บทที่ 231 เมฆดำกดทับเหนือเมือง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
บนป้อมสูงเหนือกำแพงเมือง เทพเซียนเฒ่าที่ก้มหน้าลงมองทั้งเมือง ควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ในกำมือร้องอุทานด้วยน้ำเสียงตกตะลึง เขาหันหน้าไปอธิบายให้แม่ทัพหม่าที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจฉงนฉงายฟัง “เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นที่ศาลเทพอภิบาลเมือง ดูท่าทางจะมีปีศาจใหญ่สำแดงฤทธิ์เดชแสดงความโหดเหี้ยม ทำลายร่างทองมิดับสลายของท่านเทพอภิบาลเมือง ข้าจำเป็นต้องไปดูด้วยตัวเองสักครั้งถึงจะวางใจ เทพอภิบาลเมืองร่างทองคำมีความเกี่ยวพันกับเมืองแยนจืออย่างใกล้ชิด หากร่างทองของเทพอภิบาลเมืองเสิ่นพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ เมืองแยนจือก็ยังต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาลอยู่ดี!”
เทพเซียนเฒ่ามองไปยังทิศทางที่ตั้งของศาลเทพอภิบาลเมืองด้วยความกังวลใจ เขาถอนหายใจหนึ่งทีก่อนจะแค่นเสียงหยัน “ช่างเถอะ! ต่อให้เป็นบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ วันนี้ก็ต้องบุกเข้าไปให้ได้! ต่อให้ต้องยอมทุ่มด้วยตบะทั้งร่างก็ต้องลองดูว่าจะช่วยท่านเทพอภิบาลเมืองที่บาดเจ็บสาหัสออกมาได้หรือไม่ คิดไม่ถึงเลยว่าปีศาจที่มาก่อเรื่องในครั้งนี้จะมีพละกำลังมากถึงเพียงนี้ เดิมทีนึกว่าพวกมันแค่ใช้ค่ายกลดึงตัวท่านเทพอภิบาลเมืองเอาไว้ ไหนเลยจะคิดว่าพวกมันโหดเหี้ยมถึงขนาดคิดทำลายล้างเมืองทั้งเมือง แม่ทัพหม่า ช่วยไม่ได้ ตอนนี้คงต้องมอบหน้าที่ดูแลประตูเมืองตะวันออกไว้ที่เจ้าคนเดียวชั่วคราวแล้ว”
แม่ทัพหม่ากล่าวเสียงหนัก “ต้องการให้ส่งทหารฝีมือดีหลายๆ สิบคนไปช่วยหวงเหล่าอีกแรงหรือไม่? ในจวนเจ้าเมืองยังมีมือธนูที่ยิงได้แม่นยำเป็นพิเศษอยู่อีกหลายสิบคน พวกเขามีความสามารถในการสังหารภูตผีปีศาจมากที่สุด”
เทพเซียนเฒ่าโบกมือ “ไม่ทันแล้ว อีกอย่างเอาไปด้วยก็มีความหมายไม่มาก”
ถึงอย่างไรแม่ทัพหม่าก็คือแม่ทัพผู้ห้าวหาญแห่งสมรภูมิรบ จึงไม่ได้อิดออดให้เสียเวลา เพียงกุมมือคารวะ “ขออวยพรล่วงหน้าให้หวงเหล่าคว้าชัยชนะมาได้!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เป็นจริงดังคำที่แม่ทัพหม่าอวยพร!” เทพเซียนเฒ่ากุมมือคารวะกลับคืน เขายิ้มบางๆ ก่อนร่างจะถลาลงมาจากกำแพงเมืองเหมือนนกร่อนปีก พอพลิ้วกายลงบนหลังคาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้งก็บินโฉบไปด้านหน้าอีกครั้ง โบยบินขึ้นๆ ลงๆ อย่างสง่างามอยู่หลายสิบครั้ง สุดท้ายร่างของเขาที่มองไกลๆ เหมือนเมล็ดข้าวสารเมล็ดหนึ่งก็ไปพลิ้วกายลงในศาลเทพอภิบาลเมืองที่ฝุ่นคลุ้งรอบด้านเริ่มจางลงแล้ว
ผู้ที่มารเฒ่าหมี่กับคู่สามีภรรยาเรียกว่าเซียนหลิวหลีผู้นี้ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ตำหนักเทพอภิบาลเมือง แต่พลิ้วกายบนลานกว้างของตำหนักใหญ่นอกกำแพงสูง ค่อยๆ เยื้องย่างไปข้างหน้า สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ยันต์กระดาษเหลืองปึกใหญ่ก็ลอยออกมา กลายเป็นกลุ่มควันที่ซัดตลบอบอวลอยู่กลางอากาศ และเพียงชั่วพริบตาก็มีเด็กสาวชุดขาวถือกระบี่สิบกว่าคนพุ่งตัวออกมาจากกลุ่มควัน แต่ละคนก้าวเท้าแผ่วเบาว่องไว เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นกระโจนเข้าใส่ตำหนักใหญ่ชั้นแรกที่ตั้งบูชาแม่ทัพบุกเบิกแคว้นผู้มีคุณูปการของแคว้นไฉ่อี
