บทที่ 204 คนรู้จักมาส่งกระบี่ให้
นักพรตหนุ่มที่จากไปแล้วย้อนกลับมา บุรุษที่ทำให้สาวแก่แม่หม้ายมากมายในเมืองเล็กคิดถึงพะวงหาเริ่มกลับมาตั้งแผงที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าตอนนี้เมืองเล็กคึกคักผิดไปจากเดิม ข้างๆ ร้านเขาจึงมีคนอาชีพเดียวกันมาแย่งลูกค้า อีกฝ่ายสวมชุดเต๋าใหม่เอี่ยมอ่อง อายุประมาณเจ็ดสิบปี แต่ใบหน้ากลับอิ่มเอิบแดงปลั่ง เปี่ยมไปด้วยมาดของเซียน
แค่ผู้เฒ่านั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวใหญ่ก็มีกลิ่นอายของเทพเซียนโชยมาปะทะใบหน้า บนโต๊ะวางกระบอกเซียมซีขนาดใหญ่ที่วาววับเป็นมัน ด้านในบรรจุไม้เสี่ยงเซียมซีที่ตัดเท่ากันเป็นระเบียบงดงาม ข้างโต๊ะปักธงผ้าต่วนหรูหราดูมีระดับ บนธงเขียนกลอนคู่ว่า ‘รู้หลักหยินหยางกระจ่างศาสตร์ผังแปดทิศ เข้าใจอักษรสวรรค์แจ่งชัดหลักแห่งแผ่นดิน เพียงเซียมซีหนึ่งอันก็ช่วยสะเดาะเคราะห์ขจัดภัย ทั้งยังได้สั่งสมบุญคุณความดี แค่เสียเงินไม่กี่อีแปะ’
แผงดูดวงแผงนี้กิจการรุ่งโรจน์เฟื่องฟูมาก ชาวบ้านในเมืองเล็กพากันมาทำนายดวงไม่ขาดสาย ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่นมาก บอกเล่ากันไปปากต่อปาก บวกกับที่หมอดูคนใหม่มาในช่วงจังหวะที่ดี ตอนนี้คนในเขตการปกครองหลงเฉวียนเคยได้เห็นและได้ยินมากับตาตัวเอง จึงแน่ใจว่าบนโลกมีเทพเซียนอยู่จริงๆ จึงยิ่งศรัทธามากขึ้น แม้จะบอกว่าเสี่ยงเซียมซีหนึ่งชิ้นจ่ายเงินแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ต่อให้เป็นครอบครัวที่ยากจนแค่ไหนก็ยังเต็มใจควักเหรียญทองแดงกำใหญ่ หวังได้แตะกลิ่นอายมงคลของเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้
กิจการของนักพรตหนุ่มกลับซบเซายิ่ง เงียบเหงาไร้ผู้คนอย่างแท้จริง ตอนที่เขาจัดตั้งแผงก็มีนกขมิ้นตัวหนึ่งบินฉิวเข้ามาหาแต่ไกล หลังจากบินวนหนึ่งรอบก็จากไป นักพรตหนุ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย มองไปยังพวกเด็กสาวด้วยสายตาน่าสงสาร ล้วนเป็นใบหน้าที่เคยพูดคุยกันอย่างถูกคอ ทว่ากลุ่มเด็กสาวที่มาเพราะได้ยินข่าวเรื่องของเขา ส่วนใหญ่กลับจับกลุ่มกันสองสามคน เอียงหูกระซิบกระซาบกันเบาๆ ยิ่งเห็นสภาพยากแค้นของนักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา พวกนางกลับยิ่งอารมณ์ดี
นี่ทำให้นักพรตหนุ่มเสียใจเล็กน้อย สุดท้ายด้วยความเบื่อหน่าย เห็นว่าร้านด้านข้างไม่ได้มีคนมาดูดวงจึงแบกหน้าหนาๆ ของตนย้ายเก้าอี้ไปนั่งใกล้ แม้ว่าใบหน้าของนักพรตเฒ่าจะเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงตรง สายตามองไปเบื้องหน้าไม่หลุกหลิก แต่อันที่จริงในใจกลับเสียววาบ หมัดของคนหนุ่มแข็งแกร่งที่สุด หากจะลงไม้ลงมือเพราะเรื่องแย่งลูกค้ากันขึ้นมาจริงๆ ตนที่แก่ชราเรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมีคงทนรับการประเคนหมัดจากเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ไม่ไหว หมอดูเฒ่าเรียนวิชาการดูดวงมาอย่างผิวเผิน แต่เชี่ยวชาญการใช้ฝีปากทะเลาะกับคนยิ่ง ต่อหากต้องต่อยตีกับใครขึ้นมาจริงๆ ก็รับรองได้ว่าเขาจะเป็นคนคุกเข่าขอร้องอีกฝ่ายเอง
