บทที่ 203
ซีจิ่ว! เจ้าหนีข้าทำไม?
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กักเก็บกลิ่นอายบนร่างเอาไว้ แต่อำนาจจากธาตุแท้ภายในกลับทำให้คนไม่กล้าดูแคลน และยิ่งไม่กล้าหาเรื่อง
สารถีก็เป็นคนรู้ความ พอเห็นกลิ่นอายของคนผู้นี้ก็ทราบว่าไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถล่วงเกินได้!
สายตาใต้หมวกม่านของอีกฝ่ายที่จ้องเขม็งทำให้เขาขนลุกซู่ หัวใจเต้นรัวดั่งกลอง!
เขาตอบอึกๆ อักๆ “แม่นางผู้นั้น…แม่นางผู้นั้นมิใช่ว่าพักผ่อนอยู่ด้านในหรือ? ยามขึ้นรถม้านางกล่าวว่ารู้สึกง่วงนัก ต้องการจะพักผ่อนสักหน่อย สั่งผู้น้อยว่าอย่ารบกวนนาง…ทำไมกัน? นางมิได้อยู่ด้านในหรอกหรือ?”
คนผู้นั้นเงียบงัน ในมือเขาถืออาภรณ์ชิ้นหนึ่ง เป็นชุดคลุมชั้นนอกของเด็กสาว บัดนี้เขากำอาภรณ์ตัวนั้นไว้แน่น กำจนข้อนิ้วซีดขาวเล็กน้อย ฟูกด้านในเย็นเฉียบ เป็นระเบียบเรียบร้อย ชัดเจนมากว่าเด็กสาวที่อยู่ในรถม้าจากไปนานมากแล้ว
เขาพบเพียงอาภรณ์ชิ้นนี้อยู่ด้านใน อาภรณ์นี้เป็นของนาง บนชุดยังหลงเหลือกลิ่นอายกายนางอยู่ ทว่ากลิ่นหอมราวกับแทงหะลุเข้าไปในหัวใจเขาได้!
ซีจิ่ว! เจ้าหนีข้าทำไม?
ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า ข้าแค่อยากพาเจ้ากลับไปที่เขาถามสวรรค์ ให้เจ้าได้เห็นที่นั่น ได้เห็นทุกอย่างที่ข้าทำเพื่อเจ้า
ซีจิ่ว ชาติก่อนพวกเราเคยทำผิดพลาด ชาตินี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยมืออีก ขอแค่เจ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง…
เขายกมือปล่อยนกสืบรอยสีสันสดใสตัวหนึ่งออกมา “หาต่อไป!”
เขากำลังจะหันหลังกลับไปที่รถม้าของตน ในอากาศก็พลันมีเสียงนกร้อง นกสีเขียวมรกตตัวหนึ่งบินมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขา ร้องเสียงเจื้อยแจ้ว คายยันต์โปร่งแสงแผ่นหนึ่งออกมา หล่นลงกลางฝ่ามือเขา
เขาคลี่ยันต์ออก เสียงไพเราะอ่อนโยนดังออกมาจากยันต์
“อาจารย์ ซีซีมีเรื่องจะรายงานอาจารย์เจ้าค่ะ ไม่กี่วันก่อนกู้ซีจิ่วผู้นั้นใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงเลยโชคดีเอาชนะศิษย์ได้ หลายวันมานี้ ศิษย์จึงคอยตรวจสอบรายละเอียดของนาง เกรงว่านางจะถูกปีศาจร้ายนอกรีตสิงสู่เจ้าค่ะ…” เป็นเสียงของกู่ซีซีนั้นเอง
หลังจากนั้นดูเหมือนว่าจะมีอีกมากมายหลายประโยค แต่เขากลับไม่ได้สนใจฟัง เมื่อบีบคราหนึ่งยันต์เสียงนั้นพลันหยุดลงกะทันหัน กลายเป็นเถ้าธุลีลอยหายไป
คนสวมหมวกม่านผู้นั้นก็คือหลงซือเย่ เขาหยิบยันต์อีกใบออกมา กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เรื่องของนางเจ้าไม่ต้องก้าวก่าย! ห้ามวางแผนโจมตีนางอีก เจ้าศึกษาไม่แตกฉานแต่กลับกล่าวโทษผู้อื่น จงกลับเขาไปกักตนสามปี” ยันต์นั้นคือยันต์ถ่ายทอดเสียง สามารถถ่ายทอดเสียงไปให้อีกฝ่ายได้
เขาดีดยันต์นั้นไปให้นกสีเขียวมรกตตัวนั้น นกสีเขียวมรกตคาบไว้ทันที แล้วกระพือปีกบินจากไป
เขาโน้มกายปีนขึ้นไปบนรถม้าคันเมื่อครู่ ม้าสีขาวส่งเสียงร้องยาวๆ ลากรถวิ่งห้อจากไป เพียงพริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
สารถีของรถม้านกกุลาตกตะลึง
เขากลับขึ้นรถของตนด้วยท่าทางราวกับฝันไป อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “สวรรค์ ข้าได้พบเจ้าสำนักถามสวรรค์แถมยังพูดคุยกับข้าด้วย…แม่นางท่านนั้นเป็นใครกันแน่นะ? ถึงต้องให้ท่านเจ้าสำนักถามสวรรค์ผู้นี้ออกโรงตามหาด้วยตัวเอง…”
เขาขึ้นไปตรวจดูภายในรถอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ สำรวจทุกซอกมุมของตัวรถม้าอีกรอบ ก็ไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่านอกจากอาภรณ์ชุดนั้นแล้ว แม่นางน้อยที่โดยสารรถของเขาท่านนั้นก็ไม่ทิ้งอะไรไว้อีกเลย แต่อาภรณ์ชุดนั้นก็ไม่เหมือนทำหล่นไว้บนรถ แต่เหมือนจงใจโยนไว้บนรถเพื่อดึงดูดความสนใจ…
ว่าแต่แม่นางน้อยผู้นั้นจากไปได้อย่างไรกัน?
นี้คือจุดที่สารถีสงสัยเป็นที่สุด
หลังจากนางขึ้นมาแล้ว รกม้าคันนี้ก็วิ่งอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา รถทั้งรถมีประตูหน้าเพียงบานเดียว หากแม่นางน้อยผู้นี้ออกไป ย่อมไม่สามารถเล็ดลอดสายตาเขาไปได้ แต่คนก็หายไปแล้ว ราวกับหายวับไปในอากาศ!