ตอนที่เทพเซียนเฒ่าเดินผ่านเทวรูปขุนนางสวรรค์สององค์ที่สภาพพิการแตกบิ่น สัตว์ห้าพิษต่างก็แยกย้ายถอยหนีกันไปนานแล้ว เดินเข้าไปในตำหนัก รูปปั้นดินเผาที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ยังคงสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ผู้เฒ่าย่อมรู้สาเหตุว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะเมื่อไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านใน เทวรูปที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีก็เป็นแค่ดินที่ช่างปั้นปั้นให้มีชุดสวมใส่เท่านั้น มารเฒ่าหมี่ไม่มีทางลงมือกับพวกมันให้เสียเวลา เพราะจะสิ้นเปลืองควันธูปที่เขาสร้างขึ้นเป็นพิเศษ
กลุ่มเด็กสาวถือกระบี่ที่เคยเผยกายบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก้าวเดินว่องไว พุ่งตัวเข้าไปในลานกว้างขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ยอย่างรวดเร็ว เด็กสาวคนหนึ่งในนั้นริมฝีปากขยับเบาๆ คล้ายกำลังเรียกหาใคร แต่กลับไม่มีการตอบรับ เทพเซียนเฒ่าข้ามออกจากประตูหลังมาแล้วก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ กวาดตามองไปรอบด้านแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่ต้องเรียกแล้ว พี่สาวไฉ่อี (ไฉ่อีแปลว่าชุดหลากสี ชุดสีสันสดใส ซึ่งหมายถึงชุดที่ใช้ในการแสดง) ของพวกเจ้าถูกคนทำลายให้กลับสู่สภาพเดิมไปแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังสัมผัสถึงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของนางไม่ได้ คนที่ลงมือมีตบะสูงยิ่งนัก”
ผู้เฒ่าพลันยกแขนขึ้นกวักหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวสีแดงสดที่ถูกซ่อนไว้ในพุ่มใบไม้ระหว่างกิ่งสูงของต้นสนโบราณก็เข้ามาอยู่ในมือของเขาในเวลาเพียงเสี้ยววินาที เขาก้มหน้าลงดมตัวกระบี่ก็พอจะคลายใจลงได้เล็กน้อยเพราะไม่มีปราณปีศาจทิ้งไว้ นี่เป็นเรื่องดี มารเฒ่าหมี่ไม่ได้ค้นพบเบาะแสแล้วชิงเอา ‘ตราทางการเหล็กกล้า’ ที่ลักษณะเหมือนเครื่องประดับชิ้นนั้นไปก่อน จากนั้นเขาก็โยนกระบี่ยาวให้กับเด็กสาวที่มีใฝตรงมุมปาก ผู้เฒ่าเดินไปข้างหน้าช้าๆ แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะไม่ได้เดินไปยังจุดที่เลวร้ายที่สุด แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ตำหนักเทพอภิบาลเมืองพังถล่มลงไปแล้ว เทพอภิบาลเมืองร่างทองเสิ่นเวินก็กลายมาเป็นเพียงเนินดินกองหนึ่ง เทวรูปบุ๋นบู๊สองตนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็มีจุดจบเดียวกัน ตราทางการเหล็กกล้าไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหน
ผู้เฒ่าสีหน้ามืดทะมึน ใคร่ครวญอยู่ในใจ หรือว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ก็สนใจตราประดับเสี่ยนโย่วโป๋อภิบาลเมืองชิ้นนั้นเหมือนกัน? ก็เลยปิดบังตน ปล่อยให้คนอื่นได้โอกาสแย่งชิงไปก่อน? แต่ผู้เฒ่าก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะถึงขั้นนั้น ด้วยสถานะเทพเซียนผู้อาวุโสที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปที่แท้จริงผู้นั้น สมบัติอาคมประเภทนี้อาจเป็นของดีที่มีค่าควรเมืองสำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ซึ่งผู้คนยอมหัวร้างข้างแตก ยอมทุ่มชีวิตไปแย่งชิงมันกับคนอื่น แต่สำหรับคนผู้นั้นแล้ว มันไม่มีค่ามากพอให้เขาต้องตระบัดสัตย์คืนคำเพียงเพื่อจะแย่งชิงมัน
ความปรารถนาของคนผู้นั้นยิ่งใหญ่มากเกินไป เขาต้องการให้ห้าแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีกับแคว้นกู๋อวี๋เปิดสงครามโกลาหลครั้งใหญ่ ต้องการให้พื้นที่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีปมีเสียงกลองรัวกระหน่ำ ควันปืนลอยคละคลุ้ง
ผู้เฒ่าที่เป็นเซียนอิสระฝึกวิชานอกรีตเดินหน้าเคร่งเข้าไปในซากปรักหักพังของตำหนักเทพอภิบาลเมือง สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างผนังที่ล้มครืนลงไปทั้งแถบ
แม้ว่าผนังแถบนี้จะรักษาสภาพเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีรอยปริร้าวไม่มากนัก แต่ความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ กลับมากอย่างถึงที่สุด ผู้เฒ่าไล่สายตามองไปยังทุกรายละเอียดอย่างตั้งใจ ภาพสาวงามบินสู่ฟ้าเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดคนที่วาดอยู่บนผนัง ตอนนี้หลงเหลือแค่สามสิบกว่าคนที่สภาพค่อนข้างดี ผู้เฒ่ากระทืบเท้า กล่าวด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง “ย่ำยีวัตถุสวรรค์!”
หลังจากที่ผู้เฒ่าแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีคน แต่ก็ยังสั่งให้ดรุณีน้อยชุดขาวที่ถือกระบี่ทั้งหลายไปเฝ้าจับตามองตามตำแหน่งต่างๆ ของผนัง จากนั้นเขาถึงทรุดตัวลงนั่งยอง มือซ้ายควักเอาถ้วยแก้วใบเล็กงดงามสีรุ้งใบหนึ่งออกมา มันส่องประกายรัศมีน่ามอง พอผู้เฒ่าหยิบมันออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง มันก็ส่องแสงให้รอบด้านเกิดริ้วคลื่นหลากสี งดงามจับตา
ผู้เฒ่ารีบโบกชายแขนเสื้อข้างขวาข่มรัศมีแสงสีรุ้งที่ไหลไปทั่วทุกพื้นที่ให้ลดระดับลงเล็กน้อย ปากท่องพึมพำแผ่วเบา สาวงามหลากหลายรูปแบบบนภาพวาดฝาผนังเริ่มขยับตัวอย่างเชื่องช้า ทุกคนพลิ้วกายออกมาจากผนัง พากันกรูเข้าไปในถ้วยแก้วใบเล็ก สตรีบนผนังภาพวาดที่หน้าตา อาภรณ์และระดับขั้นดีที่สุดสามสิบคนผลุบหายเข้าไปในถ้วยใบเล็กก่อน จากนั้นถึงเป็นสตรีอีกสิบกว่าคนที่ใบหน้ายังคงสมบูรณ์แบบ แต่แขนขาเสื้อผ้าเสียหาย สุดท้ายบนผนังจึงเหลือแค่สตรีที่ทั้งใบหน้าและร่างกายต่างก็เสียหายย่อยยับซึ่งคล้ายกำลังร้องสะอื้นแผ่วๆ เสียงเบาเหมือนเสียงธารน้ำสายเล็กที่ไหลไปตามร่องหิน
ผู้เฒ่ายังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แม้แต่สีพื้นของภาพวาดก็ยังถูกเขาดึงออกมาเก็บไว้ในถ้วยใบเล็ก เหล่าหญิงสาวพิการที่เหมือนสูญเสียบ้านให้อยู่อาศัยก็ยิ่งร้องคร่ำครวญน่าสงสาร สะอื้นไห้อยู่กลางผนังที่ว่างเปล่า
ผู้เฒ่าเก็บถ้วยใบเล็ก ลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงมองสตรีพิการที่กระจัดกระจายอยู่บนผนังแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ในใจเสียดายอย่างถึงที่สุด แต่แล้วเขาก็ยกชายแขนเสื้อขึ้น หนึ่งฝ่ามือตบลงไปแรงๆ ผนังแถบนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง
……
ร้านขายข้าวเปิดประตูอีกครั้ง แต่ไม่ได้ทำการค้า ลูกจ้างร้านสามคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ ของเมือง โดยเฉพาะเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ตอนวิ่งออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี ส่วนผู้เฒ่าเถ้าแก่ร้านขายข้าวก็พาสองสามีภรรยาไปเดินอยู่ในตรอกที่เงียบสงัดตรอกหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วถามว่า “เทพอภิบาลเมืองร่างทองของศาลเทพอภิบาลเมืองกลายเป็นหุ่นเชิดของมารเฒ่าหมี่อย่างเจ้าแล้ว ต่อให้ตบะจะลดระดับลงไปบ้าง แต่ทำไมจู่ๆ ร่างทองถึงระเบิดแตกได้? ในเมืองแยนจือเล็กๆ แห่งนี้มียอดฝีมือห้าขอบเขตกลางซ่อนตัวอยู่หรือไร?”
มารเฒ่าหมี่อารมณ์ไม่ดีนัก ท่าไม้ตายและยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดหายวับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุใด ไม่ว่าใครก็อารมณ์ดีไม่ไหวกันทั้งนั้น
เขาคิดแล้วก็แบมือออก คิดจะลองเสี่ยงใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือ เวทลับชั้นเยี่ยมของตระกูลเซียนแท้จริงซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แบบนี้มักถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับ ไม่ให้แพร่งพรายให้คนนอกรู้ง่ายๆ มารเฒ่าหมี่เองก็เพราะบังเอิญ ถึงไปได้ตำราลับนอกรีตที่ไม่สมบูรณ์แบบเล่มหนึ่งมา เลยเอามาศึกษาจนมีความรู้แบบงูๆ ปลาๆ เนื่องด้วยในตำราลับขาดสัจจคาถาอันเป็นโชวาสนาไปถึงครึ่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ใช้จะต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนมหาศาลด้วยเลือดในหัวใจของเขาหนึ่งหยด อีกทั้งหากสถานที่ที่แอบลอบมองอยู่ไกลๆ มีผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตค่อนข้างสูงอยู่ด้วยก็ง่ายที่จะถูกจับได้ และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะถูกสืบสาวเบาะแสจนตามมาเจอตัวและอาจถึงขั้นไล่ฆ่าเขา วิชาอภินิหารไร้เทียมทานที่ยอดเยี่ยมกลับกลายมาเป็นเหมือนซี่โครงไก่เพียงแค่เพราะความขาดแคลนไม่สมประกอบ
การที่ตระกูลเซียนบนภูเขาสามารถหยั่งรากฐานได้อย่างลึกล้ำ สาเหตุส่วนใหญ่นั้นอยู่ที่พวกเขามีเวทลับอันเป็นใจกลางสำคัญที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ไม่มีโรคร้ายที่อาจทิ้งไว้เบื้องหลัง และเมื่อบรรพาจารย์แต่ละรุ่นแก้ไขปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้น ไม่มีข้อบกพร่องช่องโหว่ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้ลูกหลานหรือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจซึ่งเป็นคนรุ่นหลังต้องคลำหาหนทางกันเอาเอง เล่าลือกันว่าเวทลับชั้นเยี่ยมสูงสุดบางอย่างถึงขนาดทำให้คนที่ฝึกตนมีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน และถ้าเป็นสำนักนอกรีตซึ่งมีลำดับรองลงมาก็สามารถช่วยให้คนในสำนักเดินไปบนมหามรรคากว้างใหญ่ของห้าขอบเขตกลางได้
แต่หากเป็นไปในทางตรงข้าม ผู้ฝึกตนอิสระกี่มากน้อยบนโลกใบนี้ที่เดินสู่วิถีมาร ธาตุไฟเข้าแทรกเพราะสาเหตุนี้? มีมากมายจนนับไม่ถ้วน!