หลังจากนั่งลงแล้ว นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวก็ยิ้มตาหยี ไม่พูดไม่จา
หางตาของนักพรตเฒ่าเหลือบไปเห็นกวานดอกบัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แจกันสมบัติทวีปของพวกเขากับทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แห่งนั้น นอกจากอารามเต๋าขนาดใหญ่ที่มีไม่กี่แห่งแล้ว นักพรตเต๋าแต่ละสายทั้งบนและล่างภูเขาก็ล้วนสวมกวานหางปลาเหมือนกันหมด ข้อนี้จะทำตามใจชอบไม่ได้ เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ของระบบลัทธิเต๋า แล้วใครเล่าจะกล้าสวมใส่มั่วซั่ว? ไม่ต้องให้ทางอารามเต๋าออกหน้าก็ถูกทางการจับเข้าคุกไปกินข้าวแดงก่อนแล้ว
นักพรตเฒ่าจึงมั่นใจถึงแปดเก้าส่วนว่าชายหนุ่มผู้นี้คือนกน้อยหัดบินที่ไม่เข้าใจแม้แต่กฎเกณฑ์พื้นฐาน แค่ได้ยินได้ฟังมาอย่างผิวเผินก็เอากวานเต๋าหัวมังกุฎท้ายมังกรนี้มาสวม ไม่แน่ว่าอาจจะยังลำพองใจ นึกว่าตัวเองเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ แตกต่างไปจากคนอื่น นักพรตเฒ่าคำนวณระยะห่างระหว่างแผงดูดวงกับที่ว่าการอำเภอแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง กลิ่นอายทั่วร่างจึงเปลี่ยนไปในฉับพลัน ดวงตาสาดประกายคมกล้า เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนมาใช้มาดของยอดฝีมือนอกโลกจ้องเป๋งไปยังนักพรตหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางเช่นนี้ของเขาข่มขู่คนให้กลัวได้ดียิ่ง
และนักพรตหนุ่มก็เผยสีหน้ากระวนกระวายไม่เป็นสุขออกมาจริงๆ “ท่านเซียนผู้เฒ่า หรือว่าแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าการเดินทางไกลครั้งนี้ของข้านักพรตน้อยไม่ราบรื่น?”
แม่งเอ๊ย ดันมาเจอกับพวกไร้ไหวพริบ แต่แบบนี้ก็ดี เพราะหากเป็นพวกมุทะลุจะไม่ส่งผลดีกับตน อาศัยคารมคมคายของตน รับรองว่าแค่สามประโยคก็จัดการกับเด็กรุ่นหลังที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการเดียวกันนี้ได้อยู่หมัดแล้ว
นักพรตเฒ่าแอบอารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง ในใจคิดว่ากิจการของเจ้าที่มาตั้งอยู่ข้างร้านข้าจะราบรื่นได้รึไง?
ผู้เฒ่าแสร้งพูดอย่างลึกลับ “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง ดึงเซียมซีมาหนึ่งชิ้นเถอะ ไม่เก็บเงิน ข้าจะดูให้เจ้าเปล่าๆ”
นักพรตหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านเซียนผู้เฒ่า ก็แค่มาคุยด้วยเท่านั้น พบเจอกันโดยบังเอิญก็ถือว่ามีวาสนาต่อกันนี่นา…”
ปากของนักพรตหนุ่มพูดไปตามมารยาท แต่กลับค้อมเอวโน้มตัวไปด้านหน้ายื่นมือเตรียมจะไปหยิบเซียมซีอยู่นานแล้ว
นักพรตเฒ่าเลิกคิ้ว กดมือลงบนกระบอกเซียมซี นักพรตหนุ่มดึงมือกลับอย่างขลาดๆ แล้วโบกมือเบาๆ พลางพูดประจบ “ฮ่าๆ นักพรตน้อยเห็นว่ากระบอกเซียมซีของท่านเซียนผู้เฒ่ามีฝุ่นเกาะอยู่เล็กน้อย เลยจะช่วยปัดให้”
นักพรตเฒ่าหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม ท่าทางนั้นชัดเจนว่าเตรียมจะไล่แขกแล้ว
เพราะห่างไปไม่ไกลมีสตรีแต่งงานแล้วพาเด็กน้อยคนหนึ่งเดินตรงมาที่แผง การค้ามาเยือนถึงที่ นักพรตเฒ่าหรือจะยังมีเวลามาเสียเปล่าไปกับคนร่วมอาชีพกะโหลกกะลาคนหนึ่ง
