Skip to content

Sword of Coming 218

บทที่ 218 เซียนซือมาเยือน

เรือนด้านหลังของบ้านโบราณ ด้านนอกหอซิ่วโหลว ศึกใหญ่กำลังเปิดฉากขึ้น

แม้ว่าขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของมือดาบเคราดกที่เดินทางมาที่นี่เพียงแค่เพื่อสังหารปีศาจจะไม่ถือว่าสูงมากนัก เป็นแค่ขอบเขตสี่ที่มั่นคง ทว่าดาบวิเศษในมือเล่มนั้นกลับเป็นศาสตราวุธที่มีระดับขั้นสูงสุด หลังกรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไป ขณะที่ชักดาบจะมีแสงสีแดงเปล่งประกายคลอมากับเสียงสายลมสายฟ้าคำรณ พลังอำนาจดุดันมิอาจขัดขวาง

หญิงชราที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนสามชั้นแรกคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามที่เก็บซ่อนฝีมือไว้อย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าอายุของนางสูงมากแล้ว พละกำลังไม่เป็นใจ จึงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์หน้าหนวดและดาบวิเศษเล่มนั้นอยู่ดี หลังจากสู้กันหลายสิบรอบก็ถูกชายฉกรรจ์ใช้หลังดาบตีจนมึน แล้วแตะเข้าไปในห้องจนกระทั่งนางหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง

เดิมทีหญิงชราไม่น่าจะหมดสภาพได้ถึงขั้นนี้ เพียงแต่ว่าถูกกักขังอยู่ในกรงมานาน ถูกปราณแห่งความมืดมนชั่วร้ายที่ค่ายกลดึงให้มารวมตัวกันรุกรานอยู่นานเกินไป แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนผีหรือวัตถุหยินที่พบเจอแสงสว่างไม่ได้ แต่กลับหวาดกลัวปราณอันทรงพลังของดาบวิเศษเล่มนั้นมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งมือดาบเคราดกยังเคยเดินทางไปทั่วสารทิศ มีประสบการณ์ด้านการเข่นฆ่าอย่างโชกโชน การที่หญิงชราพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ในเรือนชั้นสุดท้าย ตอนแรกบุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านโบราณเลือกที่จะออกมารับมือกับศัตรูเพียงลำพัง เขาพลิ้วตัวจากระเบียงคนงามเข้ามาอยู่กลางลานบ้าน หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ถูกฝุ่นเกาะมานานปี ตัวกระบี่เยียบเย็นดุจสายน้ำ ประมือกับมือดาบ กระบี่ของเขาตวัดฉวัดเฉวียนอย่างแผ่วเบาว่องไว ไม่ยอมปะทะกับดาบวิเศษซึ่งๆ หน้า ทุกๆ ครั้งที่ออกกระบี่จะต้องทิ่มแทงเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของชายฉกรรจ์หนวดดกโดยตรง ปลายกระบี่พ่นประกายแสงสีเขียวอันเป็นกระแสแสงงดงามที่ปนความเศร้าอยู่ท่ามกลางม่านฝน

มือดาบเคราดกลงมือได้มีท่วงทำนองคล้ายคลึงกับทหารกล้าในสมรภูมิรบ หยาบกระด้างเรียบง่าย ทุกครั้งที่ชักดาบมีเพียงความเร็วและดุดัน กระบวนท่าไม่ซับซ้อน ไม่ได้ดูอัศจรรย์สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าทุกดาบล้วนคล่องแคล่วว่องไว ดึงกลับชักออกได้ตามใจปรารถนา หากหนึ่งดาบไม่โดนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าโดนแล้วศัตรูต้องบาดเจ็บสาหัส เมื่อรับมือกับเวทกระบี่ชั้นสูงของบุรุษที่สวมชุดสีดำ มือดาบเคราดกก็ยังคงรับมือได้อย่างสบายๆ

เมื่อเขาพบเห็นเบาะแสบางอย่าง ชายฉกรรจ์ก็ออกกระบี่รวดเร็วรุนแรงมากกว่าเดิม เพราะเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ถึงกับแผดเสียงด่าดังลั่น “เจ้าคนระยำ ทั้งๆ ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนที่ถูกทำนองคลองธรรม แต่ดันไม่ยอมช่วงชิงมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะ เหตุใดถึงปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ?! กลับกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งผี เอนเอียงเข้าข้างผีสาวตนนี้ ทำร้ายให้รัศมีหลายร้อยลี้รอบด้านที่แห่งนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย?! เจ้าว่าตัวเองสมควรตายหรือไม่!”

ชายฉกรรจ์เคราดกคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล มือทั้งคู่ที่ถือดาบตวัดฟันลงไปด้านล่างอย่างแรง ดาบนั้นฟันลงไปที่กระบี่ของคนผู้นั้น ฟันให้ทั้งคนทั้งกระบี่แหลกสลายไปหลายจั้ง เจ้าของบ้านโบราณที่สีหน้าเป็นคนหนุ่ม แต่เส้นผมกลับขาวโพลนถอยกรูดไปด้านหลัง น้ำฝนใต้ฝ่าเท้าสาดกระเซ็นไปรอบด้าน กว่าจะหยุดยืนนิ่งๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขากลืนเลือดสดที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอลงไป บุรุษที่สีหน้าแห้งเหี่ยวบิดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงกระบี่ก็พลันเปล่งวาบแล้วตรงเข้าทะลวงหยดน้ำฝนจำนวนนับไม่ถ้วนใกล้กับบริเวณปลายกระบี่ให้แตกกระจาย เสียงปริแตกดังเหมือนเสียงประทัดในวันตรุษจีน

ชายฉกรรจ์เคราดกก้าวออกไปข้างหน้าหนักๆ หนึ่งก้าว ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ของดาบที่ถืออยู่ในมือส่องจ้าจนแขนทั้งแขนถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีแสง อีกมือหนึ่งของชายฉกรรจ์ชี้หน้าบุรุษผู้นั้น ถลึงตาเดือดดาล “ศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่ากลับใจคือฝากฝั่ง เจ้าคนสารเลวที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษอย่างเจ้ายังไม่ยอมหยุดมือถอยออกไปอีกรึ?! คิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้แซ่สวีไม่กล้าฆ่าเจ้าไปพร้อมกันด้วย?!”

