Skip to content

Sword of Coming 219

บทที่ 219 นักพรตเต๋าขับบทกวี

นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน จัดระเบียบเสื้อผ้า ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในลานกว้างของหอซิ่วโหลวด้วยท่าทางใจกว้างเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกท่านโปรดฟังนักพรตน้อยอย่างข้าสักคำ!”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันหันมามองนักพรตต่างถิ่นคนนี้ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป นักพรตเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่ตรงเอวมีเชือกสีดำขดห้อยเอาไว้ พอเห็นนักพรตจางซานเฟิงสีหน้าก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ปลดเชือกลงมาแล้วโยนออกไป เชือกก็กลายมาเป็นเหมือนงูวิเศษตัวหนึ่งที่คลายตัวออกเองอยู่กลางอากาศ พริบตาเดียวก็รัดพันร่างนักพรตหนุ่ม จางซานเฟิงเฟิงที่ถูกมัดเหมือนบ๊ะจ่างยืนโงนเงนจะล้มมิล้มเหล่ กว่าจะยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพหัวเราะเสียงเย็น “ทำไมต้องฟังคำพูดเหลวไหลจากเจ้าด้วย? นักพรตตัวปลอมที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนหนึ่ง หากยังกล้าปากมาก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปข้างนอกเสียเลย”

นักพรตจางซานเฟิงกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าผู้เป็นนักพรตมีแซ่จางนามซานเฟิง มาจากกุรุทวีป อาจารย์คือหั่วหลงเจินเหรินจากพรรคหลิงเซียว (เมฆที่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า) และข้าผู้เป็นนักพรตก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ชื่ออยู่ในทำเนียบสามารถตรวจสอบได้! ออกเดินทางไกลมาขัดเกลาจิตใจที่แจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ ก็เพื่อทำการทดสอบของภูเขามังกรพยัคฆ์ให้สำเร็จ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับคืนสู่บ้านเกิดก็จะได้กลายเป็นนักพรตในบัญชีลำดับวงศ์ตระกูลของจวนเทียนซือ! สำนักโองการเทพของพวกเจ้าช่างมีบารมียิ่งใหญ่นัก ถึงขนาดกล้าหมิ่นเกียรติคนตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์!”

เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่มีประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอมึนงงเล็กน้อย ความเกรี้ยวกราดโอหังหายไปชั่วขณะ

เห็นได้ชัดว่าเขาตกตะลึงกับคำกล่าวที่ว่า ‘จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์’ เพราะหากจะให้สำนักโองการเทพไปงัดข้อกับพวกเขา สำนักโองการเทพก็ไม่มีความมั่นใจนั้นจริงๆ

ชื่อเสียงของคนประดุจเงาที่ตามติด สำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงแจกันสมบัติทวีปไม่มีสักคนที่รับมือได้ง่าย

ภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่อยู่ในอาณัติของสายใดในสามลัทธิของสำนักเต๋า คือระบบเต๋าของพื้นที่แห่งหนึ่งที่ก่อตั้งสำนักขึ้นมาเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพได้ยินชื่อเสียงของพวกเขามานานแล้ว แต่ก็ถูกจำกัดอยู่แค่ที่ตำนานในเรื่องเล่าจากเกร็ดพงศาวดารเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนฟังมาจากชาวบ้านความรู้ตื้นเขินที่เล่าลือกันปากต่อปาก ขนาดผู้ฝึกลมปราณทั่วไปบนภูเขายังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่รับฟังเหมือนฟังเรื่องตลก แต่ถึงอย่างไรสำนักโองการเทพก็ถือเป็นตระกูลเซียนที่ได้ใช้คำว่าสำนัก จึงเข้าใจรากฐานที่แท้จริงของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มากกว่าคนอื่นๆ เทียนซือตระกูลจางมือหนึ่งถือตราประทับ มือหนึ่งถือกระบี่เซียน มรรคกถายิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด พลังการสังหารไร้ขอบเขต นั่นคือเซียนห้าขอบเขตบนที่สามารถเลื่อนขั้นสู่สิบอันดับแรกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยบุคคลระดับอัจฉริยะอย่างแท้จริง นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตำแหน่งอันโดดเด่นของฉีเจินที่เป็นทั้งเจ้าสำนักโองการเทพ แล้วก็เป็นทั้งเจินจวินแห่งแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นสำนักโองการเทพจึงสามารถเข้าใจถึงกลิ่นอายความเป็นเซียนที่ท่วมเทียมฟ้าของภูเขามังกรพยัคฆ์ได้เป็นอย่างดี

นักพรตจางซานเฟิงฉวยโอกาสโจมตี จ้องเขม็งไปยังนักพรตเฒ่าที่เป็นผู้นำซึ่งมีสายตามืดทะมึนด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “หยางหว่างเป็นอดีตลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะคำว่ารักคำเดียว ต่อให้ข้าที่เป็นคนนอกมาเห็นเข้าก็ยังรู้สึกชื่นชมสรรเสริญ แทบหลั่งน้ำตาให้กับความรักของพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ได้ ในฐานะผู้นำระบบเต๋าของแจกันสมบัติทวีป คิดๆ ดูแล้วสำนักโองการเทพก็น่าจะมีน้ำใจและจิตใจประมาณเดียวกันนี้ถึงจะถูกไม่ใช่หรือ?”

เด็กน้อยของสำนักโองการเทพที่อายุน้อยที่สุดซึ่งในมือถือไม้โบราณชิ้นยาวกระตุกชายแขนเสื้อของนักพรตที่เป็นเด็กสาวเบาๆ ถามเสียงค่อย “ศิษย์พี่หญิง ข้ารู้สึกว่าที่จางเซียนซือคนนี้พูดมาก็ถูกนะ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

เด็กสาวที่ตรงเอวมีแส้ไม้ไผ่สีเขียวสลับเหลืองส่ายหน้า “ก็แค่คำพูดเลื่อนเปื้อนไม่รู้จริงเท็จ อย่าได้คิดเป็นจริง”

เฉินผิงอันเหมือนได้เปิดโลกกว้าง

แต่ขณะเดียวกันนั้นหางตาเขาก็เหลือบไปเห็นทางสันหลังคาของหอซิ่วโหลว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

นักพรตจางซานเฟิงอยากจะยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตเฒ่าเพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับคำพูดของตัวเอง แต่กลับพบว่าตัวเองถูกมัดไว้แน่นจนกระดุกกระดิกไม่ได้ เลยกระโดดดึ๋งไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แค่นเสียงหัวเราะหยัน “แล้วนับประสาอะไรกับที่ในอดีตท่านเซียนซือผู้เฒ่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกันกับหยางหว่าง มีมิตรภาพเพราะฝึกตนด้วยกันมานานหลายปี ตอนนี้กลับมาพบกันอีกครั้งก็เหมือนคนบ้านเดียวมาเจอกัน เหตุใดถึงต้องยกอาวุธเข้าห้ำหั่น ไม่ใช่ร่ำสุราพูดคุยกันอย่างสำราญ? เทียนซือของตระกูลจางข้า ไม่ว่าจะอยู่ในบัญชีรายชื่อหรือเป็นแค่ลูกศิษย์ในนาม ขอแค่พบหน้ากันขณะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศก็เกิดความสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่เหตุใดสำนักโองการเทพของพวกเจ้าถึงไม่มีบรรยากาศเช่นนี้? อีกอย่างถึงแม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่เดินขึ้นเขาเพื่อฝึกตน แต่กลับรู้หลักการตื้นเขินอย่างข้อที่ว่ากฎหมายไม่มีทางเกินกว่าความรู้สึกของคนเป็นอย่างดี”

สุดท้ายนักพรตหนุ่มเปลี่ยนน้ำเสียงมาเป็นหัวเราะคิกคัก “ท่านเซียนผู้เฒ่าคงไม่ได้มีความแค้นเก่ากับหยางหว่าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจหน้าตาของสำนัก คิดจะบีบให้สามีภรรยาคู่นี้ตายให้ได้หรอกกระมัง? แต่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก เพราะแค่มองก็รู้แล้วว่าท่านเซียนผู้เฒ่าเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเรื่องนี้จบลง นักพรตจางซานเฟิงจะต้องช่วยนำชื่อเสียงของท่านเซียนผู้เฒ่าและสำนักโองการเทพไปบอกต่อ ต่อให้ในอนาคตได้ไปถึงภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นปฐมสำนักแล้ว ขอแค่พูดถึงสำนักโองการเทพก็จะยังยกนิ้วโป้งชื่นชม!”

