Skip to content

Sword of Coming 230

บทที่ 230 ยอมจำนน

จวนเจ้าเมือง กุนซือเฒ่าดึงหลิวเกาหวาเดินไปถึงประตูด้านหลังของจวน หลิวเกาหวาเห็นรถม้าคันหนึ่งที่จอดรอไว้นานแล้ว ด้านบนมีสัมภาระครบถ้วนคล้ายรถม้าสำหรับคนที่กำลังจะออกเดินทางไกล ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือออกมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณชาย เชิญขึ้นรถ”

มีผู้หญิงคนหนึ่งเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น ใบหน้าของนางนองไปด้วยน้ำตาเหมือนดอกสาลี่ที่ถูกพรมด้วยหยาดพิรุณ พอเห็นว่าเป็นหลิวเกาหวาน้องชายของตน นางก็พอจะวางใจได้บาง จึงปล่อยผ้าม่านลง เอนกายพิงผนังรถม้า นางกำลังคิดถึงหลิ่วหลางคนนั้น

หลิวเกาหวาสับสนมึนงงอย่างยิ่ง “ท่านอาซ่ง นี่ทำอะไรกัน?”

ผู้เฒ่าบอกเขาตามความเป็นจริง “ใต้เท้าเจ้าเมืองต้องการให้ข้าคุ้มครองพวกเจ้าไปส่งนอกเมือง”

หลิวเกาหวาร้อนใจขึ้นมาครามครัน “เวลาอย่างนี้จะออกจากเมืองไปทำอะไร? หรือว่าเมืองแยนจือจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่จริงๆ ? ท่านอาซ่ง ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่ควรไปจากที่นี่ หากเกิดเรื่องกับท่านพ่อจะทำอย่างไร?”

กุนซือเฒ่าที่อยู่ในจวนเจ้าเมืองมาหลายปีเอ่ยยิ้มๆ “หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เจ้าเป็นบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจับไก่ จะทำอะไรได้?”

หลิวเกาหวาจนคำพูด

ผู้เฒ่าเอ่ยเร่ง “คุณชาย รีบไปเถอะ คุณหนูใหญ่รอท่านอยู่นะ”

หลิวเกาหวาส่ายหน้า “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไป! จะไปก็ให้พี่สาวข้าไปคนเดียว…”

หลิวเกาหวายังไม่ทันพูดจบก็วิ่งหนีไปทางประตูหลัง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกตาลาย ก่อนจะพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้เฒ่ามายืนขวางอยู่ตรงหน้าประตู รอจนหลิวเกาหวาหยุดเท้า ผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้ม มองประเมินคนหนุ่มตรงหน้าคล้ายจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง “จะดีจะชั่วอาซ่งก็เคยอยู่ในยุทธภพมาก่อน พอจะเป็นท่าหมัดเท้าปักบุปผาอยู่บ้าง เจ้าจะขึ้นรถไปด้วยตัวเอง หรือจะโดนข้าต่อยให้สลบแล้วแบกเจ้าขึ้นรถ? บอกตามตรง อาซ่งเองก็แก่ขนาดนี้ กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดีแล้ว ให้แบกคนคนหนึ่งวิ่งไปวิ่งมา เจ้าไม่สงสารหรือไร?”

หลิวเกาหวาพูดคอแข็ง “ถ้าอย่างนั้นก็ตีข้าให้สลบเถอะ!”

กุนซือเฒ่าถอนหายใจ “พ่อเจ้ารู้นิสัยดื้อรั้นของเจ้า เดิมทีจึงมีคำพูดที่ฝากข้ามาบอกเจ้า ก่อนหน้านี้ข้ากลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ของพวกเจ้าพ่อลูกเลยตั้งใจจะไม่พูดถึง แต่ตอนนี้เจ้ามีท่าทีอย่างนี้ ข้าก็คงได้แต่พูดไปตามตรงแล้วล่ะ พ่อของเจ้าบอกว่า ‘หลิวเกาหวา ยี่สิบกว่าปีมานี้ เจ้าไม่เคยทำเรื่องให้พ่อแก่ๆ อย่างข้าสบายใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้เจ้าอย่าอยู่ในจวนให้เกะกะลูกตาจะได้ไหม?’”

หลิวเกาหวาตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก

เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวอย่างคนมีแรงแต่ไร้กำลัง “น้องสาวข้าล่ะ?”

กุนซือเฒ่าส่ายหน้า “ตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจนางเลย เจ้ากับคุณหนูใหญ่รีบจากไปก่อนเถอะ ข้าได้ส่งคนไปตามหาคุณหนูรองแล้ว”

หลิวเกาหวาดึงดันอีกครั้ง ผู้เฒ่าร่างผอมโปร่งร้อนใจมากแล้ว เขากระทืบเท้า กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายใหญ่หลิวของข้า ข้าไม่ได้อยากจะตำหนิเจ้า แต่ลูกผู้ชายชาตรี มัวแต่พิรี้ร่ำไร ทำการใหญ่ไม่สำเร็จหรอกนะ!”

หลิวเกาหวากล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าไม่สนใจท่านพ่อท่านแม่ ไม่สนใจน้องสาว คนสารเลวใจดำอย่างข้า หากทำการใหญ่สำเร็จนั่นสิที่แปลก!”