บุรุษเอ่ยประโยคแรกของค่ำคืนนี้ น่าจะเป็นเพราะเขาเองก็เป็นคนที่มีความรู้ แม้เสียงที่พูดจะแหบพร่าเหมือนเสียงมีดที่ลับบนหิน แต่ท่วงท่ากลับสุขุมเยือกเย็น สีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ไม่ตอบโต้กลับด้วยวาจาบาดหู กลับยังเอ่ยเหมือนสัพยอก “ศาสนาพุทธยังกล่าวด้วยว่าวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ”

มือดาบเคราดกกวาดตามองไปรอบด้าน เงยหน้ามองระเบียงคนงามชั้นสองที่ประตูใหญ่ปิดสนิท หลังดึงสายตากลับมาก็เอ่ยเยาะเย้ยว่า “โอ้โห ยังมีอารมณ์มาตีฝีปากกับข้า ดูท่าคงเป็นเพราะมีที่พึ่งสินะ ก็จริง อาศัยชาติกำเนิดของเจ้าและตบะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าที่เป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าภายในร้อยปีมานี้อาจจะดำเนินกิจการสกปรกนี้ได้อย่างเจริญรุ่งเรือง หาไม่แล้วเทพภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงก็คงไม่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของเจ้า หากข้าเดาไม่ผิด แม้ว่าเจ้าจะไม่มีหน้ากลับสำนัก แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็คงอาศัยชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสำนักมาข่มขู่ผู้คนไว้ไม่น้อย คนนอกถึงได้ไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่นิดเดียว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็เดือดดาลสุดขีด สีหน้าของเขาเหมือนรูปปั้นราชาสวรรค์ในวัดที่ถลึงตามองมาอย่างดุดัน แผดเสียงดังดุจฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ “ใช่หรือไม่?!”

บุรุษที่ถือดาบยาวเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบโต้ ทว่าจุดลึกในดวงตากลับมีความกลัดกลุ้มซ่อนอยู่

ชายฉกรรจ์เคราดกเอ่ยเสียงเฉียบ “ให้โอกาสเจ้าได้กลับตัวเป็นคนใหม่ เจ้าไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าผู้แซ่สวีสังหารปีศาจอย่างไร้เมตตาแล้วกัน!”

ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะชักดาบ บุรุษถอนหายใจอย่างหมดอาลัยพ่วงแฝงไปกับความละอายใจ จากนั้นเขาก็กัดปลายนิ้วให้เลือดไหล ใช้มันเขียนตัวอักษรคำเขียวตำราชาด (คำเขียวหรือบทความสีเขียวคือคำอวยพรที่นักพรตลัทธิเต๋าเขียนถวายแก่สวรรค์ในช่วงเวลาที่บำเพ็ญกายใจเพื่อถวายแก่เทพยดา ตำราชาดคือหนังสือที่เขียนด้วยหมึกแดง) ลงบนด้ามกระบี่

การสรรเสริญด้วยคำเขียวคือหนึ่งในพิธีกรรมของลัทธิเต๋า เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลสามารถถวายสารให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงระหว่างฟ้าและดิน หากมีความจริงใจมากพอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ก็จะมีเทพองค์ต่างๆ เยื้องกรายลงมาเยือน ยกตัวอย่างเช่นหากเขียนคำเขียวให้แก่องค์เทพในกรมสายฟ้า และถ้าเทพสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นก็อาจถึงขั้นได้ครอบครองสายฟ้าไว้ในมือ มีร่างทองปกป้องกาย ในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนมีขุนพลเทพกรมสายฟ้ามาเยือนโลกมนุษย์ มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย

“มิน่าเล่ากำแพงบังตานั้นถึงมีท่วงทำนองของคำเขียวชั้นเยี่ยมหลงเหลืออยู่ คนระยำอย่างเจ้าเป็นถึงลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักโองการเทพ ต่อให้ตายร้อยรอบก็ยังไม่สาสม!”

บุรุษเคราดกโมโหจนแทบเต้นผาง เขาฟาดดาบลงไปเต็มแรง แสงสว่างระเบิดเจิดจ้า ขับให้ทั่วทั้งเรือนสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน

สำหรับเขาแล้ว การที่ภูตผีปีศาจมาก่อความวุ่นวายอยู่ในโลกมนุษย์ การกระทำที่โหดร้ายของพวกมันสร้างความเดือดดาลให้แก่ผู้คนมากแค่ไหน แต่ชายฉกรรจ์เคราดกที่เห็นเรื่องประหลาดและโศกนาฎกรรมมาจนเคยชินก็ไม่มีทางรู้สึกตื่นตะลึงอะไรมากมาย เพราะนั่นเป็นสันดานเดิมของพวกภูตผีปีศาจ หากพวกมันอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติต่างหากถึงจะแปลก ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงมักจะแค่สังหารพวกมันให้จบเรื่องจบราว ไม่มีทางเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างในเวลานี้

แต่หากผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเปลี่ยนจากธรรมะมาเป็นอธรรม อาศัยฝีมือที่มากกว่ามารังแกคนอื่น นั่นต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

ด้วยความเกรี้ยวกราด ชายฉกรรจ์เคราดกยิ่งแผ่พลังอำนาจน่าตะลึง ยิ่งพลังเปี่ยมล้นมากเท่าไหร่ ดาบก็ยิ่งแกร่งกร้าวมากเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ดาบวิเศษเล่มนี้ยังเป็นอาวุธเทพที่เดิมทีพวกปรมาจารย์ในยุทธภพก็น้ำลายไหลอยากได้มาครอบครองอยู่แล้ว ทันใดนั้นแสงดาบก็ส่องสว่างจ้าอยู่ในลานบ้าน พายุลมปราณพัดกระหน่ำ เป็นเหตุให้เม็ดฝนที่โชคร้ายตกลงมาในลานบ้านแห่งนี้แหลกสลายอยู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่สัมผัสแตะก้อนอิฐบนพื้น

แม้ว่าจะใช้สุดยอดวิชาจากสำนัก แต่บุรุษเจ้าของบ้านอ่อนระโหยโรยแรงเกินไป เนื้อหนังก็แห้งเหี่ยว ประหนึ่งผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่ง แม้จะฝืนประคับประคองขอบเขตให้อยู่บนธรณีประตูขอบเขตห้าไว้ได้ แต่ลมปราณกลับเหือดหายแทบไม่เหลืออยู่นานแล้ว ประหนึ่งธารน้ำที่แม้ท้องน้ำจะกว้างขวาง แต่กลับไม่มีน้ำไหลผ่านสักเท่าไหร่ แห้งขอดจนแทบจะเห็นเบื้องล่าง และนี่ก็ทำให้การสรรเสริญคำเขียวที่เขียนไว้บนตัวกระบี่เพื่อเพิ่มพลังการโจมตีให้กับกระบี่เล่มยาวได้ผลเพียงน้อยนิด

ชั้นที่สองของหอซิ่วโหลว ในที่สุดผีสาวที่สวมเสื้อเขียวกระโปรงเขียวก็ปรากฏกาย นางใช้มือหนึ่งปิดหน้า อีกมือหนึ่งค้ำเสาระเบียง

เมื่อนางปรากฏตัว ตรงกำแพงบ้าน พื้นดินกลางลานบ้าน และเสาตามระเบียงก็มีรากต้นไม้หนาเท่าแขนคนจำนวนมากผุดพุ่งออกมาเหมือนลูกธนูที่แล่นออกจากสาย

มือดาบเคราดกที่เดิมทีได้เปรียบเต็มที่พลันตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่กระนั้นเขาก็ยังกล้าหาญมิหวาดกลัว พลิกร่างหมุนกลับอยู่กลางลานบ้านเพื่อหลบเลี่ยงลูกศรรากต้นไม้ที่พุ่งเข้ามา แล้วก็ถือโอกาสฟาดดาบตัดอาวุธลับที่พุ่งผ่านร่างไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย จิตใจของชายฉกรรจ์ห้าวเหิม แม้ตัวจะตกอยู่ในอันตราย แต่กลับแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “นังปีศาจเฒ่าเจ้าเป็นภูตต้นไม้จริงๆ ด้วย! มาได้ดี ข้าผู้แซ่สวีจะตัดรากทั้งหมดของเจ้า ถึงเวลานั้นจะทิ้งลมหายใจหนึ่งเฮือกให้เจ้า ปล่อยให้เจ้าแห้งตายอยู่กลางแสงแดด!”

นักพรตหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาจากระเบียง น่องขาด้านล่างทั้งสองข้างแปะยันต์กระดาษเหลืองไว้ข้างละแผ่น เป็นเหตุให้เขาวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าสายลม จนคนมองตาลาย นักพรตเต๋าหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลังวิ่งพลางตะโกนเสียงดังไปด้วย “จอมยุทธ์สวี นักพรตน้อยจะช่วยเจ้าสังหารปีศาจเอง!”

มือดาบเคราดกถูกรากต้นไม้เส้นหนึ่งกระแทกลงบนไหล่ เรือนกายสูงใหญ่อาศัยพลังโจมตีที่รุนแรงพลิกตัวหมุนอยู่กลางอากาศหนึ่งตลบ แล้วฟาดดาบฟันลงไปยังรากต้นไม้นั้น รากต้นไม้ที่หล่นลงพื้นยังคงทะลึ่งพรวดขึ้นมาด้านบนไม่หยุด ส่วนรากที่ถูกตัดซึ่งหดกลับเข้าไปในกำแพง ตรงบาดแผลที่ถูกตัดกลับมีเลือดสดสีดำไหลออกมา ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง บวกกับน้ำฝนหนักอึ้งที่ตกลงมา เป็นเหตุให้ไอสกปรกในลานบ้านปนกันมั่วซั่ว ยังดีที่กลิ่นอายแห่งวิถีวรยุทธ์ของชายฉกรรจ์ซึ่งหมุนเวียนไม่หยุดนิ่งนั้นหนาข้นมากพอ เหมือนแสงทองชั้นหนึ่งที่ปกป้องร่างกายและจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ เมื่อเห็นว่านักพรตหนุ่มเข้ามาร่วมวงด้วย ชายฉกรรจ์ถ่มเลือดคำหนึ่งออกจากปากแล้วก็หัวเราะอย่างถอนฉิว “นักพรตน้อย ความหวังดีนั้นรับไว้แล้ว! แต่อย่ามาช่วยให้เสียเรื่องเลย รีบพาเพื่อนของเจ้าหนีไปจากบ้านหลังนี้ซะ! ไปเตรียมอาหารและสุรารสเลิศที่เมืองเล็กรอไว้เป็นรางวัลให้ข้าผู้แซ่สวีได้เลย นี่ต่างหากถึงจะถือว่าช่วยข้าอย่างแท้จริง!”

นักพรตหนุ่มกลับไม่ยอมไปจากที่นี่ สังหารปีศาจและมาร ช่วยขจัดภัยร้ายให้แก่อาณาประชาราษฎร์ คือภารกิจอันพึงปฏิบัติโดยไม่สามารถบอกปัด!

ในฐานะลูกศิษย์สายรองของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่อให้ความสัมพันธ์จะห่างเหินแค่ไหน ต่อให้จะอยู่ห่างไกลจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าแห่งนั้นโดยมีภูเขานับพันสายน้ำนับหมื่นกั้นขวาง ต่อให้เขาจางซานจะไร้ชื่อเสียง คาถาอาคมจะเบาบางมากเท่าไหร่ แต่เขาก็คือหนึ่งในคนนับพันนับหมื่นของเทียนซือตระกูลจางดั้งเดิมที่แท้จริง!

ยันต์ที่แปะอยู่บนขาสองข้างของนักพรตหนุ่มก็คือยันต์เทพเดินทาง สามารถนำมาใช้ได้ประมาณหนึ่งก้านธูป ยันต์เทพเดินทางมีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ม้าศึก ความหมายตรงตามชื่อ นั่นคือสามารถทำให้ผู้ที่ใช้เดินทางได้ราวกับม้าควบตะบึง ราวกับเทพบรรพกาลที่กำลังทะยานลมออกสำรวจตรวจสอบพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ยันต์เทพเดินทางจึงอยู่ในระดับที่เจ็ดจากเก้าระดับของยันต์ ต่อให้จะราคาสูงมาก แต่สำหรับนักพรตหนุ่มที่ขาดพลังการต่อสู้ เรือนกายและจิตใจอ่อนแอแล้ว การมีวัตถุชิ้นนี้อยู่ในครอบครองถือว่าคุ้มค่า

จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน

นิ้วสองข้างของนักพรตจางซานทำมุทราคาถากระบี่ ระหว่างที่เดินอยู่กลางระเบียงก็เงยหน้ามองไปยังชั้นสองของหอซิ่วโหลว “จงรับคำบัญชาบัดเดี๋ยวนี้ ไป!”

เมื่อนิ้วสองข้างที่ทำมุทรากระบี่ขยับส่ายเบาๆ กระบี่ไม้ท้อก็พุ่งสวบออกไปจากด้านหลังของนักพรตหนุ่ม กระบี่ที่พุ่งขึ้นไปยังชั้นบนของหอซิ่วโหลวไม่ได้ตรงเข้าสังหารผีสาวภูตต้นไม้ที่ยืนอยู่ตรงเสาระเบียงโดยตรง แต่บินวนเป็นรอบใหญ่ วาดให้เกิดเป็นเส้นโค้งงดงาม สุดท้ายอ้อมผ่านเสาระเบียง เตรียมแทงใบหน้าด้านข้างของผีสาว

ผีสาวไม่เพียงแต่ต้องช่วยสามีที่อยู่ด้านล่างสยบประกายแหลมคมของดาบวิเศษมือดาบเคราดก ตอนนี้ยังต้องแบ่งสมาธิมารับมือกับกระบี่ไม้ท้อที่แหวกอากาศตรงเข้ามาหาด้วย จึงไม่มีเวลายกมือขึ้นมาบังใบหน้าที่อัปลักษณ์ของตัวเอง เดิมทีใบหน้าซีกหนึ่งของนางผิวเนื้อแหลกเละ กระดูกขาวโผล่น่าสะพรึงกลัว มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย ใบหน้าสมบูรณ์แบบที่หลงเหลืออยู่แค่ครึ่งซีกก็เกิดรอยปริร้าวเหมือนกระเบื้องแตก ใบหน้าน่าสยดสยองที่ทำให้คนมองรู้สึกอยากอาเจียนนี้ หากมนุษย์ธรรมดาที่ขี้ขลาดมาเห็นเข้า เกรงว่าอาจตกใจตายได้เลย