ผู้เฒ่าที่ยืนเอาสองมือไพล่หลังเพียงหรี่ตายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

นักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่บนกำแพงพลันเอ่ยภาษาอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ นักพรตจางซานเฟิงมึนงงเล็กน้อย แล้วจู่ๆ นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ถือกระพรวนคนนั้นก็เปลี่ยนกลับมาพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป หลุบตาลงมองจากที่สูง ยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตจางซานเฟิง กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนโกหก ข้าถามเจ้าด้วยภาษาทางการของกุรุทวีป ทำไมเจ้าถึงตอบไม่ได้สักคำถามเดียว?! บังอาจสวมรอยเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์อยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปก็เท่ากับละเมิดกฎของระบบเต๋าในทวีป เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักโองการเทพก็ยังมีสิทธิ์จับตัวเจ้าอยู่ดี?! ยังไม่รีบคุกเข่ายอมรับผิดอีกรึ!”

คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับคนสารเลวที่พูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหลได้เก่งกว่าตน นักพรตจางซานเฟิงโมโหหนัก เริ่มใช้ภาษาทางการของกุรุทวีปที่แท้จริงด่านักพรตหนุ่มคนนั้นกลับไป จากนั้นถึงหันกลับมาพูดภาษาของแจกันสมบัติทวีป “พูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริง กลับดำเป็นขาว สำนักโองการเทพตัวดี เจ้าลัทธิเต๋าแห่งแจกันสมบัติทวีปตัวดี!”

คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มบนกำแพงจะไม่สนใจนักพรตจางซานเฟิงเลยสักนิด เขาหันหน้าไปมองผู้เฒ่า เสนอความคิดด้วยรอยยิ้มตาหยี “อาจารย์ วิเคราะห์ขั้นต้นได้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้มาจากกุรุทวีป ส่วนข้อที่ว่าจะใช่ลูกศิษย์ตระกูลจางของภูเขามังกรพยัคฆ์หรือไม่นั้น ยังต้องค่อยๆ ตัดสินใจกันไป ไม่สู้จับตัวเขาเอาไปโยนไว้ข้างๆ ก่อน รอให้พวกเราจัดการเรื่องในสำนัก จัดการกับผีชางผีต้นไม้คู่นั้นให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันดีไหม?”

ผู้เฒ่าเหมือนจะเห็นด้วย ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ในที่สุดสวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกก็สะกดกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ไม่ไหว เขาทำเหมือนอย่างที่พูดก่อนหน้านี้ นั่นคือถือดาบวิเศษ ก้าวออกมาข้างหน้า ช่วยออกรับแทนให้ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ข้าน้อยเป็นแค่พลทหารตัวน้อยไร้ชื่อเสียง ไม่อาจขอให้เซียนซือจากสำนักโองการเทพให้เกียรติ หากเซียนซือทุกท่านอยากจะลงโทษหยางหว่างตามกฎระเบียบ ข้าผู้แซ่สวีก็จะล้างหูรอฟัง หวังได้ความรู้จากกฎระเบียบของตระกูลเซียนที่มีตัวอักษรคำว่าสำนัก ดูสิว่าจะมีข้อไหนนำมาปรับใช้ได้บ้าง แต่หากคิดจะฆ่าสองสามีภรรยาหยางหว่างโดยไม่คิดจะให้คำอธิบาย ต่อให้ข้าผู้แซ่สวีต้องเสียเนื้อหนึ่งร้อยกว่าจินทั่วร่างนี้ไป ขอแค่ในมือยังมีดาบอยู่ ก็จะต้องขอความรู้จากมรรคกถาอันค้ำฟ้าของเทียนซือทุกท่านให้จงได้!”

เด็กหนุ่มสำนักโองการเทพที่ใช้เชือกพันธนาการปีศาจพลันถามว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่าตัวเองมีชาติกำเนิดมาจากภูเขามังกรพยัคฆ์หนึ่งในสำนักของกุรุทวีป ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีหนังสือผ่านแดนที่สามารถพิสูจน์ว่าเจ้ามาจากกุรุทวีป อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางหรือไม่? หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าก็ต้องรับผลที่ตามมาเรื่องที่เจ้าสวมรอยเป็นเทียนซือจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์”

สีหน้าของนักพรตจางซานเฟิงไม่น่าดูนัก เขาเผยความลังเลออกมาเสี้ยวหนึ่ง

มือดาบเคราดกปวดหัวเล็กน้อย ในใจคิดว่าหากนักพรตน้อยคนนี้รับมือกับปัญหาด้วยอารมณ์ สวมรอยเป็นญาติห่างๆ ของชนชั้นสูงหวงจื่อบนภูเขามังกรพยัคฆ์ นั่นก็ถือเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่น้อยเลยจริงๆ เมื่อมาตกอยู่ในมือของสำนักโองการเทพที่มีอำนาจตรวจสอบระบบลัทธิเต๋าในหนึ่งทวีปแล้ว ย่อมต้องพบเจอกับความยากลำบากครั้งใหญ่ หน้าที่ของเจ้าลัทธิเต๋าในหนึ่งทวีปอยู่ที่การสืบสาวราวเรื่องให้ถึงแก่น แม้จะเป็นประโยคที่มีแค่สี่คำ แต่น้ำหนักกลับมากอย่างถึงที่สุด เพราะนี่ถือเป็นการ ‘ปฏิรูปอย่างถึงรากเหง้า’

นักพรตจางซานเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันหน้ามาเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ช่วยหยิบเอกสารผ่านด่านในห่อสัมภาระให้ข้าที”

หยางหว่างผีชางแห่งบ้านโบราณหัวเราะเสียงขื่นหนึ่งที หันหน้ามามองภรรยา นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจความคิดของสามี หยางหว่างถึงได้หันกลับไป เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “จอมยุทธ์สวี นักพรตจาง ความหวังดีของพวกเจ้า หยางหว่างรับไว้แล้ว หากชาติหน้ามีจริง ย่อมต้องกลับมาตอบแทนให้แน่! วันนี้สำนักโองการเทพกำหนดโทษโดยใช้กฎมหาชนหรือคิดจะแก้แค้นส่วนตัว หยางหว่างและจัวจิงล้วนขอรับไว้เองทั้งหมด เพียงแต่จอมยุทธ์สวี นักพรตจาง และหนุ่มน้อยแซ่เฉินคนนั้นอย่าได้คิดว่าคนของสำนักโองการเทพเราล้วนมีแต่คนแบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้แน่นอน!”

กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย เสียงหัวเราะของหยางหว่างก็เปลี่ยนมาเป็นกำเริบเสิบสาน ราวกับว่าตลอดช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ต้องมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ อารมณ์ของเขาไม่เคยผ่อนคลายเท่าตอนนี้มาก่อน เขาชูนิ้วโป้งชี้กลับไปที่ตัวเอง “ในสำนักโองการเทพของข้า!”

หยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นผีชางหยางหว่างก็ชี้ไปที่ผู้เฒ่าคนนั้น “คนโง่เง่าที่ฝึกแต่ตบะไม่ฝึกจิตใจอย่างเจ้านี้ ถึงอย่างไรก็มีน้อยมาก มิน่าเล่าเวลาหนึ่งร้อยปีที่แค่ดีดนิ้วก็ผ่านไป เจ้าจ้าวหลิวถึงได้ยังมีตบะแค่ขอบเขตห้า ฮ่าๆ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนข้าหยางหว่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าแล้ว หากจำไม่ผิด ตอนนั้นเจ้าจ้าวหลิวเพิ่งจะเป็นขอบเขตสามเส้นเอ็นหลิวเท่านั้นไม่ใช่หรือ? คำว่า ‘ขอบเขตรั้งคน’ ที่ถูกรั้งไว้มากที่สุดก็คือคนระยำจิตใจชั่วช้าอย่างเจ้านี่แหละ!”

คำพูดประโยคนี้ บุรุษเจ้าของบ้านโบราณกล่าวอย่างกำเริบเสิบสานสะใจ แต่กลับทำให้พวกเด็กรุ่นหลังในสำนักที่อยู่ใต้การปกครองของผู้เฒ่าหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย โดยเฉพาะนักพรตหนุ่มที่เรียกผู้เฒ่าคนนี้ว่าอาจารย์ซึ่งปล่อยปราณสังหารออกมาอย่างเด่นชัด กระบี่บินที่อยู่ในฝักด้านหลังขยับเคลื่อนพร้อมจะลงมือ เขาก็คือมือกระบี่คนหนึ่ง

แต่คำพูดของหยางหว่างทิ่มแทงใจของเขาพอดี จ้าวหลิวอาจารย์ของเขาติดค้างอยู่ในขอบเขตสามอยู่นานหลายปี ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็ชะงักค้างอยู่ในขอบเขตนี้มานานมากเช่นกัน จากตัวอ่อนกระบี่ฝีมือล้ำเลิศคนหนึ่งที่เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นหยกงามซึ่งมีหวังจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ทว่าจากนั้นกลับค่อยๆ ตกต่ำมาเป็นเหมือนหมอนปักลายดอกไม้ที่อนาคตเลือนราง เป็นแค่ชั้นวางดอกไม้ที่ไม่มีหวังจะหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ตลอดชาติ และในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี ฐานะของเขาในสำนักโองการเทพก็ดิ่งฮวบลงเหวพันจั้ง

ย้อนนึกถึงในอดีต ปีนั้นเขายังถึงขั้นเคยได้พูดคุยกับคู่กุมารทองกุมารีหยกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปคำสองคำ

นี่ถือเป็นเกียรติยศที่สูงส่งมากแค่ไหน?

โดยเฉพาะแม่ชีสาวที่มักจะมีกวางขาววิเศษเคียงกายคนนั้น ปีนั้นตอนที่คุยเล่นกัน ใบหน้าของนางยังเคยเผยรอยยิ้มบางๆ ด้วย

นี่คือภาพเหตการณ์อันงดงามที่หาได้ยากแค่ไหน? ต่อให้เป็นแค่รอยยิ้มตามมารยาท แล้วจะอย่างไร?

ต้องรู้ว่านางเป็นถึงสตรีที่ขนาดเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งก็ไม่อาจได้มาครอบครอง อีกทั้งเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะคนนั้นยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์พันปีของแจกันสมบัติทวีปด้วย

มาถึงท้ายที่สุด ตอนนี้เขากลับทำได้เพียงติดตามอาจารย์ที่ไม่มีหวังบนมหามรรคา พาเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งลงมาฝึกประสบการณ์ในบ่อโคลนตีนเขาอย่างยากลำบาก แม้จะพูดอย่างสวยหรูว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจในการฝึกตน แต่ตลอดทางที่ผ่านมาได้แต่สังหารวัตถุชั่วร้ายที่ยังไม่มีสติปัญญา กำราบภูตภูเขาผีพรายที่ยังไม่จำแลงร่างเป็นคนแค่ไม่กี่ตัว จากนั้นก็มาพัวพันอีรุงตุงนังอยู่กับศิษย์ทรยศของสำนัก กับผีสาวปีศาจต้นไม้พวกนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ด้วยความโมโห เขาจึงเตรียมจะชักกระบี่

ถึงอย่างไรซะหากสังหารได้ก็เป็นแค่ผีชางภูตต้นไม้เท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ต่อให้ตนจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวมากแค่ไหน ก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสาม และก็พอจะมีความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ กับกุมารทองที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องราวภายนอกของสำนักโองการเทพอยู่บ้าง คิดๆ ดูแล้วต่อให้ถูกลงโทษก็คงเป็นการลงโทษแบบหันหน้าเข้ากำแพงทบทวนตัวเอง หรือไม่ก็คัดลอกคัมภีร์อะไรทำนองนั้น แล้วยังจะต้องกลัวอะไร?

น้ำเสียงแหบเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ “กระบี่ไม่ควรชักออกจากฝักส่งเดช”

ทุกคนเงยหน้ามองไปตามเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ม่านราตรีตรงจุดนั้นกระเพื่อมเป็นริ้วเบาๆ ดูเหมือนว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นจะใช้ยันต์อำพรางกายชั้นเยี่ยมมองดูเหตุการณ์ในลานบ้านอยู่ตรงหลังคาตลอดเวลา เวลานี้พอค่อยๆ เผยกายจึงเห็นว่าเป็นเด็กสาวที่เรือนกายไม่สะโอดสะองสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เรียกว่าอ้วนฉุ ใบหน้าของนางกลมแป้นแดงปลั่ง สวมชุดผ้าต่วนสีแดง ดูมีสง่าราศีเปี่ยมวาสนา

นักพรตเฒ่าตกใจตะลึงลาน รีบกุมมือคารวะ “จ้าวหลิวคารวะอาจารย์อา”

เด็กสาวหน้ากลมที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่เล่มยาวกล่าวอย่างกังขา “เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ?”