นักพรตหนุ่มได้แต่ลุกขึ้นกลับไปที่แผงของตัวเองแต่โดยดี เขายกมือสองข้างซ้อนกันไว้ที่ท้ายทอย เอนตัวไปด้านหลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม
ห่างออกไปไกลมีชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่งพาเด็กหนุ่มคิ้วยาวเดินมาช้าๆ ก่อนหน้านี้เพียงแค่เด็กหนุ่มได้ยินท่านบรรพบุรุษของตัวเองพูดถึง ‘นายท่านผู้เฒ่าของสายเขา’ ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มคิ้วยาวตระกูลเซี่ยที่ปณิธานกว้างไกลกว่าคนปกติทั่วไปก็ยังใจเต้นกระหน่ำไม่หยุด คิดเพียงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลนที่สามารถขี่เมฆบินทะยาน ไม่แน่ว่าด้านหลังอาจจะมีสัตว์วิเศษอะไรติดตามมาด้วย หากไม่ใช่กระเรียนเซียนก็ต้องเป็นเจียวหลง สรุปคือต้องเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่กลิ่นอายแห่งเซียนพุ่งทะยานไปยันชั้นฟ้าแน่นอน
ทว่าพอเด็กหนุ่มคิ้วยาวได้เห็นใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์นั้น เขาก็อึ้งงันไปทันที
นักพรตหนุ่มไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับชาวบ้านในเมืองเล็ก เพราะเขาช่วยคำนวณดวงให้กับคนตัดฟืน ช่างปั้นเครื่องปั้น ช่วยดูดวงให้กับเด็กสาวหรือสตรีที่ออกเรือนแล้ว ช่วยเขียนจดหมายให้คนอื่น ไม่ว่าอะไรก็ทำทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลอะไรที่มีให้กินให้ดื่ม นักพรตหนุ่มก็ไม่เคยพลาด ทุกครั้งหลังจากช่วยท่องประโยคมงคลแสดงความยินดีสองสามคำแล้วก็จะเริ่มกินข้าวชามโต กินเนื้อชามใหญ่ ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ ความกินจุของเขาไม่เป็นรองชายฉกรรจ์ที่ทำงานแบกหามเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดทำให้เจ้าภาพเสียดายเงินค่าอาหารได้
มารดาของเด็กหนุ่มคิ้วยาว หรือก็คือสตรีผู้เป็นประมุขตระกูลเซี่ยที่มีความรู้มีมารยาทผู้นั้น นางเคยพาเด็กหนุ่มมาทำนายดวง จับได้เซียมซีดี อีกฝ่ายก็กล่าวด้วยวาจาดีๆ ที่ไม่เป็นจริงแม้แต่เรื่องเดียว ทำเอามารดาของเขาปลาบปลื้มจนต้องเบี่ยงหน้าไปเช็ดน้ำตา ผลกลับกลายเป็นว่านักพรตหนุ่มผู้นี้ได้คืบจะเอาศอก บอกว่าจะดูลายมือให้มารดาของเขา สีหน้านั้นกลิ้งกลอกปลิ้นปล้อน เด็กหนุ่มคิ้วยาวโมโหเดือดจึงลากมารดากลับบ้าน ในใจคิดว่าคนอะไรช่างหน้าด้านไร้ยางอายนัก ดึงมือมารดาจากไปแล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มยังไม่ลืมหันกลับมาถลึงตาใส่นักพรตหนุ่มอย่างดุดันด้วย
เซี่ยสือทำท่าจะคารวะอย่างนอบน้อม นักพรตหนุ่มกลับส่ายหน้าน้อยๆ ยื่นมือมาทำท่ากดลงสองทีบอกให้เซี่ยสือนั่งลง เซี่ยสือจึงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวแต่โดยดี เด็กหนุ่มคิ้วยาวกลืนน้ำลาย ยืนอยู่ข้างกายเซี่ยสือ ก้มหน้าลง ในสมองเหลวปวกเปียกคิดอะไรไม่ออก
นักพรตเฒ่าปรายตามามองแล้วเห็นว่ามีคนมาที่ร้านข้างๆ เขาก็เกือบจะกลอกตามองบน นี่ยังมีคนตาบอดถึงขนาดไปขอดูดวงกับเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นั้นด้วยหรือ? แบบนี้ไม่เท่ากับย่ำยีเงินในกระเป๋าของตัวเองหรือไร?