มารเฒ่าหมี่หัวเราะหึหึ “สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ ! เจ้าเฒ่าเฉินอดทนไม่ไหวจนต้องไปตรวจสอบที่นั่นด้วยตัวเอง เขามันพาตัวมาติดกับดักชัดๆ !”
สายตาของสตรีแต่งงานแล้วเป็นประกาย จ้องเขม็งไปยังถ้วยแก้วใบเล็กที่อยู่ในมือของเซียนหลิวหลีกลางภาพ “นั่นก็คือถ้วยหลิวหลีมรดกของเซียนผู้หนึ่งหรือ?”
มารเฒ่าหมี่พลันกำฝ่ามือเข้าหากัน ไอเลือดที่อยู่ใจกลางฝ่ามือกลุ่มนั้นลอยกลับเข้าไปในร่าง หันหน้ามาส่งยิ้มเย็นชา “ทำไม คิดจะแย่งกับข้างั้นรึ?”
ริ้วคลื่นในดวงตาของสตรีแต่งงานแล้วไหลวูบวาบ ยิ้มหวานกล่าวว่า “บ่าวหรือจะกล้า”
มารเฒ่าหมี่ไม่สนใจท่าทางเสแสร้งของสตรีแต่งงานแล้ว ในใจของเขารีบชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ตาเฒ่าเฉินต้องการในครั้งนี้ แรกเริ่มคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ใต้เปลือกตาของเทพอภิบาลเมืองร่างทอง
ปากเขาบอกว่าอยากได้สาวงามมีชีวิตชีวาบนภาพฝาผนังซึ่งผ่านการรมควันธูปมานานหลายร้อยปี จึงบ่มเพาะให้เกิดกลิ่นอายแห่งเซียนอย่างแท้จริง
อีกอย่างหลังจากที่เขาเก็บวิญญาณหญิงสาวจากในสุสานไร้ญาติมาได้ก็สามารถเอาภาพฝาผนังนี้มาเป็นที่พักพิงของดวงวิญญาณพวกนาง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถหล่อเลี้ยงให้เกิดวัตถุหยินผีสาวอย่างสตรีสวมชุดสีสันสดใสได้อีกหลายคน
เวลานี้มารเฒ่าหมี่ถึงได้กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ไม่แน่ว่า…ตราประทับที่มาจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ชิ้นนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในจวนเจ้าเมืองหรือจวนเจ้า แต่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองมาตั้งแต่แรก!
และสหายเก่าแก่ของเขาคนนี้ก็คิดจะฮุบผลประโยชน์ทั้งหมดไว้คนเดียวมาตั้งแต่ต้น ไม่คิดจะทิ้งตราประทับที่พวกเขาอาจารย์และศิษย์ต้องวางแผนอย่างยากลำบากหลายปีเพื่อให้ได้มันมาครองอย่างที่ได้เคยตกลงกันไว้
ตาเฒ่าเฉิน เซียนหลิวหลีตัวดี!
สหาย ในเมื่อเจ้าไม่มีคุณธรรมก็อย่าว่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจ!
……
ท้องฟ้าเหนือเมืองแยนจือที่เดิมทีเป็นสีฟ้าสดใสเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นมืดสลัวอึมครึม เมฆดำล่องลอยมาจากสี่ทิศกดทับปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ผู้คนรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข
รถม้าคันหนึ่งขับออกไปจากประตูใหญ่ทางทิศใต้ของเมืองอย่างปลอดภัย กุนซือเฒ่ามือหนึ่งกุมเชือกบังคับม้า อีกมือหนึ่งหยิบสุรารสดีหนึ่งกาที่เตรียมมาทำท่าจะยกขึ้นดื่ม แต่กลับมองไปเห็นว่าข้างถนนทางหลวงที่ห่างออกไปไม่ไกลมีบัณฑิตยากจนคนหนึ่งกวักมือยิกๆ ปากก็ตะโกนไปด้วย “เหล่าซ่งๆ ข้าคือเพื่อนของคุณหนูใหญ่พวกเจ้า นางอยู่บนรถม้าไหม?”
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงใจกระตุก หรือว่าปีศาจหมายตาจวนเจ้าเมืองมานานแล้ว? ตัดสินใจว่าจะตัดรากถอนโคน? แม้แต่คุณชายกับคุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ยอมปล่อยไป?