ผู้เฒ่ายิ้มเต็มใบหน้า “ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอก มีใครบ้างที่ไม่รู้จักอาจารย์อา ถ้าไม่รู้จักก็หูตาคับแคบมีความรู้แค่หางอึ่งเกินไปแล้ว”

เด็กสาวหน้ากลมพลันหน้าดำ หัวเราะเสียงหยัน “ทำไม เรื่องน่าอายที่ข้าล้มเหลวในการบอกรักกุมารทอง คนทั้งสำนักล้วนรู้กันหมดแล้ว? ผู้หญิงปากยื่นปากยาวหรือผู้ชายปากสว่างคนไหนเอามาบอกเจ้า ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ ตอนข้ากลับไปถึงสำนักจะต้องขอบคุณเขาดีๆ สักรอบ”

ไม่เพียงแต่นักพรตเฒ่าที่ไม่เข้าใจ อันที่จริงทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่พวกเขาจำอาจารย์อาท่านนี้ได้ไม่ใช่ด้วยเรื่องบอกรักไม่บอกรักอะไรนั่น แต่เป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่สาวน้อยผู้นี้มีความอาวุโสสูงมาก แต่กลับสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในสำนักโองการเทพได้เสมอ เวลาปกติชอบขับกระบี่ด้วยความเร็วสูงสุดพุ่งชนไปตามยอดเขาต่างๆ อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวตัวอวบ บินไปบินมาอยู่อย่างนี้ทั้งปี เรื่องที่นางชอบทำมากที่สุดก็คือขี่กระบี่บินเข้าไปในชั้นเมฆ จากนั้นก็พุ่งหัวทิ่มลงมาจากกลางอากาศสูงร้อยจั้งพันจั้ง ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นประมาณสองสามจั้งถึงจะบังคับกระบี่ให้ดีดตัวขึ้น บินแนบติดไปกับพื้นดิน จากไปไกลอย่างสง่างาม ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป มีใครกล้าไม่กลัวตายแบบนี้บ้าง? แล้วใครที่จะจำท่านบรรพบุรุษน้อยคนนี้ไม่ได้บ้าง?

อีกอย่างเมื่อสองปีก่อนเด็กสาวพยายามที่จะเปลี่ยนทิศทางในขณะที่ห่างจากพื้นหนึ่งจั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าหัวทิ่มลงพื้นทั้งกระบี่ทั้งคน ตั้งเด่ปักอยู่บนผืนดินอย่างโดดเดี่ยวเหมือนต้นหอมที่ปักกลับหัว ทำเอาพวกลูกศิษย์ที่เดิมทีมองดูพลางปรบมือร้องให้กำลังใจเป็นใบ้อึ้งค้างกันไปทุกคน

สุดท้ายเฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกที่สนิทกับนางมากสั่งสอนนางไปหนึ่งครั้ง ถึงทำให้บรรพบุรุษน้อยท่านนี้สำรวมขึ้นได้บ้าง

หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวก็ฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตห้าเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ จากนั้นนางก็เริ่มขับกระบี่อยู่ในสำนักโองการเทพอีกครั้ง เตร็ดเตร่อยู่หน้าจวนของเทพเซียนภูเขาที่ตั้งอยู่ในภูเขาแต่ละลูก ทำให้พวกผู้อาวุโสในสำนักที่เคยชินกับการฝึกตนอย่างเงียบสงบเริ่มรำคาญหงุดหงิดงุ่นง่านใจ เพียงแต่ว่าตอนที่ท่านปู่ทวดของเด็กสาวยังมีชีวิตอยู่เคยเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉีเจินเจ้าสำนักโองการเทพคนปัจจุบัน เป็นเหตุให้เทียนจวินฉีเจินที่นิสัยเย็นชารักความสันโดษลำเอียงเข้าข้างทายาทของอาจารย์คนนี้มากเป็นพิเศษ ถึงขั้นมากยิ่งกว่าคู่กุมารทองกุมารีหยกด้วยซ้ำ

เด็กสาวเห็นสีหน้าของทุกคนก็รู้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิด แถมยังหลุดปากเผยความลับของตัวเองออกมา ใจอยากจะขับกระบี่หนีไปให้ไกลพันหมื่นลี้เสียเดี๋ยวนั้น แต่พอนึกถึงคำไหว้วานจากพี่สาวเฮ้อกับเจ้ากุมารทองใจสุนัขคนนั้น จึงได้แต่ข่มกลั้นไฟโทสะและความอับอาย ตีหน้าเคร่งยืนอยู่บนหลังคา เริ่มครุ่นคิดหาถ้อยคำที่จะใช้ขับไล่ชายหญิงเจ้าของบ้านโบราณที่ไม่รู้จักหนักเบาคู่นั้น

สำนักโองการเทพเองก็เหมือนสำนักส่วนใหญ่ที่มีการแบ่งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ก่อนที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไปจากสำนักโองการเทพ กุมารทองกับกุมารีหยกอยู่ในสำนักเดียวกันถือเป็นความเจริญรุ่งเรืองที่หาได้ยากยิ่ง เพื่อฝึกประสบการณ์ให้กับศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจของสำนักสองคนนี้ ฉีเจินเจ้าสำนักจึงมอบหมายงานของฝ่ายนอกให้เด็กรุ่นหลังทั้งสองโดยเฉพาะ แน่นอนว่าไม่ได้โยนงานใหญ่หนักหนาอะไรมาให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ให้พวกเขาทำหน้าที่เหมือนขุนนางผู้ตรวจการของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่มีสิทธิ์ตรวจสอบร้อยขุนนาง อีกอย่างบางครั้งพวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงเองก็จะได้รับอำนาจในการจัดการเรื่องราวธรรมดาทั่วไปของฝ่ายนอกอย่างเต็มที่ แล้วก็มีอำนาจในการเขียนตัวอักษรสีแดง ซึ่งก็คือใช้พู่กันจุ่มหมึกสีขาดเขียนคำแนะนำว่าจะจัดการเรื่องราวหนึ่งโดยละเอียดอย่างไร จากนั้นก็มอบให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักไปจัดการเรื่องราวในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ถือเป็นหนึ่งในการขัดเกลาประสบการณ์ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร พวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนก็มีอำนาจในการตรวจสอบและตัดสิน

ดังนั้นกุมารีหยกของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงได้รับการปลูกฝังอบรมอย่างลึกซึ้งจากสำนักอย่างแท้จริง แต่นางกลับเลือกจะจากสำนักโองการเทพไปอย่างเด็ดเดี่ยว อย่าว่าแต่คนนอกที่ไม่เข้าใจ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสและบุรพาจารย์หลายคนของฝ่ายในสำนักโองการเทพเองต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ถึงได้มีคนด่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงว่าเป็นคนเนรคุณเลี้ยงเสียข้าวสุก

คงเป็นเพราะคนทั้งสำนักโองการเทพล้วนให้ความสำคัญกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้มีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปมากเกินไป ดังนั้นรักมากจึงยิ่งเกลียดแค้นมาก

จดหมายลับที่หยางหว่างส่งไปยังสำนัก อันที่จริงสำนักโองการเทพได้รับตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้ว ตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังไม่ออกจากสำนัก อีกทั้งยังเคยทะเลาะกับกุมารทองเพราะจดหมายฉบับนี้ กุมารทองหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรสีชาดก่อน เนื้อหาประมาณว่าให้จัดการอย่างเหมาะสม อย่าเข้มงวดกับหยางหว่างมากเกินไป เพราะอันที่จริงแล้วเรื่องนี้พอจะให้อภัยกันได้ แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมีความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม หนังสือสีชาดที่นางเขียนมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง บอกว่าหยางหว่างเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ แต่กลับตกต่ำกลายมาเป็นผีชาง ควรจะลงโทษอย่างเข้มงวดไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ทว่าการลงโทษที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนมีต่อผีสาวผู้นั้นกลับไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต่างก็เลือกที่จะไม่ให้ความสนใจ