เซี่ยสือไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร เจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีปที่ตำแหน่งเทียนจวินมาจ่อรออยู่ตรงหน้า เวลานี้กลับกระวนกระวายนั่งไม่เป็นสุข
นักพรตหนุ่มไม่สนใจเซี่ยสือ เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มคิ้วยาวที่ก้มหน้าแล้วเอ่ยเย้า “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ เซียมซีชิ้นนั้นของเจ้าเป็นของจริงแท้แน่นอน ข้าไม่เคยหลอกลวงเด็กและคนชรา”
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เขาอยากจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้อีกฝ่าย แต่กลับคุกเข่าลงไปไม่ได้
นักพรตหนุ่มที่บอกกับเฉินผิงอันว่าตัวเองแซ่ลู่ชื่อเฉินพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องตื่นเต้นไป วันนั้นเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไม่มีเหตุผลให้ต้องร้อนตัว ทำไม เพียงแค่เพราะว่าศักดิ์ของข้าสูงกว่าบรรพบุรุษของเจ้าเล็กน้อย เจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดแล้วรึ? ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ต้องมีเรื่องให้กลุ้มไปตลอดนั่นแหละ เพราะยิ่งเดินขึ้นไปบนภูเขา ยิ่งเห็นใครก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิด ทั้งลำบากตัวเอง แถมยังสิ้นเปลืองเซียมซีดีของข้าผู้เป็นนักพรตไปหนึ่งชิ้นอีกด้วย”
เวลาอยู่ต่อหน้าตนเด็กหนุ่มเป็นเด็กที่คล่องแคล่วรู้ประสามาโดยตลอด ทำไมพอมาถึงช่วงเวลาสำคัญกลับแสดงความขลาดกลัวออกมา นี่ทำให้เซี่ยสืออารมณ์เสีย กำลังจะตวาดสั่งสอนกลับถูกนักพรตหนุ่มถลึงตาใส่ เซี่ยสือตกใจรีบหุบปากฉับ เงียบกริบเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
เซี่ยสือหัวเราะเจื่อนๆ อยู่ในใจ ที่แท้เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มคิ้วยาวแล้ว ตนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
ลู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดจะเก็บไว้ขัดเกลาข้างกายจริงๆ รึ?”
เซี่ยสือนั่งตัวตรงอย่างสำรวม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใช้วิชาอภินิหารปรับจิตใจของตน ไม่ให้มีท่าทางหวาดหวั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก แล้วจึงตอบว่า “อยู่ภายใต้ร่มเงาบรรพบุรุษช่วยปกป้อง เป็นทั้งโชควาสนา แต่ก็เป็นทั้งเรื่องร้ายเช่นกัน เพราะต้นไม้สูงต้นที่สองยากจะเติบโต”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”
จากนั้นลู่เฉินก็ลูบคลำปลายคาง จุ๊ปากพูดยิ้มๆ “กลับไปข้าผู้เป็นนักพรตสามารถเอาประโยคนี้ไปพูดกับท่านอาจารย์ได้ ท่านผู้เฒ่าจะได้ไม่ต้องเอาแต่บ่นว่าคนเป็นลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว เพราะอย่างน้อยคนเป็นอาจารย์ก็มีความผิดครึ่งหนึ่งเหมือนกัน”
จิตใจที่ยากนักกว่าจะกลับคืนมามั่นคงได้ของเซี่ยสือพลันยุ่งเหยิงอลหม่าน ได้แต่ทำหน้าม่อยพูดอะไรไม่ออก
ยังคิดจะเป็นเทียนจวิน เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งเจินเหรินก็ยังรักษาไว้ไม่อยู่กระมัง?
อาจารย์ผู้เฒ่าของตนย่อมไม่มีทางโมโหโกรธาเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ แต่ใครเล่าที่ไม่รู้จักนิสัยยากจะคาดเดาของศิษย์พี่รองของนายท่านผู้เฒ่า…
หากท่านผู้นั้นมีโทสะขึ้นมา ใครจะต้านรับได้ไหว?
ลู่เฉินกวักมือเรียกเด็กหนุ่มคิ้วยาว “มาๆๆ มาช่วยดูแผงให้ข้าหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตจะไปเดินเล่น ไปหาคนรู้จักสักหน่อย”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวหรือจะกล้าเป็นนกพิราบครอบครองรังของนกกางเขน เดินไปนั่งแทนตำแหน่งของอีกฝ่ายจริงๆ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมขยับเท้า
เซี่ยสือรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขากลัวจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคิ้วยาวจะโง่ถึงขนาดไปนั่งแปะบนเก้าอี้ตัวนั้น
ลู่เฉินเองก็ไม่ถือสา กำชับเซี่ยสือที่รีบร้อนลุกขึ้นยืนว่า “คนอื่นๆ ข้าคงไม่พบแล้ว เจ้าไปบอกกับพวกเขาว่าอย่าเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของคนอื่น ช่วงนี้ข้าผู้เป็นนักพรตอารมณ์ไม่ใคร่จะดี กลัวว่าถึงเวลานั้นจะยั้งมือไม่ทัน หึหึ…อีกอย่างนะ หากวันหน้าข้าผู้เป็นนักพรตอยากเจอกับหลานชายของเจ้าก็ไม่ต้องให้เจ้าพามา ต่อให้เขาจะไปหลบอยู่ใต้พื้นที่มงคล ข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังเจอเขาได้อยู่ดี ถูกไหม ดังนั้นอย่าให้มีคราวหน้าอีก”
เซี่ยสือพยักหน้ากดเสียงแผ่วต่ำ “รับคำบัญชา!”