ประโยคนี้ของเขาทำให้ผู้เฒ่าสำลัก กล่าวอย่างโมโห “ไปๆๆ รีบไป”

หลิวเกากวามึนงงทำอะไรไม่ถูก เขารู้สึกว่าไม่ว่าตัวเองจะทำอะไรก็มักผิดพลาดเสมอ

ในเวลานี้เขาถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าตะกอนแห่งภาระหน้าที่ที่สั่งสมในใจมานาน อย่างเรื่องที่ว่าบิดาของเขายุ่งหัวหมุนอยู่ในวงการขุนนางและการทำตัวให้มีคณธรรม หมกมุ่นเขียนบทความดีๆ ชอบพูดคุยถกปัญหากับคนนอก ยินดีเล่นหมากล้อมเป็นครึ่งๆ วันกับแขกที่เชิญมายังจวน ไม่เคยขาดแคลนคำชมกับบุตรชายหญิงของเพื่อนสนิท มีเพียงกับบุตรชายแท้ๆ อย่างเขาเท่านั้นที่บิดามีท่าทีไม่ร้อนไม่หนาว โดยเฉพาะเมื่อเขาสอบไม่ติดเคอจวี่อย่างที่หวังไว้ บิดายังเอ่ยเยาะเย้ยเขาอยู่หลายคำ…

ตอนนี้เขาถึงได้ค้นพบว่าที่แท้เรื่องเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย

ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ไปเถอะ เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเพิ่มความวุ่นวาย ทำให้พ่อแม่เจ้ากังวลใจกันเปล่าๆ”

หลิวเกาหวายิ้มขื่น “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ รอจนหลิวเกาหวาเดินเข้าไปในห้องโดยสาร ผู้เฒ่าก็ขับรถม้าออกไปยังถนนที่ประตูใหญ่ของบ้านแต่ละหลังปิดสนิท เสียงกีบเท้าม้าดังกุบกับกระทบพื้นมุ่งไปทางทิศใต้ของเมือง

เหลียวซ้ายแลขวามองสถานการณ์บนถนนก็เห็นว่าถนนหนทางส่วนใหญ่ยังคงคึกคักดังเดิม คนที่เดินทางท่องเที่ยวเดินสวนกันขวักไขว่ ร้านรวงตั้งเรียงราย ครึกครื้นไม่ธรรมดา ไม่มีใครรู้เลยว่าอันตรายได้คืบคลานมาปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแล้ว และระหว่างความเป็นความตายก็มีเพียงเส้นบางๆ กั้นขวางไว้เท่านั้น ตามคำบอกของแม่ทัพหม่า พวกปีศาจกล้าลงมืออย่างครึกโครมเปิดเผยขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีการเตรียมการมาก่อน หากเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ไม่มีทางที่คนจะตายกันแค่ไม่กี่ร้อยคน ภัยพิบัติหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของแคว้นไฉ่อีที่ทางราชสำนักให้คำจำกัดความว่าเป็นโรคระบาด ทำลายชาวบ้านไปหลายหมื่นคน หนึ่งในนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับค่ายกลใหญ่ที่ชั่วร้ายของผู้ที่เชี่ยวชาญในวิถีมาร หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับสมบัติอาคมสกปรกที่สูญเสียการควบคุม ชาวบ้านที่ตายไปท่ามกลางเหตุการณ์ประเภทนี้ ศพของพวกเขามักจะถูกปล่อยให้ตากแดดตากลม ไม่มีใครกล้าเก็บศพเอาไปฝัง โรคระบาดของปีนั้นที่ลามมาถึงเมืองแยนจือก็เป็นเช่นนี้ ถึงได้ทำให้ในรัศมีหลายร้อยลี้มีสุสานระเกะระกะขนาดใหญ่เกิดขึ้น

เมื่อฟ้าถล่มลงมาจริงๆ ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะหนีไปไหนรอด? เว้นเสียแต่ว่ามียอดฝีมือมาช่วยแบกรับเอาไว้ แบกรับไม่ไหว ก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น

ผู้เฒ่าสะท้อนใจ การกระทำของเจ้าเมืองหลิวและจวนเจ้าเมืองในครั้งนี้ทำให้กุนซือเฒ่าอย่างเขาต้องมองเสียใหม่

เจ้าเมืองหลิวจ่ายเงินขอให้นักพรตจงเมี่ยวปล่อยกระบี่บินไปส่งข่าวก็จริง พรรคหลิงซีต้องส่งคนมาช่วยก็จริง นกหลวนสามารถบรรจุคนบินทะยานลมลงใต้มาอย่างรวดเร็วก็จริงอีกเหมือนกัน

แต่ไม่จริงตรงที่ว่าเร็วแค่ไหน เพราะเจ้าเมืองหลิวโกหก นกหลวนหลากสีโบยบินเพียงลำพังสามารถมาถึงเหนืออากาศของเมืองแยนจือตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้ได้จริง แต่หากบรรทุกคนมาด้วย เกรงว่าถึงตอนกลางคืนก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเข้ามาใกล้อาณาเขตทางเหนือของเมืองแยนจือ

ทำไมเจ้าเมืองหลิวต้องโกหก? เพราะว่าในฐานะขุนนางหลักของเมืองหนึ่งที่มีหน้าที่ปกปักษ์พิทักษ์เมือง เจ้าเมืองหลิวต้องการให้มีคนลุกขึ้นมาออกหน้าในช่วงเวลาที่อันตรายกำลังจะมาเยือน หากคนเหล่านี้สามารถยืนหยัดได้จนกว่านกหลวนที่บรรทุกผู้คนจะมาถึง นั่นก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่หากประคับประคองตัวได้ถึงแค่ช่วงเที่ยงของวันพรุ่งนี้ ถ้าอย่างนั้นทุกคนที่ผูกปมแค้นกับปีศาจใหญ่อย่างเปิดเผยก็ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ได้แต่ร่วมเป็นร่วมตายไปกับคนในเมืองเท่านั้น

หากปีศาจใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองเก็บตัวนิ่งตลอดไป หากเที่ยงวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่ก่อเรื่อง ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นเจ้าเมืองหลิวก็มีวิธีบีบให้อีกฝ่ายปรากฎตัว

หากเมืองแยนจือเป็นฝ่ายประกาศศึกก่อน ฝ่ายปีศาจยังสามารถอดทนรอให้ถึงวันมะรืน ก็ยิ่งไม่น่าเป็นห่วง เพราะถึงตอนนั้นทางฝ่ายของเมืองก็ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีเพราะมีกองหนุนจากทั่วสารทิศมาช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะการมาถึงของเซียนซือพรรคหลิงซีที่ทำให้เจ้าเมืองหลิวไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์อีกต่อไป

เพราะฉะนั้นเวลาที่บัณฑิตไม่เหลือหนทางให้เดินแล้วเอาจริงขึ้นมา ความคิดชั่วร้ายที่อยู่เต็มหัวของพวกเขาก็สามารถท่วมทับคนให้ตายได้

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าได้รู้จักกับเจ้าเมืองหลิวเจ้านายของตนอย่างแท้จริง ผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ไม่ผิดหวัง กลับยังรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะดื่มสุราให้สาแก่ใจสักครั้ง

น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสเหลือให้ทำอย่างนั้นเท่าใดแล้ว

ก่อนหน้าที่จะหลอกเอาคุณชายใหญ่หลิวเกาหวาไปที่ประตูหลังของจวน ผู้เฒ่าได้พูดเปิดเผยความในใจกับเจ้าเมืองหลิวไปก่อนแล้ว

เจ้าเมืองหลิวบอกกับเขาตามตรงว่า หากหายนะของเมืองแยนจือครั้งนี้มีคนตายแค่ร้อยสองร้อยคน ถ้าหนีได้เขาก็จะหนีแน่นอน แต่ถ้ามีชาวบ้านที่บริสุทธิ์ตายไปเป็นจำนวนมาก เขาจะไม่หนี

ตอนนั้นบัณฑิตที่สวมชุดขุนนางชี้ไปที่หัวใจตัวเองแล้วบอกว่า ตรงนี้ของเขาจะไม่สงบ

แถมยังบอกว่าเขาอ่านตำราของเหล่านักปราชญ์มามากขนาดนั้น ถือว่าเป็นสหายเก่าแก่ที่รู้จักกับพวกมันมานานแล้ว หากครั้งนี้ยังหนีเอาชีวิตรอด เกรงว่าวันหน้าคงไม่มีหน้าไปพลิกหนังสือเปิดอ่าน ไม่มีหน้าไปพบเจอสหายเก่าพวกนั้นอีกแล้ว

“หากชั่วชีวิตนี้ข้าไม่ได้อ่านหนังสืออีก มีชีวิตอยู่จะไปมีความหมายอะไร?”

ตอนที่บิดาผู้เป็นเสมือนพ่อแม่ของประชาชนซึ่งไม่เคยสัมผัสกับการรบและควันปืนมาก่อนในชีวิตพูดถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงเหล่านี้ อันที่จริงริมฝีปากของเขาสั่นระริก สีหน้าซีดขาว สองขาก็สั่นเทา ไม่ว่าจะเก็บอาการอย่างไรก็เก็บไม่อยู่

กุนซือเฒ่ามองเห็นได้อย่างชัดเจน

ใช้ท่าทางของคนขี้ขลาดพูดถ้อยคำห้าวหาญฮึกเหิมแบบนี้

มองดูแล้วน่าตลกอย่างมาก

แต่กุนซือเฒ่ากลับหัวเราะไม่ออก แล้วก็ไม่รู้สึกว่าน่าขำด้วย

บัณฑิตที่เป็นขุนนางบางคนไม่ค่อยเหมือนกับซิ่วไฉยากจนที่คิดว่าตัวเองมีความรู้แต่ผู้คนมองไม่เห็น ตัวเองมีความสามารถแต่ไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่จริงๆ

ผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่เป็นสารถีหยุดความคิดลง บังคับม้าควบขับออกจากเมืองโดยเร็ว

ผู้เฒ่าอดหันกลับไปมองไม่ได้ ลูกศิษย์เกเรที่ตนแอบรับตัวไว้คนนั้นก็ไม่รู้ว่าไปมัวเล่นสนุกอยู่ที่ไหน ไม่ว่าหาอย่างไรก็หาไม่พบ หวังเพียงนางจะไม่ไปก่อเรื่องวุ่นวาย หายนะใหญ่ของเมืองแยนจือครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้แน่นอน

ผู้เฒ่าส่ายหน้า กล่าวอย่างจนใจ “น้ำในยุทธภพขุ่นมัว ลมบนภูเขาพัดกระโชกแรง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ลำบาก แค่ขอมีชีวิตที่สงบ มีข้าวให้กินอิ่มท้อง มันยากขนาดนี้เลยหรือไง?”