เพราะสองฝ่ายมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จดหมายลับฉบับนี้ของหยางหว่างจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ชั่วขณะ สำหรับเรื่องนี้หากว่ากันตามเหตุตามผลและเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้แล้ว ฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพต่างก็เอนเอียงไปตามความคิดของเฮ้อเสี่ยวเหลียงในเวลานั้น แต่ใครก็คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพอีกต่อไป แม้แต่สถานะกุมารีหยกก็ยังตัดใจทอดทิ้งได้ลง กุมารทองที่หลงรักเฮ้อเสี่ยวเหลียงมานานหลายปีรู้สึกราวกับว่าจดหมายฉบับนั้นอัปมงคลเกินไป จึงไม่คิดจะสนใจอีก อีกทั้งในมือเขายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกนับไม่ถ้วน จึงโยนไปให้กับผู้อาวุโสคุมกฎของฝ่ายนอกคนหนึ่ง บอกเพียงว่ามอบให้ลูกศิษย์ที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์จัดการตามสมควร ไม่ต้องสนใจเนื้อหาในหนังสือสีชาดที่มีความขัดแย้งกันเอง

เรื่องราวในภายหลังก็ชัดเจนมากแล้ว จ้าวหลิวคว้าโอกาสนี้ไว้ ลงจากภูเขามาแก้แค้นส่วนตัวด้วยตัวเอง

แต่ไม่รู้ว่าเด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่คนนี้ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหนถึงได้แอบติดตามมาด้วย พอดีกับที่สามารถออกมาผ่อนคลายอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงกุมารทองใจดำของสำนักโองการเทพทั้งวัน นางขับกระบี่บินข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำอย่างสาแก่ใจ มีบ้างบางครั้งที่พบเจออุปสรรคระหว่างทาง แต่พอได้ยินว่านางเป็นลูกศิษย์สายตรงของฝ่ายในสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่เหี้ยมหาญดุดัน ต่างก็แทบจะยกนางขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์กันทั้งนั้น

คำพูดของเด็กสาวแซ่ฟู่อาจหลอกลวงกันได้ แต่กวานดอกบัวที่หายากซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่กล้าล้ำเส้นใช้มั่วซั่ว รวมไปถึงหยกประดับสีทองสะดุดตาตรงเอวนั้นล้วนหลอกใครไม่ได้

หลังจากที่เด็กสาวหน้ากลมปรากฏตัว มือดาบเคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงต่างก็รู้ดีว่าโชคชะตาของคู่สามีภรรยาหยางหว่างไม่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาอีกแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์

‘ผู้อาวุโส’ ท่านหนึ่งของสำนักโองการเทพ พูดแค่ประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว

หยางหว่างกุมมือของผีสาว เงยหน้ามองเด็กสาวคนนั้น คลี่ยิ้มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หยางหว่างและจัวจิงผู้กระทำผิดล้วนเชื่อฟังทุกคำตัดสินของอาจารย์อา ไม่ว่าเป็นหรือตายก็พร้อมน้อมรับ”

เด็กสาวหน้ากลมปรายตามองสามีภรรยาคู่นั้น คนหนึ่งแห้งเหี่ยว คนหนึ่งอัปลักษณ์ หน้าตาของพวกเขาทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นรังเกียจสะอิดสะเอียน พอนึกถึงอักษรสีชาดสองฉบับในจดหมายลับ เด็กสาวก็ถอนหายใจ ในใจคิดว่าถึงอย่างไรพี่หญิงเฮ้อก็ไม่ใช่คนของสำนักโองการเทพอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามความต้องการของกุมารทองใจดำคนนั้นแล้วกัน?

นางกระแอมทำลำคอให้โล่ง แล้วออกคำสั่งว่า “จ้าวหลิวจงพาคนไปจัดการกับศาลเทพภูเขาเถื่อนแห่งนั้น ส่วนข้อที่ว่าจะลงมือด้วยตัวเอง หรือร่วมมือกับทางการของราชวงศ์ในท้องถิ่น พวกเจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง คู่สามีภรรยาหยางหว่าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันหน้าห้ามทำเรื่องชั่วร้ายโดยใช้นามของสำนักโองการเทพอีก สรุปก็คือนับจากวันนี้ไป ทุกการกระทำของพวกเจ้าสองสามีภรรยาจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักโองการเทพอีกแล้ว”

ในเมื่อดูเรื่องสนุกจบแล้ว เด็กสาวหน้ากลมก็ไม่เต็มใจจะอยู่ในสถานที่เฮงซวยที่แม่น้ำและภูเขาเสื่อมโทรมแห่งนี้อีก นางจึงบังคับกระบี่แหวกอากาศจากไปด้วยความเร็วที่มากที่สุด คนอื่นเวลาขับกระบี่ มักจะค่อยๆ ไต่เนินไปเป็นวงเส้นโค้ง สุดท้ายถึงเข้าไปกลางอากาศสูง เด็กสาวแซ่ฟู่กลับบินพุ่งเป็นแนวเส้นตรง ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ ทำเอาคนมองอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าหากไม่ระวังนางจะหล่นลงมา

หยางหว่างนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตะโกนเสียงดัง “ขอบพระคุณอาจารย์อาฟู่ที่ก่อนหน้านี้ช่วยไล่ศัตรูไปให้!”

ผู้เฒ่าจ้าวหลิวกุมมือคารวะน้อมส่งเด็กสาว หลังจากนั้นก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง แล้วหมุนกายจากไปไม่พูดไม่จา

หยางหว่างไม่ได้ลำพองใจเพราะเหตุนี้ กลับกันยังกุมมือคารวะเอ่ยขออภัยเซียนซือน้อยทั้งหลายของสำนักโองการเทพ เว้นก็แต่คนหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่า “หยางหว่างมีแต่มลทินเต็มตัว ไม่กล้าไปส่งเซียนซือทุกท่าน”

นักพรตเด็กหนุ่มดึงเชือกพันธนาการปีศาจกลับมา เขากับพี่สาวฝาแฝดที่ตรงเอวมีแส้ไม้ไผ่ลังเลกันเล็กน้อย สุดท้ายจึงผงกศีรษะให้เบาๆ

เด็กน้อยที่ในมือถือไม้สยบปีศาจเดินอาดๆ จากไป แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่ผีสาวภูตต้นไม้ ยิ้มเย้ย “ตัวอัปลักษณ์เอ๋ยตัวอัปลักษณ์!”

ผีสาวที่เดิมทียังยิ้มหวานด้วยความยินดีพลันมีสีหน้าหม่นเศร้า หันหน้ากลับไปช้าๆ ยกสองมือปิดหน้า ไม่กล้าให้ใครพบเห็นอีก

ทันใดนั้น

เด็กชายพลันชะงักฝีเท้า ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่เป็นเพราะขยับไม่ได้ต่างหาก

ในบรรดาคนกลุ่มนี้ อันที่จริงแล้วลูกศิษย์ที่ได้รับความสำคัญจากสำนักที่แท้จริงก็คือเขาที่เป็นดั่งวัสดุอันดีในการฝึกตน เกิดมาก็มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำเกินใคร ไม่ใช่พี่น้องฝาแฝดชายหญิงคู่นั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่โง่เง่าที่ ‘นอนคว่ำอาบแดดอยู่ในขอบเขตสามมานานหลายปี’ ผู้นั้น

เขารีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว

กลางฝ่ามือที่กำไม้สยบปีศาจซึ่งสลักคำว่า ‘หมื่นผีศิโรราบ’ ไว้แน่นของนักพรตน้อยเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาย้ายสายตาไปอย่างเชื่องช้า ไม่พูดถึงผีสาวหน้าตาอัปลักษณ์ หยางหว่างผีชางที่อ่อนแอเหมือนคนขี้โรค มือดาบเคราดกที่อาศัยอาวุธเทพชิ้นหนึ่งอวดอ้างบารมี นักพรตจากกุรุทวีปที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ สุดท้ายถึงเป็นเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้สีหน้าไร้อารมณ์