ลู่เฉินกระแอมหนึ่งที ยิ้มตาหยีถามว่า “แล้วมารดาของเด็กคนนี้ล่ะ มีธุระอะไรหรือถึงไม่มาด้วย? คราวก่อนยังไม่ทันได้ดูลายมือให้นางเลยนะ”
เซี่ยสือที่เพิ่งได้พบกับ ‘นายท่านผู้เฒ่าสายของตน’ เป็นครั้งแรกถึงกับอ้ำอึ้ง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ที่แท้คำเล่าลือที่พวกเทียนจวิน พวกเจินเหรินทั้งหลายแอบพูดกันก็แม่งไม่เป็นความจริงเลย!
เด็กหนุ่มคิ้วยาวอึ้งค้างไปอย่างสิ้นเชิง
ลู่เฉินเดินอาดๆ จากไป ตอนที่ผ่านร้านข้างๆ ยังกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา “ท่านเซียนผู้เฒ่ายุ่งจริงๆ เลยนะเนี่ย”
นักพรตเฒ่าผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับสบถด่า รีบไสหัวไปเถอะ!
ลู่เฉินเดินเตร่ไปตลอดทาง จนกระทั่งก้าวเข้าไปในตรอกหนีผิง ตอนที่ผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ประตูใหญ่ปิดสนิท เฉาซีเซียนกระบี่พสุธาแห่งนาตยทวีปที่อยู่ในบ้านหันมาคารวะเขาเงียบๆ จิ้งจอกสีแดงเพลิงนอนหมอบอยู่บนพื้นทั้งตัว แม้ว่าร่างจะสั่นสะท้าน แต่นี่ก็เป็นท่าทางที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพเลื่อมใส
ลู่เฉินไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาเดินตรงดิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วกระโดดตัวขึ้นสูงชะเง้อมองภาพเหตุการณ์ภายในลานบ้านหลังนั้น
เด็กสาวบ้านข้างๆ ที่กำลังนั่งอาบแดดอยู่ในลานบ้านลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
ลู่เฉินย้ายเส้นสายตามามองนาง ชี้นิ้วเข้าที่จมูกตัวเอง หัวเราะร่าพลางเอ่ยว่า “แม่นาง เจ้าจำนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าไม่ได้แล้วหรือ? เมื่อปีก่อนข้าเคยอยู่ที่นี่ พวกเรารู้จักกันนะ อีกอย่าง เจ้ากับนายน้อยของเจ้ายังเคยไปดูดวงที่แผงของข้า จำไม่ได้แล้วหรือ?”
เด็กสาวแสร้งทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้!”
ลู่เฉินเดินมาหยุดอยู่นอกกำแพงบ้านของเฉินผิงอัน เขย่งเท้าฟุบตัวบนหัวกำแพง สูดจมูกดมกลิ่นแรงๆ “แม่นางกำลังหุงข้าวหรือ หอมจริง ขนาดข้ายืนอยู่ตรงนี้ยังได้กลิ่นหอมของข้าวเลย”
จื้อกุยยังคงส่ายหน้าด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เปล่าสักหน่อย”
ลู่เฉินยิ้ม เอียงศีรษะน้อยๆ ยื่นนิ้วชี้หน้าเด็กสาว “จมูกของข้าผู้เป็นนักพรตดีนักล่ะ แม่นางเจ้าโกหกข้าไม่ได้หรอก”
เด็กสาวร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเดินไปที่ห้องครัว คีบเอาฟืนทั้งหมดที่อยู่ในเตาดินออกมา เตาดินที่เดิมทีกำลังมีไฟเดือดปะทุมอดดับทันใด ข้าวในหม้อกลายเป็นข้าวกึ่งดิบกึ่งสุก
เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว ปัดมือถามว่า “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
ลู่เฉินยกนิ้วโป้งให้นาง “เจ้ามันร้ายกาจ!”
