Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 204

บทที่ 204

คนผู้นี้รนหาที่ตายเอง…

“แม่นางน้อยผู้นี้คงไม่ใช่ผีกระมัง?!” สารถีส่ายศีรษะพึมพำขณะออกมาจากในตัวรถ พอเพิ่งจะออกมาก็ต้องตะลึงงัน!

บนยอดต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เสื้อคลุมสีม่วง พลิ้วไหว หน้ากากปีศาจอันหนึ่งบดบังใบหน้าของเขาไว้ ไม่รู้ว่าคนผู้นี้ยืนอยู่บนต้นไม้นี้มานานเท่าไหร่แล้ว ดูไปราวกับเทพเซียนที่ลอยล่องอยู่ คนผู้นี้กำลังก้มมองเขาอยู่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคนผู้นี้ไม่ได้กระทำอันใด แต่กลับทำให้สารถี หนาวสะท้านด้วยความเกรงกลัว!

“กฎข้อที่แปดของตำหนักเปลื้องจิตคืออะไร?” จู่ๆ คนชุดม่วงก็เอ่ยปากถามอย่างเรื่อยเปื่อย นํ้าเสียงไพเราะดั่งธารไหลริน

สารถีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย มองคนผู้นั้นอย่างตกตะลึง “ท่าน… ท่านถามเช่นนี้ทำไม?”

คนชุดม่วงผู้นั้นไม่ตอบ เพียงจ้องมองเขา

อยู่ภายใต้สายตาชำระล้างของเขาเช่นนี้ สารถีรู้สึกราวกับทั้งร่างแช่อยู่ในธารนํ้าแข็ง ดั่งหัวใจจะหลุดออกมาจากทรวงอก แต่เขาก็ไม่อยากตอบอยู่เหมือนเดิม ไม่พูดไม่จาดั่งลำคอตีบตัน

คล้ายว่าคนชุดม่วงผู้นั้นจะแย้มยิ้ม จากนั้นจึงท่องกฎข้อที่แปดของตำหนักเปลื้องจิตออกมา “หากแขกไม่อนุญาต จะยามใดก็เผยความลับของแขกไม่ได้ ห้ามวิพากษ์วิจารณ์แขก ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษตัดลิ้นและหักค่าแรงสามปี…”

สารถีหน้าเปลี่ยนสีแล้ว!

ดูเหมือนเขานึกไม่ถึงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้จะทราบกฎของตำหนักเปลื้องจิตด้วย จึงตกใจกลัวจนถอยหลังไปสองก้าว แทบจะตกจากรถม้าแล้ว “เจ้า…ท่านรู้ได้อย่างไร…”

คนชุดม่วงผู้นั้นเอ่ยตัดบทเขา “เจ้ากระทำเอง? หรือว่ามีผู้จ้างวาน?”

สารถีตัวสั่นเทิ้ม ทันใดนั้นก็สะบัดแส้ฟาดสะโพกม้า!

ม้าตัวนั้นร้องเสียงยาว ลากรถม้าวิ่งทะยานไป

คนชุดม่วงผู้นั้นไม่ได้ไล่ตาม เท้าไม่ย้ายตำแหน่งเลยด้วยซ้ำ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ด้านหน้าก็เกิดเสียงดังโครม ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนา ราวกับรถม้าพุ่งชนสันเขาเข้าอย่างจัง…

เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนานั้นดังขึ้นเพียงครึ่งเสียงก็เงียบหายไป ชัดเจนว่าคนตายคารกม้าที่พังแล้ว

คนชุดม่วงยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น

เดิมทีเขาคิดจะเหลือหนทางรอดไว้ให้ แต่จนปัญญาที่คนผู้นี้ รนหาที่ตายเอง…

เขาสะบัดนิ้วเล็กน้อย ลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วที่สั่นไหวของเขา ลอยอยู่ในอากาศ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “นายท่าน”

คนชุดม่วงผู้นั้นกล่าวอย่างเฉยชา “นำรถม้าและคนขับรถกสับไปที่ตำหนักเปลื้องจิต บอกอาซีด้วย ตำหนักเปลื้องจิตควรจัดระเบียบใหม่ได้แล้ว หากเกิดข้อผิดพลาดอีกก็ให้นางหิ้วหัวตัวเองมาพบข้า ซะ!”

เด็กสาวผู้นั้นตอบรับแล้วจากไป

คนชุดม่วงยืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ เขายกมือขึ้นมองแหวนสีนิลที่สวมอยู่บนนิ้ว ใจลอยแวบหนึ่ง

เด็กน้อย วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของเจ้าไม่ควรมีคนรู้มากเกินไป มิฉะนั้นเจ้าจะพบความยุ่งยากใหญ่หลวง เพื่อเจ้าแล้ว ข้าลงมือสำเร็จโทษคนต่ำต้อยด้วยตนเองเช่นนี้ออกจะน่าขายหน้าอยู่บ้าง…

คนสวมเสือคลุมผ้าไหมปักลายบุปผา บนศีรษะสวมหมวกคหบดี ร่างอ้วนกลมเหมือนลูกบอลลูกหนึ่ง บนหน้ามีหนวดอยู่สองหย่อม ดูหยิ่งยโสโอหัง

นี่ก็คือกู้ซีจิ่วที่ปลอมตัวในขณะนี้

ยามนี้เธอหลบอยู่ในรถม้าลายนกอินทรี นอนเอกเขนกอย่างสบายใจอยู่ด้านใน

รกม้าคันนี้เป็นคันที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดในจุดแวะพัก ถึงแม้ความงดงามน่าเกรงขามจะด้อยกว่ารถของผู้ดีมีบรรดาศักดิ์ ทว่า ความเร็วกลับไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เดินหางหนึ่งวันสองพันลี้ก็ไม่มีปัญหา

แน่นอนว่าราคาของรถม้าคันนี้ก็แพงมากเช่นกัน ค่าจ้างวันละสองพันตำลึง ทั้งยังต้องดูแลอาหารการกินของสารถีด้วย

ในรถม้ามีเสียงกรนคร่อกๆ ดังออกมา สารถีที่บังคับรถอยู่ด้านนอก ส่ายหัวอย่างอดไม่ได้

วันนี้พวกเขาทั้งหมดได้รับคำสั่งจากเบื้องบนว่าให้เพ่งเล็งผู้ที่มีรูปร่างเตี้ยผู้หนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version