ในสายตาของทุกคนแล้ว การกระทำนี้ของนักพรตน้อยที่หน้าอ่อนเยาว์เหมือนนิสัยเกเรของเด็กน้อยคนหนึ่ง

มีเพียงเฉินผิงอันที่ยื่นสองนิ้ว ทำมือแปลกๆ ทิ่มไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง

นักพรตน้อยรีบกะพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลาย สุดท้ายฝืนยิ้ม โบกมือลาคนที่ลางสังหรณ์ทำให้เขารู้สึกว่าอันตรายอย่างถึงที่สุดคนนั้นด้วยความเกรงใจ

นักพรตน้อยเผ่นหนีพลางสบถด่าในใจไปด้วย แม่งเอ๊ย พลังอำนาจคมกริบในร่างของไอ้หมอนี่ทำไมถึงเหมือนตัวประหลาดเฒ่าห้าขอบเขตกลางยิ่งนัก? อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนประเภทที่มักจะลงจากภูเขามาเข่นฆ่า ผ่านสงครามมานับร้อยด้วย

นักพรตน้อยไม่ได้คิดจะรายงานให้เบื้องบนรู้ ต่อให้ยั่วยุให้คู่อาจารย์และศิษย์อย่างจ้าวหลิวแว้งกลับไปเล่นงานอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีความหมายอะไร

บนเส้นทางของการฝึกตน นอกจากมหามรรคาแล้ว ประโยคที่บอกว่ามีเรื่องเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเรื่องไม่สู้มีน้อยลงหนึ่งเรื่อง ไม่ใช่ถ้อยคำที่ไร้สาระเลยจริงๆ

นักพรตน้อยวิ่งไปวิ่งมาก็รู้สึกตลก อารมณ์มืดครึ้มกลับมากระจ่างใสในชั่วพริบตา

ว้าว เป็นเหมือนที่อาจารย์ของตนว่าไว้จริงๆ ด้านล่างภูเขาก็มียอดฝีมือสูงส่งเหมือนกัน! ตนก็เพิ่งเจอมาหยกๆ ไม่ใช่หรือ? พอกลับไปแล้วจะต้องเล่าให้อาจารย์ฟังให้ได้ว่า คนที่ตนเจอมา อย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวประหลาดเฒ่าขอบเขตโอสถทองคำ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเซียนพสุธาขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่งก็ได้ หน้าไม่อายยิ่งนัก แสร้งปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่ม ทำเอาเขาตกใจจนแทบฉี่ราด…

นักพรตน้อยวิ่งห่อไปอย่างลิงโลด แถมยังกระโดดตัวสูงหนึ่งครั้ง กล่าวอย่างอารมณ์ดี “วู้หู้ว ลงเขามาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว”

สองพี่น้องที่เดินอยู่กลางระเบียงนำไปเบื้องหน้าหันกลับไปมองพร้อมกัน

นักพรตน้อยรีบกลั้นหายใจสงบสติ พอเท้าเหยียบลงพื้นแล้วก็เดินต่อไปด้วยฝีเท้ามั่นคงเหมือนคนแก่

ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว หลังจากมรสุมผ่านไปแล้ว แม้ว่าเจ้าบ้านชายหญิงต่างก็อยู่ในอารมณ์ตกใจหวาดหวั่นตลอดเวลา แต่เมื่อผ่านพ้นหายนะมาได้ สองสามีภรรยาก็จับมือ หันมาส่งยิ้มให้กัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องให้เอื้อนเอ่ย พวกเขารู้สึกเพียงว่าได้สมหวังดังใจปรารถนา ภาระทั้งหมดสลายไปสิ้น ความขมขื่นหมดลง ความหวานชื่นก็เข้ามาแทนที่

นักพรตจางซานเฟิงหันมาเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ “เซียนกระบี่ เซียนกระบี่ เห็นหรือยัง เซียนกระบี่ที่ยังอายุน้อยขนาดนี้ ร้ายกาจใช่ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย

ฝนหยุดตกแล้ว นักพรตหนุ่มเงยหน้ามองม่านราตรี กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “อยากจะขับบทกวีสักบทจริงๆ”

มือดาบหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างอารมณ์ดี

ไม่ว่าอย่างไร เรื่องราวในครั้งนี้ก็ถือว่าจบลงด้วยดีแล้ว

นี่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกปิติยินดีได้มากกว่าเวลาปกติที่ผดุงความเป็นธรรม ปราบปีศาจสำเร็จแล้วดื่มเหล้ากินอาหารเลิศรสอย่างเต็มคราบเสียอีก

ในที่สุดหญิงชราที่สลบไสลอยู่ในเรือนชั้นสามก็ฟื้นคืนสติ นางรีบบินพรวดเข้ามา ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นเจ้านายชายหญิงของตนยังคงสุขสบายดี นางจึงพอจะวางใจลงได้ หยางหว่างหันมาพูดกับหญิงชรายิ้มๆ ว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องเป็นกังวลกับพวกคนถ่อยที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นอีกแล้ว”

หญิงชราตกตะลึงไปก่อน จากนั้นก็หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ร้องไห้จนแทบไม่เป็นเสียง

ผีสาวที่มีชื่อแท้จริงว่าอิงอิงขยับร่างของตัวเองอย่างเชื่องช้า ‘ล่องลอย’ ไปหานาง โอบประคองไหล่ของหญิงชราไว้เบาๆ ส่งเสียงอืออาคล้ายกำลังปลอบหญิงชราอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

เมื่อไม่มีเรื่องให้กังวลก็ตัวเบา หยางหว่างผีชางที่ไม่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาหัวเราะเสียงดัง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี จางเซียนซือและคุณชายเฉิน! หากไม่รังเกียจก็ให้พวกเราแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านสักหน่อยเถอะนะ ให้พวกเราได้เตรียมอาหารและเหล้าดีๆ ให้พวกเจ้า เรามาดื่มกันอย่างสบายอารมณ์สักครั้ง?”

สวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หันไปถามนักพรตจางซานเฟิงกับเฉินผิงอันว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

นักพรตจางซานเฟิงยิ้มตอบ “ทำไมจะไม่ได้เล่า?”

เฉินผิงอันเองก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตบไปที่น้ำเต้าตรงเอวตัวเอง “หากเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าอยากจะขอซื้อเหล้าจากพวกเจ้าสักหน่อย”

หยางหว่างโบกมือ พูดอย่างใจกว้าง เหมือนกลับไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพที่เต็มไปด้วยปณิธานห้าวเหิมในปีนั้นอีกครั้ง “ซื้อเหล้าอะไรกัน? เหล้าต้มที่ในบ้านหมักกันเองไม่ถือเป็นเหล้าชั้นเยี่ยมอะไร แต่รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ หลังกินอาหารค่ำกันเต็มอิ่มแล้ว คุณชายเฉินเอาไปได้เท่าที่ต้องการเลย!”