เด็กสาวไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยถามว่า “เจ้ามาหาเฉินผิงอัน? มีเรื่องอะไร? ข้าช่วยนำความไปบอกเขาได้”
ลู่เฉินยิ้ม “ข้าไปหาเขาเองดีกว่า ไม่กล้ารบกวนแม่นาง หาไม่แล้วข้าผู้เป็นนักพรตก็กลัวว่าพรุ่งนี้จะตั้งแผงต่อไม่ได้อีก”
จื้อกุยกล่าว “ว่ามาเถอะ ข้าสนิทกับเฉินผิงอันมาก”
กล่าวประโยคนี้จบ นางก็ชี้ไปที่ตัวอักษรฝูซึ่งติดไว้หน้าประตูบ้าน “เจ้าเห็นนั่นไหม เหมือนกับที่บ้านเขาเป๊ะ เฉินผิงอันมอบให้ข้าเอง”
แม่นางน้อย ไม่มีใครเขาโกหกหน้าตาเฉยอย่างเจ้าหรอกนะ คิดว่าข้าผู้เป็นนักพรตทำนายไม่เป็นจริงๆ หรือไง
ลู่เฉินมุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมปีนั้นฉีจิ้งชุนถึงทนกับนังหนูคนนี้ได้ แถมยังเต็มใจปกป้องนางอย่างเต็มกำลังของตัวเอง
ลู่เฉินถอนหายใจ “อันที่จริงวันนี้ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้มาหาเฉินผิงอัน แต่มาหาเจ้า หวังจู”
จื้อกุยมองนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แม้ว่าคุณชายของข้าจะไม่อยู่ในเมืองเล็กชั่วคราว แต่หากเจ้ากล้ารังแกข้า เฉินผิงอันก็จะช่วยแก้แค้นให้ข้า อีกอย่าง ข้ารู้จักฉีจิ้งชุน เขาเป็นถึงอริยะลัทธิขงจื๊อ เจ้าไม่กลัวว่าเขาที่ตายไปแล้ว จู่ๆ จะฟื้นคืนชีพกลับมาเล่นงานเจ้าให้ตายหรือ?”
ลู่เฉินยกสองมือขยี้แก้มตัวเอง กล่าวอย่างระอาใจ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเฉินผิงอันจะช่วยเจ้าแก้แค้นหรือไม่ เอาแค่ฉีจิ้งชุนที่ตายไปก็คือตายไปแล้วจริงๆ ไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาอีก”
จื้อกุยเลิกคิ้วที่เรียวเหมือนกิ่งหลิวขึ้นเบาๆ
ประหนึ่งกิ่งหลิวและกิ่งหยางที่พลิ้วไหวไปตามลมฤดูใบไม้ผลิ
ลู่เฉินวางสองมือไว้บนหัวกำแพงอีกครั้ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หวังจู ข้าผู้เป็นนักพรตมีโชควาสอย่างหนึ่งจะมอบให้เจ้า เจ้ากล้ารับไว้หรือไม่?”
ชายแขนเสื้อคลุมเต๋าสีเขียวสองข้างทาบทับอยู่บนกำแพงดินเหลืองอย่างนุ่มนวล
ประหนึ่งมังกรขดตัวพยัคฆ์นอนหมอบ
จื้อกุยยกมือสองข้างกอดอกคล้ายกำลังปกป้องตัวเอง นางแค่นเสียงเย็น “บ้ากาม ไร้ยางอาย อันธพาล คนเสเพล!”
ลู่เฉินดึงมือกลับมากุมท้องหัวเราะก๊าก
หวนนึกถึงในอดีตเมื่อปีนั้น บนโลกยังมีมังกรที่แท้จริงอยู่มากมาย เมื่อแบ่งรางวัลตามคุณงามความชอบเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ไปรับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบ หนองบึง แม่น้ำและมหาสมุทรทั้งหมดที่มีทั่วหล้า หนึ่งในนั้นคือมังกรตัวเมียตัวหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด สถานะของนางสูงส่งจนไม่อาจหาคำมาบรรยาย นางหลงรักตนมากแค่ไหน? และในสายตาของคนในโลก ตนนั้นไร้หัวใจถึงเพียงใด?