กิ่งไม้สีเขียวหนาเท่านิ้วมือพุ่งออกมาจากเสาระเบียงแล้วรัดพันกระบี่ไม้ท้อที่ขาดอีกแค่ครึ่งชุ่นก็จะแทงเข้าไปในใบหน้านั้น

พริบตานั้นกระบี่ไม้ท้อก็มีแสงยันต์สีเงินขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเมล็ดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา แล้วกลิ้งจากตัวกระบี่ลงสู่ด้านล่าง แสงสว่างเพียงเล็กน้อยแค่นี้กลับทำให้กิ่งไม้เหล่านั้นเผาไหม้เปรี๊ยะๆ เหมือนเจอกับไฟร้อนแรง จนกระทั่งควันสีเขียวผุดขึ้นเป็นระลอก

ผีสาวเหมือนถูกสายฟ้าฟาดผ่าน ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดร้าวราน รีบหันหน้ากลับมา ไม่กล้ามองแสงสว่างจุดนั้น นางรีบสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง กิ่งไม้ที่ถูกเผาจนเกือบเป็นตอตะโกก็ห่อหุ้มเอากระบี่ไม้ท้อกระชากกลับเข้าไปในห้องของนาง หลังจากที่ผีสาวหันหน้ากลับมา เนื่องจากนางหันมาแรงเกินไป ก้อนเลือดและหนอนก็ร่วงกราวลงมาบนระเบียงสาวงามพร้อมกัน นางร้องสะอื้นเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ็บปวดหรือรู้สึกเสียใจกันแน่

“ฮือๆ !”

พอบุรุษถือกระบี่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ร้องอุทานเบาๆ ตะโกนเรียกชื่อของผีสาวอย่างห้ามไม่อยู่ บุรุษเจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว! ทำไมต้องสมคบคิดกับเทพภูเขาเถื่อนผู้นั้นมาบีบบังคับพวกเราสองสามีภรรยาขนาดนี้ด้วย?! แม้ว่าจัวจิงจะเป็นภูตผี แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใคร ตลอดเวลาร้อยปีที่ผ่านมา นอกจากข้าจะใช้เลือดลมของตัวเองประคับประคองพลังชีวิตของจัวจิงเอาไว้แล้ว ก็แค่ใช้บ้านโบราณแห่งนี้เป็นแกนกลางค่ายกลดูดซับไอสกปรกและปราณหยินที่อยู่ในรัศมีสามร้อยลี้มาเท่านั้น กลับเป็นเทพภูเขาเถื่อนคนนั้นต่างหากที่ดึงโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาเป็นตบะของตัวเอง พวกเจ้าคนหนึ่งภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรม อีกคนหนึ่งก็เป็นนักพรตเต๋า แต่ทำไมไม่ไปหาเรื่องเขา จะมาบีบบังคับพวกเราที่อยู่ที่นี่ทำไม?!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษถือกระบี่ก็หัวเราะเสียงดังอย่างเจ็บแค้น “แค่เพราะพวกเราสองสามีภรรยาไม่ใช่ ‘คน’ อย่างนั้นหรือ เจ้าคนแซ่ฉินเป็นถึงเทพภูเขาผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าก็เลยต้องแบ่งแยกธรรมะกับอธรรมอย่างชัดเจนเช่นนี้?”

บุรุษถือกระบี่ที่เนื้อหนังเน่าเปื่อย เลือดลมแทบไม่มีเหลือวางกระบี่พาดขวางไว้ตรงหน้าอกของตัวเอง ก้มหน้าลงจ้องนิ่งไปที่แสงกระบี่สีขาวหิมะ วันเวลาในอดีต สำนักยิ่งใหญ่ น้ำใสขุนเขาเขียว นกกระเรียนเซียนแผดเสียงร้องดังยาว ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เขาเองก็เคยฝึกวิชากระบี่อยู่ที่นั่น อ่านตำราบทสรรเสริญคำเขียวหลายต่อหลายเล่มจนชำนาญจำได้ขึ้นใจ แล้วก็เคยเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง เพียงแต่ว่าจู่ๆ ที่บ้านก็ส่งจดหมายมายังสำนัก บอกว่าแม่นางที่เติบโตมากับเขาตั้งแต่ยังเด็กและมีสัญญาหมั้นหมายต่อกันล้มป่วยอาการสาหัส หมอที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองก็ยังไม่มีปัญญารักษานางให้หายได้ ในจดหมายบอกให้เขาสงบใจฝึกตนให้ดี เพราะต่อให้ลงจากภูเขามาก็คงไม่ทันได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ช่วงท้ายของจดหมายบิดายังบอกเป็นนัยๆ ว่า งานแต่งครั้งนี้จะไม่มีทางกลายเป็นอุปสรรคในการเดินสู่ที่สูงในสำนักโองการเทพของเขาในอนาคตอย่างแน่นอน

เขาเผาจดหมายฉบับนั้นทิ้ง สะพายกระบี่ลงจากภูเขา

ตอนที่กลับไปถึงบ้านเกิด หญิงสาวได้ตายไปแล้ว

เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ใช้เวทลับของสำนักโองการเทพ แทงหัวใจตัวเองเอาเลือดมาเขียนยันต์เรียกวิญญาณหนึ่งแผ่น พาศพของหญิงสาวมาชักนำวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของนาง เร่งร้อนเดินทางมุ่งหน้าสู่ภูเขาและป่าลึกยามค่ำคืน เวลากลางวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างไปหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ เมื่อพระอาทิตย์ตกก็จะรีบร้อนออกเดินทางอีกครั้ง พยายามตามหาสถานที่ที่มีไอหยินเข้มข้น หวังว่าจะช่วยเรียกวิญญาณของนางกลับคืนมา หลังจากนั้นเป็นเวลาร้อยปี เขาก็ใช้ทรัพย์สมบัติของตัวเองจนหมดสิ้น พยายามทุกวิถีทาง ใช้ตบะทั้งหมดที่มีสร้างบ้านโบราณหลังนี้ขึ้นมา ขโมยแกนไม้ของบรรพบุรุษต้นอวี๋ในแคว้นกู่อวี๋มาหนึ่งต้น ใช้เวทลับชั่วร้ายเหมือนการตัดต่อกิ่งต้นไม้นำวิญญาณของหญิงสาวผสานรวมเข้ากับแกนต้นไม้ เบื้องใต้ชุดกระโปรงของนางไม่มีเท้ามานานแล้ว มีเพียงรากต้นไม้ บ้านโบราณหลังนี้ทั้งช่วยต่อชีวิตให้กับนาง แล้วก็เป็นเหมือนคุกที่พันธนาการนางเอาไว้ด้วย…

พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้บิดามารดาอยู่ไกลๆ สุดท้ายสามีภรรยาไหว้กันและกัน นับแต่นั้นก็มีชีวิตอยู่เพื่อกันและกันในหอซิ่วโหลวแห่งนี้

มีเพียงสาวใช้ใกล้ชิดคนเดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา จนกระทั่งนางเปลี่ยนจากเด็กสาวผมดำกลายมาเป็นหญิงชราผมขาว

เรื่องราวในอดีต หวนรำลึก สุดทานทน

บุรุษถือกระบี่พึมพำ “หากวิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ พวกเราสองสามีภรรยามีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย”

มือดาบเคราดกวางดาบวิเศษลง ยื่นมือข้างหนึ่งชูขึ้นสูงทำท่าบอกว่าพักรบ ถามเสียงหนัก “ระหว่างนี้มีเรื่องอะไรที่ซุกซ่อนอยู่หรือไม่?”

