บทที่ 217 เซียนกระบี่
อยู่ในยุทธภพนานวันเข้า ใครบ้างที่จะไม่มีความสามารถอันเป็นสมบัติก้นกรุและอาวุธอาคมอยู่ซะเลย
เมื่อบัณฑิตแซ่ฉู่ได้ยินคำเรียกว่า ‘ชูอี’ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างไรสาเหตุ รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นท่าไม้ตายของเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้ แต่กลับไม่อาจสัมผัสได้ว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤตอันตรายขุมนั้นมาจากที่ใด บัณฑิตแซ่ฉู่ที่สภาพกระเซอะกระเซิงใช้ความคิดอย่างเร่งด่วน เขากัดฟันกรอด ทันใดนั้นลูกกลมสีขาวดำลูกหนึ่งก็กลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา ส่องประกายแสงสุกสว่าง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
หลังจากบัณฑิตแซ่ฉู่กำนิ้วทั้งห้าไว้แน่นลูกกลมนั้นก็หลอมละลายเหมือนเทียนที่เจอเปลวไฟ ของเหลวเหนียวหนืดเหมือนปรอทไหลออกมาจากมือของเขาแล้วแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว นาทีถัดมาบุรุษที่ร่างสูงเพรียวก็สวมเสื้อเกราะสีขาวกระจ่างราวหิมะ กระจกปกป้องหัวใจที่อยู่ตรงกลางส่องประกายวิบวับ ลักษณะคือเสื้อเกราะกวางหมิง (กวางหมิงหมายถึงแสงสว่าง เสื้อเกราะกวางหมิงคือเสื้อเกราะสีทองสว่างที่แผ่นเหล็กทรงสี่เหลี่ยมหลายชิ้นประกบต่อกัน) องค์เทพบนสวรรค์ที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในวัดหรืออารามเต๋าของโลกมนุษย์จะสวมเสื้อเกราะแบบนี้กันมากที่สุด เพราะมีความหมายแฝงถึงความเปิดเผยตรงไปตรงมา
หากไม่เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มีต่อชีวิต ต่อให้ต้องเผยร่างจริง บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ไม่มีทางยอมใช้ ‘เม็ดเสื้อเกราะ’ ที่มีมูลค่าควรเมืองเม็ดนี้แน่ เม็ดเสื้อเกราะคือสมบัติล้ำค่าสูงสุดของสำนักการทหาร ได้รับความนิยมเป็นเท่าตัว ราคาไม่มีแพงที่สุด มีแต่แพงยิ่งกว่า อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ราคา แทบจะหาคนซื้อไม่ได้เพราะราคาที่สูงเกิน โดยทั่วไปแล้วอาจารย์ด้านกลไกของสำนักโม่จะร่วมมือกับพรรคยันต์ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าสร้างขึ้นมา เวลาปกติหากย่อเก็บไว้จะมีลักษณะเหมือนเม็ดยาขนาดใหญ่เท่ากำปั้น กินพื้นที่ไม่มาก พกพาได้สะดวก หากลงสนามรบแค่กรอกปราณที่แท้จริงราดรดเข้าไป มันก็จะกลายมาเป็นเสื้อเกราะวิเศษในชั่วพริบตา แข็งแกร่งมิอาจทำลาย
บัณฑิตแซ่ฉู่มีเสื้อเกราะคุ้มกันกาย พื้นผิวของเสื้อเกราะส่องม่านแสงสีขาวสะอาดกระเพื่อมเป็นริ้วแผ่วๆ หนึ่งชั้นเหมือนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหิมะถูกแสงจันทร์ยามราตรีสาดส่อง บัณฑิตลุกขึ้นยืน เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว สีหน้าของเขาเยือกเย็นมากขึ้นหลายส่วน เขากล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “เจ้าหนุ่ม เจ้าทำร้ายข้าเสียหมดสภาพเลย เดิมทีเสื้อเกราะกวางหมิงนี้เตรียมไว้เพื่อป้องกันหากการแบ่งผลประโยชน์ในช่วงสุดท้ายไม่เท่าเทียม ถึงเวลานั้นก็สามารถเอามาใช้ต้านทานการโจมตีของนักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขาได้ ตอนนี้กลับต้องมาเผยพิรุธเร็วขนาดนี้ พวกเขาต้องยิ่งระมัดระวังเพิ่มการป้องกันมากกว่าเดิม แบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ?”
