Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 202

บทที่ 202

เบื้องบนตามหานางอยู่

หลิ่วเชียนไต้ประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ใช่เจ้าค่ะ แม่เล้าซี นาง…มีปัญหาอะไรหรือ?”

แววตาของแม่เล้าซีวูบไหวแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “นางน่าจะเป็นคนที่เบื้องบนกำลังตามหาอยู่ คุณหนูกู้ กู้ซีจิ่ว!”

หลิ่วเชียนไต้ตกตะลึง นางย่อมเคยได้ยินเรื่องของกู้ซีจิ่วมา

ถึงอย่างไรหมู่นี้คุณหนูหกผู้นี้ก็สร้างเรื่องมากมาย วีรกรรมของนาง แพร่สะพัดจากเมืองหลวงมาถึงเมืองนี้แล้ว…

“นาง…ไม่ใช่ว่านางหายตัวไปกะทันหันระหว่างเดินทางไปแท่นเบิกสวรรค์หรอกหรือเจ้าคะ? มีคนถึงขั้นรํ่าลือกันว่านางถูกเจ้าสำนักหลงแห่งสำนักถามสวรรค์ลักพาตัวไป แล้วนางจะมาที่นี่เพียงลำพัง ได้อย่างไร?” หลิ่วเชียนไต้สงสัย

แม่เล้าซีส่ายหน้าพลางลุกขึ้นยืน ไม่ได้ตอบข้อสงสัยนี้ของนาง แต่ พลันถามอย่างอื่นอีก “เจ้ามอบรถนกกุลาคันนั้นของเจ้าให้นางหรือ?”

“เจ้าค่ะ แม่นางผู้นั้นรีบเร่งเดินทาง อยากจะเดินทางรวดเร็วหน่อย ดังนั้นข้าจึง…”

แม่เล้าซีพยักหน้า ไม่กล่าวอะไรก็เดินออกไปเลย

“แม่เล้าซี ท่านจะรายงานเบื้องบนหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเชียนไต้เดินตามมาสองก้าว

แม่เล้าซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เบื้องบนตามหานางอยู่ เมื่อพวกเราพบเบาะแสย่อมต้องรายงานไป”

“เช่นนั้น…เบื้องบนจะทำอันตรายนางไหมเจ้าคะ?”

แม่เล้าซีถอนหายใจ “เชียนไต้ เจ้าเป็นกังวลมากเกินไปแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรกังวล”

นางขยับกายไหววูบแล้วเดินออกไป

รถนกกุลาที่จริงแล้วเป็นรถม้าคันหนึ่ง รถม้างดงามละเอียดลออ ด้านบนวาดนกกุลายืนชูคอไว้ตัวหนึ่ง มองแล้วทั้งสวยสง่าทั้งทรงพลัง

ม้าลากรถชื่อว่าจวี…หั่วอวิ๋นจวี

ขนแดงดุจอัคคี วิ่งห้อดั่งสายลม กล่าวกันว่ารวดเร็วดุจสายฟ้าแลบได้ ว่องไวจนน่าทึ่ง ในหนึ่งวันมันสามารถวิ่งได้ไกลพันลี้

ในยามบ่าย บนถนนสายหลักที่มุ่งสู่เมืองเล็กๆ ริมชายแดน รถม้านกกุลาวิ่งทะยานราวกับบิน คนขับรถก็เป็นสารถีมีอดีของหลิ่วเชียนไต้ บังคับรถอย่างรวดเร็วและมั่นคง

ยามรถกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ปรากฏรถม้าคันหนึ่ง พุ่งเข้ามา รถม้าคันนั้นดูธรรมดามาก ตัวรถทำจากไม้ทั่วไป วาดลายป่าไผ่ ป่าไผ่นั้นวาดได้มีชีวิตชีวายิ่งนัก ประหนึ่งถ้ามีสายลมพัดผ่าน ป่าไผ่บนตัวรถก็สามารถโยกไหวได้

มีม้าใหญ่ตัวหนึ่งลากรถ ขนขาวราวหิมะ พ่วงพีอย่างยิ่ง รถม้าค้นนี้ราวกับโผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นดิน ปรากฏขึ้นไม่ไกลจากรถนกกุลา

หากไม่ใช่ว่าสารถีของรถนกกุลารั้งม้าไว้ได้ทันกาล เกรงว่าคงชนเข้าอย่างจังแล้ว!

รถม้าหยุดนิ่ง สารถีของรถนกกุลาอกสั่นขวัญหาย เงยหน้าขึ้น เตรียมว่ากล่าว บนรถม้าฝั่งตรงข้ามก็มีเงาร่างคนพุ่งมา แล้วขึ้นมาบนรถม้าของเขา

ไม่รอให้เขาทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง คนผู้นั้นก็เปิดประตูรถม้าแล้วมุดเข้าไป

สารถี “…อะไรน่ะ…ผู้ใดกัน?!”

คนผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วนัก ดุจสายฟ้าแลบ สารถียังไม่ทันเห็นรูปร่างของฝ่ายว่าอ้วนหรือผอม ไม่เห็นกระทั่งว่าเป็นบุรุษหรือสตรี…

ใครกันที่ใจกล้าถึงเพียงนี้? แม้แต่รถม้าของแม่นางหลิ่วก็กล้าปล้น?!

สารถีก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน วรยุทธ์ของเขาก็ไม่ต่ำต้อย เขาพบว่าสถานการณ์ไม่เข้าท่าแล้วจึงดีดกายขึ้นทันที กำลังจะเข้าไปในรถ เพื่อลากตัวผู้บุกรุกออกมา คิดไม่ถึงว่าเงาร่างคนจะพุ่งผ่านสายตา ไปอีกหน ผู้บุกรุกคนนั้นออกมาเองแล้ว พอปรากฏก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเขา “แม่นางที่อยู่ด้านในล่ะ?!”

และแล้วยามนี้สารถีก็ได้เห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจน หัวใจพลันกระตุกวูบ ถ้อยคำที่อยากจะประณามก็ไม่กล้าด่าออกมา

อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีครามนภา เรือนกายสูงโปร่ง โดดเด่นสง่างาม บนศีรษะสวมหมวกม่านแพร บดบังใบหน้าไว้ ถึงแม้จะมองไม่เห็นว่าใบหน้าเป็นเช่นไร แต่ทั่วร่างกลับทำให้รู้สึกว่ามีกลิ่นอาย บริสุทธิ์สดชื่นดั่งอากาศบนหุบเขาหลังสายฝนโปรยปราย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version