บุรุษยิ้มขมขื่น “เทพภูเขาเถื่อนปรารถนาอยากได้บ้านโบราณหลังนี้มานานมากแล้ว ช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ข้าก็รู้เรื่องแล้ว ทว่าตัวเองเหลือตบะเพียงน้อยนิดแค่นั้น ยากที่จะต้านทานการหยั่งเชิงที่ชั่วร้ายและอันตรายจากพวกคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เหล่านั้นได้ จึงจำต้องกระทำการที่ละเมิดต่อมโนธรรมในใจและผิดต่อคำสาบาน เขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสำนักอย่างลับๆ หวังว่าสำนักจะส่งเทพเซียนห้าขอบเขตกลางสักคนหนึ่งมาช่วยข่มขวัญเทพภูเขาผู้นั้นได้บ้าง เพียงแต่ว่าจดหมายที่ส่งไปเหมือนดินโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวส่งกลับมา และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ สำนักไม่ตามมาไล่ฆ่าข้าให้สิ้นซากก็ถือว่ามีเมตตามีคุณธรรมมากพอแล้ว ใครเล่าจะยินดีเข้ามามีส่วนเกี่ยวกับเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่อยู่บนภูเขาแล้วได้ยินเรื่องอัปลักษณ์แบบนี้ของสำนัก เกรงว่าคงแล่นลงจากภูเขามาจัดการด้วยตัวเองแล้ว”

นักพรตจางซานมาหยุดอยู่ตรงหน้ามือดาบเคราดก อธิบายเสียงเบาว่า “ยันต์เทพเดินทางของข้าผู้เป็นนักพรตเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากนี่เป็นกับดักของพวกเขา ข้าผู้เป็นนักพรตน้อยคงต้องพาสหายหนีไปจริงๆ แล้ว”

เพียงแต่ว่าจู่ๆ นักพรตจางซานก็คลี่ยิ้ม “แต่ข้าผู้เป็นนักพรตน้อยรู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดปด”

มือดาบเคราดกรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใจคนอันตราย แม้ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่จิตใจอาจชั่วร้าย เรื่องราวในโลกช่างซับซ็อนยากจะคาดการณ์ได้ถึง

หากมีลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพมาที่นี่จริง ต่อให้จะเป็นแค่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกขอบเขตสองขอบเขตสามคนเดียว ก็จะพิสูจน์ได้ว่าบุรุษผีชาง (ผีชางคือชื่อผีชนิดหนึ่ง ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าผู้ที่โดนเสือกัดตายนั้น วิญญาณจะกลายเป็นผู้รับใช้เสือ คอยช่วยหาเหยื่อ ช่วยให้เสือไปทำร้ายคนอื่นต่อไป) กับสตรีผีต้นไม้ของบ้านโบราณหลังนี้เป็นผู้บริสุทธิ์

ในฐานะที่สำนักโองการเทพเป็นผู้นำแห่งลัทธิเต๋าของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังมีเทียนจวินท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นดั่งเสาเทพสยบมหาสมุทร หากพูดจาแบบไร้คุณธรรมสักหน่อย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่ทำงานใช้แรงงานอย่างปัดกวาดบันไดของสำนัก เกรงว่าคำพูดคำจาของเขาก็คงได้ผลยิ่งกว่าเจ้าประมุขของพรรคเล็กๆ ข้างนอกเสียอีก

แม้ว่าศึกใหญ่จะปิดฉากลงแล้ว ทว่าสี่คนที่อยู่ตรงนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าประมาท

โดยเฉพาะสตรีในหอซิ่วโหลวที่แอบขโมยแกนต้นไม้อวี๋ที่เป็นต้นบรรพบุรุษมาครอบครอง ก่อนหน้านี้นางได้รับการปกป้องจากเจ้าบ้านชายอย่างดีมากมาโดยตลอด ศึกใหญ่ครั้งนี้กลับต้องมาถูกมือดาบตัดรากต้นไม้ของตัวเองไปนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังถูกกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นทำให้ตกใจไม่น้อย แม้ว่าลึกๆ ในใจนางจะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันนี้ แต่พอวันนี้มาถึงเข้าจริงๆ นางก็ยังคงตระหนกลนทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี รู้สึกเพียงว่าตัวเองดีแต่จะเป็นตัวภาระให้กับสามี ความละอายใจจึงยิ่งเข้มข้นรุนแรง

หัวใจของนางยุ่งเหยิงขมวดรวมกันเป็นปม

เป็นอย่างนี้มาร้อยปีแล้ว

และเวลานี้เอง ทางฝั่งเรือนชั้นสองก็มีลมปราณแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจสองสายปรากฏขึ้น คนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมเต๋าเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า ไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่ได้ตรงเข้าไปที่หอซิ่วโหลว แต่เลือกที่จะพลิ้วกายลงมาตรงจุดนั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบ้านชายหญิงจะได้ยินความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้ของทางฝั่งนั้นแล้ว แต่เมื่อศัตรูตัวฉกาจมายืนอยู่ตรงหน้า จึงต้องรีบช่วยกันรับมือมือดาบเคราดก ไม่อาจแบ่งสมาธิไปตรวจสอบเหตุการณ์ทางฝ่ายนั้นจริงๆ ได้แต่คิดว่าหญิงชราที่เป็นบ่าวรับใช้ฟื้นคืนสติแล้ว และกำลังขัดขวางพวกคนถ่อยที่แฝงตัวเข้ามาในบ้านโบราณ

และจากนั้นไม่นานทั้งเทพภูเขาเถื่อนและนักพรตป๋ายลู่ที่มาเยือนอย่างรีบร้อนกลับจากไปอย่างรีบร้อนยิ่งกว่า

แถมยังพูดว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต” และ “เซียนกระบี่” อะไรด้วย ราวกับว่าเจอเทพเซียนบนภูเขาเข้าจริงๆ จึงไม่กล้าลงมือ ได้แต่รีบร้อนหลบหนีไปให้ไกล

มือดาบเคราดกเอ่ยเบาๆ “นักพรตน้อย เจ้าไปดูสิ”

นักพรตจางซานอึ้งตะลึง แม้ว่าชายฉกรรจ์หนวดรกครึ้มจะพูดจาอย่างผ่อนคลาย แต่ความหมายที่เปล่งออกมาจากทางสายตากลับเป็นการบอกว่าให้เขารีบออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้