……

ทางทิศเหนือของเมืองแยนจือมีร้านขายข้าวร้านหนึ่งเปิดกิจการมาได้ยี่สิบกว่าปี เจ้าของร้านคือผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งที่เป็นคนพูดน้อยมาก ปีๆ หนึ่งปริปากแค่ไม่กี่ครั้ง ลูกจ้างในร้านสองคนที่ลงหลักปักฐานอยู่กับผู้เฒ่าในเมืองก็ไม่ค่อยชอบพูด แต่มักจะไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลเทพอภิบาลเมืองเป็นประจำ นี่ทำให้พวกบ้านใกล้เรือนเคียงรู้สึกดีกับพวกเขา บวกกับที่ข้าวและสิ่งของจิปาถะที่ทางร้านวางขายเป็นของดีแต่ราคาถูก กิจการจึงไม่เลวนัก

วันนี้มีคนต่างถิ่นสองคนมาเยือนร้านข้าว เป็นคู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่มองดูแล้วซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ประตูของร้านปิดหยุดขายของแล้ว ลูกจ้างเด็กหนุ่มที่ร้านข้าวรับตัวมาใหม่เมื่อปลายฤดูหนาวของปีกลายอธิบายว่ามีญาติทางไกลมาเยี่ยมเจ้าของร้านก็ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจ ญาติที่ไม่เคยไปมาหาสู่กันมานานหลายปี พบหน้ากัน คุยกันมากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ

หลังจากประตูร้านปิดลง เจ้าของร้านและสองสามีภรรยานั่งอยู่ข้างโต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่ส่งกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ลูกจ้างสามคนนั่งแทะเมล็ดแตงด้วยกันอยู่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่าไม่มีสิทธิ์ได้มานั่งร่วมโต๊ะ

บุรุษที่เดินทางมาไกลยื่นมือไปหยิบน่องไก่มันเยิ้มชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดแทะอย่างเมามัน มือข้างหนึ่งถือกาเหล้า ตอนที่ยกเหล้าขึ้นดื่ม เหล้าก็กระฉอกออกไปเสียครึ่งหนึ่ง

สตรีแต่งงานแล้วเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อย นิ้วมือสองข้างคีบผิวหนังใต้ปลายคาง ฉีกเบาๆ หนึ่งที ถึงเห็นว่านั่นคือหนังหน้าบางๆ แผ่นหนึ่ง นางโยนมันลงบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นถึงได้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจหนักๆ “ของเล่นบ้าๆ นี่ เวลาสวมลำบากจริงๆ หายใจก็ไม่สะดวก แถมยังแพงตั้งสามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ…”

ลูกจ้างสามคนที่อยู่ห่างออกไปสูดลมหายใจดังเฮือกพร้อมกัน สตรีแต่งงานแล้วที่ฉีกใบหน้าปลอมออกหน้าตาอัปลักษณ์จริงๆ !

สามศิษย์พี่ศิษย์น้องหันมายิ้มให้กัน รู้สึกว่าหน้ากากที่จ่ายด้วยสามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะนั้น อันที่จริงคุ้มสำหรับนางมาก

สตรีแต่งงานแล้วพูดพลางยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาดึงหน้ากากชิ้นหนึ่งสองโยนลงบนโต๊ะ

คนทั้งสามตะลึงงัน กลืนน้ำลายดังเอื๊อก

สตรีผู้นี้หน้าตาดีจริงๆ คนทั้งสามคิดพร้อมๆ กันโดยไม่ได้นัดหมายว่าขออย่าให้มีหน้าปลอมแผ่นที่สามเลย ดังนั้นเมื่อสตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้นอีกครั้ง คนทั้งสามจึงโอดครวญอยู่ในใจ ‘ปัดโธ่ จริงๆ แล้วก็ยังเป็นคนขี้เหร่อยู่ดีหรือนี่’ คาดไม่ถึงว่าสตรีแต่งงานแล้วที่หน้าตางามเพริศพริ้งจะหันมายักคิ้วให้พวกเขา ยิ้มหวานหยด “ไม่มีแล้ว พี่สาวหน้าตาแบบนี้แหละ สวยไหมล่ะ?”

เจ้าของร้านข้าวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบพูดเข้าเรื่องสักที”

บุรุษกระดกคางขึ้นบอกให้สตรีแต่งงานแล้วเป็นคนเล่า เพราะเขากำลังง่วนอยู่กับการกินเนื้อดื่มสุรา

สตรีแต่งงานแล้วหยิบกระจกเล็กๆ บานหนึ่งออกมา ส่องกระจกจัดแต่งเส้นผมของตัวเองพลางกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มารเฒ่าหมี่ พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อแบ่งของกับเจ้า”

ผู้เฒ่าคีบผักดองของหน้าหนาวชิ้นหนึ่งยัดไส่ปากเคี้ยวเสียงดังกรุบกรอบ ขมวดคิ้วพูดว่า “ของยังไม่ทันได้มาอยู่ในมือ ก็คิดจะแบ่งกันแล้ว? ในหัวของพวกเจ้าสองผัวเมียมีรูหรือเปล่า?”

สตรีแต่งงานแล้วลดกระจกลงเล็กน้อย ยิ้มหวานกล่าวว่า “เจ้าสนิทกับเซียนหลิวหลี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากเป็นพิเศษ เป็นสหายเก่าที่รู้จักกันมาร้อยปีกว่าแล้ว แน่นอนว่าพวกเราสองสามีภรรยารู้ดี เพียงแต่ว่าเรือลำใหญ่กำลังจะจม มารเฒ่าหมี่ เจ้าคงไม่คิดจะจมน้ำตายไปพร้อมกับพวกเขาหรอกกระมัง?”

ผู้เฒ่าที่ถูกเรียกว่ามารเฒ่าหมี่รีบวางตะเกียบลง “หมายความว่าอย่างไร?”

“สวยจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นของชั้นเยี่ยมที่ต้องจ่ายด้วยเหรียญเงินเกล็ดหิมะแปดสิบเหรียญ ก็แค่ขี้ขลาดไปสักหน่อย ข้าอุตส่าห์ยอมจ่ายด้วยเงินสองร้อยเกล็ดหิมะก็ยังไม่กล้าช่วยสร้างใบหน้าปลอมที่คล้ายเฮ้อเสี่ยวเหลียงสักเจ็ดแปดส่วนให้ข้า” สตรีแต่งงานแล้ววางกระจกลง จากนั้นก็ฉีกหนังหน้าออก เผยให้เห็นเป็นใบหน้าของหญิงชราที่มีกระเต็มหน้า

ปากของชายฉกรรจ์มันแผล็บ หัวเราะครึกครื้น “นั่นสิๆ หากสามารถเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือซูเจี้ยสักเจ็ดแปดส่วน อย่าว่าแต่เงินเกล็ดหิมะสองร้อยเหรียญเลย ห้าร้อยเหรียญ ข้าก็เต็มใจจ่าย ได้กอดเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือเทพเธิดาซูเจี้ยกลิ้งผ้าห่มตั้งแต่เช้าจรดเย็น จุ๊ๆๆ นั่นมันชีวิตของเทพเซียนแท้ๆ ข้าผู้อาวุโสไม่หลับไม่นอนทั้งคืนเลยก็ยังได้!”

สตรีแต่งงานแล้วมองค้อนชายฉกรรจ์ พูดเรื่องเป็นการเป็นงานต่ออีกครั้ง “เซียนกระบี่น้อยของสำนักโองการเทพแซ่ฟู่คนหนึ่งก็เข้าร่วมกับพรรคหลิงซีเดินทางลงใต้มาด้วย อายุไม่มาก แต่วางท่าใหญ่โตยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก ระหว่างที่เดินทางลงใต้ บุรพาจารย์สองท่านของพรรคหลิงซีแทบจะยกแม่นางน้อยคนนั้นขึ้นหิ้งบูชา”

ผู้เฒ่าเจ้าของร้านวางตะเกียบลง สีหน้าเคร่งเครียด “จริงรึ?”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้า “หากไม่เป็นเช่นนี้ ต่อให้พวกเราสองสามีภรรยาคิดจะเลิกให้ความร่วมมือก่อนกำหนด แต่แยกย้ายกับพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร? เรื่องที่ทำลายผู้อื่นแล้วไม่ส่งผลดีต่อตัวเอง พวกเราไม่คิดจะทำหรอกนะ หากทำการค้าอย่างสะเพร่า กิจการก็ย่อมไม่ยั่งยืน”

ผู้เฒ่าถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญ “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนของสำนักโองการเทพเข้ามาร่วมด้วย? มีคนของพวกเจ้าแฝงตัวเป็นสายลับอยู่ในพรรคหลิงซีรึ? แถมยังมีลำดับศักดิ์ไม่ต่ำด้วย?”

สตรีแต่งงานแล้วย้อนถาม “แปลกมากนักหรือ?”

ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม “ที่แท้เจ้าก็ทำการค้าไปถึงบนภูเขาแล้ว นับถือๆ”

ชายฉกรรจ์โยนกระดูกน่องไก่ลงบนพื้น เอ่ยแทรกขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ต้องทำไปถึงบนยอดเขาต่างหากถึงจะถือว่าร้ายกาจ กิจการเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเราจะนับเป็นอะไรได้”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “มารเฒ่าหมี่ เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริง แต่บอกกับเจ้าตามตรง หากเจ้ายืนกรานจะมัดตัวเองอยู่กับเซียนหลิวหลี พวกเราสองสามีจะไม่พูดอะไรมากอีก กินข้าวเสร็จแล้วจะไปทันที งานทางฝ่ายของพรรคหลิงซีก็ถือว่าพวกเราได้กำไรมาก้อนใหญ่แล้ว หากเจ้ายินดีจะร่วมหัวจมท้ายไปกับพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็วางแผนให้ดี หลังจากสลัดเซียนหลิวหลีทิ้งไปแล้วก็เปิดค่ายกลก่อนกำหนด ฉวยโอกาสที่ผู้คนกำลังวุ่นวายรีบฉกสมบัติอาคมชิ้นนั้นมาแล้วหนีไปทันที”

ผู้เฒ่าร่างผอมสูงลังเลเล็กน้อย

ชายฉกรรจ์เช็ดปาก “สังหารเซียนหลิวหลี ไม่เพียงแต่ถ้วยหลิวหลี (ถ้วยแก้ว) ของเขาที่จะเป็นของเจ้า สมบัติทุกชิ้นของสหายเจ้าคนนี้ เจ้าเอาไปได้เท่าไหร่ก็เอาไป แต่ตราประทับชิ้นนั้นต้องเป็นของพวกเรา”

มารเฒ่าหมี่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “รอเดี๋ยว”

เขาหันไปมองลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดคนนั้น “โยนเหรียญทองแดงคำนวณดูสิว่าจะดีหรือร้าย”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ปากแดงฟันขาว เขายิ้มสดใส ควักเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งมากำไว้ในฝ่ามือ นั่งยองบนพื้น เงยหน้าถาม “เหล่าหมี่ มีผลประโยชน์ไหม?”

ผู้เฒ่ากล่าวเรียบๆ “ทุกคืนหลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องสวมชุดของสตรีอีกแล้ว”

ลูกศิษย์อีกสองคนสีหน้าเป็นปกติ พวกเขาหันมายิ้มให้กัน เด็กหนุ่มหน้าแดงนิดๆ พูดเขินๆ ด้วยเสียงนุ่มหวาน “นี่จะถือเป็นผลประโยชน์ได้อย่างไร เหล่าหมี่ท่านเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีไหม?”

ผู้เฒ่าคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าส่วนหนึ่ง”

เด็กหนุ่มที่น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม “ได้ผลประโยชน์แล้ว ศิษย์ยังจะมีชีวิตได้ใช้มันหรือไม่?”

