมือไปรับกาเหล้าคืน แต่กลับถูกผู้เฒ่ายกศอกตบฝ่ามือ กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “รอเดี๋ยวสิ”

ผู้เฒ่าใช้สองนิ้วคีบน้ำเต้าบรรจุเหล้า เอ่ยเนิบช้า “เฉินผิงอัน เจ้าเล่าเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ให้ข้าฟัง แล้วอยากฟังข้าผู้อาวุโสพูดถึงหลักการบนมหามรรคาที่ไม่มีประโยชน์บ้างหรือไม่? คำพูดเหล่านี้ข้าผู้อาวุโสเคยได้ยินมาตอนที่ยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์บนโลกใบนี้ เจ้าว่าสายตาของข้าผู้อาวุโสสูงแค่ไหน? สูงมากเลยใช่ไหมล่ะ แต่กระนั้นข้าก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีค่ามากพอ อยากจะลองฟังสักหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “พูดมาเลย ข้าชอบฟังคนอื่นพูดหลักการ”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน “ข้าผู้อาวุโสเคยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ได้เจอกับบัณฑิตเฒ่าที่ท่าทางสุภาพมีความรู้คนหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวตนของเขา ภายหลังพอจะเดาได้คร่าวๆ เพียงแต่ไม่เข้าใจความหวังดีของท่านผู้อาวุโส ข้าถึงได้กลายมาเป็นคนวิปลาสน่าสมเพช ตอนนั้นคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกับบัณฑิตเฒ่า อย่าเห็นว่าข้าผู้อาวุโสเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ดีแต่จะใช้หมัดตัดสินปัญหา เพราะในความเป็นจริงแล้วข้ามีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต เคยเรียนหนังสือมาก่อน เรียนมาเยอะมาก พอพูดคุยกับบัณฑิตเฒ่าถึงท้ายที่สุด ก็เลยขอคำชี้แนะจากเขาเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างที่ตัวเองคิดไม่ตก บัณฑิตเฒ่าจึงพูดถึงหลักการของเขาให้ฟังคร่าวๆ”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าหิ้วกาเหล้า เริ่มสาวเท้าออกเดินเป็นวงกลม “บัณฑิตเฒ่าคนนั้นบอกว่า พวกเรามีชีวิตอยู่ในโลกที่สับสนวุ่นวายมาก คำพูดและการกระทำของคนหลายคน ต่อให้จะเป็นบัณฑิตที่มีความรู้สูงก็ยังขัดแย้งกันเองได้ เวลาที่พวกเราพบเจอเรื่องที่ไร้เหตุผลก็ต้องอยากถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า เหตุผลในหนังสือนั้นผิดหรือไม่ หรือว่าเหตุผลเหล่านั้นกล่าวได้ไม่ชัดเจน กล่าวได้ไม่ครบถ้วน”

“ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว จะทำอย่างไรดี? พวกเราควรจะปฏิบัติต่อโลกที่มีแต่คนมือถือสากปากถือศีลอย่างไร? วิธีนั้นมี หนึ่งคือใช้ชีวิตให้เรียบง่าย หมัดของข้าแข็งมากพอ วิชากระบี่ของข้าแข็งแกร่งพอ เวทอาคมของข้าแกร่งกล้ามากพอ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้มาทำลายสิ่งที่อยากทำลาย ปัญหาที่ยุ่งยากใช้วิธีง่ายๆ แก้ไข ขอแค่ตัวข้าอารมณ์ดีก็พอ ฟ้าดินมีกฎเกณฑ์พันธนาการข้า ข้าก็มีหมัดต่อยทำลายมัน บนโลกมีมหามรรคากดทับข้า ข้าก็มีหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ต่อให้จะสาสมใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็ควรต้องคิดอย่างนี้ ยืนหยัดไม่ไหวเอน เดินมุ่งหน้าตรงไปบนเส้นทางสายนี้ คนแบบนี้นั้นมีได้ แต่ไม่สามารถเป็นแบบนี้ได้ทุกคน”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็หยุดเดิน หันมองมาทางเฉินผิงอัน เอ่ยเยาะตัวเอง “ข้าผู้อาวุโสก็คือคนประเภทนี้”

“บัณฑิตเฒ่าเอ่ยต่อว่า อีกวิธีหนึ่งก็คือใช้ชีวิตให้ฉลาด ควรจะประหยัดแรงกายแรงใจอย่างไรก็ประหยัดไป คำว่ากฎเกณฑ์มีไว้ก็เพื่อให้แหก หากบัณฑิตเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นปราชญ์ผู้ไม่ยี่หระต่อโลก หรือไม่ก็เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างสมเหตุกับสมผล เลือกสมเหตุของตัวเอง ไม่สนสมผลของโลก เป็นเหตุให้โลกที่จอแจไปด้วยผู้คนมีแต่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้แก่กัน หากสามารถเอาคำว่า ‘ผลประโยชน์’ (ลี่ 利) มาแลกเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘มารยาท’ (หลี่ 礼) ได้ โลกใบนี้จะดีสักเท่าใด?”