นักพรตหนุ่มพูดไม่ออก มีทั้งอารมณ์ตื่นเต้นและเศร้าสร้อย

ตื่นเต้นเพราะในที่สุดตนก็ได้พบเจอคนที่เดินบนวิถีทางเดียวกัน คนที่ยินดีสละชีวิตอย่างไม่เสียดายเพียงเพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร แม้จะอยู่ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความห้าวเหิม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาปรารถนาให้ตัวเองกลายมาเป็นบุคคลแบบนี้มากที่สุด เศร้าสร้อยก็เพราะเขามักจะไร้ประโยชน์ เหมือนมีงานยุ่งแต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นนี้เสมอ

นักพรตหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงควบคุมกระบี่ไม้ท้อให้กลับมาจากหอซิ่วโหลวเงียบๆ พอรับมาไว้ในมือเรียบร้อยก็อาศัยช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่ของยันต์เทพเดินทางหมุนตัววิ่งห้อออกไป

บุรุษที่ถือกระบี่ยืนอยู่กลางลานบ้านขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นจะดีหรือร้าย

หรือว่าสำนักโองการเทพส่งลูกศิษย์ให้เดินทางมาที่นี่แล้วจริงๆ ?

หญิงสาวเป็นห่วงเขา เดิมทีสุขภาพของเขาก็เป็นเหมือนม้าตีนปลายอยู่แล้ว ศึกใหญ่ครั้งนี้ก็ยิ่งเหมือนยันต์เร่งเอาชีวิตสำหรับเขา นางไม่สนเรื่องรูปร่างอะไรอีกแล้ว ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาข้างหน้า เรือนกายใหญ่โตที่เดิมทีถูกกระโปรงสีเขียวและหอซิ่วโหลวสูงใหญ่ช่วยบดบังเอาไว้ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก ระเบียงสาวงามของชั้นสองถูกแหวกกลาง หญิงสาวที่คล้ายยืนอยู่บนตอไม้ขนาดยักษ์โน้มตัวลงมากลางลานบ้าน ด้านหลังคือรากต้นไม้โบราณที่ขวางเอียงอยู่กลางอากาศ

นางยื่นมือสองข้างที่สั่นเทาไปประคองใบหน้าของบุรุษ เจ็บใจที่ตัวเองไม่อาจเปล่งคำพูด ได้แค่ส่งเสียงอืออาเท่านั้น

บุรุษปลอบใจนางเบาๆ “ไม่ต้องกลัวๆ ไม่แน่ว่าสำนักอาจจะส่งคนมาช่วยแล้วจริงๆ”

มือดาบเคราดกเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจหนึ่งที เขาเอาดาบยาวค้ำไว้บนพื้นดิน ในใจคิดว่าต่อให้สองสามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นผีที่มีจิตใจชั่วร้าย ทว่าความรักความผูกผันของพวกเขาไม่ใช่ของปลอมแน่นอน

หลังจากทำให้เทพภูเขาเถื่อนกับนักพรตป๋ายลู่ตกใจหนีไปได้ เฉินผิงอันก็เก็บเม็ดเสื้อเกราะที่เป็นลูกกลมๆ นั้นขึ้นมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็เดินไปทางระเบียงที่เชื่อมกับเรือนพักชั้นสามและชั้นสี่อย่างเงียบเชียบ เตรียมพร้อมให้กระบี่บินสองเล่มออกมาสังหารศัตรูได้ทุกเมื่อ สืออู่สามารถพุ่งเข้าไปสังหารบุรุษถือกระบี่ได้ในชั่วพริบตา ส่วนชูอีรับผิดชอบถ่วงเวลา เผาผลาญพลังของผีภูตต้นไม้จนตาย ทว่าขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะสั่งให้กระบี่บินสองเล่มออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นั้นเอง เขากลับสังเกตเห็นว่าศึกใหญ่ยุติลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่มีท่าทีจะสู้เอาเป็นเอาตายกันชั่วขณะ เฉินผิงอันได้ยินคำพูดที่คล้ายจะออกมาจากใจจริงของเจ้าบ้านฝ่ายชายก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ เขาจึงเริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ แอบไปยืนอยู่ด้านหลังเสากลางระเบียงต้นหนึ่งที่สามารถอำพรางร่างของเขาไว้ได้

เมื่อนักดาบเคราดกบอกให้นักพรตจางซานจากไป เฉินผิงอันก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วดีดปลายเท้า ทะยานร่างขึ้นสูง จากนั้นเหยียบบนหัวเสา ดีดตัวไปทางเรือนพักชั้นที่สาม ร่างก็ไปโผล่พรวดอยู่กลางอากาศสูงเหนือระเบียงที่ทอดยาว จากนั้นใช้สองมือตบคานที่อยู่ข้างหน้าเบาๆ หนึ่งที ร่างก็ลอดผ่านไปตามระเบียงอย่างราบรื่นเหมือนปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ เพียงไม่นานก็กลับจากเรือนพักชั้นสามมายังเรือนพักชั้นสอง พลิ้วกายลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ ยืนอยู่หน้าห้องตรงตำแหน่งเดิมของตน ทรุดตัวนั่งลงไปบนธรณีประตู วินาทีที่ก้นของเฉินผิงอันเพิ่งจะสัมผัสพื้น นักพรตหนุ่มก็โผล่พรวดเข้ามาพอดี

“เฉินผิงอัน!”

นักพรตจางซานพูดรัวเร็ว “พวกเราหยิบของแล้วรีบหนีกันเถอะ จอมยุทธ์สวีบอกให้พวกเรารีบไปที่เมืองเล็ก เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ข้ายังอธิบายไม่ได้…”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พลันชี้ไปทางประตูใหญ่ของเรือนโบราณ “มีคนบุกเข้ามา”

หลังจากคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าประตูมาก็พากันหุบร่มน้ำมัน เดินอ้อมกำแพงบังตาเข้ามาในระเบียงที่ทอดยาว ก้าวพรวดๆ มายังลานบ้านของเรือนที่พวกเขาพักอาศัย

คนกลุ่มนี้ต่างก็สวมชุดคลุมเต๋าที่เรียบง่ายแต่สง่างาม บนศีรษะสวมกวานหางปลาหนึ่งในสามลัทธิของสำนักเต๋า นักพรตห้าคน มีทั้งคนแก่ คนเด็ก ชายและหญิง รัศมีของแต่ละคนต่างก็ไม่ธรรมดา

นักพรตเฒ่าที่เดินนำหน้าน่าจะเป็นผู้นำ ท่ามกลางม่านราตรี เขายังคงมีสายตาเป็นประกายเจิดจ้าที่สาดยิงไปทั่วทิศ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ที่ฝึกวิชาลัทธิเต๋าจนประสบความสำเร็จกลายเป็นเทพเซียน