แม้ว่าน้ำเสียงจะผ่อนคลาย แต่บัณฑิตหนุ่มกลับไม่ประมาทแม้แต่น้อย ตอนนี้เขายังคิดไม่ตกว่าทำไมหลังจากเด็กหนุ่มเอ่ยเรียก ‘ชูอี’ แล้วถึงไม่มีประโยคตามหลัง? อีกทั้งกระบี่วิเศษก็ไม่ได้ออกจากฝัก บินพุ่งมาจากห้องฝั่งตรงข้าม แล้วก็ไม่มีตัวช่วยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดกระโจนมาเข่นฆ่าเขาด้วย
บัณฑิตแซ่ฉู่เกิดความฉงนสนเท่ห์
เด็กหนุ่มพูดน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องไม่ใช่พวกที่ชอบพูดล้อเล่นแน่นอน
แค่สองหมัดก็เกือบจะทำให้ตนกลับคืนสู่ร่างเดิม เกรงว่าต่อให้เป็นศักยภาพขอบเขตสี่ของมือดาบหน้าหนวดที่บุ่มบ่มบุกเข้าไปสังหารปีศาจใหญ่คนนั้นก็คงทำไม่ได้
แม้ว่า ‘ชูอี’ จะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาก็ตาม
แต่บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ยังแน่ใจได้ว่า ขอแค่ชูอีเผยตัวก็ย่อมต้องเป็นยอดฝีมือที่ไม่อาจดูแคลน หรือไม่ก็อาจจะเป็นสมบัติอาคมที่มีพลังพิฆาตมหาศาลแน่นอน
ส่วนเฉินผิงอันกลับหงุดหงิดเล็กน้อย เขาตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตัวเองแรงๆ หนึ่งที
ตอนนี้จู่ๆ ‘ชูอี’ ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็นิสัยเปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้มันมีนิสัยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เอะอะก็ทำให้เฉินผิงอันต้องเจ็บปวดยากลำบาก แต่พอออกมาจากภูเขาลั่วพั่วกลับมีนิสัยเกียจคร้าน วันๆ เอาแต่อยู่นิ่งเฉยไม่ยอมขยับ แม้แต่จะตีโพยตีพายเอาแต่ใจกับเฉินผิงอันก็ยังไม่ทำ หลังจากเฉินผิงอันตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แรงๆ มันก็ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก
กลับเป็นสืออู่กระบี่บินสีเขียวมรกตที่ส่งเสียงอื้ออึง กำลังสื่อสารทางอารมณ์กับเฉินผิงอันอย่างตื้นเขิน คงจะอยากพูดประมาณว่าหากชูอีไม่ยอมต่อสู้ มันสืออู่สามารถทำหน้าที่แทนให้ได้
หลังจากกระบี่บินสองเล่มมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ก็คล้ายกับเด็กน้อยที่ยังพูดไม่ได้ แม้ว่าจะมีสติปัญญา แต่สติปัญญานั้นกลับไม่สูงนัก กระทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณอย่างเดียวเท่านั้น พวกมันสามารถสัมผัสกับเสียงหัวใจและความต้องการของเฉินผิงอันได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งสองฝ่ายกลับสื่อสารกันไม่ราบรื่น อีกอย่างเฉินผิงอันเองก็แค่รู้ว่าอารมณ์ของพวกมันดีหรือร้าย แต่หากจะพูดคุยกันจริงๆ กลับไม่ง่ายดายนัก
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเฉินผิงอัน บัณฑิตแซ่ฉู่ก็รีบเพ่งสายตามองมาทันที เห็นเพียงว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดมีสีสันหม่นมัว ไม่มีอะไรผิดปกติ มองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์แม้แต่นิดเดียว อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่พบกันครั้งแรกท่ามกลางสายฝนนอกบ้านโบราณ บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ได้มองประเมินเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังกับนักพรตหนุ่มอย่างละเอียดแล้ว ตอนนั้นเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่ยอดฝีมืออะไร ราชสำนักของแคว้นไฉ่อี ภูเขาไม่สูงน้ำไม่ลึก ไม่มีที่ให้ซ่อนพยัคฆ์และมังกร คนอย่างนักพรตป๋ายลู่จึงถือว่าเป็นปรมาจารย์เทพเซียนที่มีบารมีสยบพื้นที่แถบหนึ่งได้แล้ว
และนี่ถึงทำให้บัณฑิตแซ่ฉู่สามารถทำตัวเองเป็นมังกรข้ามแม่น้ำมาสร้างเรื่องก่อราวในถิ่นผู้อื่นได้ตามใจปรารถนา
เขาออกจากบ้าน เดินทางจากแคว้นกู่อวี๋ลงใต้มายังแคว้นไฉ่อีก็เพื่อของที่อยู่ในบ้านโบราณหลังนี้ ทุ่มเทสมองครุ่นคิดก็รู้ว่า แม้เขาจะกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง แต่นี่ก็ยังเป็นแผนการที่ดำเนินได้อย่างเชื่องช้า เขาดึงเอานักพรตป๋ายลู่และเทพภูเขาที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการมาร่วมด้วย ตกลงกันว่าทั้งสามฝ่ายจะต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ จากนั้นจึงไปทำความรู้จักกับลูกหลานตระกูลหลิว หลอกให้เขาเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ บอกกับพันธมิตรสองคนนั้นว่าตนยอมพาตัวมาเสี่ยงอันตรายหยั่งเชิงสถานการณ์ของที่แห่งนี้ก่อน อาศัยกลิ่นอายของตำราและกลิ่นอายของตระกูลขุนนางที่ติดตัวบัณฑิตแซ่หลิวตั้งแต่เด็กมาอำพรางปราณปีศาจเล็กน้อยที่อยู่บนร่างของเขา แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือคิดจะสืบหารากฐานที่ค่ายกลแห่งนี้พึ่งพา เพื่อสะดวกให้จับปลาน้ำขุ่นขโมยสมบัติอาคมชิ้นนั้นไปขณะที่การต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้น ไม่ร่วมศึกพัวพันระหว่างนักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขา อาศัยเม็ดเสื้อเกราะคุ้มกันกายหนีไปอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง จากนั้นกลับไปยังแคว้นกู่อวี๋เก็บตัวฝึกตนของตัวเองต่อไป
ส่วนการปรากฏตัวของมือดาบเครายาวคนนั้นก็เป็นแค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาชั่วคราวของเขา เขาจึงแพร่ข่าวลือไปยังเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ช่วยผลักดันคลื่นมรสุม เพิ่มระดับปราณแห่งความชั่วร้ายและไอปีศาจของบ้านโบราณให้เข้มข้นมากขึ้น แต่อันที่จริงแล้วนับร้อยปีที่ผ่านมา ปราณชั่วร้ายของบ้านโบราณนั้นเข้มข้นมากก็จริง แต่มันกลับไม่เคยทำร้ายชาวบ้าน สร้างความลำเข็ญให้ใครมาก่อน ที่เขาทำอย่างนี้ก็เพราะต้องการให้น้ำบ่อนี้ยิ่งข้นและสกปรกมากกว่าเดิม จะได้สะดวกตอนที่เขาหลบหนี ต่อให้มือดาบจะเผาผลาญตบะบางส่วนของเจ้าของบ้านโบราณหลังนี้ไป ก็ถือเป็นเรื่องดี หากสามารถยืนหยัดได้ถึงตอนที่นักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขาเข้ามาร่วมการต่อสู้ด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