หญิงสาวรีบเลิกผ้าม่านขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “ท่านอาซ่ง นั่นเพื่อนข้าเอง เขาชื่อหลิ่วชื่อเฉิง เป็นบัณฑิตที่เดินทางมาจากแคว้นไป๋ซาน”
จากนั้นอีกศีรษะหนึ่งก็ลอดตามมา ถามอย่างสงสัย “หลิ่วชื่อเฉิง เจ้าออกจากเมืองไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมเพิ่งเดินมาถึงตรงนี้? แอบไปเกี้ยวพาคุณหนูตระกูลใดระหว่างทางหรือไง?”
ผู้เฒ่าลังเลไปชั่วขณะ แต่ก็ยังหยุดรถม้า
เฝ้าสังเกตเหตุการณ์อยู่เงียบๆ
ได้ยินคำหยอกเย้าจากว่าที่น้องภรรยาอย่างหลิวเกาหวา หลิวชื่อเฉิงก็กลอกตา วิ่งเหยาะๆ มาเบื้องหน้า
แม้ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตาเฒ่าประหลาดถึงพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้ากะทันหันแล้วคืนร่างให้ตนชั่วคราว แต่หลิ่วชื่อเฉิงก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรซะตาเฒ่าก็รับปากแล้วว่า ขอแค่ตนเกลี้ยกล่อมให้รถม้าคันนี้ย้อนกลับเข้าไปในเมืองได้ เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ตนได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว
ตอนนี้บนร่างของหลิ่วชื่อเฉิงยังคงสวมชุดเต๋าสีชมพูชุดนั้น แต่ตาเฒ่าบอกว่าหากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบลงไป รวมถึงเทพเซียนโอสถทองคำกระจอกๆ ต่างก็ไม่สามารถมองผ่านเวทอำพรางตามหัศจรรย์ที่เขาร่ายไว้ได้
หลิ่วชื่อเฉิงยืนอยู่ข้างรถม้า หอบหายใจฮักๆ ถามว่า “ทำไม พวกเจ้าก็จะหนีเหมือนกันหรือ? หลิวเกาหวา เจ้ามันลูกอกตัญญู ทำใจดำโยนบิดามารดาของเจ้าทิ้งลงน้ำลึก ทิ้งลงกองไฟได้ลงคอหรือ? ในเมืองมีปีศาจก่อเรื่องวุ่นวายมากมายถึงเพียงนั้น ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองก็ควรเป็นคนแรกที่เสนอตัวออกหน้า อย่างน้อยก็ควรชูมือกู่ร้อง เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ของจวนเจ้าเมืองให้ดี สาบานตนว่าต่อให้ต้องตายก็ไม่ยอมถอยหนีถึงจะถูก ข้าออกจากเมืองไปไกลมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าจะจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ เจ้าลองคิดดู ข้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งยังรู้สึกว่าต้องเผชิญหน้าอย่างมีคุณธรรม บัณฑิตที่ผ่านการเล่าเรียนเขียนอ่านอย่างข้าควรสละชีวิตอย่างไม่กลัวตายเพื่อความถูกต้อง…”
กุนซือเฒ่าโมโหจนกัดฟันกรอดๆ อยากจะฟาดฝ่ามือใส่หน้าบัณฑิตยากจนคนนี้สักที
หลิวเกาหวามองบัณฑิตยากจนด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
พี่สาวเขาตอนนี้สายตาเคลิบเคลิ้ม น้ำตาเอ่อคลอดวงตา ยกสองมือวางทับกันบนตำแหน่งหัวใจ รู้สึกว่าหลิ่วหลางของนางต้องเห็นแก่นางเป็นแน่
หลิวเกาหวามองค้อน “จะกลับเจ้าก็กลับไปเอง ข้าจะไปหลบภัยกับพี่สาว”
หลิ่วชื่อเฉิงบ่นในใจ ตาเฒ่า ทำยังไงดี ว่าที่น้องเมียข้าคนนี้ไม่มีความกล้าหาญดุจดั่งวีรบุรุษเอาเสียเลย ที่ข้าพูดไปก็ไม่ต่างจากสีซอให้ควายฟัง
แต่แล้วจู่ๆ หลิ่วชื่อเฉิงก็ค้นพบว่าเขาควบคุมขาของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เท้าของเขาเหยียบลงบนถนนทางหลวง ‘เบาๆ ’
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว
บนถนนทางหลวงทั้งสายคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น มองมาจากทางกำแพงเมืองจะเหมือนว่ามีเจียวหลงสีเหลืองยาวหลายลี้ตัวหนึ่งปรากฎขึ้นจากความว่างเปล่า
หลิ่วชื่อเฉิงกลืนน้ำลาย กระแอมหนึ่งที เอามือสองข้างไพล่หลัง พยายามให้ตัวเองมีมาดของยอดฝีมือมากที่สุด “บอกกับพวกเจ้าตามตรง ข้าหลิ่วชื่อเฉิงคือเทพเซียนขอบเขตโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง!”