ทุกคนหัวเราะเสียงดังครึกครื้น ในบ้านโบราณไม่เหลือบรรยากาศอึมครึมอีกต่อไป มีเพียงกลิ่นอายของชาวยุทธ์ที่แม้จะยังไม่ได้ดื่มเหล้าก็ทำให้คนเมามายได้แล้ว

หลังจากนั้นก็เป็นหญิงชราที่คลี่ยิ้ม รีบก้มหน้าเช็ดน้ำตาสาวเท้าเดินเร็วๆ เข้าห้องครัวไปทำอาหาร

สองสามีภรรยารับรองแขกอยู่ในห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม กำลังพูดคุยเรื่องในยุทธภพกับมือดาบเคราดก

นักพรตจางซานเฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังเรียกให้เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียงด้านข้าง เอ่ยขออภัยว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงชื่อจริงของข้านักพรตน้อยคือจางซานเฟิง ไม่ใช่จางซาน ขอโทษด้วย เป็นสหายกัน แต่กลับปิดบังเจ้ามานานขนาดนี้ ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันนั่งบนราวระเบียง ยิ้มพูดอย่างไม่ถือสา “เดินทางอยู่ในยุทธภพ ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี ยังมีอะไรผิดไม่ผิดอีก”

นักพรตหนุ่มดวงตาเป็นประกาย หัวเราะร่า “เจ้าเองก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในยุทธภพใช่ไหม? ก็ว่าแล้ว ถึงแม้ว่าชื่อเฉินผิงอันนี้จะความหมายดีมาก แต่ถึงอย่างไรก็ธรรมดาไปสักหน่อย…”

เฉินผิงอันมองค้อน “คือชื่อจริง!”

นักพรตหนุ่มพลันกระอักกระอ่วน เงียบไปครู่หนึ่ง เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเบาๆ “ลูกกลมๆ ที่เจ้ามอบให้ข้าก่อนหน้านี้เอาไว้ทำอะไรหรือ?”

เฉินผิงอันพูดขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจ จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงก่อนหน้านี้การต่อสู้กันของเรือนฝั่งตรงข้ามรุนแรงมาก ข้าก็เลยออกมาสังเกตการณ์ ที่แท้บัณฑิตแซ่ฉู่คือปีศาจต้นไม้ตัวหนึ่ง หลังจากเขาถูก…เซียนกระบี่สังหารไปก็ทิ้งอาวุธอาคมที่เหมือนจะเรียกว่าลูกกลมเสื้อเกราะเอาไว้ เซียนกระบี่ผู้นั้นจากไปอย่างไม่แยแสมัน ข้าก็เลยแอบไปเก็บมันมา”

เฉินผิงอันยื่นมือส่งลูกกลมนั้นไปให้อีกฝ่าย

“เซียนกระบี่น่าจะเป็นเด็กสาวของสำนักโองการเทพคนนั้น” นักพรตหนุ่มพลันกระจ่างแจ้ง รับมาแล้วก็เอามาชั่งน้ำหนักในมือ น้ำหนักไม่มาก ก้มหน้าลงมองอย่างละเอียด กลิ้งมันในฝ่ามือเบาๆ ยังพอจะเห็นรอยปริแตกที่เล็กบางเสี้ยวหนึ่ง นักพรตแห่งกุรุทวีปที่มีชื่อว่าจางซานเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด คืนมันให้กับเฉินผิงอัน “เหมือนเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารในตำนานอย่างมาก แต่เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้น่าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงมาก่อน จึงเกิดรอยร้าวขึ้นมาเส้นหนึ่ง ทว่าถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว เม็ดเสื้อเกราะถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง แม้ว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ว่าราคาของมันสูงแค่ไหนกันแน่ แต่ก็แน่ใจได้ว่าต้องเป็นของดีที่มีมูลค่าควรเมือง เจ้าเก็บไว้ให้ดี อย่าให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด ขอแค่วันหน้าเจอยอดฝีมือที่สามารถซ่อมแซมมันได้ก็สามารถเอามาสวมใส่ได้อย่างสบายใจ เท่ากับเป็นยันต์คุ้มกันกายระดับเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว!”

เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเม็ดนี้ หากอิงตามคำบอกของบัณฑิตแซ่ฉู่ นับเป็นสมบัติในคลังเก็บสมบัติลำดับสองของเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋ มีมูลค่าสามพันเงินเกล็ดหิมะ

เฉินผิงอันไม่ได้เอาเก็บซ่อนไว้ในสมบัติฟางชุ่น แต่พูดเหมือนหยั่งเชิงว่า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งวิชาหมัดที่ข้าเรียนมาก็เน้นย้ำในด้านการรุดไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ไม่อาจพึ่งพิงวัตถุนอกกายมากเกินไปนัก หาไม่แล้วจะกลับกลายเป็นทำให้ปณิธานหมัดของตนไม่รวดเร็วมากพอ ดังนั้นข้าเก็บเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนี้ไว้ก็ไร้ประโยชน์ ขายให้เจ้าแล้วกัน สามร้อยเงินเกล็ดหิมะ เป็นไง?”

นักพรตหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “อย่าว่าแต่สามร้อยเงินเกล็ดหิมะเลย ต่อให้เป็นหนึ่งพันสองพันเงินเกล็ดหิมะ สมบัติที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจครอบครองแบบนี้ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตมีทรัพย์สมบัติติดกาย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อเอาไว้ให้ได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตยากจนจะแย่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนอยู่เรือคุนก็คงไม่ถึงขั้นจะกินข้าวให้อิ่มท้องสักมื้อยังเป็นเรื่องยาก”

เฉินผิงอันโยนลูกกลมให้นักพรตจางซานเฟิงเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าติดเงินข้าสามร้อยเกล็ดหิมะแล้วกัน ไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธ เจ้าลองคิดดูนะ ด้วยร่างกายที่แค่ตากฝนก็หมดสติของเจ้า วันหน้าหากพวกเราสองคนยังเจอกับภูตผีปีศาจอีก ทีนี้จะสู้กับพวกมันอย่างไร? หากเจ้าสวมเม็ดเสื้อเกราะ ไม่แน่ว่าโอกาสที่พวกเราจะชนะคงเพิ่มขึ้นมาก และถ้าได้รับผลเก็บเกี่ยวก็ล้วนเป็นของข้าทั้งหมด ถือว่าเจ้าชดใช้เงินคืนให้ข้า ตกลงไหม?”

นักพรตหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เก็บเม็ดเสื้อเกราะที่ในอดีตแม้แต่ฝันยังไม่กล้าคิดหวังลงไปอย่างระมัดระวัง เขานั่งเคียงไหล่กับเฉินผิงอันบนราวระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยเรียกเสียงเบา “เฉินผิงอัน…”

จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ราวกับว่ามีถ้อยคำมากมาย แต่กลับพูดไม่ออก

เฉินผิงอันเท้ามือสองข้างไว้บนราวระเบียง “เจ้าก็เห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจที่ข้าเป็นตัวถ่วงนี่นา”

นักพรตหนุ่มเกาหัว พอเขาพูดอย่างนี้ก็เหมือนจะคลายใจได้หลายส่วน เฉินผิงอันเห็นตัวเองเป็นสหาย ตนเองก็เห็นเขาเป็นสหายเหมือนกัน ระหว่างสหายไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันทำตามกฎเกณฑ์ไปทุกเรื่องใช่หรือไม่?