มือดาบเครายาวที่มีน้ำใจคนนั้นไหนเลยจะรู้เรื่องวงในเหล่านี้ เขาเพียงแต่ตามข่าวลือทั้งหลายมา และขณะที่ดื่มเหล้าร้อนแรงสองถ้วยใหญ่ในเมืองเล็กที่อยู่ใกล้เคียง เลือดร้อนๆ กำลังตีขึ้นหัว พอดีกับที่รู้สึกว่าฝนที่ตกลงมาครั้งนี้ผิดปกติ จึงรีบร้อนมาปราบปีศาจ
ส่วนคบเพลิงที่เทพภูเขาทาน้ำมันไว้ด้วยตัวเอง ร่มกระดาษน้ำมันที่ซ่อนเหรียญสัมฤทธิ์ผีของนักพรตป๋ายลู่เอาไว้ แม้จะไม่ใช่สิ่งของที่สะดุดตา แต่กลับผ่านการคิดคำนวณมาแล้วอย่างรอบคอบ
หนึ่งช่วยให้เทพภูเขาซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่แถบนี้ในนามสำรวจหาลมปราณที่อยู่ด้านในของบ้านโบราณ อีกอย่างหนึ่งคือช่วยให้นักพรตป๋ายลู่จัดวางกลไก หาโอกาสในการปรากฏตัว ในและนอกร่วมประสาน ทำลายวิธีการที่บ้านโบราณใช้ต้านทานศัตรูภายนอกอย่างยันต์คำเขียวผุผังของสำนักโองการเทพ กำแพงบังตาที่มีท่วงทำนองความเที่ยงธรรมของลัทธิเต๋าซุกซ่อนอยู่เสี้ยวหนึ่ง วิธีการเหล่านี้ต่างก็ช่วยให้บ้านโบราณที่สถานการณ์ง่อนแง่นสามารถต้านทานการโจมตีที่อันตรายไว้ได้หลายครั้ง
พันธมิตรสามฝ่าย ล้วนไม่มีฝ่ายใดที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน (เปรียบเปรยถึงคนที่ร้ายกาจ ยุ่งยากรับมือได้ลำบาก)
แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะหากไม่เป็นเช่นนี้ เมื่อต้องมาฝึกตนอยู่บนป่าเขาที่คนแข็งแกร่งเป็นผู้ล่า คนอ่อนแอเป็นเหยื่อ เกรงว่าคงตายตก กลายมาเป็นหินรองเท้าให้พวกนักพรตคนอื่นที่เหี้ยมโหดไปนานแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร มีหรือไม่? แน่นอนว่าต้องมี ยกตัวอย่างเช่นบ้านโบราณหลังนี้ ชายหญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านกับหญิงชราอีกหนึ่งคน เวลานับร้อยปีที่ผ่านมา นายบ่าวสามคนเก็บตัวเงียบอย่างสันโดษ จุดจบของพวกเขาเป็นเช่นไร ก็คือสภาพน่าสังเวชอย่างที่ทุกคนได้เห็นกันในเวลานี้
ด้วยไม่หวังให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน บัณฑิตแซ่ฉู่จึงเลือกเป็นฝ่ายยอมถอยให้ก่อนหนึ่งก้าว เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณชายเฉิน อันที่จริงเจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันด้วย ขอแค่คืนนี้คุณชายเฉินเต็มใจถอยออกไปจากบ้านโบราณหลังนี้ ข้าผู้แซ่ฉู่ก็จะต้องปรนนิบัติรับรองคุณชายเป็นอย่างดี ต่อให้คุณชายอยากจะไปดื่มสุราในวังหลวงของแคว้นกู่อวี๋ ยกตัวอย่างเช่นในคืนที่มีลมหิมะ ข้าผู้แซ่ฉู่ก็สามารถหิ้วไหเหล้าไปนั่งอยู่บนหลังคาสูงของวังหลวง ดื่มเหล้าชมหิมะอย่างเพลิดเพลินใจร่วมกับคุณชายเฉิน โดยไม่ต้องกังวลเลยว่าฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋จะพิโรธ”
บอกตามตรง แม้ว่าบัณฑิตแซ่ฉู่จะเป็นภูตที่มีที่มาไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม แต่หลังจากฝึกตนจนจำแลงร่างเป็นคนได้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าผ่านประสบการณ์แบบใดมา บุคลิกท่าทางของเขาถึงไม่ธรรมดา โดดเด่นต่างจากคนทั่วไป เมื่อเทียบกับบุตรหลานในตระกูลชนชั้นสูงแล้วก็มีแต่จะมีสง่าราศีมากกว่า น้ำแข็งหนาสามฉื่อไม่ได้เกิดจากความหนาวเพียงวันเดียว คิดดูแล้วคงเพราะได้รับโชควาสนาบางอย่างที่พิเศษจึงมีบุคลิกที่สง่างามอย่างทุกวันนี้ได้
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากถาม “ได้ยินว่าฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋แซ่ฉู่ เจ้าเองก็แซ่ฉู่ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
บัณฑิตแซ่ฉู่ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าเพื่อแสดงความจริงใจของตน เขาจึงพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “มีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันทางสายเลือด สรุปก็คือต่างคนต่างพึ่งพากัน ขณะเดียวกันก็ป้องกันกันเอง ค่อนข้างจะซับซ้อน ยากจะอธิบายได้ด้วยประโยคสั้นๆ”
ตัวอักษรคำว่าฉู่ (楚) ด้านบนคือตัวหลิน (林) ด้านล่างคือตัวผี่ (疋) อักษรผี่สามารถใช้ตัวอักษร “จู๋” (足) ที่แปลว่าเท้ามาอธิบาย ไม้สองต้นรวมกันเป็นป่า (อักษรตัวหลิน 林 แปลว่าป่า ซึ่งประกอบด้วยอักษรตัวมู่ 木 ที่แปลว่าต้นไม้สองตัว) ด้านล่างป่ามีเท้า บัณฑิตแซ่ฉู่ตั้งแซ่ของตัวเองด้วยตัวอักษรนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเขาน่าจะเป็นภูตที่มาจากป่าโบราณ
เพียงแต่การเรียนหนังสือของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ยังเป็นเพียงแค่เปลือกนอกอย่างขั้น ‘รู้แบบงูๆ ปลาๆ พอจะเข้าใจความนัยได้เป็นครั้งคราว’ อยู่ไกลเกินกว่าจะสามารถ ‘แยกแยะ’ ตัวอักษรได้อย่างชัดเจนลึกซึ้ง เพราะอย่างไรซะเขาก็ไม่ได้มีความรู้อย่างชุยฉานหรือเว่ยป้อ
เฉินผิงอันมองประเมินเสื้อเกราะที่อยู่บนร่างบัณฑิตแซ่ฉู่อยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะไม่ใช่สืออู่ก่อน พอดีกับที่สามารถอาศัยโอกาสนี้ทดลองดูน้ำหนักวิชาหมัดของตัวเอง จะได้แน่ใจถึงความตื้นลึกของขอบเขตสามของตน จึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตอะไร?”