“วิธีสุดท้ายก็คือมีชีวิตให้น่าเบื่อ คิดปัญหาที่ซับซ้อนให้มันซับซ้อนเข้าไปอีก แยกแยะข้อยิบย่อยออกมาวิเคราะห์ จัดระเบียบอย่างละเอียด ค่อยๆ ขบคิดมันไป หากอยากจะเข้าใจเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง อาจจะต้องอ้อมไปเป็นวงใหญ่ แต่สุดท้ายก็อาจจะพบว่าต้องย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทว่ามันไม่มีประโยชน์จริงๆ น่ะหรือ? มีสิ เมื่อคิดตกแล้ว ตัวเองก็จะสบายใจมากขึ้น ก็เหมือน…ก็เหมือนกับดื่มเหล้าที่หมักมานานลงไปหนึ่งอึกซึ่งจะทำให้ทั่วร่างอุ่นร้อน รสหวานซ่านติดลิ้น”

“อันที่จริงแล้วเหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่บัณฑิตอย่างพวกเราเลื่อมใสไม่ได้ดีงามเลิศเลออย่างที่คนบนโลกคิดกัน พวกเขาเองก็ยังคงมีกิเลสของความเป็นคนหลงเหลืออยู่ แต่ความรู้และหลักการของลัทธิขงจื๊อก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น ต่อให้จะไม่เห็นด้วยกับคำที่ว่าเดิมทีมนุษย์เกิดมาพร้อมสันดานที่ดี แต่ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยก็ยังชี้นำผู้คนให้ทำความดี”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเดินวนไปวงรอบแล้วรอบเล่า สุดท้ายก็หยุดเดิน “ข้าผู้อาวุโสไม่แน่ใจว่าบัณฑิตเฒ่าผู้นั้นจะใช่คนคนนั้นหรือไม่ แต่ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู หากเป็นคนคนนั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นการที่บัณฑิตเฒ่ายอมพูดคุยเรื่องพวกนี้กับข้าด้วยใจที่สงบ ก็นับว่าไม่ง่ายเลย เพราะอย่างไรซะตอนนั้นที่ข้าผู้อาวุโสไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เพื่อสร้างความวุ่นวายในถิ่นของคนอื่นเขา”

ผู้เฒ่ายกมือขึ้นกระดกเหล้าเข้าปากคำใหญ่ ก่อนจะโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นกลับไปให้เด็กหนุ่ม แล้วหัวเราะเสียงดังไปยังทิศไกล “พเนจรทั่วสารทิศเมื่อครั้งวันวาน คำพูดห้าวเหิมทรงพลัง หากไม่ได้เอ่ยก็คงไม่สาสมใจ!”

ผู้เฒ่ายืนอยู่ริมหน้าผา ก้าวเท้าข้างหนึ่งออกไป เงยหน้ามองท้องฟ้า “เมื่อข้าเดินอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ ดวงตะวันสาดแสงแรงกล้า ดวงจันทราส่องสว่างกลางนภา ต้องถามข้าสักคำว่า ฟ้าดินนี้สว่างเจิดจ้ามากพอหรือไม่?”

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมาถามยิ้มๆ “เฉินผิงอัน! เจ้าคิดว่าพอหรือไม่?!”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงกำลังจะดื่มเหล้า พอได้ยินคำถามก็ได้แต่เงยหน้าขึ้น ตอบอย่างมึนงง “ยังไม่ค่อยพอ?”

ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง ชี้นิ้วไปยังทิศไกล “เมื่อข้าเดินอยู่บนยุทธภพ แม่น้ำโหมกระหน่ำ ลูกคลื่นโถมซัดสาด ต้องถามข้าสักคำว่า น้ำในแม่น้ำและลำคลอง (เขียนคำเดียวกับคำว่ายุทธภพ) มากพอให้ข้าดับกระหายหรือไม่?”

เฉินผิงอันรีบฉวยจังหวะช่วงที่ว่างกระดกเหล้าขึ้นดื่ม พอได้ยินคำพูดที่กล้าอย่างห้าวเหิมของผู้เฒ่าแล้ว เขาก็เกิดฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน มือหนึ่งถือน้ำเต้าบรรจุเหล้า อีกมือหนึ่งกำหมัดวางไว้บนหัวเข่า ตะโกนเสียงดังเหมือนเป็นลูกคู่ “ไม่พอ!”

ผู้เฒ่ากล่าวอีกว่า “เมื่อข้าเดินไปบนยอดเขา หอเรือนตระหง่านเสียดฟ้า ทะเลเมฆบรรจบพบเทพเซียน ต้องถามข้าสักคำว่า ลมกรดเหนือยอดเขาเย็นพอหรือไม่?”

เฉินผิงอันที่ใบหน้าแดงก่ำดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ อาศัยฤทธิ์สุราร้อนแรงที่ช่วยให้คึกคัก หัวเราะเสียงดังสนั่นด้วยใบหน้าเปล่งประกายแช่มชื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่พอๆ ! อยู่ไกลเกินกว่าจะพอ! เหล้าไม่พอ น้ำในแม่น้ำไม่พอ ลมในภูเขาไม่พอ! ไม่พอทั้งหมดเลย!”

ทางฝั่งเรือนไม้ไผ่ เด็กน้อยสองคนหันมามองหน้ากัน

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูค่อนข้างจะเป็นห่วงนายท่านของตัวเองไม่น้อย ไม่ใช่ว่านายท่านของนางจะกลายเป็นผีขี้เหล้าไปหรอกนะ?

เด็กชายชุดเขียวกลับบ่นพึมในใจ นายท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? หรือว่าฝึกหมัดจนโง่ไปแล้ว? หึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องมานะฝึกตนอีกแล้วใช่หรือเปล่า? ไม่งั้นแอบอู้สักสองสามวันดีไหม?

สุดท้ายของท้ายสุด เฉินผิงอันที่เมามายก็ล้มตึงหงายหลังไปพร้อมกับเก้าอี้

นับแต่นั้นมายุทธภพในโลกมนุษย์ก็มีเด็กหนุ่มผีขี้เหล้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version