จู่ๆ เขาก็หัวเราะเสียงดัง “ลูบเคราที่แข็งดุจง้าว จอมยุทธ์ผู้กล้าพกดาบวิเศษ”

เฉินผิงอันหัวเราะ ใช้ได้เลย นี่กำลังชื่นชมสวีหย่วนเสียชายฉกรรจ์เคราดกนี่นา

จากนั้นนักพรตหนุ่มก็พูดอีกว่า “ละทิ้งความรู้ท่องพเนจรทั่วขุนเขาและมหาสมุทร ค้นหาความจริงอย่างยากลำบาก”

ดีนักนะ นี่น่าจะพูดถึงตัวเขาเอง

นักพรตจางซานเฟิงหันหน้ากลับมา “เฉินผิงอัน ตอนนี้ยังคิดถึงบทกลอนที่เกี่ยวกับเจ้าไม่ออก วันหน้ารอให้ข้าผู้เป็นนักพรตเกิดแรงบันดาลใจ ต้องคิดได้แน่ วางใจเถอะ ข้าผู้เป็นนักพรตรับรองว่าต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วก็ไม่อยากจะขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีของเขา จึงได้แต่เออออคล้อยตามว่า “ตกลงๆ”

เฉินผิงอันกระโดดลงจากราวระเบียง วิ่งไปทางห้องครัว หันหน้ากลับมาตะโกน “ข้าจะไปช่วยทำอาหาร”

นักพรตจางซานเฟิงเฟิงอืมรับหนึ่งที นั่งอยู่ที่เดิม ความคิดมากมายประดังประเดกันเข้ามา

ทางฝ่ายของห้องโถงหลักมีเสียงหัวเราะดังกังวานของชายฉกรรจ์เคราดกดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ

นักพรตหนุ่มเปลี่ยนท่านั่ง เอนหลังพิงระเบียง ยกสองมือกอดอก นึกถึงภูเขาสูงลูกนั้นของบ้านเกิด เขาหลับตาลง คลอเพลงเบาๆ ที่แต่งขึ้นมาเอง โครงศีรษะไปตามจังหวะเพลงอย่างสบายอารมณ์

สุดท้ายพอลืมตาขึ้น นักพรตหนุ่มพึมพำเบาๆ “จะถามว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง? จางซานเฟิงแห่งภูเขาอู่ตัง!” (บู๊ตึ๊ง)

อันที่จริงเฉินผิงอันกำลังคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่

ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับบัณฑิตแซ่ฉู่ เฉินผิงอันพอจะรู้น้ำหนักของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามของตนอย่างคร่าวๆ แล้ว ในบรรดาวิชาหมัดมากมายที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้าถ่ายทอดให้ กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือกระบวนท่าที่มีพลานุภาพยิ่งใหญ่มากที่สุด ตอนนั้นเฉินผิงอันอาศัยยันต์ย่อพื้นที่ชิ้นหนึ่ง หนึ่งหมัดต่อยโดนศัตรู จากนั้นก็ต่อยโดนรัวๆ อีกหลายหมัด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ บัณฑิตภูตต้นไม้ของแคว้นกู่อวี๋ที่แม้จะมีเม็ดเสื้อเกราะซึ่งกลายมาเป็นเกราะกวางหมิงคุ้มกันกาย แต่อันที่จริงเป็นเพราะวิชาหมัดของเฉินผิงอันมีจำกัด นั่นก็คือมีแค่กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายี่สิบหมัดเท่านั้น ไม่อาจเพิ่มมากกว่านั้นได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะกระบี่บินในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาสังหารศัตรู เกรงว่าเขาคงถูกบัณฑิตคนนั้นเผาผลาญพลังของตัวเองจนหมด หากกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าใช้พลังเฮือกหนึ่งจนหมดสิ้น อีกฝ่ายมีเวลาว่างเรียกเอาสมบัติอาคมโจมตีศัตรูชิ้นสองชิ้นออกมาใช้ได้ เขาเฉินผิงอันจะทำอย่างไร?

หนีคงไม่ยาก แต่คิดจะเอาชนะ หรือถึงขั้นสังหารศัตรูกลับยากมาก

แต่ว่าสามารถนำวิชาหมัดของตัวเองมาประสานกับการจู่โจมของกระบี่บินชูอีและสืออู่ อีกทั้งยังแทบจะไม่มีช่องโหว่ นั่นก็ถือว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวครั้งหนึ่ง

ทว่าลึกๆ ในใจเฉินผิงอันรู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจมากพอ ราวกับว่ายังขาดอะไรบางอย่างไปอีกเล็กน้อย

คำตอบที่แท้จริงดูเหมือนจะง่ายดายมาก นั่นคือยังคงเป็นเพราะเขาเฉินผิงอันออกหมัดไม่เร็วพอ! ไม่ดุดันมากพอ!

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลง ฝึกหมัดก็ดี ในอนาคตฝึกกระบี่ก็ช่าง ล้วนรีบร้อนไม่ได้ ต้องค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคง

เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตัวเอง หัวเราะเบาๆ “ครั้งนี้ขอบคุณมาก”

ด้านในน้ำเต้ามีการตอบรับ สืออู่เริ่มบินไปบินมาด้วยความลิงโลดสุดขีด

แต่จู่ๆ เฉินผิงอันกลับพูดว่า “แต่ว่าวันหน้าหากพวกเจ้าขึ้นเวทีต่อสู้เมื่อไหร่ อย่าได้…ชิงความโดดเด่นกันแบบนี้อีกได้ไหม? พวกเราสามคนไม่ได้ประลองฝีมือด้านวรยุทธ์กับคนอื่นที่ก่อนจะลงมือจำเป็นต้องมีการบอกชื่อ แสดงอาวุธของตัวเองอะไรทำนองนั้นเสียก่อน เวลาลงสนามสังหารศัตรู พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้วกระมัง? แค่แอบหลบออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็พอแล้ว พวกเจ้าคิดว่าข้าพูดแบบนี้ถูกหรือไม่?”

สืออู่พลันหยุดนิ่งไม่ยอมขยับ ดูคล้ายจะโมโหอยู่บ้าง

ชูอียิ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ บุกเข้าไปก่อเรื่องในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันโดยตรง

ยังดีที่สำหรับเฉินผิงอันตอนนี้ ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้เรียกได้ว่าผ่อนคลายเบาสบาย เขาจึงวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังห้องครัวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

การควบคุมกระบี่บินแห่งชีวิตแค่ต้องใช้พลังจิตเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ลมปราณที่แท้จริง แต่หากกระบี่บินสังหารศัตรู จะมีขีดจำกัดอยู่ที่ระยะทาง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือระดับความมั่นคงของจิตใจ คิดจะทำลายอุปสรรคของระยะทางนี้ก็มีทางลัดให้เดินเหมือนกัน สำหรับผู้ฝึกกระบี่ก็คือขอบเขตที่พุ่งขึ้นสูง สำหรับเฉินผิงอันที่เพิ่งได้รับคำชมจากผู้ฝึกยุทธ์ว่าเป็น ‘เซียนกระบี่’ ก็คือจำเป็นต้องใช้ลมปราณเฮือกเดียวกับที่ใช้โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดบุกเข้าไปในช่องโพรงรวดเดียวให้ได้มากกว่าเดิม

ตอนนี้ระยะห่างของชูอีคือรอบรัศมีสิบจั้ง ของสืออู่คือแปดจั้ง

ห่างออกไปไม่ไกลก็คือห้องครัวแล้ว พอจะมองเห็นแสงสว่างได้เลือนราง

“ชื่อจางซานเฟิงดีกว่าชื่อเฉินผิงอันตรงไหนกัน?”

เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้รู้สึกไม่ยอมแพ้ แต่จู่ๆ เขากลับยิ้มกว้าง หัวเราะกับตัวเองอย่างสนุกสนาน “หึ เซียนกระบี่!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version