บัณฑิตแซ่ฉู่ตอบยิ้มๆ “แค่ขอบเขตห้าเท่านั้น”
แน่นอนว่านี่ต้องเป็นการพูดแบบถ่อมตัว
ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะได้เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง จะเรียกว่า ‘แค่’ ได้อย่างไร? ต้องรู้ว่าในตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนัก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางก็ถือเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุดแล้ว หากไม่ได้เป็นข้ารับใช้อาวุโสที่ฐานะสูงเกินใคร ก็ต้องเป็นผู้คุมกฎที่กุมอำนาจที่แท้จริง ขนาดในสำนักยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแคว้นเล็กที่มีพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายอย่างแคว้นกู่อวี๋ แคว้นไฉ่อีนี่เลย
ทว่าคำถ่อมตัวที่แฝงไว้ด้วยความลำพองใจของบัณฑิตแซ่ฉู่ เมื่อดังเข้าหูเฉินผิงอันที่เป็นคนดื้อดึงกลับเป็นคำว่า ‘แค่’ ที่จริงแท้แน่นอน นี่น่ะหรือ ‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตห้าที่นักพรตจางซานเอ่ยถึง? เฉินผิงอันหมุนข้อมือเบาๆ แสยะยิ้ม เขาสู้ผีเจ้าสาวไม่ได้ แต่เจ้าคนตรงหน้าที่สวมกระดองเต่าผู้นี้สามารถเอามาใช้ฝึกปรือฝีมือได้จริงๆ หากฆ่าอีกฝ่ายตายได้ย่อมดีที่สุด ฆ่าไม่ตายตัวเองก็ไม่เสียเปรียบ เพราะอย่างไรซะก็มีกระบี่บินอยู่ข้างกาย แถมยังไม่ใช่แค่เล่มเดียว แต่เป็นสองเล่ม!
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งฝึกหมัดได้แค่ไม่กี่วันก็กล้าหลอกล่อวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงเหมือนจูงสนุกเดินเล่น ศักยภาพไม่ต้องพูดถึงให้มากความ ลำพังเพียงแค่ความกล้าหาญก็มากกว่าผู้ฝึกยุทธ์หลายคนในโลกแล้ว แน่นอนว่าหากเขาคิดจะเดิมพันสุดชีวิต การที่ค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าว ระมัดระวังรอบคอบก็คือจุดแข็งของเฉินผิงอัน
บัณฑิตแซ่ฉู่กล่าวอย่างระอาใจ “ทำไมถึงยังต้องสู้กันอีก?”
เฉินผิงอันให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากไม่สู้กับเจ้า เพื่อนของข้าและมือดาบคนนั้นจะเป็นอันตรายอย่างมาก”
สายตาของบัณฑิตแซ่ฉู่มืดทะมึน ต่อให้เป็นรูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ก็ยังต้องมีไฟโทสะลุกโชนสามจั้ง แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าถิ่นผู้แข็งแกร่งที่เคยชินกับชีวิตรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์มานานแล้วอย่างเขา “เจ้าหนุ่ม หากไม่เห็นโลงศพเจ้าก็คงไม่หลั่งน้ำตาสินะ? ข้าบอกกับเจ้าได้ตามตรงเลยว่า ข้างนอกบ้านโบราณยังมีอีกสองคนที่คอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆ เจ้าจะเข้ามามีเอี่ยวด้วยจริงๆ หรือ? คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ รึไง?”