นักพรตหนุ่มหัวเราะจนแทบน้ำตาไหล
ต่อให้มหามรรคาจะกว้างใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีที่ว่างสำหรับความรักชายหญิง
คำว่าอิจฉาแค่ยวนยาง (เป็ดที่เป็นสัญลักษณ์ถึงคู่รัก) ไม่อิจฉาเซียน ในตำรามี บนภูเขามี แต่บนยอดเขาไม่มี
ลู่เฉินมองเด็กสาวตรงหน้าที่เดิมทีไม่ควรปรากฏตัวบนโลกใบนี้ จำได้ว่าตอนนั้นตนเคยถามอาจารย์ว่า ในเมื่อตาข่ายฟ้าตาถี่แน่นหนาไร้ช่องโหว่ แล้วเหตุใดถ้ำสวรรค์หลีจูถึงดำรงอยู่ได้
ผู้เฒ่าเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยสองประโยค
“แน่นหนาไร้ช่องโหว่ก็คือปมของปัญหา ปฏิบัติตามกฎแห่งสวรรค์ กลับไม่มีที่มากพอให้หยัดยืน จึงเป็นเหตุให้พังทลาย”
“มหามรรคาห้าสิบ แตกแขนงได้สี่สิบเก้า หนึ่งในนั้นหลบหายไป หนึ่งก่อเกิดหมื่นสรรพสิ่ง”
ตอนนั้นผู้เฒ่านั่งยองอยู่ข้างสระดอกบัวของถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา วักน้ำขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วสาดลงไปบนใบบัวใบหนึ่งที่เอียงลู่ลงเล็กน้อย น้ำที่สาดจากที่สูงไหลลงต่ำ ค่อยๆ แบ่งเป็นสายแยกย้ายกันไป สุดท้ายล้วนกลับคืนสู่บ่อน้ำทั้งหมด
จากนั้นผู้เฒ่าก็ชูฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูงหันมาทางลู่เฉิน ที่แท้กลางฝ่ามือของเขายังมีหยดน้ำอยู่อีกหนึ่งหยด เมื่อฝ่ามือเอียงลงมา หยดน้ำก็เริ่มไหลช้าๆ ไปตามเส้นลายมือ บิดๆ เบี้ยวๆ แยกไปตามรอยตัดอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่หยุดชะงักก็จะมีการเปลี่ยนทิศทาง หมายความว่าได้เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างกัน หากเปลี่ยนหยดน้ำที่ไม่สะดุดตาหยดนั้นมาเป็นใครบางคนที่เดินอยู่ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็จะหมายความว่าเขาได้กลายมาเป็นคนที่แตกต่างกันไป
แตกต่างเพียงหนึ่งความคิด แตกต่างเพียงหนึ่งก้าวก็ก่อกำเนิดสามลัทธิร้อยสำนัก มีแม่ทัพ มีอัครเสนาบดี มีพ่อค้า มีกรรมกร
ลู่เฉินเก็บความคิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตลงไป นักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่นอกกำแพงคลี่ยิ้มให้กับเด็กสาวที่อยู่ด้านในของกำแพง “โชควาสนาที่ข้าผู้เป็นนักพรตจะมอบให้เจ้า เจ้าไม่ต้องการก็ต้องรับไว้”
เด็กสาวแค่นเสียงเย็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
ลู่เฉินถามกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
จื้อกุยสีหน้ามืดทะมึน “นักพรตจมูกวัวตัวเหม็นอย่างเจ้าจะรับไหวรึ?” (จมูกวัวเป็นคำด่านักพรตเต๋าเพราะมวยผมของนักพรตเต๋าเหมือนเขาวัว)
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “นามว่าลู่เฉินของข้าผู้เป็นนักพรตก็มากพอจะอธิบายทุกอย่างได้กระจ่างชัดแล้ว”
คราวนี้จื้อกุยไม่เข้าใจจริงๆ “พูดอะไรของเจ้าน่ะ?”
ลู่เฉินกลับคืนมามีสีหน้าดั่งเวลาปกติ เขาฟุบตัวลงบนหัวกำแพง พูดกลั้วหัวเราะอารมณ์ดี “แม่นาง จะให้ข้าผู้เป็นนักพรตดูลายมือให้หน่อยหรือไม่? จะแต่งงานเมื่อไหร่ จะมีลูกในเร็ววันไหม จะได้คู่ที่ดีหรือเปล่า ข้าผู้เป็นนักพรตล้วนทำนายได้ทั้งนั้น”
จื้อกุยกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถาม “แค่กินข้าวอย่างเดียวได้หรือไม่? ไม่ต้องดูลายมือ?”
ลู่เฉินปีนข้ามกำแพง ดีดนิ้วดังเป๊าะ “ตกลง!”
จื้อกุยถามอีก “ข้าวไม่สุกดี ไม่ถือสากระมัง?”