มารเฒ่าหมี่ปรายตามองลูกศิษย์สองคนที่เข้ามาอยู่ในสำนักของเขานานแล้วด้วยสายตาเย็นชา พยักหน้าให้เด็กหนุ่ม “มี”

เด็กหนุ่มยิ้มหวาน เขากัดปลายนิ้วของตัวเองแล้วใช้ปลายนิ้วปาดคราบเลือดลงไปบนเหรียญทองแดง สุดท้ายถึงวางลง เพ่งมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงระคนยินดี “มหามงคล!”

มารเฒ่าหมี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก หันไปมองสองสามีภรรยา “ข้าจะให้ลูกศิษย์ไปเปิดค่ายกลล่วงหน้า พวกเราสามคนช่วยกันรับมือเซียนหลิวหลี รีบรบรีบจบ เป็นอย่างไร?”

สายตาของสตรีแต่งงานแล้วค่อยๆ ดึงกลับมาจากบนใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม นางอารมณ์ดีอย่างมาก “ได้สิ”

จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ถามด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “มารเฒ่าหมี่ เจ้าเป็นเพื่อนกับเซียนหลิวหลีมาร้อยกว่าปี จะตัดใจลงมือได้ลงจริงๆ หรือ?”

มารเฒ่าหมี่ใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมา “มอบถ้วยหลิวหลีซึ่งเป็นของที่เซียนท่านหนึ่งทิ้งไว้ให้เป็นของรางวัล โดยบอกให้เจ้าฆ่าเมียตัวเอง เจ้าจะทำหรือไม่?”

ชายฉกรรจ์ไม่พอใจ

ทว่าสตรีแต่งงานแล้วกลับไม่เสียใจแม้แต่น้อย นางควักกระจกออกมาส่องซ้ายส่องขวาอีกครั้ง “หากในสายตาของเจ้าคนใจดำผู้นี้ ข้ามีค่าเทียบเท่ากับถ้วยหลิวหลีหนึ่งใบ ชีวิตนี้ของข้าก็ไม่ถือว่าเสียเปล่าแล้ว”

……

นอกศาลเทพอภิบาลเมือง เด็กสาวยืนตัวสั่นอยู่ตรงประตูหลังของตำหนักใหญ่ชั้นที่หนึ่ง นางถึงขั้นไม่กล้ายืนอยู่บนลานเล็กระหว่างตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ย

เพราะในตำหนักเทพอธิบาลเมืองที่อยู่ด้านหน้ากำลังเกิดการต่อสู้รุนแรงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนในสายตานางถูกเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินที่ธาตุไฟเข้าแทรกเหยียบกลางหลัง ทว่าท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มกลับร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะเขาสามารถยืดเอวขึ้นตรงได้ในเสี้ยววินาที บีบให้เทพอภิบาลเมืองถอยหลังไปสองก้าว หลังจากนั้นเทพอภิบาลเมืองร่างทองของแคว้นไฉ่อีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็ระเบิดพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจ เขาสาวเท้าก้าวเร็วๆ ราวกับบินไล่ตามเซียนกระบี่ที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังอยู่ในตำหนักใหญ่ที่กว้างขวางอย่างว่องไว

ระหว่างนี้เซียนกระบี่หนุ่มยังออกท่าหมัดประหลาดยี่สิบเอ็ดครั้งเหมือนกับตอนที่ต่อยทำลายค่ายกล ทั้งๆ ที่สามารถต่อยให้ทองคำบนร่างของเทพอภิบาลที่ถูกมารร้ายเข้าสิงแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยร่วงกราวอยู่ในตำหนักใหญ่ เทวรูปดินเผาเกิดรอยปริร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน มีควันดำผุดออกมาเป็นเส้นๆ ได้แล้ว แต่พอเทพอภิบาลเมืองร่างทองคำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง สร้างตราประทับฝ่ามือประหลาดที่เด็กสาวไม่รู้จัก ผงสีทองไม่เพียงแต่กลับมารวมตัวกันบนพื้นผิวของเทวรูป แม้แต่รอยแตกร้าวก็ยังประสานตัวหายดีได้ดังเดิมในเสี้ยววินาที

นอกจากดวงตาทั้งคู่ของเทพอภิบาลเมืองที่เป็นสีดำดุจหมึก แผ่กลิ่นอายอึมครึมน่าสะพรึงกลัว หากประสานสายตากับเขาจะทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลัง แต่นอกจากนี้แล้ว เขาก็ยังมีร่างสีทองเปล่งประกาย เจิดจรัสบาดตา เรือนกายสูงสามจั้ง ทุกหมัดที่ต่อยลงไปล้วนกระแทกให้กำแพงยุบถล่ม ทุกเท้าที่กระทืบลงไปล้วนทำให้พื้นอิฐปริแตก ราวกับองค์เทพผู้เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจจากชั้นฟ้าที่เยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์เพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร

เด็กสาวกระพรวนเงินมีแต่ความกังวลใจ เทพอภิบาลเมืองร่างทองที่มองดูเหมือนไร้เทียมทานขนาดนี้ จะมีใครเอาชนะได้จริงๆ หรือ?

นางเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ถึงไม่เรียกกระดาษยันต์สีทองสองแผ่นนั้นออกมา? หรือแม้แต่กระบี่บินก็ยังไม่ยอมเรียกใช้? กลับเอาแต่ต่อสู้ประชิดตัวอยู่กับเทพอภิบาลเมือง ท่าหมัดถูกเปลี่ยนไปหลายท่าแล้ว และมีหลายครั้งที่นางเห็นกับตาตัวเองว่าเทพเซียนสะพายกระบี่ถูกต่อยจนปลิวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ฟังจากเสียงน่าจะถูกเทพอภิบาลเมืองร่างทองต่อยอัดเข้าไปในกำแพง ภายหลังเทพอภิบาลเมืองจึงดึงเสาคานขนาดใหญ่ต้นหนึ่งออก ไม่สนใจว่าตำหนักเทพอภิบาลเมืองจะถล่มลงมา ใช้มันเป็นอาวุธที่เดี๋ยวก็ฟาดเดี๋ยวก็ตวัดเหวี่ยงอย่างบ้าคลั่ง

เทพเซียนตีกัน แผ่นดินไหวภูเขาสั่นคลอนอย่างแท้จริง

เด็กสาวที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ แอบท่องในใจว่าสู้ๆ สู้ๆ

แม้ว่าตอนนี้เทพเซียนผู้เฒ่าจะตกเป็นรองชั่วคราว แต่ก็ต่อสู้ได้อย่างองอาจห้าวหาญ

ยกตัวอย่างเช่นเขายกแขนสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ แข็งใจต้านรับเสาคานต้นใหญ่ที่ตีแสกหน้าลงมา เสาคานหักท่อนเสียงดังสนั่น แต่เข่าทั้งสองข้างของเขาก็ทรุดจมลงไปในพื้นดินทันที

เด็กสาวรีบหลับตาลงข้างหนึ่ง เบี่ยงหน้าออกไปเพราะทนมองไม่ไหว ในใจคิดว่าต้องเจ็บมากแน่ๆ

แล้วก็เป็นอีกครั้ง เขาถูกเตะออกมานอกตำหนักใหญ่ ร่างทั้งร่างกลิ้งตลบอยู่กลางลานกว้างหลายสิบครั้ง เทพอภิบาลเมืองร่างทองยืนอยู่หลังธรณีประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา กระดิกนิ้วให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันลุกขึ้นได้ก็พุ่งตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่

เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ตำหนักเทพอภิบาลเมืองก็ถูกเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเหวินรื้อถอนจนเละ เสาใหญ่ห้าหกต้นถูกถอนออก ตำหนักใหญ่ที่ผ่านลมผ่านฝนมานานหลายร้อยปีถล่มครืน ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน เทพอภิบาลเมืองดึงเสาใหญ่สีแดงสดต้นสุดท้ายออก ผนังฝั่งซ้ายมือไม่ได้แตกพังไม่เหลือชิ้นดีอย่างผนังฝั่งขวา แต่ล้มครืนออกไปด้านนอกทั้งแถบ เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านบนของผนัง ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขาดวิ่นไปนานแล้ว เขาหันหน้ามาถ่มเลือดคำหนึ่งทิ้ง

เฉินผิงอันมองเทพอภิบาลเมืองตนนี้เป็นหม่าขู่เสวียนคนที่สอง อาศัยการต่อสู้ครั้งใหญ่มาขัดเกลาเรือนกายและจิตวิญญาณของตัวเอง

อาศัยแค่สองมือ น่าจะเอาชนะไม่ได้

ราวกับว่าเมื่ออยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง ไม่ว่าจะทุบตีหรือทำร้ายอย่างสาหัสรุนแรงแค่ไหน เทวรูปรูปนั้นก็สามารถกลับคืนสู่สภาวะสูงสุดได้ทุกครั้ง นี่มันไร้เหตุผลเกินไป

หางตาของเฉินผิงอันเหลือบไปมองกองซากปรักหักพัง ย้อนหนึ่งถึงตำแหน่งที่เทพอภิบาลเมืองยืนอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ในใจก็พลันกระจ่างแจ้ง

การที่วัตถุฟางจั้งถูกขนานนามให้เป็นถ้ำสวรรค์ขนาดจิ๋วก็เพราะว่ามีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน

ส่วนอริยะของฝ่ายต่างๆ ก็มีคำเรียกว่าเขตแดน ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ฉีและช่างหร่วนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู และขอแค่อริยะลัทธิขงจื๊ออยู่ในสำนักศึกษาหรือสถานศึกษา อริยะสำนักการทหารอยู่ในโบราณสถานของสนามรบโบราณ ฯลฯ เวลาที่พวกเขาต่อสู้กับคนอื่นก็มักจะได้เปรียบในด้านฟ้าอำนวยดินช่วยอวยพรเสมอ

คิดดูแล้วเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือผู้นี้ก็น่าจะใช้หลักการเดียวกัน

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาลองล่อหลอกให้เทพอภิบาลเมืองออกจากตำหนักเทพอภิบาลเมืองดู หากเป็นไปได้ หลอกพาเขาให้ออกไปจากพื้นที่ของศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ย่อมดีที่สุด

แต่เรื่องราวบนโลกมักไม่เป็นดั่งใจปรารถนา แม้ว่าเทพอภิบาลเมืองร่างทองจะถูกมารเข้าสิง สติสัมปชัญญะขุ่นมัว แต่ด้วยสัญชาตญาณ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมไปจากที่ตั้งของศาลเทพอภิบาลเมืองซึ่งกลายเป็นซากปรักไปแล้วแห่งนี้ ต่อให้เฉินผิงอันยอมให้ตัวเองบาดเจ็บ ถูกโยนออกไปนอกตำหนักเทพอภิบาลเมืองเพื่อหลอกล่ออีกฝ่ายถึงสองครั้ง แต่อย่างมากสุดเทพอภิบาลเมืองร่างทองก็แค่ใช้เสาคานที่หักท่อนมาเป็นอาวุธทุ่มกระแทกเข้าใส่เฉินผิงอันอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น

เฉินผิงอันไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เขายังต้องรีบไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อเปิดโปงผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