คำตอบของเฉินผิงอันทำให้ไฟโทสะของบัณฑิตแซ่ฉู่ยิ่งลุกโชน “เจ้ากลัวข้าหรือไม่ กับข้าจะอัดเจ้าหรือไม่ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้ที่เขาจงใจถ่วงเวลาไว้นานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันต้องการจะอวดอ้างบารมี แต่เป็นเพราะเขาอยากจะรอให้แน่ใจกับความต้องการของบรรพบุรุษน้อยทั้งสองในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เสียก่อน
และนี่จะตัดสินว่าเขาควรจะลงสนามต่อสู้ในครั้งนี้หรือไม่
ครั้งแรกที่กระบี่บินชูอีซึ่งเดิมทีมีชื่อว่าเสี่ยวเฟิงตูปรากฏกายในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เป็นเหมือนเส้นแสงสีขาวเล็กๆ เส้นหนึ่งที่พาดผ่านอยู่กลางอากาศ แม้ว่าตัวกระบี่จะเล็กบาง แต่กลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจอันเปี่ยมล้น คมกระบี่สาดประกายความคมออกมาจนหมดสิ้นอย่างไม่มีปิดบัง
ส่วนกระบี่บินสืออู่ที่แลกมาจากหยางเหล่าโถว พลังอำนาจจะแตกต่างไปเล็กน้อย ปณิธานกระบี่ค่อนข้างจะชื่นชอบความเงียบสงบ เวลาเคลื่อนไหวในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็มักจะเป็นการบินไปบินมาด้วยความเร็วสูงสุด ทุกครั้งที่ใกล้จะชนกับผนังด้านในของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็มักจะหยุดกะหันทันในขณะที่ห่างจากผนังแค่เสี้ยวเดียว แตกต่างจากชูอีที่พุ่งชนด้านในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เหมือนคลุ้มคลั่งอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงค่อนข้างจะมั่นใจว่าเสี่ยวเฟิงตู หรือกระบี่บินสีขาวที่ถูกเขาตั้งชื่อว่าชูอีนั้นคมกริบยิ่งกว่าสืออู่ อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากกว่า แต่ข้อเสียก็เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน นั่นคือกระบี่ขยับเชื่องช้า อีกทั้งไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเฉินผิงอันทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ออกกระบี่ไม่มีความแม่นยำมากพอ แต่หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังคุมเชิงกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบสูงก็สามารถให้ชูอีเป็นคนออกหน้าพุ่งชนไปทั่วสะเปะสะปะ เพราะอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลอยู่แล้วว่าจะชนจนเกิดความเสียหาย ทว่าหากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงก็ยังจำเป็นต้องให้สืออู่ที่นิสัยอ่อนโยนว่าง่ายและว่องไวอย่างถึงที่สุดช่วยโจมตีจุดตาย ควรนำมาใช้ในขั้นสุดท้าย
แน่นอนว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนั้นแข็งแกร่งมาก นี่คือรากฐานที่ผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าทุกคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน หากโชคดีได้มาครอบครองก็ยิ่งต้องเก็บรักษาให้ดีเหมือนชีวิตของตนเอง และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณของร้อยสำนักปวดหัวอย่างถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มใดก็ล้วนมีปัญหาเหมือนกันอยู่สองข้อ หนึ่งคือได้มาครองไม่ง่าย เพราะวัตถุดิบวิเศษในฟ้าดินที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมกระบี่นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน สองคือมีชื่อน่าครั่นคร้ามด้านพลังการสังหารที่ยิ่งใหญ่ ไม่ออกมาจากช่องโพรงลมปราณก็มีพลานุภาพในการสยบโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย แต่หากออกจากช่องโพรงมาสังหารศัตรู ขอแค่เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นคมกระบี่เกิดบิ่นแตก ตัวกระบี่เกิดรอยร้าว ฯลฯ การซ่อมแซมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบก็ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ใหญ่เทียมฟ้า
ดังนั้นถึงมีประโยคหนึ่งซึ่งแพร่ไปถึงบนยอดเขานั่นคือ รวยก็คือผู้ฝึกกระบี่ จนก็คือผู้ฝึกกระบี่ ล้มละลายภายในค่ำคืนเดียวก็คือผู้ฝึกกระบี่
นี่ก็คือสาเหตุที่เฉินผิงอันเรียกชูอีออกมารบก่อน ด้วยกังวลว่าหากสืออู่ขึ้นเวทีสังหารศัตรูเป็นครั้งแรกจะปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวเอง ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้แต่เอาความสามารถที่แท้จริงออกมาวัดกัน
บัณฑิตแซ่ฉู่ที่ร่างจริงคือภูตต้นไม้โบราณยื่นนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมาเคาะลงบนกระจกหุ้มหัวใจที่ส่องแสงสว่างลุกโชนตรงหน้าอก “หมัดของเจ้าแข็งนักไม่ใช่หรือ มา ต่อยลงมาตรงนี้ได้ตามสบาย เม็ดเสื้อเกราะล้ำค่าที่ต้องจ่ายเงินตั้งสามพันเงินเกล็ดหิมะชิ้นนี้ถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังสมบัติลำดับสองของราชวงศ์แคว้นกู่อวี๋ เจ้าคนแซ่เฉิน หากเจ้าต่อยมันให้แตกได้ก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ!”
เฉินผิงอันหรือจะมัวเกรงใจเขา
แตะปลายเท้าเบาๆ กระเบื้องบนพื้นก็ถึงกับปริร้าว ร่างพุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
คำโบราณที่บอกไว้ว่าต้นไม้ย้ายถิ่นตาย คนย้ายถิ่นรอด ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แม้ว่าบัณฑิตภูตต้นไม้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ร่างกายและจิตใจไม่อ่อนแอ แต่ก็ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวและไม่อาจทนรับหลายๆ กระบวนท่าติดต่อกัน เขาถึงได้เอาเม็ดเสื้อเกราะที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนี้มาใช้เป็นยันต์คุ้มกันกายในช่วงเวลาที่สำคัญ
บัณฑิตแซ่ฉู่เกิดมาก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทาน บวกกับมีเสื้อเกราะวิเศษปกคลุมทั่วกาย เขาในเวลานี้จึงกลั้นหายใจทำสมาธิ เตรียมพร้อมรอรับหมัดจากเด็กหนุ่ม
หนึ่งหมัดที่ปล่อยออกไปด้วยพละกำลังหนักหน่วง เป็นเหตุให้กระจกหุ้มหัวใจยุบลงไปชุ่นกว่า ร่างทั้งร่างของบัณฑิตแซ่ฉู่ปลิวลิ่วไปกระเด็นเข้ากับกำแพงลานบ้านของเรือนโบราณที่อยู่ด้านนอกสุด แต่คราวนี้สภาพของเขากลับไม่กระเซอะกระเซิงแล้ว กลับเป็นกำแพงด้านหลังของเขาที่พังครืนแหลกละเอียด เผยให้เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ด้านในกำแพงไม่ใช่ก้อนอิฐ แต่เป็นรากต้นไม้ที่รัดพันและกำลังเคลื่อนขยับ
บัณฑิตแซ่ฉู่ปัดฝุ่นบนร่าง เอ่ยเย้ยหยัน “มีความสามารถแค่นี้เองหรือ? หากไม่มีใจกล้าหาญของขอบเขตหก ต่อให้ข้าผู้แซ่ฉู่ยืนนิ่งไม่ขยับตั้งแต่ต้นจนจบ ปล่อยให้เจ้าต่อยใส่ร้อยหมัดพันหมัด คุณชายเฉินคิดจะต่อยให้เม็ดเสื้อเกราะแหลกสลายในรวดเดียว ก็ยังยากมากอยู่ดี”
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ ห้า หก สามขอบเขตนี้ไม่ได้ถูกพันธนาการอยู่แค่ที่การหล่อหลอมเรือนกายเสมอไป แต่ยกระดับไปถึงการหลอมลมปราณ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าขอบเขตปรมาจารย์น้อย แต่ละระดับจะมีการสนองตอบต่อจิต วิญญาณและความกล้า หากฝึกสำเร็จ พลังการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ก็จะทบทวี ไม่เพียงแต่ย้อนกลับมาเลี้ยงเรือนกายที่เป็นเลือดเนื้อขอตัวเองได้ เวลาที่รับมือกับผู้ฝึกลมปราณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่จัดการกับภูตผีปีศาจที่เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว การลงมือในแต่ละครั้ง พายุหมัดที่พุ่งมาถึงจะร้อนแรงเหมือนดวงตะวัน กี่หมื่นพันความชั่วร้ายก็ต้องพากันหลบเลี่ยง
หนึ่งหมัดต่อยลงบนตำแหน่งที่คาดการณ์ไว้ จากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้ไล่ตามไปโจมตีต่อ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นม้าตีนปลาย ตรงกันข้ามเลยทีเดียว หมัดนี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น หลักๆ แล้วเป็นเพราะเฉินผิงอันตกตะลึงไปกับภาพประหลาดของกำแพงด้านหลังบัณฑิตต่างหาก หรือว่าด้านในกำแพงของบ้านโบราณล้วนมีรากต้นไม้หยั่งลึกอย่างนี้ทั้งหมด?