คนที่เหลืออีกสี่คนมีนักพรตหนุ่มที่อายุค่อนข้างน้อย ในมือถือกระพรวนทองแดง สะพายกระบี่ยาวฝักสีดำ พู่กระบี่คือด้ายสีทองที่ถักทอเป็นลวดลาย สะดุดตามากเป็นพิเศษ

มีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกัน สีหน้าของพวกเขาเย่อหยิ่ง ตรงเอวของคนผู้หนึ่งห้อยเชือกยาวสีดำที่ม้วนไว้เป็นขด อีกคนหนึ่งมีแส้ไม้ไผ่สีเขียวสลับเหลืองงดงามเสียบเอียงๆ อยู่ตรงเอว

และยังมีเด็กน้อยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกคน เพราะเขาตัวเล็กที่สุด ขาสั้นที่สุด เวลาเดินจึงต้องจ้ำพรวดๆ ในมือถือแผ่นไม้ทรงยาวไม่สะดุดตา แต่บนแผ่นไม้กลับสลักสี่คำโบราณว่า ‘หมื่นผีศิโรราบ’

นักพรตหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “อาจารย์ คือคน ไม่ใช่ปีศาจ”

ผู้เฒ่าพยักหน้า แล้วก็ไม่สนใจเฉินผิงอันกับจางซานที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องพักอีก เขาเดินดิ่งตรงไปเบื้องหน้า ตอนที่ชายหญิงด้านหลังเขาเดินผ่านพวกเฉินผิงอันไป ต่างก็ไม่มีใครสนใจเฉินผิงอันที่สะพายกรอบไม้ไว้ข้างหลัง เพียงแค่มองชุดคลุมกับกวานเต๋าที่จางซานสวมใส่อยู่ไม่กี่ครั้ง ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไร

นักพรตห้าคนทิ้งคนทั้งสองไว้ข้างหลังอย่างไม่สนใจใยดี หลังจากที่นักพรตเฒ่าเดินเข้าไปในเรือนพักชั้นสามก็พลันตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนทรยศหยางหว่าง! ยังไม่ไสหัวออกมายอมรับผิดอีกรึ!”

บุรุษถือกระบี่ที่ยืนอยู่ใต้หอซิ่วโหลวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้ก็ทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล

ดีใจก็เพราะผู้เฒ่าคนนี้คือลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักโองการเทพอย่างไม่ต้องสงสัย นี่หมายความว่าจดหมายขอความช่วยเหลือของตนฉบับนั้นใช้ได้ผล แม้ว่าทางสำนักจะตัดชื่อของตนออกจากทำเนียบรายชื่อนักพรตเต๋าไปนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่สนใจใยดี ยังยอมส่งคนลงจากภูเขามาตรวจสอบเรื่องนี้ นี่หมายความว่าเทพภูเขาเถื่อนแซ่ฉินคนนั้นหนีไม่พ้นต้องเดือดร้อนแน่

แต่ลึกๆ ในใจของบุรุษกลับมีความกังวลที่มากยิ่งกว่า นักพรตเฒ่าคือคนวัยเดียวกับเขา ต่างก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เข้าไปอยู่ในสำนักโองการเทพปีเดียวกัน อีกทั้งอาจารย์ของพวกเขายังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน และยิ่งมีอาจารย์ปู่คนเดียวกัน ทว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกลับเลวร้ายสุดขีด ตอนที่ฝึกตนอยู่ในสำนักโองการเทพ พวกเขาสองคนเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ ตอนนี้คนหนึ่งคือเซียนซือที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อม อีกคนหนึ่งกลับเป็นผีชางต่ำต้อยที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่ จะเป็นผีก็ไม่เชิง หากนักพรตเฒ่าคิดจะเอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว เขาจะทำอะไรได้?

ด้านหลังของผู้เฒ่า ไม่ใช่ด้านหลังของเขาหยางหว่าง มีสำนักโองการเทพซึ่งเป็นเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีปยืนหนุนอยู่

หลังจากที่บุรุษถือกระบี่บอกให้หญิงสาวหลบไปอยู่ด้านหลังตัวเองแล้วก็ไม่ได้ถือกระบี่อีก เขาทิ่มปลายกระบี่ยาวลงบนพื้นเบาๆ หันหน้าไปทางระเบียง กุมมือคารวะโค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด “หยางหว่างยินดีรับการลงโทษจากทางสำนัก”

ผู้เฒ่าเดินเข้ามาในลานของหอซิ่วโหลวอย่างฮึกเหิม กระตุกมุมปาก “หยางหว่าง ไม่เจอกันร้อยปี เจ้ามีชีวิตรุ่งเรืองไม่เบาเลยนี่”

มือดาบเคราดกหันหน้าไปมอง หลังมองเห็นการแต่งกายของนักพรตทั้งห้าอย่างชัดเจน เขากลับหันไปกุมมือคารวะบุรุษผีชาง ไม่ได้คารวะเซียนซือจากสำนักโองการเทพผู้สูงส่งคนนั้น “คืนนี้ข้าผู้แซ่สวีล่วงเกินพวกท่านสองสามีภรรยาแล้ว อยากจะขออภัยจากใจจริง! หากต้องการ ข้าผู้แซ่สวียินดีออกหน้าช่วยเหลือ”

ชายฉกรรจ์หนวดยาวท่องอยู่ในยุทธภพมายี่สิบกว่าปีจึงมีสายตาที่แหลมคมมาก เพียงแค่มองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างหยางหว่างกับผู้เฒ่าของสำนักโองการเทพผู้นั้นแล้ว

วาสนามาพร้อมกับโชคร้ายก็เป็นเช่นนี้แล

ดูจากการแต่งกายของนักพรตทั้งเด็กและแก่กลุ่มนี้ ขาดก็แค่ไม่ได้เขียนสี่คำว่า ‘คนของสำนักใหญ่’ แปะไว้บนหน้าผากก็เท่านั้น

นี่ทำให้นักพรตจางซานอดกล่าวอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตเต๋าของแจกันสมบัติทวีป” แล้วพอหันมามองการแต่งกายของตน นักพรตหนุ่มที่มาจากกุรุทวีปก็ให้รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ แต่เพราะเป็นห่วงมือดาบเคราดกจึงลากเฉินผิงอันให้ตามมาด้วยไกลๆ สุดท้ายมานั่งยองกันอยู่ข้างรั้วของระเบียง

นักพรตเฒ่าของสำนักโองการเทพได้พาเด็กรุ่นหลังในสำนักซึ่งลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์เดินเข้ามาในลานกว้างที่สภาพเละเทะแล้ว ฝ่ามือที่ไพล่ไว้ข้างหลังของเขาก็ทำภาษามือที่มีเฉพาะในสำนัก อีกสี่คนที่เหลือจึงกระจายตัวกันออกไปยืนอยู่คนละตำแหน่ง โอบล้อมชายหญิงเจ้าของบ้านเอาไว้ บุรุษหนุ่มคนที่สะพายกระบี่ถึงกับขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงสูง จากท่าทางนี้ไม่เหมือนท่าทางที่จะมาให้ความช่วยเหลือ