และความสะใจอย่างเต็มคราบที่แท้จริงของการต่อสู้ครั้งนี้ก็ได้ระเบิดออกมาอย่างเต็มที่ในนาทีนี้

เฉินผิงอันปล่อยหมัดไม่หยุด ขณะเดียวกันชูอีกับสืออู่กระบี่บินที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็บินพรวดเข้าไปหาเทพอภิบาลเมืองร่างทอง

เหนือซากปรักของตำหนักเทพอภิบาลเมือง ชูอีสีขาวหิมะ สืออู่สีเขียวมรกต กระบี่บินสองเล่มต่างก็ร่วมมือกับเฉินผิงอันบินวนไปรอบเทวรูปเทพอภิบาลเมืองร่างทองในขณะที่เฉินผิงอันคอยปล่อยหมัด

เด็กสาวกระพรวนเงินที่มองดูอยู่ถึงกับตาพร่าลาย ปากอ้าตาค้าง

สุดท้ายเฉินผิงอันเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งออกมา จ่ายค่าตอบแทนด้วยการยอมให้ยันต์สีทองแผ่นหนึ่งหม่นหมองหมดประกายแสงลงอย่างสิ้นเชิง ถึงสามารถสยบเขาไว้ภายใน ร่างทองปริร้าวทุกอณูส่วน สุดท้ายหลงเหลือเพียงเศษชิ้นส่วนสีทองหลายสิบชิ้น รวมไปถึงกล่องไม้สีเขียวกล่องนั้น

เฉินผิงอันเก็บของเหล่านั้นมาเงียบๆ ลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กสาวแล้วถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าชื่อว่าอะไร?”

เด็กสาวส่งเสียงตอบอย่างเหม่อลอย “หลิวเกาซิน?”

เฉินผิงอันถาม “เกาซิ่ง?”

เด็กสาวหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยอธิบายว่า “เกาที่แปลว่าจุดสูง ซินที่แปลว่าอบอุ่นและหอมหวน ไม่ใช่ซิ่งจากเกาซิ่งที่แปลว่าดีใจ”

ตอนที่พ่อแม่ตั้งชื่อกับนาง มีความนัยว่าในอนาคตนางจะได้เป็นไม้เด่นงดงาม อีกทั้งยังอยู่จุดสูงสุดและส่งกลิ่นหอมหวน

ใบหน้าของเด็กสาวงดงาม จิตใจซื่อบริสุทธิ์

นางไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่อยู่ตรงหน้าเพิ่งต่อสู้กับเทพอภิบาลเมืองร่างทองเสร็จ กำลังต้องการเวลาในการปรับลมปราณ

เดิมทีเฉินผิงอันอยากพูดว่าชื่อนี้ตั้งได้ดีจริงๆ เรียบง่ายแต่สง่างาม เหมือนชื่อของตนอย่างมาก

แต่ผลกลับกลายเป็นว่าชื่อของอีกฝ่ายไม่ใช่ ‘เกาซิ่ง’ เขาจึงได้แต่กลืนคำพูดกลับลงคอ

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ถามเบาๆ ขึ้นมาอย่างลังเล “เจ้าคงไม่ใช่น้องสาวของหลิวเกาหวาหรอกกระมัง?”

ดวงตาเด็กสาวเป็นประกาย “ทำไม ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนก็รู้จักพี่ชายข้าด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ดีเลย ข้าต้องไปที่จวนเจ้าเมืองพอดี ไปบอกกับบิดาเจ้าว่าเทพเซียนเฒ่าผู้นั้นต่างหากที่เป็นตัวการร้ายที่แท้จริง”

คืนนั้นเด็กสาวไม่ได้ไปชมเรื่องสนุกที่แท่นสูงใจกลางทะเลสาบ จึงไม่เคยเห็นหน้าเทพเซียนผู้เฒ่ากับผีสาวชุดสีสันสดใสมาก่อน เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปบนกำแพงสูงแล้ว เด็กสาวรีบตามหลังไปติดๆ คนทั้งสองทยอยกันไต่ผนังกระโดดขึ้นไปบนชายคา แม้ว่าเด็กสาวจะมีเรือนกายที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้วเช่นกัน แต่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับเฉินผิงอันได้ เพียงไม่นานนางก็หอบหายใจฮักๆ เฉินผิงอันจึงหยุดยืนอยู่บนหลังคาที่ชายคาตวัดโค้งแห่งหนึ่ง ให้นางได้พักผ่อนชั่วครู่

หลิวเกาซินเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เซียนกระบี่ผู้เฒ่า ทำไมท่านไม่ขี่กระบี่ล่ะ สามารถพาข้าทะยานลมไปยังบ้านข้าด้วยกัน จะได้ไปถึงเร็วขึ้นอีกหน่อย”

เรียกเซียนกระบี่มั่วซั่วก็ยังพอว่า แต่นี่ยังเติมคำว่า ‘ผู้เฒ่า’ เข้ามาด้วย?

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เลยเลือกไม่สนใจนางเสียเลย รอจนลมหายใจของเด็กสาวสงบลงแล้วก็เริ่มค้อมตัวก้มหน้าก้มตาวิ่งนำผ่านหลังคาแต่ละหลังไปอีกครั้ง

เด็กสาวคิดในใจตัวเองว่าเทพเซียนผู้เฒ่า เซียนกระบี่ผู้นี้ ไม่เดินบนเส้นทางปกติจริงๆ

แถมยังนิสัยดีมากอีกด้วย!

ก่อนหน้านี้ตอนที่คุยกัน นางยังถือโอกาสแอบมองเขาอยู่หลายครั้ง หน้าตานับว่าดีไม่น้อย ดูไม่แก่เลยสักนิดเดียว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version