เรือนด้านหลังมีประกายแสงเจิดจ้าเปล่งวูบวาบสาดส่องม่านราตรีอยู่ตลอดเวลา และระหว่างนั้นก็มีเสียงตวาดคำรามของมือดาบเคราดกดังแทรกซ้อนเข้ามาเป็นระยะ
ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจสีเหลืองสามแผ่นเอามาใช้หมดแล้ว แต่ยังเหลือยันต์สยบปีศาจกระดาษสีทองอีกสองแผ่นที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน
และยังมียันต์ย่อส่วนพื้นที่อีกสองแผ่น
เฉินผิงอันกล่าวกับตัวเองในใจว่า ใช้ได้แล้ว
หลายครั้งที่ออกหมัดไปก่อนหน้านี้ล้วนอาศัยความว่องไวปราดเปรียวของร่างกาย แต่อันที่จริงล้วนเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา
ทว่าคราวนี้เฉินผิงอันกลับเลือกทำต่างออกไป เขาตั้งท่าหมัดที่เก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด ก้าวออกไปหนึ่งก้าว สองแขนยืดขยาย ก่อนจะค่อยๆ กำมือเป็นหมัด ทุกอย่างนี้ล้วนคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยดุจสายน้ำไหล
เพียงชั่วพริบตาปณิธานหมัดของเฉินผิงอันก็ไหลบ่าราวกับสายน้ำ เจิดจ้าบาดตาอย่างแท้จริง เมื่อตกมาอยู่ในสายตาของบัณฑิตแซ่ฉู่ก็เป็นราวกับดวงอาทิตย์ที่ผุดขึ้นทางทิศตะวันออกเหนือผืนมหาสมุทร น่าตื่นตาตื่นใจสุดขีด
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า!
บัณฑิตแซ่ฉู่กลืนน้ำลาย คิดในใจว่าควรจะกลับมานั่งคุยกันอีกสักหน่อยดีหรือไม่?
เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเสื้อเกราะวิเศษตัวนี้อาจจะไม่สร้างความมั่นคงปลอดภัยให้เขาได้เสมอไป?
เห็นๆ กันอยู่ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ายังฝึกการหลอมลมปราณของวิถีวรยุทธ์ไม่ได้ถึงขอบเขตสามเลยด้วยซ้ำ!
แล้วทำไมถึงมีปณิธานหมัดที่เข้มข้นซึ่งป่าเถื่อนและไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้?