“ถือสิ เดี๋ยวข้าหุงใหม่เอง” นักพรตหนุ่มกลอกตามองบน เดินอาดๆ เข้าไปในห้องครัว เริ่มเติมฟืนเข้าไปในเตาอีกครั้ง หยิบกระบอกเป่าไฟขึ้นมา พองแก้มเป่าลมเข้าใส่อย่างแรง
จื้อกุยยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว ใจอยากจะหยิบไม้กวาดขึ้นมาฟาดที่หัวนักพรตหนุ่มแรงๆ ยิ่งนัก
……
ในห้องหลอมกระบี่ห้องหนึ่งของร้านตีเหล็ก หร่วนฉงยังคงตีเหล็กอย่างไม่หยุดพัก พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก สะเก็ดไฟแตกกระจายไปทั่วทิศครั้งแล้วครั้งเล่า ในห้องที่กว้างใหญ่เจิดจ้าไปด้วยแสงเปลวเพลิง สะเก็ดไฟที่รวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ ไม่เคยสลายหายไปแม้แต่เสี้ยวเดียว ยิ่งไม่มีทางไหลออกไปนอกห้อง เป็นเหตุให้ในห้องแทบจะไม่มีที่ให้ยืน
แต่วันนี้ไม่เพียงแต่หร่วนซิ่วเท่านั้นที่เข้ามาในห้อง แม้แต่เว่ยป้อก็อยู่ด้วย พื้นที่มีจำกัด หนึ่งคนหนึ่งเทพภูเขาจึงได้แต่ยืนเคียงบ่ากัน และในอ้อมอกของหร่วนซิ่วก็กอดกระบี่ยาวไร้ฝักไว้หนึ่งเล่ม คมกระบี่ไม่ปรากฏประกายแหลมคม มองไปแล้วจึงไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย เกรงว่าหากผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าเป็นแค่กระบี่ใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งเท่านั้น
หร่วนฉงเหวี่ยงค้อนพลางหันมาเอ่ยเสียงหนักกับเว่ยป้อไปด้วย “รบกวนเจ้าพาซิ่วซิ่วไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่ว ผู้อาวุโสหยางช่วยอำพรางความลับสวรรค์ไว้แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
จากนั้นหร่วนฉงก็หันมากำชับหร่วนซิ่ว “ไปถึงภูเขาลั่วพั่ว มอบกระบี่แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ แค่บอกให้เขารีบตามเว่ยป้อไปที่ภูเขาหนิวเจี่ยว โดยสาร ‘เรือข้ามฝาก’ ลำนั้นไปทางทิศใต้ หากยังไม่ถูกลับคมจากแท่นสังหารมังกร กระบี่เล่มนี้จะไม่เผยความคมออกมาเด็ดขาด แต่หากเจอกับปีศาจใหญ่ก็อาจจะเผยพิรุธให้เห็น ดังนั้นจงบอกเจ้าเด็กแซ่เฉินที่เดินทางลงใต้ว่าอย่ารนหาที่ตาย อย่าไปมีเรื่องกับพวกปีศาจแห่งภูเขาและหนองบึงทั้งหลาย ด้วยขอบเขตวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ขอแค่ไม่รนหาที่ตายก็มีโอกาสจะรอดไปจนถึงภูเขาห้อยหัว”
เว่ยป้อคิดได้รอบคอบมากกว่า “ที่ข้ายังมีกิ่งไหวหนาๆ อยู่อีกกิ่งหนึ่ง พอไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ระหว่างทางที่พาเฉินผิงอันไปร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยว สามารถช่วยทำฝักกระบี่ให้เขาได้สองเล่ม”
หร่วนฉงขยับปากเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เว่ยป้อยิ้มอย่างเข้าใจ “วางใจเถอะ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น ข้าร่ายเวทอำพรางตาไปแล้ว มีแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะมองออก ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
หร่วนฉงจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป เสียงตีเหล็กดังราวเสียงฟ้าผ่า
ไฟโทสะสุมทรวงอริยะสำนักการทหารท่านนี้อยู่นานแล้ว ใจเขาอยากจะให้เจ้าลูกหมานั่นหอบผ้าหอบเสื่อไสหัวไปเสียโดยเร็ว
ครั้งนี้เว่ยป้อไม่กล้าประมาท ไม่เพียงแต่ท่องคาถาในใจ ยังยกมือขึ้นทำมุทราแอบโคจรโชคชะตาน้ำและภูเขาในขอบเขตของตัวเองอย่างเงียบเชียบ
และเพียงไม่นานคนทั้งสองก็มาปรากฏตัวที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันที่ได้ข่าวล่วงหน้าจัดเตรียมสัมภาระไว้รอเรียบร้อยแล้ว เพราะมีกระบี่บินสืออู่เป็นวัตถุฟางชุ่น ดังนั้นจึงไม่ต้องสะพายตะกร้าไม้ไผ่ สบายตัวยิ่งกว่าขึ้นเขาคราวก่อนเสียอีก แต่นี่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคย ปกติเขาเคยชินที่จะถือมีดผ่าฟืนเพื่อใช้บุกเบิกเส้นทางไว้ในมือ แต่ตอนนี้กลับมีแค่กระบี่บินเบาๆ สองเล่มเก็บไว้ด้านใน รู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ
หลังมอบกระบี่ให้แล้ว หร่วนซิ่วก็ถ่ายทอดคำพูดที่บิดาของนางกำชับมา สุดท้ายนางยื่นถุงปักลายดอกไม้ถุงหนึ่งให้เฉินผิงอันพลางเอ่ยยิ้มๆ “เฉินผิงอัน ขนมดอกท้อห่อนี้ ข้าให้เจ้า”