กุนซือเฒ่าพลันหน้าเปลี่ยนสี อึ้งค้างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เกรงว่าคงมีเพียงปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ที่อยู่บนยอดสูงที่สุดของที่สุดในแคว้นไฉ่อี ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เฒ่าที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกคนนั้นเท่านั้นกระมังที่ถึงจะมีพลังมหาศาลเพียงแค่กระทืบเท้าครั้งเดียวแบบนี้?
หรือว่าบัณฑิตยากจนเหลาะแหละตรงหน้าผู้นี้คือเทพเซียนบนภูเขาที่ลงมาท่องเที่ยวในโลกมนุษย์จริงๆ ?
หลิ่วชื่อเฉิงพยายามเขย่งปลายเท้า หมายจะบินขึ้นไปบนรถม้าโดยตรง แต่ร่างของเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย จึงได้แต่ปีนขึ้นไปบนรถม้าด้วยตัวเอง
หลังจากเบียดแทรกตัวเข้าไปในห้องโดยสารแล้วก็ไปนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้องที่กำลงมองหน้ากัน ยกขานั่งขัดสมาธิ หลิ่วชื่อเฉินหันหน้าไปมองหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณหนูหลิว เมื่อใจมีความมุ่งมั่นและศรัทธาสิ่งที่ปรารถนาก็จะบรรลุผล ถูกไหม?”
……
เฉินผิงอันกับเด็กสาวสวมกระพรวนเงินวิ่งมาถึงบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับจวนเจ้าเมือง เฉินผิงอันก็หยุดยืนนิ่ง เด็กสาวกำลังจะเปิดปากถาม เฉินผิงอันก็ชี้ไปยังหัวกำแพงของจวนและหอสูง เด็กสาวมองตามไปก็พลันใจหายวาบ เพราะนางมองเห็นธนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษของสำนักโม่ซึ่งกำลังชี้ปลายลูกศรแหลมคมมายังคนทั้งสอง มือธนูหลายสิบคนต่างก็สวมชุดเสื้อเกราะซึ่งเป็นรูปแบบของทางกองทัพแคว้นไฉ่อี เด็กสาวขมวดคิ้ว
“ดูเหมือนจะเป็นทหารของแม่ทัพหม่าที่เขาทิ้งไว้ในจวน ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้จักข้า ไม่อย่างนั้นให้ข้าตะโกนบอกพวกเขาดีไหม? ขอแค่ข้าออกหน้าเป็นคนอธิบายก็น่าจะพอ กลัวก็แต่ว่าหากทางการคิดจะสอบถามขึ้นมา คงเสียเวลาไม่น้อย”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วก็เกิดลังเลเล็กน้อย “แยกย้ายกันไปดีกว่า เจ้าไม่ต้องรีบร้อนบุกเข้าไป ถ้าถูกขัดขวางก็อธิบายให้พวกเขาฟังสักหน่อยก็ได้ แต่ข้าต้องรีบหาเพื่อนๆ ข้าให้พบในทันที”
เด็กสาวเองก็มีนิสัยทำอะไรรวดเร็วฉับไว จึงพยักหน้ารับทันที “ตกลง! เอาตามที่ท่านเทพเซียนผู้เฒ่าบอก!”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วทะยานตัวกระโดดขึ้นสูง ลูกธนูลูกหนึ่งก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันดีดร่างขึ้นสูงอีกครั้ง เหยียบลงไปบนตัวลูกธนู ปลายเท้าแตะเบาๆ หนึ่งครั้งก็พุ่งตัวตรงดิ่งเข้าไปในจวนเจ้าเมือง