ใจของบัณฑิตแซ่ฉู่คิดจะถอย อย่างน้อยก็ควรหลบเลี่ยงประกายคมกริบของอีกฝ่าย ไม่ปล่อยให้หมัดต่อยลงมาบนร่างอย่างโง่งมอีก แต่วินาทีที่เขาเตรียมจะย้ายตำแหน่งนั้นเอง ร่างของเด็กหนุ่มกลับหายไปกลางอากาศ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบัณฑิต ปล่อยหมัดต่อยลงตรงซี่โครงที่มีเสื้อเกราะบดบังด้วยพลังอำนาจที่ดุดัน พละกำลังรุนแรงมาก ทำเอาบัณฑิตแซ่ฉู่เซถอยออกไปด้านข้าง แต่ขณะเดียวกันเขาก็โล่งใจได้ เพราะหลังจากที่ตั้งท่าหมดแบบจริงจังแล้ว ปณิธานหมัดของเด็กหนุ่มน่าตกใจก็จริง แต่ดูเหมือนพลังจะเพิ่มขึ้นไม่มาก
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเคยพูดสัพยอกในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วว่า กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของข้าผู้อาวุโสให้ความสำคัญกับหมัดแรก เมื่อหมัดแรกมาถึง ปณิธานศักดิ์สิทธิ์ถูกชักนำ หัวท้ายเชื่อมโยงกัน สิบหมัดร้อยหมัดหลังจากนั้นก็ย่อมมาถึงได้เอง ดังนั้นหมัดแรกต้องต่อยให้โดนคู่ต่อสู้ หลังจากนั้นสามารถปล่อยไปได้อีกกี่หมัดก็อยู่ที่ว่าลมปราณเฮือกหนึ่งนั้นสามารถประคองตัวได้ถึงเมื่อไหร่
ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้หมัดแรกพลาด เฉินผิงอันถึงยอมใช้ยันต์ย่อพื้นที่หนึ่งแผ่นโดยไม่เสียดาย
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ออกหมัดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ พละกำลังแค่หนักกว่าหมัดก่อนหน้านี้เล็กน้อยเท่านั้น ต่อยลงบนช่องโพรงต่างๆ ของบัณฑิตแซ่ฉู่ และตรงจุดที่ลำแสงบนเสื้อเกราะไหลเวียนวน ไม่ว่าหมัดของเฉินผิงอันต่อยลงที่ใด แสงตรงจุดนั้นก็จะสว่างวาบขึ้นมา สมกับที่เป็นสมบัติอาคมล้ำค่าอันดับต้นๆ ของแคว้นกู่อวี๋
ทุกครั้งที่พยายามจะหลบเลี่ยงกลับหลบหมัดนั้นไม่พ้น ราวกับว่าพลาดไปเพียงแค่ก้าวเดียวอยู่เสมอ หลังจากที่ต้องรับหมัดเต็มๆ ถึงสิบหมัด บัณฑิตแซ่ฉู่ที่ไร้ปัญญาจะตอบโต้ก็พลันหน้าซีดขาว
หัวไหล่ หน้าอก ซี่โครง หน้าท้อง หัวใจด้านหลัง จุดไท่หยางตรงศีรษะ (อยู่ตรงขมับ รอยบุ๋มระหว่างหางคิ้วกับไรผม) หว่างคิ้ว ข้อศอก หัวเข่า
ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่ ‘จุดพักเท้า’ ของเด็กหนุ่ม
เฉินผิงอันออกหมัดรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ประเด็นสำคัญคือบัณฑิตแซ่ฉู่กลับเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นยังคงรักษาความนิ่งสงบเยือกเย็น ลมหายใจหนักแน่นมั่นคงไว้ได้ตลอดเวลา จิตใจของเขาแน่วนิ่งเกินไปแล้ว และทุกหมัดก็สอดประสานกันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เป็นธรรมชาติ ราวกับตัวประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปี
หลังปล่อยไปสิบห้าหมัด หมัดของเฉินผิงอันก็ปริแตกจนเห็นกระดูกขาวได้บางส่วน เลือดสดไหลโซม แต่เฉินผิงอันหรือจะสนใจความลำบากทางร่างกายที่ไม่เจ็บไม่คันนี้?
เมื่อเทียบกับความยากลำบากราวกับถูกค้อนเหล็กทุบตีเลือดเนื้อและกระดูกของทั้งสิบนิ้วให้แหลกเละแตกละเอียดไปทีละนิด เปรียบเทียบกับความยากลำบากที่ต้องลงมือถลกหนังดึงเส้นเอ็นด้วยตัวเองแล้ว เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้นับว่าเป็นการเสวยสุขอย่างผ่อนคลายเบาสบายแล้ว
บัณฑิตแซ่ฉู่เผยร่างจริงครึ่งร่างแล้ว ตัวของเขาเปลี่ยนมาเป็นสูงหนึ่งจั้ง ดวงตาเป็นสีเขียว ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเอ็นสีเขียวปูดโปน กล้ามเนื้อด้านใต้เกราะวิเศษเริ่มมีแววจะพองนูนขึ้นมาเหมือนตะปุ่มตะป่ำของต้นไม้โบราณ
เขาเอามือสองข้างบังไว้ด้านหน้าใบหน้าของตัวเอง พยายามตะโกนสุดเสียงในทุกครั้งที่ถูกต่อยจนตัวปลิว “นักพรตป๋ายลู่ เทพภูเขาฉิน เหตุการณ์มีการเปลี่ยนแปลง รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!”
เนินเขาที่อยู่นอกบ้านโบราณ เทพภูเขาเถื่อนได้ยินประโยคนั้นแล้วหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
สะเก็ดไฟจากเปลวเพลิงในคบเพลิงที่บัณฑิตแซ่ฉู่เสียบไว้บนเสาระเบียงก่อนหน้านี้ถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว สะเก็ดไฟเล็กๆ เหมือนดวงดาวล่องลอยไปสี่ทิศ แม้ส่วนใหญ่จะสลายไปในเวลาไม่นาน แต่ก็ยังมีกลุ่มไฟเล็กๆ บางส่วนที่ทยอยกันปลิวไปทางเรือนชั้นสาม ทำให้เขาสามารถเห็นภาพเหตุการณ์ในเรือนโบราณผ่านสะเก็ดไฟเหมือนเห็นจากดวงตาของตัวเอง
ดังนั้นเทพภูเขาจึงมองเห็นการประมือกันระหว่างบัณฑิตแซ่ฉู่กับเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน นี่ทำให้เขาลำบากใจเล็กน้อย ไม่ได้ลำบากใจที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่ลำบากใจว่าควรจะเข้าไปร่วมตอนไหนถึงจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่สุด หากเสื้อเกราะของบัณฑิตแคว้นกู่อวี๋ยังไม่แหลกละเอียด เขาก็คร้านที่จะส่งถ่านในวันหิมะตกให้กับอีกฝ่าย สังหารเด็กหนุ่ม ช่วยบัณฑิตรักษาเสื้อเกราะวิเศษชิ้นนั้นเอาไว้ก็เท่ากับเขาหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวไม่ใช่หรือ
นักพรตวัยกลางคนที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นพลันเอ่ยว่า “ระดับความคมของดาบวิเศษในมือของนักดาบเคราดกคนนั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ หากข้าผู้เป็นนักพรตยังไม่ลงมือ เกรงว่าคงจะเดือดร้อนไปถึงร่างจริงของผีสาวด้วยแล้ว จะเอาอย่างไร เทพภูเขาฉินจะไปพร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรตหรือจะเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่ต่อ?”