บุรุษนามว่าหยางหว่างจับมือผีสาวหน้าตาอัปลักษณ์เอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอให้ได้เป็นสามีภรรยา เคียงคู่กันไปทุกชาติทุกภพ”

ผีสาวยังคงพูดไม่ได้ นางส่งเสียงอือๆ อาๆ แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนรู้ว่า นางกำลังพูดประโยค “ขอให้ได้เป็นสามีภรรยา เคียงคู่กันไปทุกชาติทุกภพ”

เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เดิมทีคิดจะนั่งดูอยู่เฉยๆ พลันน้ำตาไหลพรากอาบหน้า

แม้แต่ตัวเขาเองยังงงงัน

ความทรงจำในวัยเด็กพร่าเลือนไปนานแล้ว หลายเรื่องราวล้วนจำได้ไม่ชัดเจน

ทว่ามีภาพหนึ่งที่จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังคงจำได้อย่างแจ่มชัด บิดาของเขาเป็นคนนิสัยทึ่มทื่อพูดไม่เก่ง นั่นอาจเป็นคำหวานประโยคเดียวที่เขาเคยพูดในชีวิต “ชาติหน้าพวกเราจะยังได้อยู่ด้วยกันอีกไหม?”

ตอนนั้นสตรีนิสัยเรียบร้อยอ่อนหวานกำลังปะชุนเสื้อ นางเพียงแค่ยิ้มแล้วถามกลับว่า “ทำไมถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ?”

ตอนนั้นเฉินผิงอันแอบอิงอยู่ในอ้อมอกของสตรี เพราะอายุยังน้อยเกินไปจึงไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายพวกนี้เท่าใดนัก แต่สีหน้าของท่านพ่อท่านแม่ในเวลานั้นกลับทำให้เด็กชายจดจำได้แม่นยำ

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็จากไปแล้ว ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกว่า หากชอบใครสักคนหนึ่งอย่างจริงจัง ดูเหมือนว่าเวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่พอ

ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

นักพรตจางซานค้นพบความผิดปกติของเฉินผิงอันโดยบังเอิญ เขาลูบซีกหน้าตัวเองด้วยความสงสัยเล็กน้อย ต่อให้ฝนจะตกหนักแค่ไหน ก็คงไม่ถึงขั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำฝนหรอกกระมัง? แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝนที่ตกกระหน่ำในคืนนี้มาจนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นเพียงสายฝนบางๆ แล้ว ต่อให้ไม่กางร่มก็ไม่เป็นไร

จางซานถามอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “เฉินผิงอัน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เฉินผิงอันรีบเช็ดหน้าตัวเองลวกๆ เค้นรอยยิ้ม ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไรๆ คืนนี้มีเรื่องประหลาดมากมายเกิดขึ้น น่าตกใจเกินไป ข้าเป็นคนที่ความรู้สึกค่อนข้างช้า ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาให้ตกใจ ตอนนี้จบเรื่องแล้วถึงเพิ่งจะกล้าร้องไห้”

นักพรตจางซานทำสีหน้าเลื่อมใส ยื่นมือมาตบไหล่เฉินผิงอัน หันหน้ากลับไปกลั้นยิ้มพูดว่า “เจ้าคิดซะว่าข้าไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน”

นักพรตเฒ่าจากสำนักโองการเทพกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายหันมาส่งยิ้มให้บุรุษเจ้าของบ้านโบราณที่ยืนหลังตรงสง่าผ่าเผย จุ๊ปากพูด “วัตถุยังคงเดิม แต่คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว ทุกเรื่องต้องมีจุดสิ้นสุดจริงๆ ช่างเป็นคู่ยวนยางที่ชะตารันทดนัก หยางหว่าง เจ้าคิดว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร? ควรจะปฏิบัติตามกฎเหล็กของสำนัก หรือว่าไม่ต้องทำตามกฎ แต่ตัดสินโทษโดยอิงตามความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเราดีล่ะ?”

บุรุษเจ้าของบ้านโบราณกัดฟันแน่น ไม่เอ่ยตอบ

เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดเขาก็คงต้องคุกเข่าขอร้อง หวังเพียงว่าเซียนซือจากสำนักโองการเทพท่านนี้จะเมตตา

มือดาบเคราดกจะอ้าปากพูด ด้วยคิดว่าเขาต้องกล่าวเพื่อความเป็นธรรมสักหน่อย ถ้าไม่ได้พูดต้องอัดอั้นมากแน่!

แต่นักพรตเฒ่ากลับหันขวับมามองเขาด้วยสายตามืดครึ้ม ตวาดกร้าวเสียงดัง “คนอื่นอย่าเข้ามายุ่ง หุบปากกันไปซะ! สำนักโองการเทพจัดการเรื่องในสำนักตัวเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือสั่ง!”

มือดาบเคราดกโมโหจนเส้นเลือดฝอยผุดขึ้นเต็มดวงตา ใจอยากจะยกดาบฟันแสกหน้าอีกฝ่ายยิ่งนัก

แต่สุดท้ายก็ได้แค่ทอดถอนใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก

เรื่องราวในสำนักใหญ่เช่นนี้ หากคนนอกกล้าเข้าไปยุ่ง ตายขึ้นมาก็เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าอย่างแท้จริง

ยุทธภพเป็นเช่นนี้ บนภูเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนทำให้คนต้องอัดอั้นตันใจ

และเวลานี้เอง เฉินผิงอันหันไปยื่นลูกกลมส่งให้นักพรตจางซานเงียบๆ “จางซาน นับแต่บัดนี้ไป พวกเราสองคนถือว่าไม่รู้จักกันแล้ว ของสิ่งนี้เจ้ารับไว้…”

นักพรตจางซานดันมือเขากลับมา ขยับศีรษะเข้ามากระซิบเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ทำอะไรเหลวไหลเด็ดขาด ขอแค่เจ้าชิงลงมือก่อนก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายไร้เหตุผล ข้าผู้เป็นนักพรตรู้ว่าควรจะจัดการกับเซียนซือพวกนี้อย่างไร รับรองว่าได้ผลกว่าตีกันเสียอีก จำไว้ว่าอีกเดี๋ยวหากข้าถูกอัด เจ้าห้ามลงมือช่วยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า”

เฉินผิงอันถาม “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

นักพรตจางซานยิ้มเจิดจ้า “ลองดูก่อน หากไม่ได้จริงๆ เจ้าก็ค่อยช่วยข้าแล้วกัน”

กล่าวประโยคนี้จบนักพรตจางซานก็รู้สึกตลกเล็กน้อย เฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามนั้น เข้าไปก็มีแต่จะถูกคนอื่นซ้อม ยังไงก็ต้องขอให้ท่านบุรพาจารย์แห่งสามลัทธิที่อยู่เบื้องบนช่วยปกปักษ์คุ้มครองศิษย์ลูกศิษย์หลาน ให้การลงมือของข้าจางซานเฟิงครั้งนี้ได้ผลดีด้วยเถอะ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version