เทพภูเขาเถื่อนหัวเราะพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าและข้าเป็นพันธมิตรกันก็ควรร่วมทุกข์ร่วมสุข ควรหรือที่ข้าจะเอาแต่หดหัวรออยู่ในกระดอง”
นักพรตหัวเราะฮ่าๆ โยนแส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะออกไปเบื้องหน้า ในขณะที่มันกำลังจะร่วงลงพื้นก็จำแลงกลายมาเป็นกวางขาวที่เรือนกายสูงใหญ่ นักพรตกระโดดขึ้นขี่หลังกวางแล้วควบตะบึงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมนักพรตเต๋าแขนกว้างสะบัดดังพึ่บพั่บ แล้วก็โชคดีที่ไม่มีชาวบ้านร้านตลาดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงโขกหัวกราบกราน ตะโกนเรียกว่าเทพเซียนไปแล้ว
เทพภูเขาเถื่อนไม่ได้ใช้เวทอาคมอะไร แค่ก้าวออกไปก้าวหนึ่งอย่างเรียบง่ายก็มาเดินอยู่ข้างกายกวางขาวและนักพรตแล้ว
กวางขาวห้อตะบึงราวกับสายลม เพียงไม่นานก็มาหยุดอยู่นอกบ้านโบราณ นักพรตเต๋าวัยกลางคนทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ กวางขาวกลับคืนมาเป็นแส้ปัดฝุ่นที่พุ่งเข้าไปอยู่ในมือของเจ้าของในชั่วพริบตา นักพรตเต๋ากล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง “พี่ฉู่ ข้าผู้เป็นนักพรตจะช่วยเจ้าสังหารศัตรูเอง!”
หลังจากปล่อยออกไปยี่สิบหมัด เฉินผิงอันก็รู้ว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองแล้ว น่าเสียดายก็แต่ไม่สามารถต่อยให้เสื้อเกราะวิเศษตัวนั้นแตกได้
แม้ว่าบัณฑิตแซ่ฉู่จะถูกต่อยจนเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เผยร่างจริงอย่างสมบูรณ์แบบ ระเบียงเกือบทั้งแทบถูกคนทั้งสองทำลายจนเละเทะ แต่บัณฑิตแซ่ฉู่กลับแค่สูญเสียพลังการต่อสู้ไปส่วนหนึ่งเท่านั้น อาศัยพรสวรรค์อันโดดเด่นและเกราะกวางหมิงจึงยังพอจะเหลือพละกำลังอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นถูกพายุหมัดของเด็กหนุ่มสั่นสะเทือนจนตายไป
จากนั้นนักพรตป๋ายลู่ที่ถือแส้นักพรตก็เยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า
เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บหมัดกลับมา จึงตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ
แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าสีชาด ตรงเข้าแทงที่กระจกหุ้มหัวใจของเสื้อเกราะที่ถูกต่อยจนยุบลงไปแล้ว
ลำแสงทั้งหมดของเสื้อเกราะพากันไหลไปรวมที่กระจกหุ้มหัวใจแทบทั้งหมด
เสื้อเกราะวิเศษเกิดเสียงเหมือนเครื่องกระเบื้องปริแตกเบาๆ
แสงสีขาวเส้นนั้นดีดกลับแล้วหายวับ ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
บัณฑิตแซ่ฉู่ที่หายใจรวยรินตื่นตะลึงสุดขีด แต่เพียงไม่นานสีหน้าของเขาก็ฉายความปิติยินดีอย่างยิ่ง เสื้อเกราะไม่ได้ถูกแทงทะลุ ตนยังไม่ตาย!
แน่นาทีถัดมาเขาก็รู้สึกว่าหว่างคิ้วเย็นวาบ เรือนกายที่แข็งแกร่งหงายหลังผลึ่ง ในขณะที่กำลังจะตาย เขาทิ้งประโยคอาฆาตอย่างเจ็บแค้นไว้ว่า “ทำลายรากฐานมหามรรคาของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
กล่าวประโยคนี้จบบัณฑิตแซ่ฉู่ที่ล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีกก็กลายมาเป็นต้นไม้โบราณสีเขียวที่ผุเปื่อยแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง เสื้อเกราะวิเศษที่ไม่มีเจ้าของก็กลับกลายมาเป็นลูกกลมที่ส่องประกายแวววาวดังเดิม
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
ที่แท้ตามหลังชูอีก็มีแสงสีเขียวอีกเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเส้นแสงสีขาวมาก พุ่งทะยานตามกันออกไปติดๆ หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ฉวยโอกาสขณะที่ปราณวิญญาณของเสื้อเกราะไปรวมกันที่กระจกปกป้องหัวใจ กระบี่ที่สองจึงแทงทะลุหว่างคิ้วของบัณฑิตแซ่ฉู่ไปได้อย่างง่ายดาย
เทพภูเขาเถื่อนที่ยืนอยู่บนกำแพงสูงของบ้านโบราณร้องอุทานตกใจ “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต!”
เขาหันตัวกลับได้ก็ก้าวยาวๆ ออกไปหนึ่งก้าว ร่างปรากฏห่างออกไปหลายสิบลี้ พอลมเย็นๆ พัดมา เขาก็สัมผัสได้ถึงเหงื่อที่แตกพลั่กท่วมร่าง
“แม่งเอ๊ย เซียนกระบี่!”
นักพรตป๋ายลู่ที่สองเท้าเพิ่งจะเหยียบลงกลางระเบียงเขย่งปลายเท้า กระโดดผลุงขึ้นสูง ไม่พูดไม่จาก็เผ่นหนีไปทันที ขว้างแส้นักพรตพรวดออกไปกลางอากาศ กวางขาวพลิ้วกายลงบนพื้น นักพรตขึ้นขี่ไปบนหลังของมันแล้วหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิมด้วยความอึ้งตะลึงเล็กน้อย ในใจเขาคิดว่าข้าเป็นแค่คนที่ฝึกหมัดได้ไม่ถึงสองปี ทำไมถึงกลายมาเป็นเซียนกระบี่ได้แล้วล่ะ? ข้ายังไม่ใช่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่เลยด้วยซ้ำ